เคาะก.พ.ปีหน้า เปิดลงทุนมิกซ์ยูสย่าน “บางซื่อ” หมื่นล้าน พลิกโฉมฮวงจุ้ยประเทศไทยในรอบ200ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2561 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จัดงานรับฟังความเห็นภาคเอกชนในการลงทุน (Market Sounding) โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน แปลง A ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ย่านพหลโยธิน 2,325 ไร่
เพื่อให้ภาคเอกชนและนักลงทุนเห็นถึงศักยภาพของสถานีกลางบางซื่อและแผนการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีกลางบางซื่อ พร้อมร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อนำไปยกร่างทีโออาร์
โดยมีเอกชนเข้าร่วมมีทั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกไทยและต่างประเทศ อาทิ ทีซีซีกรุ๊ป, ซี.พี.แลนด์, ยูนิเวนเจอร์, เซ็นทรัลพัฒนา, สิงห์เอสเตท, พร็อพเพอร์ตี้, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, สยามแม๊คโคร, เดอะมอลล์, แสนสิริ ส่วนต่างชาติมีจากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้
นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร.ฟ.ท.ได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) จัดทำ “แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน” พื้นที่รวม 2,325 ไร่ แบ่งพื้นที่พัฒนา 9 แปลง มีระยะการพัฒนา 3 ระยะ ใช้เวลาพัฒนา 15-20 ปี ในระยะแรกปี 2561-2565 มีโซน A, E, D ระยะที่ 2 ปี 2566-2570 โซน C, F, G และระยะที่ 3 ปี 2571- 2575 โซน B, D, H, I
ในเบื้องต้นจะนำพื้นที่เชิงพาณิชย์แปลง A ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของสถานีกลางบางซื่อ และเป็นแปลงที่อยู่ติดสถานีกลางบางซื่อมาพัฒนาเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดรับกับการเปิดให้บริการของสถานีกลางบางซื่อที่จะเปิดบริการอย่างเป็นเต็มรูปแบบต้นปี 2564
สำหรับพื้นที่แปลง A มีเนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ มูลค่าการลงทุนกว่า 11,721 ล้านบาท มีแผนจะพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจครบวงจร” รูปแบบมิกซ์ยูส โดยเป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน โรงแรม และพื้นที่การค้าปลีก จะเปิดให้ภาคเอกชนและนักลงทุนที่สนใจร่วมลงทุนในรูปแบบ DBFOT คือ ออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง จัดหาแหล่งเงินลงทุนและบริหารจัดการโครงการ ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี และก่อสร้าง 4 ปี รวม 34 ปี นับเป็นโครงการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่แปลงแรกที่ ร.ฟ.ท.นำมาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ในรอบ 10 ปี คาดว่า ร.ฟ.ท.จะได้ผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาจากโครงการนี้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท
“เพื่อรับกับการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อในปี 2564 จะให้เอกชนพัฒนาเฟสแรกของโซน A ก่อน ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางเพื่อมาสนับสนุนการบริการสถานีกลางบางซื่อ ที่คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการประมาณ 208,000 เที่ยวคนต่อวัน เพราะจะเป็นศูนย์กลางด้านการเดินทางของระบบรางมีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟชานเมือง และรถไฟระยะไกล ในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน จากนั้นจะเปิดบริการเต็มโครงการได้ในปี 2566”
สำหรับการเปิดประมูลคาดว่าจะประกาศทีโออาร์ได้ภายในเดือน ม.ค. 2562 จากนั้นเดือน ก.พ.-เม.ย. เปิดให้ยื่นข้อเสนอ และประเมินผลข้อเสนอกลางเดือน พ.ค.-มิ.ย. และเดือน ก.ค.-ก.ย.จะเจรจาผลตอบแทนกับเอกชนที่ชนะประมูล คาดว่าจะเซ็นสัญญาไม่เกินเดือน พ.ย.2562 เริ่มพัฒนากลางปี 2563 เนื่องจากหากโครงการจะต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ทางเอกชนจะต้องยื่นขออนุมัติก่อนถึงจะดำเนินการได้
“ตอนนี้มีเอกชนไทยและต่างชาติรายหลายที่สนใจจะลงทุน ทั้งเซ็นทรัล เดอะมอลล์ ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถร่วมทุนกันมาพัฒนาก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย คือ ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49%”
ด้านผู้แทนจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ระบุว่า พื้นที่โซน A มีเนื้อที่ 32 ไร่ เป็นพื้นที่อยู่ในทำเลมีศักยภาพ เนื่องจากอยู่ห่างจากสถานีกลางบางซื่อ 500 เมตร มีโครงข่ายคมนาคมขนส่งเชื่อมการเดินทางทั้งรถไฟฟ้า รถบีอาร์ที ทางด่วนและถนนที่อยู่โดยรอบและภายในโครงการ เช่น ถนนกำแพงเพชร ถนนพระราม 6 ถนนเทอดดำริ เป็นต้น
รูปแบบการพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มีสำนักงาน โรงแรม และศูนย์การค้า แบ่งเป็น 3 แปลงย่อย คือ A1 เนื้อที่ 9.58 ไร่ A2 เนื้อที่ 8.95 ไร่ และ A3 เนื้อที่ 13.58 ไร่ มูลค่าการลงทุน 11,721 ล้านบาท รายได้ของโครงการตลอดอายุสัญญา 156,292 ล้านบาท มี IRR 12.18% ซึ่งเป็นโครงการที่ความคุ้มค่าต่อการลงทุน
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การพัฒนาสถานีกลางบางซื่อเมื่อแล้วเสร็จ จะเป็นการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยใหม่ของประเทศไทย ในรอบ 200 ปี จากการพัฒนาทางด้านใต้ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ บริเวณสถานีหัวลำโพง ย้ายมาอยู่ทางด้านเหนือ ที่ย่านบางซื่อ ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือดาวน์ทาวน์ ส่วนหัวลำโพงจะเป็นโอลด์ทาวน์
นอกจากนี้ ย่านบางซื่อยังเป็นพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาลจะพัฒนาเป็นสมาร์ซิตี้หรือเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเอกชนที่สนใจลงทุนพัฒนาโครงการก็สามารถยื่นเสนอได้ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และยังสามารถยื่นขอสิทธิพิเศษการพัฒนาได้ตามที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำหนด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ถกประเด็น…คุมเข้มสินเชื่อบ้าน ใครได้ประโยชน์
ยังคงเป็นที่ถกเถียง สำหรับมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ปีหน้า ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เน้นคุมเข้มบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป หรือที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะปล่อยกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 80% และต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ซึ่งจะมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2562 เน้นดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเก่าที่รีไฟแนนซ์ รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องทุกประเภทที่ใช้หลักประกันเดียวกันในการคำนวณ นับตั้งแต่เงินกู้เพื่อซื้อบ้าน บวกกับสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิต สินเชื่อเพื่อการปรับปรุง/ต่อเติม/ซ่อมแซม เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบันนับเฉพาะเงินกู้เพื่อซื้อบ้านเท่านั้น
ป้องกันหนี้ครัวเรือนพุ่ง-ดีมานด์เทียม
มาตรการดังกล่าว ธปท. ระบุว่า เป็นการสร้างมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวัง ซึ่งจะปลอดภัยสำหรับสถาบันการเงินผู้ให้กู้และผู้กู้ เพราะหากให้สินเชื่อเกินกว่าความต้องการบ้าน ในระยะยาวจะส่งผลให้ผู้กู้ มีหนี้มากเกินความจำเป็น สุดท้ายจะมีผลกระทบต่อราคาบ้าน เพราะเมื่อความต้องการของผู้บริโภคสูงขึ้นก็จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลกระทบผู้ที่อยากจะมีบ้านหลังแรก ต้องไปซื้อบ้านในราคาที่แพงจนเกินไป ซึ่งจะมีผลกระทบต่อหลายๆ ภาคส่วน อีกทั้งยังเป็นการป้องกันดีมานด์เทียม ป้องกันประชาชนไปก่อหนี้โดยที่ยังไม่ได้ประเมินว่า หากซื้อบ้านแล้วในอนาคตบ้านราคาตกลงจะมีผลกระทบต่อตัวเองอย่างไร โดยเฉพาะการลงทุน เพื่อปล่อยเช่า หรือขายต่อ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต
สำหรับข้อมูลการขอสินเชื่อใหม่ที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา มีจำนวน 100,000 บัญชี วงเงินรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 15,000 บัญชี หรือคิดเป็น 15% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด เป็นสัญญาที่ 2 และเป็นสัญญาเงินกู้ที่มีมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยในจำนวนนี้ มีการปล่อยสินเชื่อเกินกว่า 80% หรือเกิน threshold ที่กำหนดของมูลค่าบ้านที่เป็นหลักประกัน มีจำนวนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คงค้างสะสมมียอดรวม 3 ล้านล้านบาท
ภาคธนาคารหวั่นกระทบกลุ่มรีไฟแนนซ์
นายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในมุมของผู้ให้สินเชื่อไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสามารถปรับกระบวนการทำงานได้ แต่ต้องมีความชัดเจนในเรื่องของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้กับผู้กู้มากกว่านี้ เพราะเกณฑ์ LTV (loan to value) หรือเพดานสินเชื่อใหม่ มีผลกระทบกับผู้ที่ผ่อนบ้านมาแล้ว 3 ปี และอยากรีไฟแนนซ์เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง เนื่องจากตามปกติการผ่อนบ้านในช่วง 3 ปีแรก เงินต้นจะลดลงไปเพียง 6-7% เท่านั้น การลดวงเงินรีไฟแนนซ์เหลือเพียง 80% จึงกระทบต่อผู้กู้อย่างแน่นอน
ส่วนตัวแทนจากธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาใช้เกณฑ์กำกับดูแลสำหรับบ้านหลังที่ 3 แทนบ้านหลังที่ 2 เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมของคนที่ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันจะซื้อบ้านย่านชานเมืองเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนในเมืองจะซื้อคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เพื่อลดเวลาเดินทาง หากต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% บางครอบครัวอาจไม่ไหว
ภาคอสังหาฯ แนะคุมบ้านหลังที่ 3-เลื่อนเวลา หวั่นกระทบตลาด
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือปัญหาการเหลื่อมเวลา และอาจเป็นผลกระทบต่อลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยแต่อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยมีกำหนดรับโอนหลังปี 2562 เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยมีลักษณะพิเศษ เพราะสินค้าที่ส่งมอบจะต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงทำการส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ใช้เวลาก่อสร้างนาน 1-3 ปี ซึ่งจากการประเมินพบว่า มียอดขายอยู่ระหว่างสร้างรอโอน เพื่อส่งมอบหลังปี 2562 มูลค่ารวม 6 แสนล้านบาท
ดังนั้นหากใช้เกณฑ์ใหม่ที่มีเพดานสินเชื่อ 80% เท่ากับต้องดาวน์ 20% จึงมีส่วนต่างที่ผู้ซื้อต้องโปะเงินดาวน์เพิ่มอีกอย่างน้อย 10-15% ตรงจุดนี้เกรงว่าผู้บริโภคหรือผู้ซื้อจะรับภาระไม่ไหว ธปท. จึงควรระบุคำจำกัดความของบ้านหลังที่ 2 ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และต้องสร้างความเข้าใจกรณีที่สัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีผู้กู้ร่วมมากกว่า 1 คน ซึ่งผู้กู้ร่วมหรือผู้ค้ำประกันคนที่ 2 หรือคนถัดไปจะถูกนับว่าเป็นผู้กู้ในสัญญาแรก ทำให้เสียโอกาสในการทำสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของตัวเอง จึงขอเสนอให้ใช้มาตรการกับสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในบ้านหลังที่ 3 และเลื่อนกำหนดบังคับใช้จากเดิม 1 มกราคม เปลี่ยนเป็น 1 กรกฎาคม 2562 แทน ให้ผู้บริโภคมีเวลาเตรียมตัวรองรับมาตรการใหม่ เนื่องจากกำหนดเดิมมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึง 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ด้านผลสำรวจหลังงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ช่วงวันที่ 4-7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา และมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คาดว่าจะมียอดขายตามมาอีกไม่ต่ำกว่า 2 เท่า โดยผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยราว 80% ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 20% ซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งในจำนวนนี้ 27% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 1-2 ล้านบาท และ 29% ต้องการระดับ 2-3 ล้านบาท และอีก 32% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท มีเพียง 12 % ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จึงอาจมองได้ว่า มาตรการคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นไปที่บ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท และบ้านหลังที่ 2 ยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มาซื้อที่อยู่อาศัย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
9 สิ่งที่ต้องทำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในบ้านที่อาจเกิดกับเด็ก
คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปหลังจากคลอดลูก’ ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวรวมถึงเรื่องบ้าน โดยเฉพาะเรื่องบ้านที่กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะบ้านถือเป็นสถานที่ที่แรกที่เด็กจะได้ใช้เป็นพื้นที่เรียนรู้ในการปฏิบัติตัว ว่ามีอะไรบ้างที่เล่นได้และอะไรที่ไม่ควรซน เราคงไม่แนะนำให้ย้ายของทุกชิ้นที่มีออกจากบ้านเพียงเพราะคุณมีลูกเล็กหรือใกล้จะคลอด เพียงแต่ต้องเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น
4 อย่างที่ต้องมีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน
1. อุปกรณ์สำหรับป้องกันการบาดเจ็บที่นิ้วมือ เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งได้ง่าย เพียงแค่เอาไปติดไว้กับประตู และสามารถหยิบใช้ได้สะดวก แถมยังมีอุปกรณ์เสริมสำหรับประตูที่บางกว่าปกติ
2. ประตูป้องกันเด็กไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ต่างๆ สามารถช่วยลดอันตรายต่อเด็ก โดยการกั้นไม่ให้เด็กเข้าห้องครัวใกล้เตาร้อนๆ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ล็อคบานตู้ไม่ให้เด็กเปิดตู้เองได้ เพื่อป้องกันเด็กโดนตู้หนีบนิ้ว
3. ยางติดขอบโต๊ะ ควรติดแผ่นยางตามมุมโต๊ะเพื่อป้องกันลูกเดินชนหรือกระแทก ในกรณีมีแผ่นกระจกวางไว้บนโต๊ะควรย้ายออกไปไว้ที่อื่นก่อนชั่วคราวจนกว่าลูกจะโต
4. ชั้นวางหนังสือและลิ้นชักใส่เสื้อผ้าแบบยึดติดกับผนัง เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์คว่ำได้ง่าย เวลาลูกปีนป่ายอาจถูกล้มทับได้ง่าย
9 สิ่งที่ต้องทำเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน
1. เวลาเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับเด็กควรได้มาตรฐาน เช่น เตียง ชิงช้า รถเข็น ควรศึกษาข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเลือกอุปกรณ์และของใช้สำหรับเด็กที่ได้มาตรฐาน ซึ่งถูกออกแบบและทดสอบเพื่อความปลอดภัยของเด็ก
2. เก็บสายไฟ และวัตถุชิ้นเล็กที่เด็กสามารถกลืนลงคอให้พ้นมือเด็ก เพราะในช่วงที่ฟันของลูกน้อยกำลังจะขึ้น เด็กจะคันเหงือกและอยากกัดทุกอย่างที่คว้าได้
3. เก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มักมีสีสันสดใสและกลิ่นหอมให้พ้นมือเด็ก เนื่องจากน้องๆ หนูๆ ยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างน้ำผลไม้และน้ำยาทำความสะอาด ดังนั้นจึงควรเก็บให้พ้นมือเด็ก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
4. หน้าต่างควรมีที่ล็อคอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันเด็กพลัดหล่นจากตึก นอกจากนี้ไม่ควรวางเตียงเด็กหรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ไว้ใกล้หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ เพราะ เด็กอาจปีนป่ายและตกตึกได้
5. ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่บนโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมตามลำพัง เพราะเด็กอาจกลิ้งตกลงมาหรือไม่ก็ค่อยๆ ขยับตัวมาจนถึงขอบโต๊ะได้
6. ควบคุมอุณหภูมิของเครื่องทำน้ำอุ่นที่ลูกสามารถเปิดปิดได้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกซึ่งสามารถสร้างความเจ็บปวดได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผิวที่บอบบางของเด็ก
7. ไม่ควรใช้หมอนและผ้าห่มที่มีน้ำหนักมากบนที่นอนเด็ก ผ้าห่มที่ควรใช้ควรเป็นผืนใหญ่ผืนเดียวที่สามารถเก็บชายผ้าห่มไว้ที่ใต้เบาะได้ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการใช้ผ้าห่มหลายๆ ผืน ที่อาจพันตัวเด็กได้
8. ควรผูกเชือกสำหรับดึงผ้าม่านให้สั้นลงและพ้นมือเด็ก
9. เครื่องหอมและดอกไม้แห้งควรเก็บให้พ้นมือเด็ก น้ำมันและสารเคมีต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสารพิษ แต่เด็กๆ อาจคิดว่าเป็นขนม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
กองทุน ETF นวัตกรรมการลงทุน ทางเลือกที่ไม่ควรพลาด
ในช่วงที่ภาวะการลงทุนในตลาดโลกต้องรับมือกับความผันผวน การเลือกเข้ามาลงทุนใน ETF จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ มือใหม่สมัครเล่นอย่างเราๆ ก็อาจจะเกิดความสงสัยได้ว่า คือการลงทุนประเภทใด มีนโยบายการลงทุนอย่างไร วันนี้ rabbit finance ได้หาข้อมูลมาเสิร์ฟก่อนที่จะลงสนามการลงทุนจริงกันค่ะ
ใครคือผู้เริ่มต้นผู้คิดค้นการลงทุน ETF
ย้อนไปเมื่อปี 2536 Mr.Nate Most ได้นำใบเสร็จการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ หรือที่เรียกว่า commodity ในโกดังแทนการซื้อขายที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า จึงเป็นจุดกำเนิดของการนำประสบการณ์ในครั้งนั้นมาใช้ จนกระทั่งได้เกิดการพัฒนาจนมาเป็น
กองทุน ETF กองแรกของโลก โดยมีชื่อว่า Standard & Poor’s-500 Depositary Receipts หรือ SPDRs เรียกกันง่ายๆ ว่า Spiders และยังคงเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ยังได้ขยายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถบยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา อังกฤษ ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นเกือบทุกตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และไทย ก็ได้จัดตั้งและซื้อขายกองทุน ETF เช่นกัน แต่ในบ้านเรา ETF เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อช่วงปี 2550 หรือ 11 ปีที่แล้ว
ETF คืออะไร ทำไมถึงน่าลงทุน
ETF หรือ Exchange Traded Fund
เป็นกองทุนรวมประเภทกองทุนเปิดที่ไม่มีกำหนดอายุโครงการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสมือนหุ้นที่สามารถซื้อขายเหมือนหลักทรัพย์ตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายได้ตลอดวัน แต่มีความต่างจากกองทุนประเภทอื่นที่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ที่ราคาสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ณ สิ้นวันทำการเท่านั้น
โดยมีนโยบายการลงทุนที่คล้ายคลึงกับ Index fund ซึ่งเป็นการลงทุนที่อ้างอิงกับดัชนีต่างๆ เช่น ดัชนีที่อ้างอิงหุ้น (หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม) หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ (ตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารหนี้ระยะยาวตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน) หรือดัชนีหุ้นกู้บริษัทเอกชน รวมถึงดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ (ราคาทองคำแท่ง) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ETF เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในวงการตลาดทุนในต่างประเทศ จากการศึกษาโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุน ETF ทุกกองทุนทั่วโลกรวมกัน มีมูลค่ามหาศาล
ประเภทของการลงทุน ETF มีอะไรบ้าง
กองทุน ETFมีลักษณะคล้ายดัชนีทางการเงิน จึงสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท หากหลักทรัพย์ประเภทที่อ้างอิงดัชนี ได้แก่
1.อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น (Equity ETF)
- กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวม เช่น SET50 Index, S&P500 Index, NASDAQ Composite Index ฯลฯ
- อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวมของแต่ละประเทศ หรือดัชนีราคาหุ้นระหว่างประเทศ เช่น MSCI World Index ฯลฯ
- กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น SET Energy & Utilities Sector Index ฯลฯ
2.อ้างอิงดัชนีราคาตราสารหนี้
- กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาล หรือ Treasury Bond Index
- อ้างอิงดัชนีร าคาหุ้นกู้บริษัทเอกชน หรือ Corporate Bond Index
3.อ้างอิงหลักทรัพย์หรือดัชนีอื่นๆ
- กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ETF
- อ้างอิงดัชนีราคาทองคำ หรือ Gold ETF
นโยบายการลงทุนใน ETF
ETF ส่วนใหญ่มีนโยบายการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรับ หรือที่เรียกว่า Passive Management Strategy ที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิงมากที่สุด ไม่ได้เป็นการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรุก หรือเรียกว่า Active Management Strategy เพื่อเอาชนะตลาดเหมือนกองทุนรวมส่วนใหญ่ จึงทำให้ ETF มีค่าใช้จ่ายตลอดจนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป
ลงทุนใน ETF รับผลตอบแทนแบบไหน
การลงทุนใน ETF จะได้รับผลตอบแทนเป็น 2 แบบ ได้แก่
- กำไรจากส่วนต่างของราคา (capital gain) โดยหากผู้ลงทุนที่สามารถซื้อหน่วย ETF ในราคาต่ำแล้วสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าตอนที่ซื้อมา จะได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคา
- เงินปันผล (dividend) ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการถือหน่วย ETF ซึ่งได้มาจากเงินปันผลของบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index โดยผู้จัดการกองทุนจะจัดสรรเงินปันผล หลังจากหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุน
เบื้องต้นเราได้เห็นแล้วว่า การลงทุนใน ETF มีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยม และนักลงทุนคุ้นเคยกันมากที่สุดเห็นที่จะเป็นการลงทุนที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงย่อมมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นแล้วก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน ก็ควรที่จะศึกษาให้ดีเสียก่อนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก rabbitfinance.com
ขนมยามดึกไม่ใช่ปัญหา! วิจัยชี้ปมโรคอ้วน “นอนไม่พอ-ระบบเผาผลาญทำงานลดลง”
เดอะ การ์เดี้ยน รายงาน ผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการนอนหลับว่า การถูกรบกวนการนอนหลับในช่วงเวลากลางคืนจะทำให้ “ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง” และร่างกายจะมีความสามารถ “กักเก็บไขมัน” ไว้ได้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่โรคอ้วนมากกว่า “การกินขนม” ในเวลาดึก
ในขณะเดียวกันงานวิจัยชิ้นนี้รายงานว่า ผลกระทบต่อ “นาฬิกาชีวิต” ซึ่งเป็นผลพวงจากการถูกรบกวนขณะนอนหลับจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ตั้งแต่โรคหัวใจจนถึงโรคเบาหวาน
โจนาธาน ซีเดอเนย์ส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Uppsala ในประเทศสวีเดน และเป็นผู้เขียนงานวิจัย กล่าวว่า “การนอนหลับไม่ใช่เพียงการประหยัดพลังงานของร่างกาย แต่ยังมีฟังก์ชั่นอีกหลายอย่าง” ซึ่งการค้นพบนี้ โจนาธานต้องการชี้ให้เห็นถึงฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่ไม่มีอะไรสามารถทดแทนการนอนหลับได้
งานวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับก่อนหน้านี้หลายชิ้นมักเชื่อมโยง “การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ” เข้ากับโรคอ้วนและโรคเบาหวาน แต่ละเลยอธิบายเหตุผลในกระบวนการเชื่อมโยงเพราะเป็นสิ่งที่ “ยากจะอธิบาย”
การนอนหลับที่ไม่เพียงพอจะรบกวนฮอร์โมนส์ที่ทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหารและความอิ่ม ดังนั้นแล้วคนที่นอนไม่เพียงพอจึงกินมากกว่าปกติ และอาจเหนื่อยหน่ายการออกกำลังกาย รวมทั้งไม่สามารถต้านทานขนม-ของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ โดยงานวิจัยก่อนหน้านี้ของโจนาธานก็แสดงผลเช่นเดียวกันว่า คนที่ถูกรบกวนการนอนหลับเล็กน้อยมักเลือกทานอาหารที่มีแคลอรี่สูงและทานจำนวนมากกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้น โรคอ้วนมักก่อให้เกิดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งมีผลต่อการนอนหลับที่สนิทระหว่างคืน
ผลการศึกษาล่าสุดค้นพบว่า การนอนหลับที่ถูกรบกวนมีผลโดยตรงกับระบบเผาผลาญและการสมดุลระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ
งานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Science Advances โดยมีอาสาสมัครที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 15 คนเข้ารับการทดสอบและเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อกับไขมัน และเลือด ในคืนที่นอนหลับเป็นปกติกับคืนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน
เนื้อเยื่อไขมันของอาสาสมัครที่ถูกรบกวนการนอนแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามีการเพิ่มของเซลล์ดูดซับไขมัน ตรงกันข้ามกับเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ลดระดับโครงสร้างโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายต้องการรักษาโครงสร้างกล้ามเนื้อ
“การขาดการนอนหลับจะลดโปรตีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ” ซีเดอเนย์ส กล่าวและต่อว่า มีความเป็นไปได้ที่การควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงข้างต้น
ทั้งนี้ งานวิจัยยังชี้ถึงผลเสียของการถูกรบกวนในขณะนอนหลับต่อแผลอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคเบาหวานประเภทสอง
ความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับไม่เพียงพอและความเจ็บป่วยยังเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก และคนส่วนมากก็มีแนวโน้มรูปแบบการนอนหลับที่เปลี่ยนไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,900.00 | 18,800.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,400.00 | 18,464.88 | 1,218.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,131.92 | 1,262.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,618.39 | 1,096.20 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,771.90 | 974.40 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,307.68 | 548.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,458.16 | 426.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 | 30.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 | 30.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.44 | 27.44 | 27.44 | 27.44 | 27.44 | – | 27.44 | 27.44 | 27.44 | 27.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.44 | 21.44 | – | – | – | – | – | 21.44 | 21.44 | – |
เบนซิน 95 | 37.56 | – | – | – | 38.01 | – | 38.06 | 37.86 | 37.66 | 37.86 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.73 | 15.73 | – | – | – | – | – | – | – | – |