“ซีคอน โฮม ” สู้ศึกรับสร้างบ้านครึ่งปีหลัง
“ซีคอน โฮม ” สู้ศึกรับสร้างบ้านครึ่งปีหลัง เผยภาษีที่ดินใหม่เป็นโอกาสเพิ่มดีมานด์ ตลาดโต
นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน โฮม จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ของตลาดรับสร้างบ้าน ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 เป็นไปในทิศทางบวก โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น งานHome Builder & Materials Expo 2019 ของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน งานบ้านและสวน รวมถึง 2ไตรมาสสุดท้ายของปีนับเป็นฤดูกาลสำคัญของผู้ที่ต้องการสร้างบ้านเพื่อให้ทันรับหน้าฝนในปีหน้า โดยจะทำสัญญาซื้อขายในปีนี้ ส่วนภาพรวมการแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่สูงหรือต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีข้อจำกัดหลายส่วน จึงยังไม่มีการปรับตัวขึ้นของราคา และเน้นการจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมมีอัตราการกระจายตัวไปยังต่างจังหวัดตามความต้องการของผู้ปลูกสร้างที่เริ่มขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ผลกระทบในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เรื่องมาตรการควบคุมสินเชื่อใหม่ (LTV) ไม่มีผลต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม เป็นกลุ่มคนที่มีที่ดินอยู่เดิมต้องการสร้างบ้าน หรือ กลุ่มที่ต้องการรื้อบ้านเก่าเพื่อสร้างใหม่ ซึ่งนับเป็นเรียลดีมานด์ (ผู้อยู่อาศัยจริง) ล้วนๆ แต่สิ่งที่คาดว่าจะมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของตลาดรับสร้างบ้าน คือ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2562
” คาดหากกฎหมายเริ่มบังคับใช้ ช่วงต้นปี 2563 จะก่อให้เกิดดีมานด์ใหม่ๆจำนวนมาก เพราะจะทำให้ผู้ถือครองที่ดินขนาดใหญ่ ที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีตามขั้นบันไดนั้น เร่งนำที่ดินดังกล่าวออกมาสร้างบ้านมากขึ้น “
ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทในปี 2562 ยังคงกำหนดทิศทางให้สอดคล้องกับภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านและความนิยมของผู้บริโภค โดยตั้งเป้ายอดขายปี 2562 ไว้ที่ 1,600 กว่าล้านบาท หรือโตขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา แบ่งออกเป็นช่วงครึ่งปีแรก 650 ล้าน ซึ่งสามารถทำตามยอดที่วางไว้ได้แล้ว และครึ่งปีหลังอีกราว 950 ล้านบาท โดยในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี เน้นชูจุดขาย “You Dream…We Build สร้างได้อย่างที่ฝัน” เพื่อสร้างการรับรู้ที่ดีต่อแบรนด์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค รวมถึงมุ่งเน้นการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ อาทิ Facebook, Instagram และ Twitter ให้มากขึ้น พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อร่นระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ อาทิ การใช้จอแสดงผล Touchscreen ในการนำเสนอแบบบ้าน โดยลูกค้าสามารถเลือกแบบบ้าน พร้อมปรับแบบตามความต้องการได้ในเบื้องต้น หรือในขั้นตอนการคิดมูลค่าของทีมประมาณการราคา ซึ่งช่วยให้ทราบราคาที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อนันดาผนึกTHSติดระบบจอดรถอัตโนมัติในคอนโดสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร จับมือ ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่น ติดตั้งระบบจอดรถยนต์อัตโนมัติ เน้นความปลอดภัยและสะดวกรวดเร็ว คุณภาพสูง จอดรถยนต์ได้กว่า 260 คัน มุ่งตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่อยู่คอนโดมิเนียม
มณีรัตน์ ธนัชญ์เศรษฐ์ Head of Business Unit-Ideo บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)เผยว่า โครงการ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อใจกลางเมืองบนถนนพหลโยธิน ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย เพียง 150 เมตร เน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยโครงการให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตส์ของผู้อยู่อาศัยที่มีความหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ การเลือกติดตั้งระบบจอดรถยนต์อัตโนมัติ โดยไว้วางใจเลือกพันธมิตรคือบริษัท ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้านวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง เป็นผู้ติดตั้งให้กับโครงการ ไอดีโอ พหลโยธิน – จตุจักร
ทั้งนี้ การติดตั้งระบบจอดรถยนต์อัตโนมัติเพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถ ช่วยอำนวยความสะดวกให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ทุกรูปแบบของการเดินทางได้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันติดตั้งเรียบร้อยแล้ว สามารถรองรับการจอดรถยนต์ได้กว่า 260 คัน ทางโครงการจึงมั่นใจว่าจะช่วยตอบสนองวิถีชีวิตคนเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่อาศัยในโครงการ ซึ่งนับว่าเป็นทำเลที่เชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ด้านวรเทพ ศิริรัตน์อัสดร กรรมการบริหาร บริษัท ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า โครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอพหลโยธิน-จตุจักร ที่เน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบของผู้อยู่อาศัยได้วางใจเลือกระบบจอดรถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนเมือง โดยทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่นส์ ถือเป็นผู้นำระบบจอดรถอัตโนมัติในประเทศไทย โดยมีระบบจอดรถอัตโนมัติที่ติดตั้งแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างติดตั้งอีกกว่า40 โครงการ ด้วยจำนวนช่องจอดไม่น้อยกว่า 10,000 คัน ออกแบบและติดตั้งด้วยทีมวิศวกรผู้ชำนาญงาน ทั้งนี้ยังมีการให้บริการหลังการขาย 24 ชั่วใมง
ระบบจอดรถอัตโนมัตินั้น มีส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโครงการ เป็นการใช้พื้นที่ในโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดเวลาให้กับผู้ใช้งานไม่เสียเวลาในการหาที่จอดรถ เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ลดการสิ้นเปลืองพลังงานและลดการเกิดมลพิษ ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อยกระดับมาตรฐาน สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ให้กับวงการธุรกิจก่อสร้าง และตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนในสังคมเมือง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทแข็งรายได้ส่งออกวูบ6.6หมื่นล้าน แนะธุรกิจตั้งรับก่อนกำไรหด
ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์ฯ ทำการประเมินผลกระทบของค่าเงินบาทต่อรายได้ของธุรกิจไทย โดยสรุปแล้วทั้งปี 2562 ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 5% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ของผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ -3.2% ไปถึง +4.9% หรือคิดเป็นกำไรที่หายไปประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท (ตามรูป) ซึ่งแยกผลกระทบค่าเงินต่อธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
1. ธุรกิจที่เสียประโยชน์ พบว่าธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก จะได้ผลกระทบมากที่สุดจาก ทำให้รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น ลดลงจากระดับปกติ 0.3 – 3.2% กลุ่มธุรกิจที่ถูกกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเครื่องประดับ
2. กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นเงินต่างประเทศน้อยลง 6.2 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากระดับปกติกว่า 0.3-4.9% ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องจักร/ชิ้นส่วน เหล็ก/โลหะ เวชภัณฑ์/เครื่องมือการแพทย์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งทอต่างๆ
3. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ คือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยลักษณะของตัวธุรกิจเอง (Natural Hedging) กลุ่มธุรกิจดังกล่าว ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์
กล่าวโดยสรุป ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีนี้ จะสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกที่ต้องใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาอื่นๆที่รุมเร้าอยู่แล้ว เช่น ระดับราคาสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำ ตลาดโลกซบเซา การแข่งขันจากประเทศอื่น มีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มทางเลือกในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เรื่องเปิดตลาดใหม่ๆ ทำผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม จนไปถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาศักยภาพการทำกำไร และยังคงมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดให้ครบตามกำหนด
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ติดตามสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนไปรับวัคซีนป้องกันโรคหัดตามกำหนด เผยวัคซีนป้องกันโรคหัดมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้มากกว่าร้อยละ 95 หากมีอาการไข้สูง 3-4 วัน มีผื่นนูนแดงขึ้น ที่ใบหน้าแล้วแผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันที นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีมีรายงานข่าวการระบาดของโรคหัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ขณะนี้มีรายงานผู้ป่วยโรคหัดในประเทสหรัฐอเมริกาแล้วกว่า 1000 ราย สำหรับสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน พบการระบาดของโรคเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2560 พบผู้ป่วยจำนวน 1,449 ราย ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึง 2 เท่า และในปี 2561 พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 3,626 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวน 23 ราย สำหรับปี 2562 จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 7 มิถุนายน 2562 มีรายงานผู้ป่วยยืนยันโรคหัด 1,801 ราย เสียชีวิต 12 ราย ซึ่งในขณะนี้ กรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์ของโรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และทำการประเมินความเสี่ยงเพื่อกำหนดและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมต่อไป โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งเป็นไวรัสที่พบได้บ่อยในจมูกและลำคอผู้ป่วย อาการที่พบบ่อยของโรคหัด คือ ไข้ออกผื่น โดยมักมีอาการไข้สูงประมาณ 3-4 วัน แล้วเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้น โดยผื่นเริ่มขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปยังใบหน้าบริเวณชิดขอบผม แล้วแผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา เมื่อผื่นแพร่กระจายทั่วตัว ประมาณ 2-3 วัน ไข้จะค่อยๆ ลดลง และผื่นก็จะค่อย ๆ จางหายไป ผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่นมากอาจจะลอกเป็นขุยหรือเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้นได้ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ คือ คออักเสบ หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ท้องเสีย และสมองอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากป่วยด้วยโรคหัดหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและรับการรักษา นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า กรมควบคุมโรค โดยกองโรคป้องกันด้วยวัคซีน ได้กำหนดรณรงค์ให้วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กอายุ 1-7 ปี โดยกลุ่มที่ 1 ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1, 2 และ 5 ในช่วงเดือน กันยายน – ตุลาคม 2562 กลุ่มที่ 2 พื้นที่เขตสุขภาพที่ 3, 4, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 และกรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 และการรณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน (MR)ในเด็กอายุ 7-12 ปี ทั้งเด็กไทยและเด็กต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ โดยให้วัคซีนพร้อมกันทุกจังหวัด ในช่วงเดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2562 โดยสามารถพาบุตรหลานของท่านที่ได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน ไม่ครบตามเกณฑ์ ไปรับวัคซีนได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุขใกล้บ้านท่านในช่วงเดือนที่มีการรณรงค์ โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคหัดมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้มากกว่าร้อยละ 95 ตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข จะฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมันจำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็ก อายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรคหัดจะมีอัตราการป่วยตายต่ำในเด็กทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ยังคงมีความเสี่ยงในเด็กเล็ก และเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหารหรือเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ ทั้งนี้