สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2561

เปิดโพย ! ซัพพลายบ้าน-คอนโดฯ 3 จังหวัดพื้นที่ EEC

 

ฝ่ายวิจัยข้อมูล“คอลลิเออร์สฯ” เผยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัดพื้นที่ EEC ช่วงครึ่งแรกของปี 2561มีจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดฯรวมทั้งสิ้นกว่า 6 หมื่นยูนิต ขณะที่แรงซื้อต่างชาติซื้อเต็มเพดานตามกฎหมายกำหนด 49% คุ้มการลงทุนหลังเจ้าของโครงการงัดเทคนิคการขายในรูปแบบการันตีผลตอบแทน

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล( ประเทศไทย ) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตุพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้ง 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี และ จังหวัดระยองนั้น พบผลจากการที่ภาครัฐบูมการลงทุนในเขตุพื้นที่ EEC ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2561มีซัพพลาย(อุปทาน)ที่อยู่ระหว่างการขายจำนวนทั้งสิ้น 202,166 ยูนิต มีหน่วยขายไปแล้วทั้งสิ้น 140,021 หน่วย หรือคิดเป็นสัดส่วนการขายไปกว่า 69.2% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม มีจำนวนทั้งสิ้น 95,424 ยูนิต และเป็นที่อยู่อาศัยประเภท บ้านจัดสรรมีจำนวนทั้งสิ้น 106,742 ยูนิต โดยในจำนวนหน่วยของคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายนั้นพบว่าสามารถขายไปแล้วจำนวน 78,995 ยูนิตหรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 82.7 % ขณะที่ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรนั้นมีสัดส่วนการขายไปแล้วกว่า 57 % หรือคิดเป็นจำนวนหน่วยที่ขายไปแล้วอยู่ที่ 61,026 ยูนิต

 

 

ทั้งนี้ ในจำนวนหน่วยที่เหลือขายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมนั้น พบมีหน่วยรวมเหลือขายทั้งสิ้น 60,132 ยูนิต โดยใน 3 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่EEC นั้นจะเห็นว่า จังหวัดชลบุรี มีหน่วยรวมที่เหลือขายมากที่สุดรวมทั้งสิ้น 40,172 ยูนิต กล่าวคือ ปัจจุบัน มีบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้น 437 โครงการ จำนวน 70,004 ยูนิต มูลค่าการลงทุนประมาณ 136,126 ล้านบาท ขายไปแล้ว 45,544 ยูนิต หน่วยเหลือขายประมาณ 24,460 ยูนิต ขณะที่มี คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 227 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 305,115 ล้านบาท โดยมีหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 91,034 ยูนิต ขายไปแล้ว 75,332 ยูนิต เหลือขายประมาณ 15,712 ยูนิต

 

 

ส่วนจังหวัดระยอง ปัจจุบัน มีบ้านจัดสรรที่อยู่ระว่างการขายทั้งหมด 41 โครงการ 12,814 ยูนิต มูลค่าการลงทุนประมาณ 53,302 ล้านบาท ขายไปแล้ว 7,741 ยูนิต หน่วยเหลือขายประมาณ 4,443 ยูนิต ขณะที่ปัจจุบัน มีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 4,958 ล้านบาท โดยมีหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 3,336 ยูนิต ขายไปแล้ว 2,609 ยูนิต เหลือขายประมาณ 727 ยูนิต

ด้านจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบัน มีบ้านจัดสรรที่อยู่ระว่างการขายทั้งหมด 41 โครงการ 12,814 ยูนิต มูลค่าการลงทุนประมาณ 53,302 ล้านบาท ขายไปแล้ว 7,741 ยูนิต หน่วยเหลือขายประมาณ 4,443 ยูนิต ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมนั้นมีอยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,060 ล้านบาท โดยมีหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 1,054 ยูนิต ขายไปแล้ว 687 ยูนิต หน่วยเหลือขายประมาณ 367 ยูนิต

ต่างชาติปักหลักตลาดคอนโดฯพัทยา-ซื้อชนเพดาน 49%

นายภัทรชัย ยังกล่าวถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนมิเนียมว่า ปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียมพัทยานอกจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลางที่สนใจพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่พัทยาแล้ว ยังมีกลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติอีกมากมายที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันคอนโดมิเนียมที่ขายให้ต่างชาติด้วยกันนั้นส่วนใหญ่จะเต็มโควตาตามที่กฎหมายกำหนดคือ 49% ส่วนหนึ่งกลยุทธ์ในการขายที่การันตีผลตอบแทน

โดย Amio Holidays Co., Ltd นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดตัวโครงการ The Number One Jomtien Pattaya Tower 1 ในช่วงครึ่งปีหลังปีพ.ศ.2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเฟสแรกของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บนทำเลไฮไลท์ของหาดจอมเทียน ด้วยทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมหุ้นระหว่างนักลงทุนจากฮ่องกง มาเก๊า และจีน โดยมองเห็นถึงศักยภาพของเมืองชายทะเล ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เขตเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออก ทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงทำให้กระแสตลาดที่อยู่อาศัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

Sakura Capital Thailand Co., Ltd กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น ก็พัฒนาโครงการ Sakura Residence Condominium ในพัทยา บนทำเลเขาพระตำหนัก

กลุ่ม นิว นอร์ดิก กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากประเทศนอร์เวย์ ที่เข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาตั่งแต่ปีพ.ศ.2543 เป็นต้นมา ที่มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมบนพื้นที่เขาพระตำหนักแล้วกว่า 50 โครงการ โดยเน้นเทคนิคการขายที่มีการการันตีผลตอบแทนจากการเช่า10% ถึง 10 ปี ส่งผลให้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากของกลุ่มนักลงทุน และผู้ซื้อชาวต่างชาติ การการันตีผลตอบแทนจากค่าเช่าผู้ซื้อจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลตอบแทนจากการฝากเงินในธนาคารมาก

บริษัท โกลบอลท็อป กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากอิสราเอล ได้เข้ามาลงทุนในพัทยาตั้งแต่ปี 2548 โดย พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 7 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 7,150 ล้านบาท

ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทการร่วมทุนอสังหาฯ ของนักธุรกิจชาวอิสราเอล และยุโรป โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาแล้วทั้งหมด 17 โครงการ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการ และขายให้กับลูกค้าต่างชาติ ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยมีทั้งโครงการที่หาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาใต้ “รูปแบบการลงทุน จะเป็นลักษณะการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีฐานะเป็น Holding Company เข้าไปจับมือกับเจ้าของที่ดิน ที่ทำเลดีในพัทยา เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในรูปแบบที่ต่างกันไปตามความเหมาะสม และเงื่อนไขกฎหมายแต่ละทำเล โดยเจ้าของที่ดินเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ขณะที่ ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ จะเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและพัฒนาโครงการ รวมทั้งการทำตลาดและบริหารการก่อสร้าง

Matrix Real Estate Development Co., Ltd ก็เป็นกลุ่มทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาตั่งแต่ปีพ.ศ.2547 ซึ่งปัจจุบันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาแล้ว 6 โครงการ

บริษัท ทิวลิป กรุ๊ป กลุ่มทุนอิสราเอลอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติ ที่เข้ามาลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมในพัทยา ตั้งแต่ปีพ.ศ.2545 โดยปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมที่พัทยาแล้ว 10 โครงการรวมมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 13,320 ล้านบาท อยู่ระหว่างการขาย 7 โครงการแล้วอีก 3 โครงการหยุดการขายคือโครงการ Waterfront Suite and Residences Centara Grand Jomtien และ Centara gran Pratumnak

ยูนิเวอร์แซล กรุ๊ป กลุ่มทุนด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศอินเดีย ปัจจุบันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมพัทยาแล้ว 4 โครงการ มูลค่าลงทุนเกือบ 10,000 ล้านบาท บนทำเลถนน จอมเทียน และนาจอมเทียน

บลูสกายกรุ๊ บริษัทกลุ่มทุนไทยอินเดีย ปัจจุบันลงทุนในพัทยา ตั้งแต่ปีพ.ศ.2555 ซึ่งพัฒนาแล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมแบรนด์แอตแลนติส, แกรนด์ แคริบเบียน, เวเนเชียน ,เอสปันญ่า และแกรนด์ ฟลอริด้า

นอกจากกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จาก กทม.ที่สนใจเข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัฒนาแล้วอาทิ
บมจ. แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเมนท์ พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 4 โครงการ
บมจ. แสนสิริ พัฒนาแล้ว 2 โครงการและจะพัฒนาอีก 1 โครงการในปีนี้
บมจ. ศุภาลัย พัฒนาแล้ว 1 โครงการ
บจก. ไรมอนด์ แลนด์ พัฒนาแล้ว 4 โครงการ
บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ พัฒนาแล้ว 3 โครงการ 
บมจ. เอสซี แอสเสท พัฒนาแล้ว 1 โครงการ
N C Housing พัฒนาแล้ว 2 โครงการ 
บจก. เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ พัฒนาแล้ว 1 โครงการ 
บมจ. เอ พี ไทยแลนด์ เคยเข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาแล้วในปีพ.ศ.2558 แต่ภายหลังยกเลิกการขายและคืนเงินลูกค้า เนื่องจากยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ 
Fragrant Property PLC. ที่เคยสนใจพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านนาจอมเทียนในปีพ.ศ.2558 แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหยุดการขาย

 

ที่มา : http://prop2morrow.com


 

บ้านหรู 2018 : สำรวจทำเลยอดนิยมและโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการชั้นนำ

 

 

ช่วง 2-3 ปีก่อน บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาด เลือกที่จะพัฒนา Flagship Project ด้วยการสร้างคอนโดราคาต่อตารางเมตรสูงๆจนราคาที่ดินทุกวันนี้ถีบตัวขึ้นไปอยู่ในจุดที่ไม่มีใครจับต้องได้ซึ่งก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัวในตลาดบรรดาผู้ประกอบการหลายรายก็เริ่มที่จะหัดมาจับตลาดแนวราบกันบ้าง

แต่ถ้าพัฒนาแค่บ้านทาวน์เฮ้าส์อย่างเดียวอาจธรรมดาเกินไป เลยลองหันมาลุยโครงการระดับ Premium บ้างอย่างน้อยๆก็ถือเป็นการสร้างแบรนด์ไปในตัว

จากข้อมูลของ Nexus Property  จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มี Supply ของบ้าน Premium เข้าสู่ตลาดประมาณ 42โครงการ รวม 1,554 ยูนิต โดยทำเลที่เป็นที่สนใจหลักเรียงตามความหนาแน่นของโครงการที่เปิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่

  1. สุขุมวิท (พร้อมพงษ์เอกมัย)
  2. ลาดพร้าวเกษตรนวมินทร์
  3. พระรามเก้าศรีนครินทร์พัฒนาการ
  4. ราชพฤกษ์
  5. สาทร พระราม 3

 

ทั้งนี้การพัฒนาบ้านแนวราบระดับ Premium นั้น ยังคงมีปัจจัยเรื่องขนาดที่ดินและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เหลือเพียงไม่กี่ทำเลเท่านั้น

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีโครงการบ้านระดับราคาประมาณนี้ เปิดขายมากขึ้นในกรุงเทพฯ ชั้นใน ถือเป็นสินค้าทดแทนสำหรับคนที่สามารถซื้อบ้านราคาแพง และไม่อยากได้คอนโดที่มีพื่นที่จำกัด ผู้ประกอบการหลายรายเลยเลือกที่จะพัฒนา “โครงการจัดสรรขนาดเล็ก” เพื่อรองรับกำลังซื้อกลุ่มนี้ซึ่งแม้ว่าจะมีไม่เยอะมากแต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยและไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ

ที่น่าสนใจคือ ตลาดบ้านระดับราคานี้ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เตรียมพัฒนาโครงการเปิดขายใหม่อีก ไม่ต่ำกว่า 100  ยูนิต Think of Living ลองรวบรวมข้อมูลมาให้ดูกันบ้างส่วนค่ะ

 

 

ที่มา : https://thinkofliving.com


 

ข่าวดีฟังทางนี้! ธอส.ใจป้ำ ตรึงดอกเบี้ยบ้านถึงสิ้นปี

 

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขณะนี้มีทั้งปรับขึ้นและลดลง ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและการบริหารของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เช่น ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินมากในระยะข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยก็มีทิศทางปรับขึ้นซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ในส่วนของดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปรับขึ้นนั้น ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการปรับฐานคำนวณ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้กู้รายใหม่ แต่ถ้าหากผู้ขอกู้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป ก็สามารถมาขอกู้กับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้เพราะคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด

“กระทรวงการคลังมีนโยบายให้ ธอส. ต้องดูแลประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยและปานกลางให้มีที่อยู่อาศัย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยถูกหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด แต่ธนาคารก็จะต้องอยู่ได้และมีอิสระในการดำเนินการด้วย”นายอภิศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ธอส. ยังมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลให้ผู้มีรายได้น้อยทุกคนมีบ้าน ซึ่งมองไปข้างหน้า หากไทยก้าวข้ามเข้าสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ราคาที่อยู่อาศัยก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปด้วยการจะมีที่อยู่อาศัยจึงเป็นเรื่องยากไปอีก ดังนั้น ขณะนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพงมาก และประชาชนหากอยู่ในวิสัยสามารถกู้ได้ มีรายได้ในการจ่ายค่างวด ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่จะสนับสนุนให้คนกลุ่มนี้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่ง ธอส. อยู่ระหว่างออกแพ็กเกจสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ผู้กู้มีการผ่อนชำระค่างวดในอัตราใกล้เคียงกับค่าเช่าในปัจจุบัน ซึ่งหากผ่อนจนหมดก็มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนสิ้นสุดไตรมาส 3/2561 ซึ่งหลังจากนี้ จะต้องดูผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หากปีนี้ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ธอส. ก็จะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยไปแล้วก็ตาม โดยปัจจุบัน สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสุดอยู่ที่ คงที่ 3 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 3.15% เป็นอัตราที่ต่ำกว่าตลาด โดยสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้จนถึงสิ้นเดือน ส.ค.นี้

ทั้งนี้ ธอส. อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการบ้านล้านหลัง โดยภายในสิ้นปีนี้จะมีที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 1 แสนยูนิต เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองตามนโยบายรัฐบาล เบื้องต้นคาดว่าที่อยู่อาศัยราคา 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 40 ปี จะมีอัตราการผ่อนต่อเดือนไม่ถึง 4 พันบาท ใกล้เคียงกับอัตราผ่อนค่าเช่าบ้านในปัจจุบัน และอัตราดอกเบี้ยคงที่จะยาวประมาณ 5 ปี จากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 3 ปี

 

ที่มา : https://www.khaosod.co.th


 

10 โรคพบบ่อยที่ “คุณแม่” ของคุณต้องระวัง

 

10 โรคพบบ่อยที่ “คุณแม่” ของคุณต้องระวัง

“คุณแม่” บุคคลที่เรารักที่สุดในโลก คอบดูแลเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนโต จนถึงบัดนี้ก็ผ่านเวลามาหลายสิบปีแล้ว แม่คนนี้นี่แหละที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินเลี้ยงดูเรา จนลืมดูแลสุขภาพตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ นาๆ มากมายที่คุณเองก็คาดไม่ถึง จะมีโรคร้ายใดบ้างที่คุณแม่ของพวกคุณทุกคนต้องระวัง มาดูกันค่ะ

1. โรคเบาหวาน

โรคอันดับต้นๆ ของคนเป็นแม่ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเชฟประจำบ้าน ใครทานอะไรเหลือก็ต้องคอยทานต่อเพราะเสียดาย บางครั้งวิถีชีวิตที่ทำงานอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ขยับร่างกายไปไหน ส่งผลให้ไม่ได้ออกกำลังกายมากเท่าที่ควร นอกจากนี้อาหารที่ทานเองแถวสถานที่ทำงานบางครั้งก็ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน จนทำให้เหล่าคุณแม่หลายคนเป็นโรคเบาหวาน ยิ่งครอบครัวที่มีประวัติสมาชิกที่เคยเป็นโรคเบาหวานด้วยล่ะก็ โอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานยิ่งสูงเข้าไปอีก

2. โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด / เส้นเลือดหัวใจตีบ

เป็นผลพวงมาจากเรื่องของอาหารการกินที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ ทานอาหารที่มีน้ำตาล แป้ง และไขมันมากเกินไป รวมไปถึงการขาดการออกกำลังกาย และความเครียดสะสม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด  หรือเส้นเลือดหัวใจตีบได้

3. โรคความดันโลหิตสูง

คุณแม่หลายท่านน่าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ค่อนข้างสูง เพราะมักมาพร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น  ความเครียดสะสมจากที่ทำงาน ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม และที่สำคัญหรือการทานอาหารรสเค็ม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงได้ทั้งสิ้น

4. โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ / แตก

โรคนี้มักมาพร้อมกับอายุที่สูงขึ้น อาจเป็นผลข้างเคียงมาจากโรคเบาหวาน อันเกิดมาจากกรรมพันธุ์ และการใช้ชีวิต การทานอาหารที่หนักไปทางไขมัน และน้ำตาล และความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ และการพักผ่อน หากเกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือแตกขึ้นมาเมื่อไร โอกาสที่จะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

5. โรคไต

คุณแม่ท่านใดที่ติดนิสัยทานรสจัดมาตั้งแต่ยังสาวๆ หากแก่ตัวลงอาจมีโอกาสที่จะเป็นโรคไตได้ เนื่องจากไตทำงานหนักเกินไปในการขับเอาของเสียที่เกินออกจากร่างกายมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เมื่อเข้าสู่วัยชรา ไตก็เริ่มทำงานไม่ไหว จนอาจเริ่มแสดงอาการของผู้ป่วยโรคไตขึ้นมา

6. โรคมะเร็ง

ไม่ว่าจะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ในเมื่อมะเร็งยังไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างชัดเจน ทุกๆ อย่างที่ทาน หรือแม้กระทั่งกรรมพันธุ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยชรา ภูมิต้านทานร่างกายเริ่มถดถอย เชื้อมะเร็งที่เคยอยู่ภายในตัวเราเงียบๆ ก็เริ่มปะทุอาการออกมาให้เห็น

7. โรคต้อกระจก / ต้อหิน / วุ้นในตาเสื่อม

ผู้สูงอายุหลายคนเริ่มมีอาการตาฝ้าฟาง เหตุเพราะเริ่มมีต้อกระจกเกิดขึ้นนั่นเอง สาเหตุของโรคต้อในตาเหล่านี้อาจเกิดจากดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง สิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำร้ายดวงตา หรือเป็นอาการข้างเคียงจากโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน เป็นต้น

8. โรคหัวใจ

อายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ทำงานหนัก และความเครียดสะสม ประกอบกับความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ อาจทะให้คุณแม่หลายๆ ท่านมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้

ผู้สูงอายุรุ่นคุณแม่ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

1. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน ทานรสจัดให้น้อยลง ไม่ว่าจะรสหวาน เค็ม หรือเผ็ดก็ตาม และไม่ทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง เน้นผัก ปลา และผลไม้สดทุกมื้อ

2. พักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ โดยใช้เวลานอนในแต่ละวันราว 6-8 ชั่วโมง

3. ออกกำลังกายเบาๆ อยู่เสมอ การจะเดินออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ หากกร่างกายไหว แอโรบิค ไทเก๊ก ขี่จักรยาน หรือโยคะสำหรับผู้สูงอายุก็ช่วยได้

4. หลักเลี่ยงแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

5. ควบคุมน้ำหนัก และร่างกายของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ

6. ผ่อนคลายจิตใจและสมองไม่ให้เครียดจนเกินไป ด้วยการหากิจกรรมที่ชอบทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือออกท่องเที่ยวในทริปสบายๆ

7. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

8. ควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรืออาจจะทุก 6 เดือน แล้วแต่ความเหมาะสม

ในวันแม่แห่งชาติปีนี้ ลองมอบของขวัญให้คุณแม่ เป็นการพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพก็ดีเหมือนกันนะคะ เพราะเราก็อยากให้คนที่เรารักอยู่กับเราไปนานๆ จริงไหมคะ “อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ จริงไหม?

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

3 วิธีลดคอเลสเตอรอลง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้

 

3 วิธีลดคอเลสเตอรอลง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้
ช่วงตรวจสุขภาพประจำปีของหลายๆ บริษัทได้ผ่านพ้นไปแล้ว เจอหน้ากันก็ทักทายกันว่า “เป็นไงบ้าง” “หมอว่าอะไรไหม” และ “คอเลสเตอรอลเกินหรือเปล่า” ค่าของคอลเสเตอรอลในเลือดไม่ควรเกิน 200 แต่เราและคนอื่นๆ มักจะอยู่ที่ 200+++ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะหญิงชาย หรืออ้วนผอม ก็มีโอกาสมีคอเลสเตอรอลเกินได้ทั้งนั้น

ทีนี้ปัญหาก็อยู่ที่ว่า จะลดคอเลสเตอรอลได้อย่างไร ในเมื่อคุณหมอกำชับมาว่า ต้องลดปริมาณคอเลสเตอรอลให้ได้ภายในครึ่งปี ก่อนที่จะมาเจอกันใหม่ เพราะฉะนั้นเรามาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดอย่างได้ผลกัน

ทำไมเราถึงมีคอเลสเตอรอลสูง?

หากมองย้อนกลับไปสักรุ่นคุณปู่คุณย่าเรา ปัญหาเรื่องของคอเลสเตอรอลจะไม่ค่อยมี เพราะพวกท่านทานแต่อาหารไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าอาหารไทยจะมีกะทิ แต่เราก็ยังมีน้ำพริก ผักสด ผักลวก ผลไม้สด หมู ไก่ ปลา ทานกันสดๆ แต่ที่สมัยนี้คนร่วนใหม่มีปริมาณคอเลสเตอรอลมากกว่า ก็เพราะอาหารที่เราทานเป็นอาหารพลังงานสูง ที่มักมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเขตอากาศหนาวๆ ที่ต้องการพลังงานสูงๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายนั่นเองในขณะที่บ้านเราอยู่ในเขตร้อน การทานอาหารพลังงานสูงของชาวตะวันตกจึงไม่เหมาะกับร่างกายของเรา เมื่อเราไม่สามารถเผาผลาญพลังงานที่เกินความจำเป็นของเราออกไปได้ จึงกลายมาเป็นคอเลสเตอรอลในร่างกายของเรานั่นเองiStockเค้ก หนึ่งในอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง

ทำไมคนผอมก็มีคอเลสเตอรอลสูงได้?

คอเลสเตอรอลมักพบอยู่ในร่างกายของคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานก็จริง แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะพบอยู่ในร่างกายของคนที่มีรูปร่างผอม เพราะไขมันในเลือดที่เราพบนั้น เป็นคนละส่วนกับไขมันที่สะสมอยู่ตามผิวหนัง เพราะฉะนั้นในทางกลับกัน คนอ้วนก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง แต่อาจจะแค่มีไขมันสะสมอยู่ตามร่างกายมากกว่าเท่านั้นเอง

คอเลสเตอรอล เป็นสิ่งไม่ดี กำจัดออกไปให้หมด?

จริงๆ แล้ว คอเลสเตอรอลไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจที่เราจำเป็นต้องกำจัดออกไปให้หมดขนาดนั้นนะคะ เพราะจริงๆ แล้ คอเลสเตอรอลที่อยู่ในอาหาร และร่างกายของเรา มีทั้งส่วนดี และไม่ดี ส่วนที่ไม่ดีทุกคนรู้จักกันในนาม LDL หรือไขมันเลวที่ถูกย่อยมาจากคอเลสเตอรอลอีกที เป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบ และอื่นๆ ส่วนดีของคอเลสเตอรอล คือเป็นส่วนประกอบของผนังกล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มเซลล์ เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนอื่นๆ บางชนิด และสร้างน้ำดีที่ใช้ในการดูดซึมไขมันนั่นเอง

ทานยาลดคอเลสเตอรอล ดีไหม?

อย่างที่บอกไปแล้วว่า คอเลสเตอรอล เป็นศูนย์รวมของไขมันทุกชนิด ทั้งดี และไม่ดี การทานยาลดคอเลสเตอรอล หรือยาของกลุ่มสแตติน จึงเป็นการทลายทั้งไขมันที่ดี และไม่ดีออกไปในคราวเดียวกัน หากทานยาลดคอเลสเตอรอลมากๆ หรือทานเป็นประจำ จะส่งผลเสียต่อร่างกาย ในเรื่องของความแข็งแรงของผนังกล้ามเนื้อที่น้อยลง ทำให้กล้ามเนื้อฝ่อ กล้ามเนื้อลีบ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดสะบัก แขนขา ทำลายผนังเซลล์ ซึ่งอาจกระทบไปถึงผนังเซลล์ตับ จนอาจเป็นสาเหตุของตับอักเสบ รวมไปถึงความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนอื่นๆ อีกด้วย ทำให้เพศสัมพันธุ์ไม่ดี อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า พุงโต เผาผลาญน้อยrunningiStockออกกำลังกาด้วยการวิ่ง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะลดคอเลสเตอรอล (เฉพาะส่วนที่ไม่ดี) ทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. ทานอาหารเช้า จะได้ลดความเสี่ยงในการทานมื้อกลางวันมากกว่าปกติ ทานมื้อละจานเท่านั้น ไม่ต้องเพิ่ม มื้อเย็นลดแป้ง ทานโปรตีน และผัก เช่น แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ส้มตำ (รสอ่อนๆ) สุกี้ (ไม่ใส่ลูกชิ้น ทานน้ำจิ้มน้อยๆ) เป็นต้น
  2. ลดการทานอาหารพลังงานสูง เช่น เนื้อแดง เนื้อติดมัน อาหารปิ้งย่าง อาหารทะเล อาหารมัน อาหารทอด เครื่องในสัตว์ เบเกอรี่ ขนมหวาน ขนมปัง เนย เรายังสามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานเยอะจนเกินความจำเป็นค่ะ
  3. ออกกำลังกาย จะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลให้กลายเป็นไขมันดีได้ โดยเน้นไปที่คาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายหัวใจ เช่น เล่นกีฬาต่างๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

 

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2561

 

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,950.00 18,850.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,450.00 18,510.36 1,221.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 19,177.40 1,265.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,659.32 1,098.90
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,808.29 976.80
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,322.84 549.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,473.32 427.00

 

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2561

 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.05 30.05 30.25 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05
แก๊สโซฮอล์ 91 29.78 29.78 29.98 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78
แก๊สโซฮอล์ E20 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14
แก๊สโซฮอล์ E85 21.34 21.34 21.34 21.34
เบนซิน 95 37.16 37.61 37.66 37.46 37.26 37.46
ดีเซล 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.49 33.36 33.36 33.36 33.36
แก๊ส NGV 14.29 14.29
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า