สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2562

คอนโดส่อวิกฤติ คนหมดแรงผ่อน ยอดหลุดโอนพุ่ง

ดีเวลอปเปอร์เร่งระบายสต๊อก งัดแคมเปญ “โปรหลุดดาวน์” แบงก์ ชี้ผลกระทบจิตวิทยามาตรการ LTV ทำลูกค้าซื้อลงทุน ปล่อยเช่าเก็งกำไรเผ่นทิ้งดาวน์ หวั่นกู้ไม่ผ่าน-ผ่อนไม่ไหว “กรุงศรีอยุธยา” แนะคนซื้อดูให้ดี อาจแค่กิมมิกการตลาด 

แหล่งข่าวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยว่า ตลาดในภาพรวมปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว ผลข้างเคียงจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใช้เกณฑ์ LTV และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคทุกกลุ่ม แต่ที่น่าจับตาคือตลาดคอนโดมิเนียม นอกจากระดับราคา กลุ่มกลางล่างที่มีปัญหายอดขายลดแล้ว วันนี้ตลาดลักชัวรีหรือกลุ่ม บนเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี ปรับ พฤติกรรมการซื้อลงทุนระมัดระวังมากขึ้น บางรายไม่รับโอนห้องชุด ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำห้อง ชุดเหล่านี้กลับมาขายใหม่ จนเกิดแคมเปญคอนโดฯหลุดโอน

“ที่ผ่านมากลุ่มที่ซื้อลงทุนจะจองจำนวนมาก และไม่ใช่ซื้อเพียงโครงการเดียว แต่จะเป็นแฟนคลับของดีเวลอปเปอร์ชั้นนำ เมื่อมีสถานการณ์ตลาดเปลี่ยน หากคำนวณแล้วลงทุนไม่คุ้ม ก็เลือกที่จะไม่โอนห้องชุด โดยต่อรองกับเจ้าของโครงการขอคืนส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ประกอบการก็อะลุ้มอล่วยในฐานะลูกค้าประจำ”

สำหรับดีเวลอปเปอร์ที่จัดแคมเปญแรงก็มี บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้นำตลาดบ้านหรูของวงการ นำคอนโดฯหลุดโอนแบรนด์ระดับบน มี เดอะ แบ็งคอก, เดอะ รูม และเดอะคีย์ รวม 5 โครงการ 5 ทำเล โดยมีห้องหลุดโอนรวมประมาณ 200 ยูนิต จากจำนวนหน่วยทั้งหมดประมาณกว่า 2,000 หน่วย คิดเป็นห้องหลุดโอนประมาณ 10% สำหรับห้องหลุดโอนนี้มีราคาลดมากกว่า 20% หวังจูงใจลูกค้าที่มีเงินเย็น อีกราย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ นำโครงการแอชตัน สีลม จัดโปรอยู่ฟรี 2 ปี รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวถึงการระบายสต๊อกโครงการที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการไม่ต้องการแบกรับภาระต้นทุน จึงเร่งระบายสินค้า ออกมาผ่านการจัดแคมเปญที่เรียกว่า “โปรหลุดดาวน์” ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ส่วนแนวราบราคาแพงอาจจะมีน้อย เนื่องจากแนวราบราคาเกิน 10 ล้านบาท จะเข้าข่ายเป็นบ้านหลังที่ 2 และ 3 ซึ่งอดีตสามารถขอกู้เต็ม 100% แต่หลังจากมีหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) จะต้องวางดาวน์ 20% ทำให้ลูกค้าจะต้องมีเงินวางดาวน์ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะมีวงเงินในจำนวนดังกล่าว

สัญญาณยอดหลุดจองที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากเชิงจิตวิทยา ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าที่อาจจะทำได้ยากขึ้น โดยมาจากปัจจัย 2-3 ข้อ คือ 1.ลูกค้าบางคนที่ตัดสินใจซื้อแล้ว แต่การซื้อนั้นส่งผลกระทบต่อลูกค้า เช่น ภาระเงินที่จะนำมาผ่อนชำระ ทั้งการซื้อเงินสด หรือการใช้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ซึ่งภายหลังมีหลักเกณฑ์ LTV เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้การขอสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยากขึ้น 2.ลูกค้าไม่โอนบางโครงการในตลาดคอนโดมิเนียม ภายหลังจากตัดสินใจซื้อช่วง Presale ก่อนโครงการยังสร้างไม่เสร็จ แต่ปัจจุบัน โครงการสร้างแล้วเสร็จพบว่าสภาพ แวดล้อมสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้าชะลอตัดสินใจซื้อ และ 3.มาตรการ LTV ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่ไม่ใช่บ้านหลังแรก ส่งผลให้มีเงินไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อยอดการหลุดจองดาวน์ที่เพิ่มขึ้น

“สถานการณ์ที่ลูกค้าปล่อย หลุดดาวน์ เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าต่อมองว่าจะทำได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับราคาแล้วไม่คุ้ม จึงปล่อยให้หลุดดาวน์ ถ้าถามว่าแบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อหรือไม่ จะเห็นว่าแบงก์เข้มงวดและระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเหตุผลเดียวที่ลูกค้าทิ้งดาวน์”

นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาทำโปรหลุดดาวน์ มองว่า เป็นแค่ลูกเล่น (Gimmick) ในการทำการตลาดเพื่อดึงดูง ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจะเสนอโปรโมชันให้กับลูกค้าได้ในราคาที่ถูกลง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการหลุดดาวน์จริงหรือไม่ และหากดูโปรโมชัน เช่น เดิมราคาขายตารางเมตรละ 1 แสนบาท มาเหลือ 8 หมื่นบาท อาจจะหลุดดาวน์จริง แต่หากยังขายในราคาเดิม แต่อาจจะเสนอของแถมอย่างอื่นให้ อาจจะไม่ใช่หลุดดาวน์ แต่เป็นการกระตุ้นยอดขายเท่านั้น

นางสาวอรอนงค์ อุดมก้านตรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิต ภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเสริมว่า มาตรการ LTV อาจจะมีผลกระทบบ้างในช่วงระยะแรก แต่ในท้ายที่สุดจะช่วยคัดกรองผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง และลูกค้าได้ราคาที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมทั้งระบบในระยะยาว

สำหรับอุปทานคอนโดมิเนียม ที่อยู่ระหว่างการขาย จากข้อมูลฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 1 /62 ในกรุงเทพมหานครมีจำนวนคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 198,460 ยูนิต แต่ขายได้แล้ว 78% หรือประมาณ 154,925 ยูนิต เหลือขายอีกประมาณ 43,535 ยูนิต 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สัญญาณอันตราย ความสามารถซื้อบ้านคนไทยลด

“แอเรีย” เผยพบสัญญาณความสามารถซื้อบ้านของคนไทยลดลง สัดส่วนราคาบ้านต่อรายได้ของครอบครัว เพิ่มขึ้น 69% ในรอบ 11 ปี แนะรัฐบาลควรกำหนดราคาขั้นตํ่าและเก็บภาษีจากต่างชาติ ก่อนจีนครองเมือง

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (AREA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเห็นสัญญาณลดลง จากการวิเคราะห์ตัวเลขรายได้ต่อครอบครัวต่อปีของชาวกรุงเทพ มหานคร เทียบกับราคาบ้านที่เปิดขายในแต่ละปีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อนำราคาบ้านที่เสนอขาย มาหารด้วยรายได้ต่อปี ปรากฏว่า อัตราส่วนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการจ่ายเพื่อการซื้อบ้านของประชาชนโดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ในปี 2550 รายได้ของครัวเรือนในกรุงเทพมหานคร มีรายได้เดือนละ 39,020 บาท ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปีนั้น ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯ ประมาณการว่า ราคาโดยเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยทุกประเภทเป็นเงิน 2.289 ล้านบาท หรือเท่ากับว่าราคาที่อยู่อาศัยเป็น 4.9 เท่าของรายได้ต่อปีของครัวเรือนในเขตกรุงเทพ มหานคร แต่มาในปี 2561 สัดส่วนข้างต้นได้เพิ่มเป็น 8.9 เท่า แสดงว่าครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสามารถในการซื้อบ้านลดน้อยลง
ในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา (ปี 2550-2561) สัดส่วนราคาบ้านต่อรายได้ของครอบครัว เพิ่มขึ้น 69% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 4.9% ในขณะที่รายได้ต่อครัวเรือนของชาวกรุงเทพมหานคร ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนั้น โดยเฉพาะในช่วงปี 2556-2558 รายได้
ต่อครัวเรือนของชาวกรุงเทพ มหานครลดจาก 49,191 บาทต่อเดือนมาเหลือเพียง 45,572 บาทต่อเดือน ส่วนในปี 2560 ก็แทบไม่แตกต่างจากปี 2558 ดังนั้นความสามารถในการจ่ายของประชาชนจึงลดลง“ปัญหาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนจะวิกฤติมากยิ่งขึ้น เพราะต่างชาติโดยเฉพาะจีนมาแย่งซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นเพราะไทยไม่ได้กำหนดราคาขั้นตํ่าที่จะซื้อได้ ไม่ได้กำหนดอัตราภาษีสูงๆทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยราว20%มีต่างชาติมาหาซื้อ ทำให้ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้น ต่อไปคนไทยจะสามารถซื้อบ้านได้น้อยลง สู้ต่างชาติไม่ได้ ตลาดที่อยู่อาศัยอาจถูกต่างชาติโดยเฉพาะจีนครอบงำ”

สำหรับแนวทางการแก้ไข มี 1. ต้องกำหนดราคาขั้นตํ่าของที่อยู่อาศัยที่จะให้ต่างชาติซื้อ เช่น ไม่ตํ่ากว่า 10 ล้านบาท เป็นต้น (มาเลเซียกำหนดไว้ขั้นตํ่าประมาณ 8-16 ล้านบาท) 2. กำหนดอัตราภาษีสูง เช่น สิงคโปร์กำหนดให้ต่างชาติที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ต้องเสียภาษี 20% ส่วนฮ่องกงกำหนดไว้ที่ 30% 3. กำหนดห้ามต่างชาติซื้อบ้านมือสอง ข้อนี้ออสเตรเลียมีข้อกำหนดดังกล่าว 4. กำหนดให้ต่างชาติที่มาซื้อที่อยู่อาศัยในไทย ไม่สามารถขายต่อในเวลา 3 ปีทั้งนี้ไต้หวันใช้มาตรการนี้ และ 5.กำหนดให้ชาวต่างชาติที่มาซื้อที่อยู่อาศัยไม่สามารถอยู่ในไทยได้เกิน 4 เดือน ทั้งนี้ไต้หวันก็ใช้มาตรการนี้ เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


หุ้น,น้ำมันสหรัฐปิดพุ่ง/ทองลง

หุ้น,น้ำมันสหรัฐปิดพุ่ง/ทองลง

ดาวโจนส์ปิดบวก 207.06 จุด น้ำมันเพิ่มขึ้น 74 เซนต์  ทองคำลดลง 5.5 ดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,532.05 จุด พุ่งขึ้น 207.06 จุด หรือ +0.82% ขณะที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,834.41 จุด เพิ่มขึ้น 22.54 จุด หรือ +0.80% และดัชนี แนสแดค ปิดที่ 7,734.49 จุด เพิ่มขึ้น 87.47 จุด หรือ +1.14%สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด  ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 61.78 ดอลลาร์/บาร์เรล   สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 1.01 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 71.24 ดอลลาร์/บาร์เรลสัญญาทองคำตลาด โคเม็กซ์ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 5.5 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 1,296.3  ดอลลาร์/ออนซ์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

มะเร็งหลังโพรงจมูก ภัยเงียบที่ควรระวัง

มะเร็งหลังโพรงจมูก ภัยเงียบที่ควรระวัง thaihealth

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เตือน “มะเร็งหลังโพรงจมูก” อีกหนึ่งมะเร็งร้ายที่กลายเป็นภัยเงียบที่ควรระวัง  แนะเลี่ยงการสูบบุหรี่ สารก่อมะเร็ง สิ่งสำคัญควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มจำได้ผลดีกว่าในระยะลุกลามนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นที่พบมากในแถบเอเชียบางประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย สำหรับประเทศไทยพบมะเร็งหลังโพรงจมูกในเพศชายมากกว่าเพศหญิงราว 2 เท่า และมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ข้อมูลจากทะเบียนมะเร็ง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2014 พบผู้ป่วยเพศชาย 1087 คน เพศหญิง 462 คน คิดเป็นอุบัติการณ์การเกิดโรค 2.62 และ 1.0 คนต่อประชากรแสนคน ในเพศชายและเพศหญิงตามลำดับ มะเร็งโพรงจมูกเกิดจากการที่เซลล์ต่างๆ ในโพรงจมูกและโพรงอากาศข้างจมูกเกิดความผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคคืออะไร ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อไวรัส การรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน และการสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม อาทิ ฝุ่นไม้ บุหรี่ เป็นต้นนายแพทย์วีรวุฒิ  อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า มะเร็งโพรงจมูกอาจไม่แสดงอาหารในระยะแรกๆ เนื่องจากโพรงจมูกมีลักษณะค่อนข้างกว้าง โดยอาการอาจจะปรากฏออกมาเมื่อมะเร็งเจริญเติบโตไปรอบๆหรือมีขนาดใหญ่จนปิดกั้นโพรงจมูกไปมากแล้ว อาการทั่วไปที่พบบ่อย คือ คัดจมูก น้ำมูกไหลข้างเดียวที่ผู้ป่วยไม่ได้เป็นหวัดหรือภูมิแพ้และยังมีอาการอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันในคนไข้แต่ละราย ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากบริเวณไหน เช่น มีเลือดกำเดาไหล หูอื้อ ชาและปวดบวมบริเวณใบหน้า ปวดหัว และมีก้อนนูนอยู่บริเวณต้นคอใต้ติ่งหู เป็นต้น หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ในด้านวินิจฉัยนั้น ใช้เวลาวินิจฉัยค่อนข้างนานและอาจต้องวินิจฉัยหลายๆ ครั้ง เพื่อหาระยะและระดับความรุนแรงของโรคอย่างถูกต้อง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยการรักษาหลักมี 3 วิธี ได้แก่ 1. ผ่าตัดในกรณีที่เนื้องอกอยู่ในระยะแรกๆ ยังไม่มีการกระจายตัวมากนัก 2.การฉายแสง 3.และการให้ยาเคมีการป้องกันมะเร็งโพรงจมูกเบื้องต้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ การสวมเครื่องป้องกันขณะปฏิบัติงานในโรงงานที่มีสารก่อมะเร็ง และสิ่งสำคัญควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอเพื่อการรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มจำได้ผลดีกว่าในระยะลุกลาม

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th

อเมริกาบังคับให้ กล้องหลัง เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องมี

ของมันต้องมี…กระทรวงคมนาคมสหรัฐกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ผลิตรถยนต์ต้องติดตั้ง “กล้องหลัง” ในรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ทุกคันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

กล้องหลัง

ของมันควรต้องมีและอันที่จริง “กล้องหลัง” ในรถยนต์ใหม่ควรเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมานานแล้ว ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามให้กระทรวงคมนาคมสหรัฐ (U.S. Department of Transportation หรือ DOT) กำหนดให้รถใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ต้องติดตั้งกล้องหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในปี 2011 แต่สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) กลับได้รับคำสั่งให้เริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่นี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561

กล้องหลัง

ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป รถใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ทุกคันจะต้องมี “กล้องหลัง” อยู่ในรายการอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดจากจุดบอดด้านหลังจนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งการเก็บข้อมูลของ NHTSA ในปี 2010 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว 292 ราย และบาดเจ็บ 18,000 คน อีกทั้งในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมักจะเป็นเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ถึง 44 เปอร์เซ็นต์

          ก่อนหน้านี้ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้บริโภคร่วมกับทนายได้ฟ้องร้องสำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) ในปี 2013 เพราะรู้สึกว่าไม่ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้ง “กล้องหลัง” เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างเต็มที่ หลังจากที่กระทรวงคมนาคมสหรัฐได้เตะถ่วงเลื่อนกำหนดเส้นตายจากปี 2011 ออกไปเป็นต้นปี 2015

          กลุ่มผู้บริโภคยังคาดหวังด้วยว่าภายในปี 2022 รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ควรจะต้องมีระบบช่วยขับขี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น

          – เบรกอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนการชนด้านหน้า
          – ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
          – ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางจราจร

          โดยช่วงต้นปี 2016 สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา (IIHS) ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในอเมริกาเกือบทั้งหมด รวม 20 ราย จะติดตั้งระบบระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking หรือ AEB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคันภายในปี 2022 ซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์ไม่กี่ราย เช่น Mercedes-Benz, Volvo และ Toyota ได้เริ่มติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแก่รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ แล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องรอดูกันต่อไป

กล้องหลัง

สำหรับประเทศไทยมักใช้วิธีเชิญชวนมากกว่าออกมาตรการบังคับ ล่าสุดรถยนต์ที่ติดกล้องบันทึกภาพขณะขับขี่จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย 5-10% ส่วนออปชั่นความปลอดภัยของรถยนต์ที่ยุคนี้ถือว่าเบสิคคือ ABS และ ESC เป็นเกณฑ์บังคับในโครงการอีโคคาร์เฟสสอง 

ขอบคุณข้อมูลจาก car.kapook.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,250.00 19,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,247.00 18,904.52 19,850.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,122.30 17,014.07 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 997.60 15,123.62 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 561.00 8,504.76 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 436.00 6,609.76 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,292.00 19,586.72 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/05/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15
แก๊สโซฮอล์ 91 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88
แก๊สโซฮอล์ E20 26.14 26.14 26.54 26.54 26.54 26.14 26.14 26.54 26.14
แก๊สโซฮอล์ E85 20.79 20.79 20.79
เบนซิน 95 36.56 37.01 37.06 36.86 36.86
ดีเซล 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79
ดีเซลพรีเมี่ยม 31.39 31.66 31.85 31.85 31.85
แก๊ส NGV 16.01 27.79

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า