คอนโดส่อวิกฤติ คนหมดแรงผ่อน ยอดหลุดโอนพุ่ง
ดีเวลอปเปอร์เร่งระบายสต๊อก งัดแคมเปญ “โปรหลุดดาวน์” แบงก์ ชี้ผลกระทบจิตวิทยามาตรการ LTV ทำลูกค้าซื้อลงทุน ปล่อยเช่าเก็งกำไรเผ่นทิ้งดาวน์ หวั่นกู้ไม่ผ่าน-ผ่อนไม่ไหว “กรุงศรีอยุธยา” แนะคนซื้อดูให้ดี อาจแค่กิมมิกการตลาด
แหล่งข่าวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยว่า ตลาดในภาพรวมปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว ผลข้างเคียงจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใช้เกณฑ์ LTV และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคทุกกลุ่ม แต่ที่น่าจับตาคือตลาดคอนโดมิเนียม นอกจากระดับราคา กลุ่มกลางล่างที่มีปัญหายอดขายลดแล้ว วันนี้ตลาดลักชัวรีหรือกลุ่ม บนเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี ปรับ พฤติกรรมการซื้อลงทุนระมัดระวังมากขึ้น บางรายไม่รับโอนห้องชุด ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำห้อง ชุดเหล่านี้กลับมาขายใหม่ จนเกิดแคมเปญคอนโดฯหลุดโอน
“ที่ผ่านมากลุ่มที่ซื้อลงทุนจะจองจำนวนมาก และไม่ใช่ซื้อเพียงโครงการเดียว แต่จะเป็นแฟนคลับของดีเวลอปเปอร์ชั้นนำ เมื่อมีสถานการณ์ตลาดเปลี่ยน หากคำนวณแล้วลงทุนไม่คุ้ม ก็เลือกที่จะไม่โอนห้องชุด โดยต่อรองกับเจ้าของโครงการขอคืนส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ประกอบการก็อะลุ้มอล่วยในฐานะลูกค้าประจำ”
สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่จัดแคมเปญแรงก็มี บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้นำตลาดบ้านหรูของวงการ นำคอนโดฯหลุดโอนแบรนด์ระดับบน มี เดอะ แบ็งคอก, เดอะ รูม และเดอะคีย์ รวม 5 โครงการ 5 ทำเล โดยมีห้องหลุดโอนรวมประมาณ 200 ยูนิต จากจำนวนหน่วยทั้งหมดประมาณกว่า 2,000 หน่วย คิดเป็นห้องหลุดโอนประมาณ 10% สำหรับห้องหลุดโอนนี้มีราคาลดมากกว่า 20% หวังจูงใจลูกค้าที่มีเงินเย็น อีกราย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ นำโครงการแอชตัน สีลม จัดโปรอยู่ฟรี 2 ปี รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวถึงการระบายสต๊อกโครงการที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการไม่ต้องการแบกรับภาระต้นทุน จึงเร่งระบายสินค้า ออกมาผ่านการจัดแคมเปญที่เรียกว่า “โปรหลุดดาวน์” ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ส่วนแนวราบราคาแพงอาจจะมีน้อย เนื่องจากแนวราบราคาเกิน 10 ล้านบาท จะเข้าข่ายเป็นบ้านหลังที่ 2 และ 3 ซึ่งอดีตสามารถขอกู้เต็ม 100% แต่หลังจากมีหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) จะต้องวางดาวน์ 20% ทำให้ลูกค้าจะต้องมีเงินวางดาวน์ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะมีวงเงินในจำนวนดังกล่าว
สัญญาณยอดหลุดจองที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากเชิงจิตวิทยา ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าที่อาจจะทำได้ยากขึ้น โดยมาจากปัจจัย 2-3 ข้อ คือ 1.ลูกค้าบางคนที่ตัดสินใจซื้อแล้ว แต่การซื้อนั้นส่งผลกระทบต่อลูกค้า เช่น ภาระเงินที่จะนำมาผ่อนชำระ ทั้งการซื้อเงินสด หรือการใช้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ซึ่งภายหลังมีหลักเกณฑ์ LTV เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้การขอสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยากขึ้น 2.ลูกค้าไม่โอนบางโครงการในตลาดคอนโดมิเนียม ภายหลังจากตัดสินใจซื้อช่วง Presale ก่อนโครงการยังสร้างไม่เสร็จ แต่ปัจจุบัน โครงการสร้างแล้วเสร็จพบว่าสภาพ แวดล้อมสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้าชะลอตัดสินใจซื้อ และ 3.มาตรการ LTV ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่ไม่ใช่บ้านหลังแรก ส่งผลให้มีเงินไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อยอดการหลุดจองดาวน์ที่เพิ่มขึ้น
“สถานการณ์ที่ลูกค้าปล่อย หลุดดาวน์ เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าต่อมองว่าจะทำได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับราคาแล้วไม่คุ้ม จึงปล่อยให้หลุดดาวน์ ถ้าถามว่าแบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อหรือไม่ จะเห็นว่าแบงก์เข้มงวดและระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเหตุผลเดียวที่ลูกค้าทิ้งดาวน์”
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาทำโปรหลุดดาวน์ มองว่า เป็นแค่ลูกเล่น (Gimmick) ในการทำการตลาดเพื่อดึงดูง ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจะเสนอโปรโมชันให้กับลูกค้าได้ในราคาที่ถูกลง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการหลุดดาวน์จริงหรือไม่ และหากดูโปรโมชัน เช่น เดิมราคาขายตารางเมตรละ 1 แสนบาท มาเหลือ 8 หมื่นบาท อาจจะหลุดดาวน์จริง แต่หากยังขายในราคาเดิม แต่อาจจะเสนอของแถมอย่างอื่นให้ อาจจะไม่ใช่หลุดดาวน์ แต่เป็นการกระตุ้นยอดขายเท่านั้น
นางสาวอรอนงค์ อุดมก้านตรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิต ภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเสริมว่า มาตรการ LTV อาจจะมีผลกระทบบ้างในช่วงระยะแรก แต่ในท้ายที่สุดจะช่วยคัดกรองผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง และลูกค้าได้ราคาที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมทั้งระบบในระยะยาว
สำหรับอุปทานคอนโดมิเนียม ที่อยู่ระหว่างการขาย จากข้อมูลฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 1 /62 ในกรุงเทพมหานครมีจำนวนคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 198,460 ยูนิต แต่ขายได้แล้ว 78% หรือประมาณ 154,925 ยูนิต เหลือขายอีกประมาณ 43,535 ยูนิต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สัญญาณอันตราย ความสามารถซื้อบ้านคนไทยลด
“แอเรีย” เผยพบสัญญาณความสามารถซื้อบ้านของคนไทยลดลง สัดส่วนราคาบ้านต่อรายได้ของครอบครัว เพิ่มขึ้น 69% ในรอบ 11 ปี แนะรัฐบาลควรกำหนดราคาขั้นตํ่าและเก็บภาษีจากต่างชาติ ก่อนจีนครองเมือง
ต่อครัวเรือนของชาวกรุงเทพ มหานครลดจาก 49,191 บาทต่อเดือนมาเหลือเพียง 45,572 บาทต่อเดือน ส่วนในปี 2560 ก็แทบไม่แตกต่างจากปี 2558 ดังนั้นความสามารถในการจ่ายของประชาชนจึงลดลง“ปัญหาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนจะวิกฤติมากยิ่งขึ้น เพราะต่างชาติโดยเฉพาะจีนมาแย่งซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นเพราะไทยไม่ได้กำหนดราคาขั้นตํ่าที่จะซื้อได้ ไม่ได้กำหนดอัตราภาษีสูงๆทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยราว20%มีต่างชาติมาหาซื้อ ทำให้ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้น ต่อไปคนไทยจะสามารถซื้อบ้านได้น้อยลง สู้ต่างชาติไม่ได้ ตลาดที่อยู่อาศัยอาจถูกต่างชาติโดยเฉพาะจีนครอบงำ”
สำหรับแนวทางการแก้ไข มี 1. ต้องกำหนดราคาขั้นตํ่าของที่อยู่อาศัยที่จะให้ต่างชาติซื้อ เช่น ไม่ตํ่ากว่า 10 ล้านบาท เป็นต้น (มาเลเซียกำหนดไว้ขั้นตํ่าประมาณ 8-16 ล้านบาท) 2. กำหนดอัตราภาษีสูง เช่น สิงคโปร์กำหนดให้ต่างชาติที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ต้องเสียภาษี 20% ส่วนฮ่องกงกำหนดไว้ที่ 30% 3. กำหนดห้ามต่างชาติซื้อบ้านมือสอง ข้อนี้ออสเตรเลียมีข้อกำหนดดังกล่าว 4. กำหนดให้ต่างชาติที่มาซื้อที่อยู่อาศัยในไทย ไม่สามารถขายต่อในเวลา 3 ปีทั้งนี้ไต้หวันใช้มาตรการนี้ และ 5.กำหนดให้ชาวต่างชาติที่มาซื้อที่อยู่อาศัยไม่สามารถอยู่ในไทยได้เกิน 4 เดือน ทั้งนี้ไต้หวันก็ใช้มาตรการนี้ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หุ้น,น้ำมันสหรัฐปิดพุ่ง/ทองลง
มะเร็งหลังโพรงจมูก ภัยเงียบที่ควรระวัง
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เตือน “มะเร็งหลังโพรงจมูก” อีกหนึ่งมะเร็งร้ายที่กลายเป็นภัยเงียบที่ควรระวัง แนะเลี่ยงการสูบบุหรี่ สารก่อมะเร็ง สิ่งสำคัญควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มจำได้ผลดีกว่าในระยะลุกลามนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นที่พบมากในแถบเอเชียบางประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย สำหรับประเทศไทยพบมะเร็งหลังโพรงจมูกในเพศชายมากกว่าเพศหญิงราว 2 เท่า และมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ข้อมูลจากทะเบียนมะเร็ง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2014 พบผู้ป่วยเพศชาย 1087 คน เพศหญิง 462 คน คิดเป็นอุบัติการณ์การเกิดโรค 2.62 และ 1.0 คนต่อประชากรแสนคน ในเพศชายและเพศหญิงตามลำดับ มะเร็งโพรงจมูกเกิดจากการที่เซลล์ต่างๆ ในโพรงจมูกและโพรงอากาศข้างจมูกเกิดความผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคคืออะไร ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อไวรัส การรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน และการสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม อาทิ ฝุ่นไม้ บุหรี่ เป็นต้นนายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า มะเร็งโพรงจมูกอาจไม่แสดงอาหารในระยะแรกๆ เนื่องจากโพรงจมูกมีลักษณะค่อนข้างกว้าง โดยอาการอาจจะปรากฏออกมาเมื่อมะเร็งเจริญเติบโตไปรอบๆหรือมีขนาดใหญ่จนปิดกั้นโพรงจมูกไปมากแล้ว อาการทั่วไปที่พบบ่อย คือ คัดจมูก น้ำมูกไหลข้างเดียวที่ผู้ป่วยไม่ได้เป็นหวัดหรือภูมิแพ้และยังมีอาการอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันในคนไข้แต่ละราย ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากบริเวณไหน เช่น มีเลือดกำเดาไหล หูอื้อ ชาและปวดบวมบริเวณใบหน้า ปวดหัว และมีก้อนนูนอยู่บริเวณต้นคอใต้ติ่งหู เป็นต้น หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ในด้านวินิจฉัยนั้น ใช้เวลาวินิจฉัยค่อนข้างนานและอาจต้องวินิจฉัยหลายๆ ครั้ง เพื่อหาระยะและระดับความรุนแรงของโรคอย่างถูกต้อง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยการรักษาหลักมี 3 วิธี ได้แก่ 1. ผ่าตัดในกรณีที่เนื้องอกอยู่ในระยะแรกๆ ยังไม่มีการกระจายตัวมากนัก 2.การฉายแสง 3.และการให้ยาเคมีการป้องกันมะเร็งโพรงจมูกเบื้องต้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ การสวมเครื่องป้องกันขณะปฏิบัติงานในโรงงานที่มีสารก่อมะเร็ง และสิ่งสำคัญควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอเพื่อการรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มจำได้ผลดีกว่าในระยะลุกลาม
อเมริกาบังคับให้ กล้องหลัง เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องมี
ของมันต้องมี…กระทรวงคมนาคมสหรัฐกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ผลิตรถยนต์ต้องติดตั้ง “กล้องหลัง” ในรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ทุกคันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ของมันควรต้องมีและอันที่จริง “กล้องหลัง” ในรถยนต์ใหม่ควรเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมานานแล้ว ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามให้กระทรวงคมนาคมสหรัฐ (U.S. Department of Transportation หรือ DOT) กำหนดให้รถใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ต้องติดตั้งกล้องหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในปี 2011 แต่สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) กลับได้รับคำสั่งให้เริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่นี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561
ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป รถใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ทุกคันจะต้องมี “กล้องหลัง” อยู่ในรายการอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดจากจุดบอดด้านหลังจนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งการเก็บข้อมูลของ NHTSA ในปี 2010 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว 292 ราย และบาดเจ็บ 18,000 คน อีกทั้งในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมักจะเป็นเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ถึง 44 เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้บริโภคร่วมกับทนายได้ฟ้องร้องสำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) ในปี 2013 เพราะรู้สึกว่าไม่ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้ง “กล้องหลัง” เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างเต็มที่ หลังจากที่กระทรวงคมนาคมสหรัฐได้เตะถ่วงเลื่อนกำหนดเส้นตายจากปี 2011 ออกไปเป็นต้นปี 2015
กลุ่มผู้บริโภคยังคาดหวังด้วยว่าภายในปี 2022 รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ควรจะต้องมีระบบช่วยขับขี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น
– เบรกอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนการชนด้านหน้า
– ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
– ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางจราจร
โดยช่วงต้นปี 2016 สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา (IIHS) ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในอเมริกาเกือบทั้งหมด รวม 20 ราย จะติดตั้งระบบระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking หรือ AEB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคันภายในปี 2022 ซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์ไม่กี่ราย เช่น Mercedes-Benz, Volvo และ Toyota ได้เริ่มติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแก่รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ แล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องรอดูกันต่อไป
สำหรับประเทศไทยมักใช้วิธีเชิญชวนมากกว่าออกมาตรการบังคับ ล่าสุดรถยนต์ที่ติดกล้องบันทึกภาพขณะขับขี่จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย 5-10% ส่วนออปชั่นความปลอดภัยของรถยนต์ที่ยุคนี้ถือว่าเบสิคคือ ABS และ ESC เป็นเกณฑ์บังคับในโครงการอีโคคาร์เฟสสอง
ขอบคุณข้อมูลจาก car.kapook.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,250.00 | 19,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,247.00 | 18,904.52 | 19,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,122.30 | 17,014.07 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 997.60 | 15,123.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 561.00 | 8,504.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 436.00 | 6,609.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,292.00 | 19,586.72 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/05/ 2562
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 | 29.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 | 28.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 26.14 | 26.14 | 26.54 | 26.54 | 26.54 | – | 26.14 | 26.14 | 26.54 | 26.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 20.79 | 20.79 | – | – | – | – | – | 20.79 | – | – |
เบนซิน 95 | 36.56 | – | – | – | 37.01 | – | 37.06 | 36.86 | – | 36.86 |
ดีเซล | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.39 | 31.66 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 16.01 | 27.79 | – | – | – | – | – | – | – | – |