ยก ส่งออกอาหาร-พระเอกกู้เศรษฐกิจ อสังหาฯอ่วมข้ามปี
VMPC ประเมินสถานการณ์หลังวิกฤตโควิด–19 “ส่งออกอาหาร” พระเอกกู้เศรษฐกิจ–“อสังหาฯ” อ่วมข้ามปี ดีมานด์เปลี่ยนรับ New Normal กับวิถีการทำงานแบบ Work From Home พร้อมจี้รัฐใช้นโยบายพิเศษกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แนะผู้ประกอบการสร้างวินัยทางการเงิน กำเงินสำรองประคองธุรกิจในภาวะฉุกเฉิน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด–19) ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจในวงกว้าง บางธุรกิจต้องหยุดชะงัก ปิดตัวชั่วคราว ในขณะที่บางธุรกิจตัดสินใจปิดกิจการถาวร เพราะขาดรายได้และแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว เพราะขาดสภาพคล่องทางการเงินจากความไม่สมดุลด้านรายได้และค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นประชาชนในการบริโภคสินค้าและบริการ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าวิกฤตครั้งนี้จะซ้ำรอยวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 หรือไม่
•โควิด–19 กระทบเศรษฐกิจไม่ยาวนานเท่าวิกฤตต้มยำกุ้ง
นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท วี. เอ็ม. พี. ซี. จำกัด (VMPC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ทั้งตลาดขายทำเลศักยภาพพระราม 2 และตลาดเช่าใจกลางสีลม–สาทรและศรีราชา เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบสถานการณ์ โควิด–19 กับวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ปี 2540 หรือเรียกกันว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ถือว่าวิกฤตโควิด–19 หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่เนื่องจากรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ มีมาตรการช่วยเหลืออย่างเต็มที่และทันท่วงที ด้วยการใช้วิธีการเพิ่มกระแสเงินสด ให้เกิดการหมุนเวียนเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ พร้อมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากสถานบันการเงิน เช่น พักชำระหนี้เงินต้น ลดดอกเบี้ย เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการให้ประคองธุรกิจต่อไปได้
“โดยส่วนตัวมองว่าวิกฤติครั้งนี้หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 แต่ปัญหาสามารถบริหารจัดการในประเทศได้ ไม่เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งซึ่งเป็นการกู้เงินสกุลตราต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทไทยจากเดิมที่ตรึงไว้ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนตัวสูงสุดประมาณ 50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ยกตัวอย่าง กู้เงินดอลลาร์มา 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่มีหนี้เป็นเงินไทย 25 ล้านบาท กลายเป็น 50 ล้านบาทเท่ากับว่าความมั่งคั่งของประเทศหายไปชัดเจน เหมือนโดนต่างชาติปล้น ซึ่งวิกฤตรอบนี้อยู่ในระดับที่เรียกว่า ‘หนักกว่า แต่ไม่นาน’ คือโดนหมัดเดียว ถ้าไม่น็อคลุกขึ้นมาก็ยังเดินต่อไปได้โดยขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและวินัยทางการเงินของแต่ละบริษัท แตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งที่ ‘หนักและนาน’ ลากยาว 8–9 ปี เหมือนโดนหมัดชุดชกจนน็อค”
•ยุคทอง “ส่งออกอาหาร–สินค้าเกษตร” พระเอกกู้วิกฤตเศรษฐกิจ
นายปริญญา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการท่องเที่ยวเดินเครื่องเต็มกำลังมาหลายปี ขณะที่ภาคการส่งออกยังเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง แต่เมื่อการท่องเที่ยวต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวจากการสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลให้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้นการส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรจะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนและพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังจากนี้ โดยได้รับอานิสงส์จากความวิตกกังวลทำให้คนกักตุนอาหาร การบริโภคเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารได้รับประโยชน์ และถือเป็นยุคทองของการส่งออกอาหารและการเกษตร ส่วนปัญหาภัยแล้งในปี 2563 ที่คาดการณ์ว่าสถานการณ์จะรุนแรงนั้น รัฐบาลต้องหาทางบริหารจัดการให้เกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และผลผลิตมีเพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศ ถ้าผลผลิตเหลือจึงส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ
สำหรับการท่องเที่ยวยังคงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยธุรกิจโรงแรมต้องสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยของผู้เข้าพัก ซึ่งคาดว่าภาพของการคัดกรองและป้องกันจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการชีวิตประจำวันของทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น การสวมหน้าอนามัย การตรวจวัดอุณหภูมิ การตรวจสอบประวัติการเดินทาง การระบุข้อมูลการเช็คอินในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือตามจุดต่างๆ ของโรงแรม และสถานบริการ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จะต่อเนื่องยาวนานต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทั้งนี้โดยรัฐบาลจะต้องมีนโยบายระดับประเทศเพื่อฟื้นฟูและสร้างความมั่นใจในภาพรวมการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยควบคู่กันไปด้วย
•อสังหาฯ ซึมยาวข้ามปี–ดีมานด์เปลี่ยน
นายปริญญา กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังอยู่ในภาวะขาลงหรือซบเซาต่อเนื่องไปถึงปี 2564 จากเดิมที่มีปัจจัยลบต่างๆ รุมเร้า ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อ ภาระหนี้ครัวเรือนสูง การบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และล่าสุดวิกฤตโควิด–19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจและกำลังซื้อของผู้บริโภค การชะลอตัวของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แย่ลงอีก และเพื่อปรับตัวให้อยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ จะได้เห็นการปรับลดราคาอสังหาริมทรัพย์ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สงครามราคาจะเกิดขึ้น แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อนำเงินสดมาหมุนเวียนใช้ภายในบริษัท
ซึ่งหากรัฐบาลต้องการให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวเร็วขึ้น ต้องใช้นโยบายพิเศษ เช่น การอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อบ้านและที่ดิน จากปัจจุบันที่กำหนดเงื่อนไข เช่น ต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี และได้รับการอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นอกจากนี้ หลังวิกฤตโควิด–19 อาจส่งผลให้รูปแบบอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนแปลงจากการปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานเป็น Work From Home หรือทำงานที่บ้าน ซึ่งจะทำให้ความต้องการคอนโดมิเนียมในเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดเล็กลดลง แต่ดีมานด์คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างใจกลางเมืองเพิ่มขึ้น รวมถึงบ้านเดี่ยวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจะได้รับความนิยมสูงขึ้น เพราะการทำงานที่บ้านจะเป็นความปกติใหม่ (New Normal) ในวิถีชีวิตของคนทำงาน โดยอาจจะเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง พนักงานไม่จำเป็นต้องมีโต๊ะประจำ ขนาดของออฟฟิศเล็กลง ซึ่งจากดีมานด์ที่ลดลงอาจทำให้ธุรกิจสำนักงานให้เช่าต้องปรับตัว ขณะที่บริการพื้นที่ทำงานในรูปแบบ Co–Working Space ยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้
•แนะผู้ประกอบการสร้างวินัยทางการเงิน–สำรองใช้ยามฉุกเฉิน
ซีอีโอ VMPC นายปริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์โควิด–19 เป็นวิกฤตจากโรคระบาด ไม่ได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจโดยตรง แต่ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรวดเร็วมาก มีการปิดประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เห็นว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้น การสร้างวินัยทางการเงินถือเป็นเรื่องจำเป็นการเตรียมเงินสำรองไว้หล่อเลี้ยงธุรกิจ มีก๊อก 2 ก๊อก 3 ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจะสร้างความได้เปรียบและสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แต่หากไม่มีเงินหมุนเวียนอาจจะต้องปิดหรือขายกิจการ รวมไปถึงการบริหารธุรกิจที่สามารถปรับเปลี่ยนบริการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่น ธุรกิจอสังหาฯ ประเภทที่พักและโรงแรมที่สามารถรองรับผู้เข้าพักได้ทั้ง Long stay และ Short time เป็นต้น
“สถานการณ์โควิด–19 ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนและส่งผลกระทบเร็วมาก แต่บล็อกเศรษฐกิจทั่วโลกเลย และต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ กว่าจะฟื้นเต็มที่ทั้งหมดเพราะฉะนั้นการทำธุรกิจต้อง Conservative พอสมควรต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบด้านการลงทุน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้น เราจะพร้อมที่จะรับมือและไปต่อได้ ในภาวะเช่นนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่ได้รับผลกระทบ แต่จะทำอย่างไรให้เราบาดเจ็บน้อยที่สุด และยังสามารถพยุงธุรกิจต่อไปได้จนสามารถไปสู่ภาวะปกติ”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อสังหาฯท้าทายหลังวิกฤติ “โกลเด้นแลนด์” เปิดใหม่ 8โครงการ
โกลเด้นแลนด์ ชี้อสังหาฯ ท้าทายหลังวิกฤติโควิด-19 ต้องวางแผนรูปแบบให้รัดกุม อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสแรก ยังแข็งแกร่ง โชว์กำไร กว่า 351 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการครึ่งปีหลังของปี 63 รวม 8 โครงการ มูลค่า 9,400 ล้านบาท
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ สถานการณ์ภาวะวิกฤตโควิด-19 ของประเทศไทยจะดีขึ้น แต่คงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ความท้าทายกลับอยู่ที่การวางแผนหลังจากวิกฤตคลี่คลาย ในการปรับตัวไปสู่ New Normal เช่น มาตรการรองรับรูปแบบการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดการคิวจองซื้อบ้านในวันเปิดโครงการ การเปิดศูนย์การค้าอย่างระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่นเดียวกัน ทั้งนี้บริษัทฯ มีความพร้อม และมั่นใจในการเดินหน้า ปรับตัวสู่ New Normal ที่สามารถรักษาผลการดำเนินงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ไม่เกิดผลกระทบกับพนักงาน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ
ขณะที่ยอดรับรู้รายได้สำหรับรอบระยะเวลา 3 เดือน (1 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563) จำนวน 3,994 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562) และมีกำไรสุทธิกว่า 351 ล้านบาท แม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 แต่บริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งมียอดขายจากโครงการแนวราบ และค่าเช่าจากโครงการเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง
“บริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด และการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน ซึ่งตลอดการปรับตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังรักษาผลการดำเนินงานไว้ได้ทำให้พนักงาน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยทั้งปี 2563 จะเปิดขายโครงการ นีโอโฮม จำนวน 5 โครงการ ทาวน์โฮม จำนวน 7 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 1 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์ 1,000 ล้านบาทจากอาคารสำนักงาน เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ ที่ยังคงเปิดให้บริการได้ตามปกติท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ที่คาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเดือนมิถุนายน 2563 “
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเกิดความท้าทายจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะแสดงให้เห็นชัดเจนจากผลการดำเนินงานในรอบเดือนเม.ย. – มิ.ย. 2563 แต่สำหรับบริษัทฯ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ยังคงมียอดขายโครงการแนวราบที่ดี เพราะลูกค้าหันมาสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น โดยมียอดเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้น 40-50% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากลูกค้ามีความจำเป็นต้องใช้จริงจากการปรับรูปแบบทำงานที่บ้าน (Work from home) ที่ต้องการพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัย และทำงาน โดยไม่รบกวนกันของสมาชิกในครอบครัว ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ฟังก์ชั่นของโครงการแนวราบจึงตอบโจทย์มากกว่าสินค้าประเภทอื่น ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมายอดขายกลับมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้ผลกระทบจากมาตรการ LTV ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายสะสม (Backlog) ที่ 2,900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปี 2563 โดยในครึ่งปีหลัง (ก.ค. – ธ.ค.) ของปี 2563 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการนีโอโฮมอีก 4 โครงการ และโครงการทาวน์โฮมอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 9,400 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ถึงแม้ว่าหลายบริษัทฯ จะปรับตัวตามมาตรระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ของภาครัฐ โดยการปรับให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น แต่บริษัทฯ ยังเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ รูปแบบการทำงานที่ทำงาน (Work at Office) จะกลับมาเช่นเดียวกัน เพราะยังจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับการประชุม และการใช้พื้นที่ร่วมกันของพนักงาน โดยจะมีการปรับความยืดหยุ่นในการทำงาน (Work flexibility) มากขึ้น จึงคาดว่าจะไม่ทำให้ภาพรวมความต้องการพื้นที่สำนักงานลดลงจนเกิดผลกระทบ
ส่วนธุรกิจศูนย์การค้า ทางบริษัทฯ มีความพร้อมเปิดให้บริการสามย่านมิตรทาวน์ หากมีการประกาศจากภาครัฐให้สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติก็สามารถเปิดให้บริการได้ใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งระหว่างนี้ได้เตรียมความพร้อมในแนวทางการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการคัดกรองผู้ใช้บริการ ตรวจวัดไข้ ทำความสะอาดในจุดสัมผัสต่างๆ เป็นอย่างดีแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จีน ส่งเสริมเงินหยวนดิจิทัล กระทบหนักสุดธนาคารพาณิชย์
นายมาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน China Business ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การประกาศเริ่มใช้เงินหยวนดิจิทัลน่าจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่สำคัญที่สุดหลังจากเหตุการณ์โรคระบาด โดยเงินหยวนดิจิทัลนี้ไม่ใช่สกุลใหม่หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนปกติ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงิน ตลอดจนมีส่วนช่วยในการปราบปรามการทุจริต ในระยะยาวอาจเป็นตัวเสริมความเป็นสากลของเงินหยวน
อีกทั้งเงินหยวนดิจิทัลมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ที่ตรงกันข้ามกับ crypto currency โดยสิ้นเชิง และรัฐบาลจีนไม่ได้มีสัญญาณที่จะเปลี่ยนท่าทีมาส่งเสริมการใช้ crypto currency แต่อย่างใด เมื่อพิจารณาถึงผลต่อภาคธุรกิจ คาดว่าธนาคารพาณิชย์จีนน่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะดูเหมือนธนาคารกลางจีนออกแบบเงินดิจิทัลนี้ให้ลดทอนบทบาทธนาคารพาณิชย์ในการทำหน้าที่เป็นตัวส่งต่อกลไกราคา อีกทั้งความต้องการใช้บริการบางด้าน เช่น ธุรกิจ custodian และธุรกิจกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อาจลดลง
ธนาคารกลางจีน หรือ People’s Bank of China (PBOC) ได้ศึกษาแนวทางการออกเงินหยวนดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว การนำเงินหยวนดิจิทัลออกมาใช้ในช่วงเวลานี้ ส่วนหนึ่งเพื่อการป้องกันการติดโรคระบาดผ่านธนบัตร ถึงแม้ประเทศจีนเป็นสังคมไร้เงินสดเกือบทั้งหมด แต่เบื้องหลังของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ยังมีส่วนที่เป็นธนบัตรกระดาษอยู่ อาทิ การจัดเก็บธนบัตรที่ธนาคารพาณิชย์ ส่วนเงินหยวนดิจิทัลจะไม่มีขั้นตอนของธนบัตรกระดาษแต่อย่างใด ในระยะต่อไปเมื่อมีการใช้เงินหยวนดิจิทัลในวงกว้าง ธนาคารกลางจีน น่าจะสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินได้แบบคล่องตัวและตรงจุดมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติด้านการรวมศูนย์ที่ทำให้ติดตามสถานะของผู้ถือเงินได้ ซึ่งธนาคารกลางอาจกำหนดหรือปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่างกัน สำหรับกลุ่มผู้ถือเงินแต่ละกลุ่มโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกลไกของธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธนาคารกลางสามารถบริหารสภาพคล่องในแต่ละภาคเศรษฐกิจได้โดยตรงมากขึ้น
นอกจากนี้ ประโยชน์อื่น ๆ ของเงินดิจิทัล ได้แก่ ต้นทุนการผลิตเงินที่ต่ำกว่า การป้องกันการคดโกงและการฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า หรือแม้กระทั่งการจ่ายเงินอุดหนุนในเหตุวิกฤติที่ทำได้แบบตรงตัวกว่า เป็นต้น
“เงินหยวนดิจิทัลมีความต่างจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเงินหยวนดิจิทัลจะถูกเก็บอยู่ในมือถือของประชาชนโดยตรง การใช้จ่ายทำผ่านระบบ NFC ก็คือเอาโทรศัพท์มือถือมาแตะกัน จึงให้ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสูงกว่าสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะข้อมูลการใช้จ่ายจะถูกจัดเก็บรวมกันที่ธนาคารกลาง ไม่กระจายอยู่ที่บริษัทเอกชน และสิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ในภาคธุรกิจ คือ เมื่อมีการใช้เงินหยวนดิจิทัลในวงกว้าง ธุรกิจร้านค้าอาจถูกติดตามเรื่องการเสียภาษีได้ง่ายขึ้น”
ปัจจุบัน ธนาคารกลางจีน กำลังจะทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลที่มีชื่อทางการว่า Digital Currency/Electronic Payment (DCEP) โดยกำหนดทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลนี้ใน 4 เมือง ได้แก่ เซิ่นเจิ้น ซูโจว เฉิงตู และเขตเมืองใหม่สงอัน โดยในเมืองซูโจว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม รัฐบาลจะจ่ายค่าเดินทางให้กับข้าราชการครึ่งหนึ่งเป็นเงินหยวนดิจิทัล ส่วนการทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลในเมืองสงอันนั้น จะเน้นทดลองใช้กับธุรกิจค้าปลีกและการจัดเลี้ยง เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต และฟิตเนส เป็นต้น โดยมีบริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ เช่น Starbucks McDonald’s และ Subway เข้าร่วมโครงการทดลองในครั้งนี้ด้วย
ในมุมมองของไทยพาณิชย์ สิ่งที่ต้องจับตามองอย่างมาก คือ เมืองสงอัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่ง เพราะรัฐบาลจีนจะผลักดันให้เป็นเมืองอัจฉริยะแห่งอนาคต ในส่วนของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Apple Pay, AliPay และ WeChat นั้น รัฐบาลจีนก็ออกกฎชัดว่าต้องสามารถรองรับการใช้งานของเงินหยวนดิจิทัลได้ ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การใช้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
นายมาณพ ยังกล่าวด้วยว่า แนวคิดของเงินหยวนดิจิทัลนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับ cryptocurrency เช่น bitcoin หรือ stable coin เช่น Libra และโดยนัยยังเป็นการสกัดกั้น cryptocurrency เนื่องจากเงินหยวนดิจิทัลมีลักษณะ 3 ประการ
1. มีกฎหมายรองรับและไม่ใช่เงินสกุลใหม่ : เงินหยวนดิจิทัลเป็นเงินที่มีกฎหมายและความน่าเชื่อถือของประเทศรองรับ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ หากแต่เป็นเงินหยวนในรูปแบบดิจิทัล (แทนที่จะเป็นกระดาษ) ดังนั้น ไม่ต้องมีการอิงราคากับสกุลเงินหรือสินทรัพย์ใด ๆ ไม่ต้องมีการกำหนดราคาเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้น
เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนที่มีใช้อยู่แล้ว หากเปรียบเทียบกับ Bitcoin จะเห็นได้ว่า Bitcoin ถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่มีราคาตลาดขึ้นลงเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องสอดคล้องกับสกุลเงินจริงใด ๆ หรือแม้กระทั่ง Libra ก็ยังถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ที่มีการผูกค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไม่ให้มีความผันผวน แต่โดยตัวเองไม่ได้มีการรับรองโดยรัฐประเทศ
2. มีลักษณะรวมศูนย์: เงินหยวนดิจิทัลไม่อิงกับเทคโนโลยี blockchain มีลักษณะการจัดเก็บแบบรวมศูนย์มาที่ธนาคารกลาง คือธนาคารกลางสามารถรู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวตลอดจนสถานะของผู้ถือ (ว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัท SME หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น) โดยที่แนวคิดเรื่องการรวมศูนย์นี้ มีความตรงกันข้ามกับ crypto currency ชนิดต่าง ๆ ที่เน้นการกระจายการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่มีตัวกลาง
3. มีดอกเบี้ย: ที่น่าสนใจมากคือธนาคารกลางสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับเงินหยวนดิจิทัลได้โดยตรง คุณสมบัติข้อนี้เป็นจุดแตกต่างจากเงิน crypto currency โดยทั่วไป แต่ในขั้นทดลองนี้ยังไม่มีการกำหนดดอกเบี้ย
นายมาณพ กล่าวด้วยว่า ภาคธุรกิจไทยควรจับตาแนวโน้มระยะยาวว่าความคล่องตัวของเงินหยวนดิจิทัลจะมีส่วนผลักดันให้เงินหยวนมีความเป็นสากลมากขึ้นหรือไม่เพียงใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขั้นตอนการโอนเงินเข้าออกประเทศจีนเพื่อชำระสินค้าค่าบริการและการลงทุน ตลอดจนการเพิ่มน้ำหนักของเงินหยวนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ซึ่งมีผลต่อเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม เงินหยวนดิจิทัลนี้คงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมการปฏิรูปเงินหยวนให้มีความเสรีมากขึ้น จึงต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการเปิดเสรีบัญชีทุนของประเทศจีนด้วย สำหรับในระยะสั้น ไม่คิดว่าการใช้เงินหยวนดิจิทัลจะมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจไทยแต่อย่างใด
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ลือหึ่ง แข้งลิเวอร์พูล ส่อย้ายทีม ตะลุยลีกดัง
สื่อดังตีข่าว แข้งชุดใหญ่ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ส่อแววย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ด้วยค่าตัว 175 ล้าน ทีมดังพร้อมล่าตัว
วันที่ 13 พ.ค. 63 กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต สื่อดังของอิตาลี แฉ “หมาป่าเหลืองแดง” โรมา สโมสรในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี เตรียมเดินหน้าคว้าตัว เดยัน ลอฟเรน กองหลังทีมชาติโครเอเชียชุดรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มาสู่ถิ่นสตาดิโอ โอลิมปิโก หลังจบฤดูกาลนี้
ทั้งนี้ ลอฟเรน เหลือสัญญากับลิเวอร์พูลอีกแค่ 1 ปี และตกเป็นข่าวอย่างหนักว่าอาจย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์นี้เนื่องจากกลายเป็นตัวเลือกรองจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ภายใต้การคุมทีมของเยอร์เกน คลอปป์ ทำให้เขากลายเป็นที่หมายปองของ โรมา ที่ต้องการดึงไปเสริมแนวรับ และตามรายงานจากสื่ออิตาลี ระบุ โรมา หวังใช้ความสัมพันธ์อันดีที่เคยขาย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อลิสสัน เบคเกอร์ ให้กับลิเวอร์พูล ในการเจรจาขอซื้อ ลอฟเรน ด้วยค่าตัวสุดถูกเพียง 4.41 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 175 ล้านบาท
สำหรับ ลอฟเรน วัย 30 ปี ย้ายจากทีมเซาแธมป์ตัน มาอยู่กับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2014 ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 793 ล้านบาท) ฤดูกาลนี้ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกไปเพียง 9 นัด ทำไป 1 แอสซิสต์
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
อภ.ทำยาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิดสำเร็จ
อภ.พัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิด 2019 ในระดับห้องปฏิบัติการได้สำเร็จ พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบจนเป็นเม็ดยาสำเร็จรูป ออกขายได้ในราวปลายปี 64 ชี้เป็นการวางแผน พึ่งพาตนเองในระยะยาวดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า อภ.ได้วิจัยและพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) มาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 โดยในระยะแรกนี้ได้จัดซื้อตัวอย่างวัตถุดิบมาทดลองพัฒนาสูตรเบื้องต้น 100 กรัม และสั่งซื้อเพิ่มอีก 5 กิโลกรัม จะมาถึงเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อนำมาพัฒนาสูตรตำรับ และขยายขนาดการผลิต ตลอดจนศึกษาความคงสภาพ และประสิทธิผลทางชีวสมมูล คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จะมีข้อมูลพร้อมยื่นขึ้นทะเบียนทั้งนี้ เพื่อเป็นการวางแผนบริหารจัดการเพื่อให้มียาฟาวิพิรา เวียร์ เพียงพอต่อความต้องการรองรับการรักษาผู้ป่วยภายในประเทศอย่างยั่งยืนทั้งในภาวะวิกฤติและระยะยาว ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์เป็นหนึ่งในยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแนวทางการรักษาของประเทศไทย และจากการคาดการณ์ว่าจะมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานประมาณ 1-2 ปี การดำเนินการเพื่อให้มียาไว้ใช้ในยามจำเป็น จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยขณะนี้ อภ.มีการดำเนินงานพร้อมกันใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการนำเข้ายาฟาวิ พิราเวียร์ในระยะเร่งด่วน มีการนำเข้ายาต้นแบบจากบริษัท FujiFilm Toyama Chemical Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท Zhejiang Hisun Pharmaceutical Company ประเทศจีน ซึ่งได้รับใบอนุญาตผลิตจากญี่ปุ่น เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งไทยได้มีการนำเข้ามาแล้วจำนวน 187,000 เม็ด และในเดือนพฤษภาคมนี้ นำเข้าจากจีนและญี่ปุ่นอีกจำนวน 303,860 เม็ดส่วนด้านการพัฒนาผลิต ภัณฑ์ยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ ที่ได้ดำเนินการคู่ขนานกับการนำเข้านั้น ได้มีการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้พัฒนาและผลิตยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ได้เองภายในประ เทศ สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพมาตรฐานจากประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ได้จัดซื้อตัวอย่างวัตถุดิบมาเพื่อทดลองผลิตในเบื้องต้น และอยู่ระหว่างการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาสูตรตำรับ และขยายขนาดการผลิต ตลอดจนศึกษาความคงสภาพ และศึกษาประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) เพื่อศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จะมีข้อมูลพร้อมยื่นขึ้นทะเบียน“การดำเนินการด้านวิจัยพัฒนาการสังเคราะห์วัตถุดิบยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ได้ดำเนินการคู่ขนานไปด้วยช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการในกระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบ โดย อภ.ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่ สวทช. จำนวน 4.28 ล้านบาท สำหรับดำเนินการในกระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3-6 เดือน จากนั้น อภ.นำมาขยายขนาดการสังเคราะห์สู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรม คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตวัตถุดิบในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ในเดือนมิถุนายน 2564” ดร.ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวในส่วนของสิทธิบัตรยานั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยยา กล่าวว่า บริษัท FujiFilm Toyama Chemical Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่น ได้มายื่นคำขอสิทธิบัตรด้านการผลิตเม็ดยา favipiravir ที่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2553 แต่ปัจจุบันยังเป็นเพียงคำขอสิทธิบัตรเท่านั้น หากยาดังกล่าวได้รับสิทธิบัตร จะได้ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี โดยนับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรในไทย อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสูตรภายในประเทศสามารถทำได้โดยไม่ถูกฟ้องร้อง แต่หากผลิตจำหน่ายในท้องตลาด อาจโดนฟ้องเพราะละเมิดสิทธิบัตรได้ ดังนั้น อาจต้องมีการเจรจาทำ Voluntary Licensing กับบริษัทเจ้าของสิทธิบัตร เพื่อให้ อภ.สามารถผลิตและจำหน่าย“อภ.มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในการคิดค้น วิจัย และพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ที่จำเป็นต่อการรักษา ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ เพื่อให้มีความยั่งยืนในการสำรองยาไว้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในประเทศได้อย่างเพียงพอ รอง รับการแพร่ระบาดทั้งในภาวะวิกฤติและเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยในระยะยาวต่อไป” ดร.ภญ.นันทกาญจน์ กล่าว
ประโยคภาษาอังกฤษสำหรับการทักทาย ถามตอบทุกข์สุข
ประโยคถามตอบทุกข์สุขก็จะเป็นการทักทาย การแนะนำตัว การกล่าวลา ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Greetings นั่นเอง มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 12 ประโยคด้วยกัน
1.Hello, my name is Sam.
เฮ็ลโล มายเนม อิส แซม
สวัสดี ชื่อ ของผม คือ แซม (ผมชื่อแซม)
2. Hey, I’m Jane.
เฮ้ ไอม เจน
หวัดี ฉัน คือ เจน (ฉันชื่อเจน)
3. Nice to meet you.
ไนซ ทุ มีท ยู
ยินดี ที่ได้ พบ คุณ (ยินดีที่ได้รู้จัก)
4. Nice to meet you, too.
ไนซ ทุ มีท ยู ทู
ยินดี ที่ได้ พบ คุณ เช่นกัน (ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน)
5. It was nice meeting you.
อิท เวิส ไนซ มี๊ททิง ยู
มัน ดี ที่ได้ รู้จัก คุณ (ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณ)
6. It was nice meeting you, too. Bye.
อิท เวิส ไนซ มี๊ททิง ยู ทู บาย
มัน ดี ที่ได้ รู้จัก คุณ เช่นกัน ลาก่อน
7. Goodbye.
กุ๊ดบาย
ลาก่อน
8. Nice to see you again.
ไนซ ทู ซี ยู อะเกน
ยินดี ที่ได้ พบ คุณ อีกครั้ง
9.You too.
ยูทู
เช่นกัน
10.How are you?
ฮาว อา ยู
คุณ สบายดี ไหม
11. Fine thanks, and you?
ไฟน แธงส แอน ยู๊
สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
12.I’m okay, thank you.
ไอม โอเค แธงคิว
ฉัน สบายดี ขอบคุณ
ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
เชนสโตร์ ไอที-มือถืออ่วม ล็อกดาวน์ฉุดยอดวูบ80%
เชนสโตร์ไอที-มือถือ อ่วมหนัก คอมเซเว่น เผยล็อกดาวน์เมษายอดขายร่วง 80%
ส่วนเจมาร์ท ยอดขายหน้าร้านต่ำเป้า 70% ส่วนออนไลน์โตกระฉูด 15 เท่า สะท้อนวิถี New Normal เจบีไอ ได้ช่องทางออนไลน์สาขาชั่วคราวช่วยฉุดยอดร่วงแค่ 15%
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เชนสโตร์ไอที และสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ “บานาน่า” และ”สตูดิโอเซเว่น” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าผลกระทบจากประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก.ฉุกเฉิน และการปิดห้างสรรพสินค้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้นทำให้บริษัทมีการปิดหน้าร้านไปจำนวน 256 สาขา จาก 801 สาขา และยอดขายบริษัทหายไปประมาณ 80% จากยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 2,000 ล้านบาท แม้ขณะนี้จะมีมาตราคลายล็อกดาวน์ออกมาแต่ก็เปิดทยอยเปิดสาขาได้เพียงส่วนหนึ่ง เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์กำลังซื้อและปริมาณคนที่กลับเข้ามาเดินในห้าง ห้างไม่คุ้มค่าเช่า และค่าจ้างพนักงานก็ยังไม่เปิด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับห้างเพื่อลดค่าเช่าลง 50%
อย่างไรก็ตามประเมินว่ามีสินค้าบางกลุ่มที่มีการเติบโต โดยคาดหวังว่าไอโฟน SE 2020 ที่กำลังเปิดขายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะเข้ามาช่วยปลุกกำลังซื้อในตลาด เนื่องจากราคาของสินค้าและแคมเปญร่วมกับโอเปอเรเตอร์ น่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี
สำหรับ New Normal หลังโควิดนั้นเชื่อว่าการซื้อสินค้าไอทีผ่านช่องทางออนไลน์จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมมาสัมผัสเลือกซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งในส่วนของหน้าร้านเองก็มีมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ต่อเนื่อง
ด้านนายสมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทเจ.ไอ.บี คอมพิวเตอร์ จำกัด เชนสโตร์ไอทีภายใต้แบรนด์ JIB กล่าวว่า 1 เดือนที่ผ่านมาภายใต้พรก.ฉุกเฉิน และการปิดห้างสรรพสินค้า นั้นบริษัทได้บริษัทมีการปิดหน้าร้านไปจำนวน 121 สาขา อย่างไรก็ตามยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น 4 เท่า อีกทั้งบริษัทยังมีการเช่าอาคารพาณิชย์เปิดสาขาชั่วคราวอีก 31 แห่ง ทำให้ยอดขายโดยรวมลดลงไปประมาณ 15% ซึ่งหลังมาตรการคลายล็อกดาวน์สถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้น เนื่องจากช่วงล็อกดาวน์ลูกค้าซื้อแต่ของที่จำเป็น แต่หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าที่ต้องการ โดยขณะนี้เริ่มทยอยเปิดสาขาที่ปิดไปจากมาตรการล็อกดาวน์แล้วประมาณ 19 แห่ง
ส่วน New Normal ของเชนสโตร์ไอทีหลังโควิดนั้นมองว่าออนไลน์จะเป็นช่องทางที่มีการเติบโตจากต่อเนื่อง ซึ่งจากตัวเลข 1 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อออนไลน์จากเจไอบี สั่งซื้อเข้ามาเป็นครั้งแรก 11,000 รายจากปกติมีลูกค้าใหม่เข้ามาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ครั้งแรกเดือนละ 3,000 ราย
นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด กล่าวว่าช่วงเดือนเมษายน พบว่ายอดขายออนไลน์ เพิ่มขึ้น 15 เท่า ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างมีนัยยสำคัญ ทำให้มองเห็นแนวโน้มยุค New Normal ที่คนจะเลือกซื้อสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พิกัดเบญจเกสร”…ดอกไม้รักษาโรค
ดอกไม้และเกสรดอกไม้บางชนิดเป็นยารักษาโรคตามตำรับยาของแพทย์แผนโบราณ บทความนี้จะพาไปแนะนำให้รู้จักสูตรยาจากตำรับยาโบราณที่เรียกว่า “พิกัดเบญจ” หรือเครื่องยาสมุนไพรไทย 5 ชนิด แบ่งออกเป็นพืชสมุนไพรหลายอย่างทั้งธาตุร้อน ธาตุเย็น และหนึ่งในพิกัดเบญจ ก็มีสมุนไพรประเภท “ดอกไม้” อยู่ด้วย เป็นเกสรดอกไม้ 5 ชนิด ที่ใช้บำรุงหัวใจ และช่วยรักษาโรค ประกอบไปด้วย เกสรดอกบัวหลวง ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกบุนนาค และดอกมะลิ ดอกไม้และเกสรดอกไม้ 5 ชนิดนี้เป็นกลุ่มที่เรียกว่า “พิกัดเบญจเกสร” ใช้สำหรับปรุงยาหรือผสมยาตามตำรับยาของแพทย์แผนไทย
นอกจากนี้ก็ยังมีดอกไม้ เกสร ราก รวมไปถึงกลีบของดอกไม้ อีกหลายสูตร นี่จึงเป็นเสน่ห์ของยาแผนโบราณที่มากสรรพคุณหลากหลายจากพืชพรรณธรรมชาติ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่ามีดอกไม้ไทยอีกมากมายที่ใช้เป็นยารักษาโรคได้
มารู้จักกับ “พิกัดเบญจเกสร” กันเถอะ!!
เอกลักษณ์ของดอกไม้และเกสรดอกไม้เหล่านี้คือนำไปปรุงยาหอม ซึ่งมีหลายสูตรยกตัวอย่างเช่น “ยาหอมทิพโอสถ” ที่มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลร่างกาย ช่วยให้ฟื้นไข้ได้เร็ว แก้ลม แก้วิงเวียน “ยาหอมเทพจิตร” ที่มีสรรพคุณ ช่วยผ่อนคลาย ดับร้อนในทรวงอก บำรุงหัวใจ และยาหอมนวโกฐ ที่มีสรรพคุณแก้ไข้หวัด คัดจมูก คลื่นไส้ อาเจียน
ดอกไม้เป็นจุดเริ่มต้นของ “น้ำมันหอม” ซึ่งความพิเศษไม่ได้มีเพียงความหอม หรือเป็นแค่เครื่องหอมประทินผิวเท่านั้น ยังมีพรรคุณที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้ตามแต่ชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น เป็นยาบำบัดอาการต่างๆ บำรุงกำลัง บำบัดจิต นวดคลายปวดเมื่อย แก้แมลงสัตว์กัดต่อย แก้อักเสบ รักษาผิวหนัง เป็นต้น
นอกจากใช้รักษาและบำบัดด้วยกลิ่น และการทาแล้ว หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า น้ำมันหอมของดอกไม้บางชนิดใช้กินหรือดื่มเพื่อเป็นยาได้ ส่วนใหญ่แล้วน้ำมันหอมระเหยของดอกไม้จากการสกัดบริสุทธิ์ 100% จะนำมาผสมในยาน้ำ ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงลำไส้ ใช้ฆ่าเชื้อโรค แก้ปวดท้อง แก้อักเสบภายใน และช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
ส่วนประกอบและสรรพคุณของ “พิกัดเบญจเกสร”
“พิกัดเบญจเกสร” อันประกอบไปด้วยเกสรดอกบัวหลวง ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกบุนนาค และดอกมะลิ จะใช้การสกัดเอาน้ำมันจากดอกไม้ซึ่งมีสรรพคุณแตกต่างกัน ดังนี้
1. เกสรดอกบัวหลวง สรรพคุณ ออกฤทธิ์เย็น รสหวานเย็น บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ป้องกันสมองเสื่อม ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ทำให้รู้สึกสดชื่น บำรุงผิว ชะลอวัย ป้องกันมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
2. เกสรดอกสารภี สรรพคุณ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ช่วยให้รู้สึกชื่นใจ แก้ร้อนใน แก้ไข้หวัด แก้คัดจมูก ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ช่วยขยายหลอดเลือด และช่วยให้เจริญอาหาร
3. เกสรดอกพิกุล สรรพคุณ ช่วยบำรุงหัวใจ แก้ร้อนในทรวงอก บำรุงเลือด แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยลดบวม แก้อักเสบ
4. เกสรดอกบุนนาค สรรพคุณ มีกลิ่นหอมเย็น ช่วยให้รู้สึกชื่นใจ แก้วิงเวียนจะเป็นลม แก้อาการหน้ามืด แก้ปวดหัว ช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด เป็นยาธาตุ ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิง
5. ดอกมะลิ สรรพคุณ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงหัวใจ ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อนในร่างกาย ทำให้สดชื่น แก้ปวด แก้อักเสบ แก้ฟกช้ำ บรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายนอกจากดอกไม้ที่มีเกสรเป็นตัวชูโรงในการรักษาโรคแล้ว ยังมีสูตรจากตำรายาแผนโบราณที่ใช้ดอกไม้เพิ่มเข้ามาอีก 4 ชนิด รวมแล้วเป็น 9 ชนิด คือ กระดังงา ลำดวน จำปา และลำเจียก ใช้บำรุงธาตุ และบำรุงหัวใจด้วยเช่นกัน
ดอกพริมโรส…ดอกไม้รักษาผิวหนัง
นอกจากดอกไม้ไทยๆ จะมีสรรพคุณดีๆ ที่ช่วยบำรุงหัวใจ ดอกไม้เมืองนอกก็มีดีเช่นกัน โดยเฉพาะ “ดอกพริมโรส” ที่มีการสกัดเอาน้ำมันดอกพริมโรสมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นที่นิยมกันทั่วโลก เนื่องจากสรรพคุณเด่นของ “ดอกพริมโรส” คือช่วยเรื่องผิว ทำให้ผิวสวย ลดสิว บรรเทาอาการสิวอักเสบ และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายน้ำมันดอกพริมโรสเหมาะกับผู้หญิงวัยรุ่นถึงวัยกลางคนที่มีปัญหาเรื่องรอยสิว น้ำมันพริมโรสจะช่วยบำรุงผิว และวิตามินที่มีในพริมโรสยังช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังลดปัญหาการเกิดสิวซ้ำซากอีกด้วย ข้อดีของพริมโรสยังไม่หมดเพราะยังมีกรดไลโนเลอิค ที่ช่วยให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรง ปกป้องผิวจากมลภาวะและทำให้ผิวเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
ได้รู้จักกับสูตรยาตำรับโบราณอย่าง “พิกัดเบญจเกสร” กันไปแล้ว เห็นทีการเที่ยวชมดอกไม้คราวต่อไป ต้องจริงจังศึกษาเพื่อเอาสารสำคัญดีๆ สรรพคุณเยี่ยมๆ ของดอกไม้สมุนไพรเหล่านี้ มาช่วยดูแลสุขภาพกันดีกว่า…
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,700.00 | 25,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,665.00 | 25,241.40 | 26,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,498.50 | 22,717.26 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,332.00 | 20,193.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 749.00 | 11,354.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 583.00 | 8,838.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,725.00 | 26,151.00 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/05/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 | 18.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 | 18.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 | – | 17.34 | 17.34 | 17.34 | 17.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 16.19 | 16.19 | – | – | – | – | – | 16.19 | – | – |
เบนซิน 95 | 26.26 | – | – | – | 26.71 | – | 26.76 | 26.26 | – | 26.26 |
ดีเซล | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 | 18.79 |
ดีเซล B10 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | 15.79 | – | 15.79 |
ดีเซล B20 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | 15.54 | – | 15.54 | 15.54 | – | 15.54 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 22.64 | 22.66 | 24.64 | 24.64 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |