อสังหาฯครึ่งปีหลังโหมเทศกาลอีเว้นต์กระตุ้นยอดขาย
ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า “อนันดาฯ” มองอสังหาฯครึ่งปีหลังเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดเข้าสู่ภาวะปกติ พร้อมเดินหน้าจัดงานใหญ่ ลุยเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ เร่งกระตุ้นกำลังซื้อคืนชีพ
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) เปิดเผยถึงแผนการในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวม 1.66 หมื่นล้านบาท มีทั้งคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 1.43 หมื่นล้านบาท และแนวราบ 2 โครงการ มูลค่า 2.33 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 60 บริษัทวางเป้าเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 4.28 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 2/60 จ่อเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 2.17 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างลงตัว
คาดยอดขายในไตรมาส 2/60 มีแนวโน้มเติบโตราว 25% จากไตรมาส 1/60 หรือมาอยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท และปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 4.25 หมื่นล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้ยอดโอนมากที่สุดในช่วงไตรมาส 4/60 ที่คาดจะมีการโอนราว 1.53 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมีจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่จำนวน 10 โครงการ มากกว่าปีก่อนที่มี 5 โครงการ
ส่วนเป้าหมายยอดโอนในปีนี้อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และได้ปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีเป็น 3.1 หมื่นล้านบาท และเตรียมจัดงาน “ANANDA URBAN PULSE” ระหว่างวันที่ 22-25 มิ.ย. 60 ที่ชั้น 1 สยามพารากอน โดยได้คัดสรรและรวบรวมโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพติดรถไฟฟ้าถึง 22 โครงการทั่วกรุงเทพฯ โดยบริษัทเชื่อว่าทางทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวดีขึ้นและคาดเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ทำให้บริษัทได้จัดงานใหญ่แห่งปีเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จจากการทำการขายผ่านช่องทาง Online Booking เป็นครั้งแรก ซึ่งเปิดให้ลูกค้าได้จองเมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 60) โดยสามารถทำยอดขายได้ 1.08 พันล้านบาท โดยมีจำนวนยูนิตที่ขายไปได้ทั้งหมด 155 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วนการขาย 80% ของมูลค่าโครงการที่นำมาขายทั้งหมด 1.23 พันล้านบาท จำนวน 155 ยูนิต โดยมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของบริษัทที่เปิดตัวในไตรมาส 2/60 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ คิว วิพเตอรี่, โครงการ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 และโครงการ เอลลิโอ เดล เนสท์ ซึ่งบริษัทแบ่งสัดส่วนการขายผ่านช่องทางออนไลน์ 10-15% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดของ 3 โครงการ
อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลังยังคงเน้นการขายผ่านช่องทาง Online Booking อย่างต่อเนื่อง หลังจากปรับปรุงระบบสำเร็จและประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย แต่บริษัทจะเลือกเฉพาะบางโครงการและบางยูนิตในโครงการที่เปิดขายในช่วงครึ่งปีหลังมาทำการตลาดผ่านการจอง Online Booking ซึ่งบริษัทยังต้องศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าที่มีความสนใจจองผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน เพื่อสามารถทำการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แท้จริง เพราะปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงต้องการเข้าไปชมห้องตัวอย่างและสอบถามรายละเอียดต่างๆกับเจ้าหน้าที่โครงการ
สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ยังเชื่อมั่นว่าตลาดจะเริ่มคึกคักมากขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแผนการเปิดตัวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ ขณะที่ลูกค้าของบริษัทยังไม่ได้มีปัญหาในแง่ของกำลังซื้อ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทเป็นลูกค้าที่มีหนี้อยู่น้อยและมีการไม่โอนต่ำกว่า 1% ประกอบกับทำเลของโครงการที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทมั่นใจไนแง่การขายและการโอนในช่วงครึ่งปีหลัง
ที่มา ddproperty.com
แนะรีดภาษีบ้านเริ่ม20ล้าน เข้าข่ายเศรษฐี-หลังที่2ไม่สะท้านปล่อยเช่า
เอกชนติง สนช. เว้นภาษีที่ดินบ้านหลังแรก 20 ล้าน อยู่ในข่ายเศรษฐี บ้านหลังที่ 2 ไม่สะท้านเรียกเก็บบาทแรก เหตุคอนโดฯเก็งกำไรปล่อยเช่ากว่า 30,000 หน่วย ต่อปี คว้ากำไรสูงกว่าหลายเท่าตัว
จากกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระ 2 ไม่เห็นด้วยกับบ้านหลังแรกราคา 50 ล้านบาทไม่ควรได้รับการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะอยู่ในข่ายเศรษฐี ขณะเดียวกันได้ปรับลดเหลือราคาไม่เกิน 20 ล้านบาทน่าเหมาะสมกว่า
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกรณีบ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ในข่ายยกเว้นไม่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่สนช.ระบุ ทั้งนี้มองว่า หากคนมีเงินซื้อบ้านราคา 10-20 ล้านบาทได้ถือว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี อย่างไรก็ดียังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีข้อสรุปออกมาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังกำหนด ให้บ้านหลังแรก เสียตั้งแต่ หลักล้านบาท ทั้งนี้ที่เหมาะสมคือ กลุ่มรายได้น้อยและปานกลางน่าจะได้รับยกเว้นมากกว่า
ขณะที่บ้านหลังที่ 2 เนื้อหาสาระร่างกฎหมายไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก ตามราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ อย่างไรก็ดีกลุ่มที่สามารถซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียมหลังที่ 2,3 ได้รัฐมองว่าฐานะดีสมควรเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก
แม้จะมีเสียงวิจารณ์จะออกมาบ้าง แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่กระทบเพราะแต่ละปีจะเสียภาษีเพียง 600 บาทหรือ 0.03% หากสินทรัพย์ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ราคา 5-10 ล้านบาท ต่อปีจะเสียภาษีเพียง 1,500 บาทหรือ 0.05% ขณะที่รายได้จากการเก็งกำไรปล่อยเช่าต่อเดือนหรือต่อปีสูงกว่าหลายเท่าตัว และภาษีที่เสียต่อปีสามารถบวกเป็นค่าเช่าผลักภาระให้ผู้บริโภคได้ สำหรับสถิติคอนโดมิเนียมเก็งกำไรเฉลี่ย 30% ต่อโครงการ ต่อปีมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นกว่า 1 แสนหน่วย จะมี คอนโดมิเนียม กว่า 30,000 หน่วยต่อปีที่ซื้อเพื่อเชิงพาณิชย์ ไม่ได้อยู่อาศัยจริง
ที่ผ่านมา ตามกฎหมายโรงเรือนกลุ่มที่ซื้อที่อยู่อาศัยให้เช่าจะต้องแจ้งเสียภาษีอัตรา 12.5% แต่ที่ผ่านมามักหลบเลี่ยงทำให้รัฐเสียรายได้เชื่อว่าภาษีที่ดินใหม่จะรัดกุมสำหรับกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไร-เช่าหารายได้เชิงพาณิชย์ ด้วย
นายกิตติพลกล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกอบการไม่กระทบต่อการพัฒนาโครงการ เพียงแต่ต้องขยับตัวให้เร็วดูตลาดให้ชัดเจนโดยเฉพาะทำเลที่สำคัญกำหนดจำนวนหน่วยไม่มากจนเกินไป แต่เชื่อว่าภาษีที่ดินใหม่ ไม่กระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเก็งกำไร ปล่อยเช่า
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรที่ระบุว่ามูลค่าบ้านหลังแรกที่เหมาะต่อการยกเว้นภาษีที่ดินคือ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย
ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ปัญญาประดิษฐ์ของทุกสรรพสิ่ง: AI of Everything
บทความโดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการ
ตื่นเถิดชาวไทย!!!
ในปี 2017 นี้ เทคโนโลยีจำนวนมากจะเปลี่ยนจากที่อยู่เพียงแค่ในนิยายมาเป็นผลิตภัณฑ์ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยหัวใจสำคัญของแนวโน้มเทคโนโลยีในปีนี้คือ “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” อย่างไรก็ตาม ยังมีเทคโนโลยีในรูปแบบอื่นๆอีก ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้
ในขณะที่แอพพลิเคชัน AI ถูกฝังอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การเงิน โลจิสติกส์ และการแพทย์ เป็นต้น ได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวของ AI ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานของเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ปัญญาประดิษฐ์ของทุกสรรพสิ่ง (AI of Everything) นั่นเอง
Tom Morrod ผู้อำนวยการอาวุโสแห่ง HIS Markit กล่าวว่า พวกเขามีความสนใจในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์และวิธีการนำมาใช้สำหรับผู้บริโภค เช่น วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มากขึ้น สำหรับการโฆษณาและในแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เอง, โดรน และหุ่นยนต์ เป็นต้น
รายได้จากตลาด AI ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 643.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 เป็น 38.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Tractica และจากรายงานของ ABI Research พบว่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) และความจริงเสมือน (VR) จะมีการผลิตเพื่อใช้งานถึงประมาณ 37 ล้านเครื่องในปี 2018
การออกแบบอย่างจริงจังและการปรับใช้เทคโนโลยีดูเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้น การใช้งานเชิงพาณิชย์จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในปีนี้ ในการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมและวิชาชีพต่างๆ เช่น การฟื้นฟูทางการแพทย์ ภาพยนตร์อินเทอร์แอกทีฟ การค้าปลีกและโลจิสติกส์ เป็นต้น
ในอุตสาหกรรมโลจิสติก กำลังจะถูกท้าทายจาก AI of Everything ทั้งนี้หาก AI+IoT+Cloud+Big data+Blockchain สามารถหลอมรวมกันเพื่อสร้างนวัตกรรมโลจิสติกส์รูปแบบ startup ใหม่ๆที่ทรงพลัง ก็อาจจะทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์เดิมๆ ถูกท้าทายด้วยรูปแบบโลจิสติกส์ใหม่ ที่ realtime กว่า, ต้นทุนต่ำกว่า, บริหารจัดการง่ายกว่า, ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีกว่า ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากในอนาคตอันใกล้
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมจาก CIO คาดการณ์ว่าตลาดคลาวด์ทั่วโลกจะมีมูลค่า 146 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 87 พันล้านเหรียญในปี 2015 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 22% ซึ่งก็เกิดจากการสื่อสารข้อมูลของ IoT ที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้นเอง ซึ่งมันคือสัญญาณที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆในโลก สามารถตรวจหาตำแหน่งและบริหารจัดการได้อย่าง realtime ด้วยความง่ายดาย นั่นเอง
เมื่อต้องเผชิญกับการเติบโตที่เกิดขึ้น การบริการคลาวด์ ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน มีการคาดว่าจะมีแนวโน้มไปสู่ Meta-cloud ที่กลุ่มคลาวด์หลายกลุ่มสามารถเข้าถึงได้จาก Single web interface นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลในระดับ Big data กำลังขยับเข้าใกล้ผู้ใช้ปลายทางมากขึ้น ซึ่งมีการเพิ่มความเร็วและแบนด์วิธที่มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อแบบ IoT นับหมื่นล้านเครื่องในภายในปี 2020 ทำให้บริษัทต่างๆ ตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้ low-power wide-area network (LPWAN) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานรุ่นใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กมากๆ ในการขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมการเชื่อมต่อ IoT
IoT ขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายที่น่าเชื่อถือ แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกล และแม้แต่เมื่อมีพลังงานต่ำ โดยการถ่ายโอนข้อมูลก็จะยังสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี 2017 จะเป็นปีแห่งเทคโนโลยี LPWAN ที่รองรับผู้ดำเนินการด้านโทรคมนาคม ให้สามารถใช้แอพพลิเคชั่น Low-bit-rate ได้ นั่นก็หมายความว่า สรรพสิ่งต่างๆ กำลังจะถูกเชื่อมต่อด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก นั่นเอง
IHS Markit คาดการณ์ว่า การใช้ LPWAN ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 46.4 ล้านหน่วยในปี 2017 เป็น 383 ล้านหน่วยภายในปี 2021 โดยตัวอย่างของประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ มาตรวัดในชนบท อาคารอัจฉริยะ และเซ็นเซอร์ตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเทคโนโลยี Narrowband IoT (NB-IoT) และเครือข่าย LTE Cat-M ที่จะใช้งานในปี 2017 จะส่งผลให้มีการใช้ IoT ได้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน จึงทำให้ระบบโลจิสติกส์ในอนาคตมีความชาญฉลาด และบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น จนทำให้เกิด startup ใหม่ๆได้ง่ายขึ้น นั่นเอง
การเติบโตของสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลาย ต้นทุนที่ต่ำลงและนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง กำลังมีผลอย่างมากต่อรูปแบบใหม่ของอุปกรณ์สมาร์ทโฟน นาฬิกาอัจฉริยะ ชุดหูฟัง VR แว่นตาอัจริยะ และหุ่นยนต์ต่างๆ ซึ่งจะปรากฏตัวสู่ตลาดโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว นั่นก็จะทำให้ AI of Everything เกิดความสมบูรณ์แบบและเป็นจริง
ชุดหูฟังของโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เปลี่ยนไปสู่การใช้ในยานพาหนะ โดยหน้าจอสมาร์ทโฟนก็มีให้เห็นในอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ และวิทยุจากสมาร์ทโฟนที่มีการเชื่อมต่อสำหรับ IoT โดยเทคโนโลยี IoT นี้กลายเป็นเทคโนโลยีที่ถูกกว่า จัดการได้ง่ายกว่า และสามารถคาดการณ์ได้ดีขึ้นจากการเก็บข้อมูล Big data จนขีดความสามารถใหม่ๆของมัน อาจจะมา disrupt สิ่งต่างๆ รวมทั้งธุรกิจรูปแบบเดิมๆ จนหายไปจากตลาดได้อย่างน่ากลัว… ตื่นเถิดชาวไทย!!!
ที่มา it24hrs.com
กำจัดจุดอ่อนด้านการเงิน ตามกรุ๊ปเลือด
เมื่อพูดถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินแล้ว เชื่อว่าหลายคนมักจะมีจุดอ่อนแน่ๆ แต่เราจะกำจัดจุดอ่อนเหล่านั้นไปได้อย่างไร มีเทคนิคดีๆ ที่ช่วยกำจัดจุดอ่อนด้านการเงินของคุณได้ จากจิตวิทยาของกรุ๊ปเลือดต่างๆ ว่า มีวิธีอะไรบ้าง
กรุ๊ปเลือด A
ในเรื่องของการเงินแล้ว กรุ๊ป A ยังเป็นคนทุ่มเท จึงทำให้ในเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ทุ่มเทไม่แพ้กัน หากเจอสิ่งที่ถูกใจหรือต้องการแล้วละก็ ไม่ว่าราคาจะแพงขนาดไหน ก็พร้อมที่จะทุ่มจนหมดกระเป๋าเอาง่ายๆ บวกกับการที่เป็นคนมีรสนิยมสูง จึงทำให้ของส่วนใหญ่จึงมีราคาแพง คนกรุ๊ป A ก็เป็นคนที่มีระเบียบแบบแผนในการเก็บเงินพอสมควร มีความรับผิดชอบสูง เก็บเงินได้เก่ง ทำบัญชีรายรับรายจ่ายคล่อง
ข้อเสียคือ ไม่ชอบความเสี่ยงที่จะนำเงินไปลงทุน จึงทำให้พลาดโอกาส หรือรวยช้ากว่าคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง และต้องใช้ความสามารถความเพียรพยายามด้วยตนเองเข้าว่า จึงจะประสบความสำเร็จ แต่หากมีฐานะมั่นคงร่ำรวยแล้ว จะยั่งยืนถาวร
กรุ๊ปเลือด B
ในเรื่องการเงินของกรุ๊ป B นั้น มักจะใช้จ่ายเงินตามอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ และเนื่องจากการที่คนกรุ๊ป B เป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของภาพลักษณ์ ของตนเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงหมดไปกับการแต่งตัวเพื่อให้ตัวเองดูดี น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ ถ้าลงเอยว่าชอบแล้ว คนกรุ๊ป B ก็พร้อมที่จะทุ่มไม่อั้นเลย ไม่แพ้กรุ๊ป A เลยทีเดียว จนทำให้ในบางครั้งก็ต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เพื่อมาใช้จ่ายในส่วนของความฟุ่มเฟือยเสียเป็นส่วนใหญ่
หากต้องการเก็บเงิน คนกรุ๊ป B ต้องเก็บเงินในรูปแบบของการบังคับจึงจะสามารถเก็บได้ดีขึ้น เช่น การฝากประจำ การตั้งกฎเก็บเงินนอกจากนี้ คนกรุ๊ป B เหมาะกับการเก็บเงินในรูปแบบของทรัพย์สินมากกว่าเงินสด เพราะจะช่วยยับยั้งกิเลส และทำให้เก็บเงินได้นาน มั่นคงขึ้น
คนกรุ๊ปนี้ ถ้าอยากจะร่ำรวย มีฐานะมั่นคงได้ ต้องประหยัดมากขึ้น ใช้ความสามารถ และความคิดให้มากขึ้นเช่นกัน ที่สำคัญต้องเพลาๆ เรื่องการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงลงบ้าง จะช่วยได้เยอะ
กรุ๊ปเลือด O
แม้ในยามปกติ คนกรุ๊ป O จะมีนิสัยเรื่อยเปื่อย ล่องลอย แต่สำหรับเรื่องของการเงินแล้ว คนกรุ๊ป O นี้กลับเป็นคนที่จัดการได้เป็นอย่างดี มีระบบระเบียบมากกว่าคนกรุ๊ปอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ พวกเขายังรู้จักเก็บรู้จักออมเพื่อนำไปใช้ในสิ่งที่ต้องการได้อย่างเป็นระบบ มีเงินออก ก็มีเงินเข้า เรียกได้ว่าจัดสรรปันส่วนเงินต่างๆ ได้ดีเลยทีเดียว
แต่ข้อเสียของคนกรุ๊ป O ในเรื่องของการเงินนั้น ด้วยความที่เป็นคนใจอ่อน บางครั้งก็จึงมักให้ผู้อื่นหยิบยืมเงินเสมอ หรือถ้าเผลอสติหลุดเมื่อไหร่ก็ใช้จ่ายเกินตัวไปบ้าง ที่สำคัญยังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลอกเอาเงินไปได้ง่ายมากๆ จึงทำให้กระทบต่อการเก็บเงินของคนกรุ๊ปนี้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นการแก้จุดอ่อนข้อนี้คือ คุณต้องฟังหูไว้หู ใจแข็งให้มากเข้าไว้ จะช่วยให้คุณมีสติในการใช้จ่ายเงินส่วนนี้มากยิ่งขึ้น
สำหรับคนกรุ๊ป O ถ้าอยากจะร่ำรวย มีฐานะมั่นคงได้ ไม่ควรจับเงินโดยตรง หรือเก็บเงินไว้กับตัวเอง แต่ควรมีผู้ดูแลเก็บเงินให้ และเป็นคนคอยควบคุมดูแลอีกที ถึงจะดี แต่ในทางกลับกัน คุณก็ควรเลือกคนที่ไว้ใจได้ เพื่อป้องกันการเงินรั่วไหลด้วยนะ
กรุ๊ปเลือด AB
ในเรื่องของการเงินแล้ว คนกรุ๊ป AB ก็เป็นคนที่เก็บเงินเก่งไม่น้อยหน้ากรุ๊ปเลือดไหนๆ นอกจากนี้ คนกรุ๊ป AB ยังเป็นคนที่สามารถจัดการหมุนเงินหมุนค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ไม่มีที่ติ เรียกได้ว่าไม่มีช่วงไหนเลย ที่ลำบากเพราะหมุนเงินไม่ทัน
แต่เนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเยอะในเรื่องของการจับจ่ายเป็นอย่างมาก คนกรุ๊ปนี้มักจะคิดแล้วคิดอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการลงทุนที่ดีก็ตามแต่คนกรุ๊ป AB ก็จะคิดมาก จนบางครั้งก็ได้แต่คิดเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นสักที
สำหรับจุดอ่อนในการใช้จ่ายเงินข้อนี้ คนกรุ๊ป AB ควรกำจัดด้วยการหาข้อมูลในการลงทุนให้มากเข้าไว้ เพื่อเสริมความมั่นใจ และเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนบ้าง รวมไปถึงการแบ่งส่วนการลงทุน กับเงินใช้จ่ายส่วนตัวออกจากกัน จะทำให้ลดความกังวล หรือความคิดมากต่างๆ ในเรื่องของการลงทุนได้
การใช้จ่ายเงินนั้น บางครั้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความเป็นกรุ๊ปเลือด แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนตัวของแต่ละบุคคล ความจำเป็นต่างๆ สภาพแวดล้อม อีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมสำรวจตัวเองให้ดี แล้วรับรองได้ว่า คุณจะหาทางกำจัดจุดอ่อนทางการเงินได้อย่างแน่นอน
ที่มา posttoday.com
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระ ออกจากใจ
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ใน ช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้
หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคล ที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
***********************************
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่าง มีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้
เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลัง พูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสีย
เช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก
หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่ แล้ว)
***********************************
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความ คิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้
ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา
ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
***********************************
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้
เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ ของตนเอง ว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก ต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้
พูดเท่าที่จำเป็น พูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
***********************************
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้ คือ ตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วย เหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
***********************************
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้
รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ
นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
***********************************
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตา กรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้
จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์ และปรับ ปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
***********************************
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้
คิดถึง ประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง เช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
***********************************
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก
วิธีแก้
ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
***********************************
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้
ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
***********************************
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้
คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
ที่มา trueplookpanya.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 16/06/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,100.00 | 20,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,302.00 | 19,738.32 | 20,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,171.80 | 17,764.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 586.00 | 8,883.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 456.00 | 6,912.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,349.00 | 20,450.84 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 16/06/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.55 | 25.55 | – | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | – | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 19.24 | 19.24 | – | – | – | – | – | 19.24 | 19.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 |
เบนซิน 95 | 32.66 | – | – | 33.51 | 33.11 | – | 33.16 | 32.66 | 32.66 | 32.66 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 26.89 | 27.57 | 27.57 | 27.57 | 27.57 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 |