สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 18 เมษายน 2561

ชี้ตลาดรับสร้างบ้านโตรอบ3ปี คาดไตรมาส2สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ขยายตัวสูงสุด ในรอบ  3 ปี สะท้อนตัวเลขงาน”รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018”  ยอดขายเพิ่มขึ้น  65% ขณะที่มูลค่า เพิ่มถึง 40% แรงหนุนเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น  คาดไตรมาส 2 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง

เหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้าน ก่อนราคารับสร้างบ้านปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมเจรจากลุ่มวัสดุก่อสร้างคงราคาพิเศษ หวังตรึงราคาค่าก่อสร้างให้นานที่สุด
 
นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  (Home Builder Association :HBA)  เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ปี2561 มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด”รับสร้างบ้าน” ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สะท้อนจากตัวเลขการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” พบว่า ยอดขายแง่ยูนิตเพิ่มขึ้นถึง 65%  ในแง่ของมูลค่า ก็เพิ่มขึ้นมากถึง  40%  ของยอดขายรวม  1,200 ล้านบาท จากตั้งเป้ายอดขายไว้ที่  1,100 ล้านบาท  ซึ่งทั้งตัวเลขยอดขายและมูลค่า นับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี
เนื่องด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 79.3  ทั้งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างไตรมาส 2  จะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นรูปบธรรมชัดเจน และหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณกลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2%  ทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 4.2-4.6%  อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  เพราะความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ข่วงชาขึ้น ทำให้เชื่อว่า ผู้บริโภคจะมีความสนใจและความต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นราคารับสร้างบ้าน เนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ  ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น และมีผลต่อค่าเฉลี่ยราคาก่อสร้างปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น
“ตลาดหลักของรับสร้างบ้านในขณะนี้ ยังคงเป็นบ้านระดับราคา 2.5-10 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตลาดรวม ทั้งนี้กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต ส่วนตลาดสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังเติบได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดีมาก ขณะที่จังหวัดที่มีรายได้จากภาคบริการ เช่นธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดียังพอที่จะผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตดี”
  นางศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน มีแนวโน้มพิจารณาปรับราคาก่อสร้างขึ้น คาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีไปแล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากองค์ประกอบหลายด้าน ทั้ง ต้นทุนราคาวัสดุ  ค่าแรงของกลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานฝีมือ   เพราะส่วนที่มีผลกระทบต่อการปรับราคามากสุด คือ กลุ่มแรงงาน  ตามมาด้วยแรงงานฝีมือซึ่งต้องปรับตาม แม้ว่าปัจจุบันอัตราค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม  แต่แนวโน้มคาดว่าราคาจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 3-5 %
อย่างไรก็ตามสมาคมฯ ได้มีการประสานกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้คงราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของสมาคมฯ
เพื่อให้สามารถตรึงต้นทุนค่าก่อสร้างไว้ได้  รวมถึงสถาบันการเงินพันธมิตรที่พิจารณาให้สินเชื่อกับสมาชิกสมาคมฯ เป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อที่ผู้ประกอบการสมาชิกสมาคมฯ สามารถประคองราคาไว้นานที่สุดเพื่อช่วยผู้บริโภค
“ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในช่วงกลางปีไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น”
นางศิริพร กล่าวอีกว่า  สมาคมฯ ยังเดินหน้าแผนสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ  นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ
http://www.bangkokbiznews.com

สถานการณ์สร้างบ้านครึ่งปีแรก 61สดใส แม้เจอต้นทุนวัสดุก่อสร้างแพง!

สถานการณ์สร้างบ้านครึ่งปีแรก 61สดใส แม้เจอต้นทุนวัสดุก่อสร้างแพง!

สมาคมไทยรับสร้างบ้าน เผยความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว แม้ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับมือกับต้นทุนวัสดุก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลจากการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งนี้นายกสมาคมฯ ชี้แนะ ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีลดต้นทุน พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

สมาคมไทยรับสร้างบ้าน ประเมินความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคเผยประเภท “บ้านเดี่ยวสร้างเอง” ในช่วง 3 เดือนแรกขยายและเติบโตใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวม “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 แสนล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้าน (ไม่ใช่ผู้รับเหมาทั่วไป) ประเมินว่ามีแชร์ส่วนแบ่งตลาด 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท โดยประเมินว่าธุรกิจรับสร้างบ้านมีส่วนแบ่งตลาดไตรมาสแรกประมาณ 3.8-3.9 พันล้านบาท ในขณะที่ภาพรวมการแข่งขันพบว่ายังคงมีการแข่งขันกันรุนแรง ทั้งในแง่การสร้างความน่าเชื่อถือ และทำลายความน่าเชื่อถือของคู่แข่งขันด้วยกันเอง รวมทั้งการแข่งขันตัดราคาของผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหม่ๆ ซึ่งสวนทางกับต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกปีนี้

ต้นทุนสูง จากปัจจัยแรงงานขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้น
ต้นทุนสูง จากปัจจัยค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้น

ทิศทางตลาดและปัจจัยบวก-ลบ
แม้ทิศทางตลาดรับสร้างบ้านจะปรับตัวดีขึ้นในระยะ 3-6 เดือนที่ผ่านมา แต่อาจต้องรับมือกับแนวโน้มต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง หลายรายต่างทยอยขอปรับราคาเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้ผลิตวัสดุโครงสร้างและซีเมนต์ราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 3-5% และกลุ่มวัสดุตกแต่งราคาปรับขึ้น 10-20%

ทั้งนี้จากการสุ่มสำรวจตัวอย่าง สมาคมฯ พบว่าผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ ยังคงยืนราคาขายเดิมหรือไม่มีการปรับราคาในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงปัญหาและความเสี่ยงการบริหารต้นทุนในอนาคต หากว่าผู้ประกอบการรายใดไม่มีอำนาจต่อรอง กับผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่แห่ปรับขึ้นราคากันทั่วหน้า นอกจากนี้ค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น อันมีผลมาจากปัญหาขาดแคลนแรงงานก็ยังเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังต้องเผชิญและแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย สถานการณ์ดังกล่าวจึงบีบให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาบ้านตามกัน

นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน

สมาคมฯ ชี้แนะ
สมาคมฯ แนะผู้ประกอบการหาทางลดต้นทุนค่าบริหารจัดการและค่าการตลาด อาจนำเทคโนโลยีก่อสร้างและเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่มาใช้งานมากขึ้น ใช้การตลาดออนไลน์เพื่อจะสื่อสารและเข้าถึงผู้บริโภคจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการจัดการแบบเดิมๆ ทั้งนี้ นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านและการแข่งขันในช่วงไตรมาสแรกบรรยากาศโดยรวมน่าพอใจ ส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมการตลาดที่บรรดาผู้ประกอบการแข่งขันกันจัดขึ้น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงนี้ ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ การจัดอีเวนท์งานบ้านและวัสดุในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือแบบบ้านเทรนด์ใหม่ๆ สู่ตลาด ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการชั้นนำหลายรายที่ประกาศตัวเลขออกมาค่อนข้างสวยหรู

อย่างไรก็ตามมีการคาดว่าตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 2 มีทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยเฉพาะปัญหาต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่าความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อยังดีต่อเนื่อง หากแต่ผู้ประกอบการต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวเอง เพื่อยกระดับและหนีมุมมองธุรกิจรับสร้างบ้านของผู้บริโภค

https://www.ddproperty.com


รมว.คลังลั่น ‘จีดีพี’ ปีนี้โต 4.2% สั่งดันเศรษฐกิจฐานราก

รัฐมนตรีคลัง ฟันธงเศรษฐกิจไทยปีนี้โตตามเป้า 4.2% ชูนโยบายเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจรากหญ้าผ่านการสร้างงานสร้างอาชีพ หวังช่วยคนรายได้น้อย พ้นเส้นความยากจน

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังเป็นไปตามเป้าหมายซึ่งวางไว้ที่ 4.2% โดยเศรษฐกิจในระดับมหภาคฟื้นตัวดีขึ้นจากผลประกอบการของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับ การเดินหน้านโยบายช่วยเหลือคนจน จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ สามารถขยายตัวได้ตามศักยภาพ

เขากล่าวว่า ตอนนี้ รัฐบาลไม่ห่วงผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีความสามารถอยู่แล้วในการบริหารธุรกิจให้มีผลประกอบการที่ดี สะท้อนได้จากผลประกอบการในตลาดหุ้นที่ขยายตัวดีมาก หรือเติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับจีดีพีที่ขยายตัวได้ประมาณ 4% และจะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ขนเงินไปลงทุนต่างประเทศกันจำนวนมาก

เร่งช่วยเศรษฐกิจฐานราก

อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจมหภาคนั้น ไม่สามารถไหลไปสู่เศรษฐกิจระดับรากหญ้าได้อย่างทันใจ ทางรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง จึงต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือ โดยดำเนินการผ่านความช่วยเหลือด้านสวัสดิการคนจน ซึ่งได้ดำเนินการนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ กำลังเร่งสร้างงานสร้างอาชีพ เพื่อให้คนจนมีรายได้พ้นเส้นความยากจน ซึ่งถือนโยบายที่ต้องเดินหน้าให้สำเร็จ

“นโยบายการสร้างงานสร้างอาชีพแก่คนจนนี้ ผมให้มีการรายงานผลในทุกๆเดือน เพื่อให้รู้ว่า มีอะไรที่เราทำแล้วผิดพลาดบ้าง เพื่อจะได้แก้ไข ยกตัวอย่าง การอบรมชาวบ้านให้มีอาชีพนั้น จะต้องลงไปแนะนำเป็นรายตัวเลย ไม่ใช่อบรมครั้งละ 40-50 คน จากนั้น ก็แจกยาพาราเซตามอลเหมือนกัน อันนี้ ไม่ใช่ เพราะแต่ละคนก็มีปัญหาต่างกัน”

เพิ่มบุคลากรฝึกอาชีพคนจน

นอกจากนี้ ยังให้นโยบายไปว่า ให้เพิ่มจำนวนบุคลากรที่จะทำหน้าที่ไปสอนงานสอนอาชีพแก่คนจน หากต้องการใช้งบประมาณก็สามารถเพิ่มได้ เพราะตอนนี้ เรามีงบสำรองไว้ถึง 2 หมื่นล้านบาท หากงบดังกล่าวสามารถช่วยให้คนจนมีรายได้มากขึ้น เงินเหล่านี้ ก็จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นการแจกเงินที่ใส่ลงไปเท่าไรก็หายหมด

“ถ้าเราแจกเงิน ก็แป็บเดียวหมด แต่เงินที่เราได้มานั้น เราเอาไปพัฒนาศักยภาพคนจนให้มีรายได้ ก็เชื่อว่า คนจนเหล่านี้ จะเริ่มมีรายได้ที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ภายในสิ้นปีนี้ เราจะวัดผลการดำเนินงานในภาพรวมว่า ผลเป็นอย่างไร ถ้าดี ก็ดีใจ ถ้าไม่ดี ก็ทำใหม่”

งบประมาณเข้าจุดสมดุลใน10ปี

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพแล้ว กระทรวงการคลังจึงตั้งเป้าหมายที่จะทำกรอบนโยบายงบประมาณสมดุล ซึ่งทีมงานได้ทำตัวเลขไว้ว่า งบประมาณของไทยจะสามารถเข้าสู่จุดสมดุลได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยจีดีพีจะต้องขยายตัวได้ในระดับศักยภาพที่ประมาณ 4%ต่อปี นับจากวิกฤตเศษฐกิจที่ผ่านมา เราได้เตรียมพร้อมตัวเองหลายด้าน ความมั่นคงทางการคลังก็เพิ่มสูงขึ้น ค้าขายก็ได้กำไร ทำให้ทุนสำรองเพิ่มสูงขึ้น หนี้ต่างประเทศก็อยู่ในระดับต่ำแค่ 4%ของหนี้รวม นโยบายการขาดดุลที่ผ่านมา เราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้น

“ภายใต้งบประมาณสมดุลนั้น เราทำโมเดลในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีต่างๆ และ ประมาณการรายจ่ายและการลงทุนต่างๆ ดูตัวเลขแล้ว เราจะทำงบประมาณสมดุลได้ในอีก 10 ปีข้างหน้านับจากปีนี้เป็นปีแรก ส่วนหนี้สาธารณะนั้น จะสูงสุดที่ 48-49%ในระยะ 5 ปีข้างหน้า”

ทั้งนี้ งบประมาณด้านการลงทุนนั้น นอกจากส่วนใหญ่จะนำมาจากงบประมาณแล้ว ได้มีการประมาณการว่า จะนำมาจากการร่วมลงทุนของภาคเอกชนประมาณ 20-25%อีก 5%จะมาจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังมีความล่าช้าในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจาก อยู่ระหว่างการฟ้องร้องโดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

ชี้บริโภคโตจากกลุ่มรายได้กลาง-สูง

รายงานนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ฉบับเดือนมี.ค.2561 ระบุว่า การบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมา ขยายตัวจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในกลุ่มรายได้สูงเป็นหลัก โดยครัวเรือนนอกภาคเกษตรกลุ่มรายได้ปานกลาง-สูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 28,000 บาท และ 69,000 บาท มีสัดส่วนการใช้จ่ายประมาณ 66% ของการใช้จ่ายรวม

นอกจากนี้เครื่องชี้รายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรกลุ่มรายได้สูงมีทิศทางขยายตัวดีต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าคงทนโดยเฉพาะยานยนต์สามารถขยายตัวได้ ในทางกลับกันการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนและสินค้าไม่คงทน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคยังขยายตัวในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งเพราะกำลังซื้อของครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยทั้งในและนอกภาคเกษตรยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ

เม็ดเงินรัฐทยอยเข้าระบบปี61-62

รายงานระบุว่า ภาครัฐได้ออกมาตรการซึ่งมุ่งเน้นช่วยเหลือครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย อาทิ งบประมาณเพิ่มเติมในปี 2561 ที่เม็ดเงินสนับสนุนส่วนใหญ่จะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2561 และปี 2562 ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2

โดยโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการปฎิรูปภาคการเกษตรในส่วนของการสร้างอาชีพในฤดูแล้ง จะเป็นแรงสนับสนุนให้การบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถขยายตัวได้ และทำให้การบริโภคภาคเอกชนโดยรวมขยายตัวได้อย่างเข้มแข็งในอนาคต แม้ว่าอัตราการขยายตัวจะต่ำกว่าในอดีตบ้าง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังภาคบริการซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเดิมมากขึ้นและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

แนวโน้มบริโภคยังขยายตัว

รายงาน ยังระบุด้วยว่า ระยะข้างหน้า การบริโภคภาคเอกชนยังมีแรงส่งให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากวัฎจักรการบริโภคภาคเอกชนที่อยู่ในช่วงของการขยายตัว นำโดยวัฎจักรการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน ซึ่งสอดคล้องกับวัฎจักรการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

โดยเมื่อวิเคราะห์วัฎจักรการบริโภคภาคเอกชนจำแนกเป็นรายหมวด พบว่าในปัจจุบัน วัฎจักรของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวสอดคล้องกับวัฎจักรเศรษฐกิจ สะท้อนว่า ครัวเรือนจะบริโภคสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นมากกว่าแนวโน้มปกติ เนื่องจากครัวเรือนมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ วัฎจักรของการใช้จ่ายในหมวดบริการอยู่ในช่วงขยายตัว ส่วนวัฎจักรของการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนอยู่ในช่วงขยายตัวช้าๆ และวัฎจักรของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวใกล้เคียงกับแนวโน้มตามปกติ

http://www.bangkokbiznews.com

ค่าบาท ‘ทรงตัว’ ตลาดการเงินส่งสัญญาณบวก

บาทเปิดตลาดเช้านี้ทรงตัว “31.20 บาทต่อดอลลาร์” ตลาดการเงินส่งสัญญาณเชิงบวก แต่บอนด์ยีลด์สหรัฐยังอยู่ระดับต่ำ2.83%นักลงทุนยังไม่เปิดรับความเสี่ยง บาทแกว่งแข็งค่ากรอบแคบ

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 31.20บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน

ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินส่งสัญญาณในเชิงบวก S&P500 ของสหรัฐปรับตัวขึ้น 1.1% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.7% จากรายงานการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐที่แข็งแกร่ง รับกับภาพการลดภาษีและเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวถึง 6.8% ในไตรมาสที่หนึ่ง

อย่างไรก็ตาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ กลับออกมาเตือนตลาดในรายงาน World Economic Outlook ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวถึง 3.9% เพียงสองปีนี้เท่านั้น และจะชะลอตัวลงจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง

ด้านฝั่งตลาดบอนด์ กลับพบว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐส่งสัญญาณค่อนข้างสับสน ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.83% ไม่ตอบสนองกับตลาดที่เปิดรับความเสี่ยงเลย ภาพดังกล่าวชี้ชัดว่า แม้ภาวะตลาดทุนจะเป็นบวกกับเอเชียแต่นักลงทุนก็ยังมีความกังวลอยู่

สำหรับค่าเงินบาทในวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบเช่นเดิม จากแรงกดดันตามแนวโน้มการเกินดุลการค้า และภาพรวมค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีทิศทางอ่อนค่า มองกรอบเงินบาทระหว่างวันที่ระดับ 31.15 – 31.25 บาทต่อดอลลาร์

http://www.bangkokbiznews.com

‘สมาร์ทกระติ๊บ’คุมแคลอรี่ข้าวเหนียว

กระติ๊บข้าวควบคุมปริมาณข้าวที่จะบริโภคต่อมื้อ พร้อมส่งสัญญาณเตือนเมื่อกินมากเกินปริมาณกำหนด

ผลงานสมาร์ทกระติ๊บหรือกล่องข้าวอัจฉริยะจาก รศ.นิพนธ์ ธีรอำพน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ และประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์วิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)

ติดเซ็นเซอร์บนกระติ๊บข้าวควบคุมปริมาณข้าวที่จะบริโภคต่อมื้อ พร้อมส่งสัญญาณเตือนเมื่อกินมากเกินปริมาณกำหนดแนวคิดการพัฒนาเกิดจากปัญหาผู้สูงอายุในภาคเหนือและภาคอีสานส่วนใหญ่มักจะมีน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานจากการลงพื้นที่ร่วมกับคณะพยาบาลศาสตร์ พบว่า แหล่งที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเกิดจากข้าวเหนียวซึ่งมีปริมาณน้ำตาลต่อน้ำหนักสูงถึง 2 เท่าของข้าวเจ้า

นวัตกรรมนี้ต้องการสร้างความตระหนักในการบริโภคข้าวไม่ให้มากจนเกินไป โดยผู้ใช้จะต้องชั่งน้ำหนักข้าวก่อนรับประทาน จากนั้นระบบจะร้องเตือนเมื่อปริมาณข้าวเกินกำหนดมาตรฐานที่ตั้งไว้ไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่ต่อมื้อ ปัจจุบันทีมงานได้ผลิตชิ้นงานต้นแบบ 100 ชิ้น ส่งทดสอบใช้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่ จ.เชียงใหม่ ลำพูน ต้นทุนชิ้นงานต้นแบบประมาณ 5,000 บาท แต่ถ้าผลิตในเชิงพาณิชย์จะลดเหลือ 1,000-1,500 บาท และในอนาคตจะพัฒนาให้สามารถวัดอาหารเมนูอื่นๆ เช่น ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว แฮมเบอเกอร์ รวมทั้งอาจจะพัฒนาใช้กับภาชนะอื่น เช่น จาน ชาม โดยนำเทคโนโลยีสมองกลฝังตัวมาใช้ร่วมด้วย

http://www.bangkokbiznews.com

ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 18/04/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,800.00 19,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,283.00 19,450.28 20,400.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,154.70 17,505.25 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 577.00 8,747.32 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 449.00 6,806.84 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,330.00 20,162.80 n/a
 
ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  18/04/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
แก๊สโซฮอล E-20 25.94 25.94 25.94 25.44 25.94 25.94 25.94 25.94 25.94
แก๊สโซฮอล E-85 20.44 20.44 20.44 20.44
แก๊สโซฮอล 91 28.18 28.18 28.28 27.68 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18
เบนซิน 95 35.56 36.01 36.06 35.56 35.56 35.56
ดีเซลหมุนเร็ว 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79 27.79
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.79 31.66 31.66 31.16 31.66
มีผลตั้งแต่ 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00 18 Apr 05:00

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า