สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561

เคาะก.พ.ปีหน้า เปิดลงทุนมิกซ์ยูสย่าน “บางซื่อ” หมื่นล้าน พลิกโฉมฮวงจุ้ยประเทศไทยในรอบ200ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2561 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จัดงานรับฟังความเห็นภาคเอกชนในการลงทุน (Market Sounding) โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน แปลง A ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ย่านพหลโยธิน 2,325 ไร่

เพื่อให้ภาคเอกชนและนักลงทุนเห็นถึงศักยภาพของสถานีกลางบางซื่อและแผนการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีกลางบางซื่อ พร้อมร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อนำไปยกร่างทีโออาร์

โดยมีเอกชนเข้าร่วมมีทั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกไทยและต่างประเทศ อาทิ ทีซีซีกรุ๊ป, ซี.พี.แลนด์, ยูนิเวนเจอร์, เซ็นทรัลพัฒนา, สิงห์เอสเตท, พร็อพเพอร์ตี้, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, สยามแม๊คโคร, เดอะมอลล์, แสนสิริ ส่วนต่างชาติมีจากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้

นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร.ฟ.ท.ได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) จัดทำ “แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน” พื้นที่รวม 2,325 ไร่ แบ่งพื้นที่พัฒนา 9 แปลง มีระยะการพัฒนา 3 ระยะ ใช้เวลาพัฒนา 15-20 ปี ในระยะแรกปี 2561-2565 มีโซน A, E, D ระยะที่ 2 ปี 2566-2570 โซน C, F, G และระยะที่ 3 ปี 2571- 2575 โซน B, D, H, I

ในเบื้องต้นจะนำพื้นที่เชิงพาณิชย์แปลง A ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของสถานีกลางบางซื่อ และเป็นแปลงที่อยู่ติดสถานีกลางบางซื่อมาพัฒนาเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดรับกับการเปิดให้บริการของสถานีกลางบางซื่อที่จะเปิดบริการอย่างเป็นเต็มรูปแบบต้นปี 2564

สำหรับพื้นที่แปลง A มีเนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ มูลค่าการลงทุนกว่า 11,721 ล้านบาท มีแผนจะพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจครบวงจร” รูปแบบมิกซ์ยูส โดยเป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน โรงแรม และพื้นที่การค้าปลีก จะเปิดให้ภาคเอกชนและนักลงทุนที่สนใจร่วมลงทุนในรูปแบบ DBFOT คือ ออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง จัดหาแหล่งเงินลงทุนและบริหารจัดการโครงการ ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี และก่อสร้าง 4 ปี รวม 34 ปี นับเป็นโครงการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่แปลงแรกที่ ร.ฟ.ท.นำมาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ในรอบ 10 ปี คาดว่า ร.ฟ.ท.จะได้ผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาจากโครงการนี้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท

“เพื่อรับกับการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อในปี 2564 จะให้เอกชนพัฒนาเฟสแรกของโซน A ก่อน ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางเพื่อมาสนับสนุนการบริการสถานีกลางบางซื่อ ที่คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการประมาณ 208,000 เที่ยวคนต่อวัน เพราะจะเป็นศูนย์กลางด้านการเดินทางของระบบรางมีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟชานเมือง และรถไฟระยะไกล ในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน จากนั้นจะเปิดบริการเต็มโครงการได้ในปี 2566”

สำหรับการเปิดประมูลคาดว่าจะประกาศทีโออาร์ได้ภายในเดือน ม.ค. 2562 จากนั้นเดือน ก.พ.-เม.ย. เปิดให้ยื่นข้อเสนอ และประเมินผลข้อเสนอกลางเดือน พ.ค.-มิ.ย. และเดือน ก.ค.-ก.ย.จะเจรจาผลตอบแทนกับเอกชนที่ชนะประมูล คาดว่าจะเซ็นสัญญาไม่เกินเดือน พ.ย.2562 เริ่มพัฒนากลางปี 2563 เนื่องจากหากโครงการจะต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ทางเอกชนจะต้องยื่นขออนุมัติก่อนถึงจะดำเนินการได้

“ตอนนี้มีเอกชนไทยและต่างชาติรายหลายที่สนใจจะลงทุน ทั้งเซ็นทรัล เดอะมอลล์ ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถร่วมทุนกันมาพัฒนาก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย คือ ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49%”

ด้านผู้แทนจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ระบุว่า พื้นที่โซน A มีเนื้อที่ 32 ไร่ เป็นพื้นที่อยู่ในทำเลมีศักยภาพ เนื่องจากอยู่ห่างจากสถานีกลางบางซื่อ 500 เมตร มีโครงข่ายคมนาคมขนส่งเชื่อมการเดินทางทั้งรถไฟฟ้า รถบีอาร์ที ทางด่วนและถนนที่อยู่โดยรอบและภายในโครงการ เช่น ถนนกำแพงเพชร ถนนพระราม 6 ถนนเทอดดำริ เป็นต้น

รูปแบบการพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มีสำนักงาน โรงแรม และศูนย์การค้า แบ่งเป็น 3 แปลงย่อย คือ A1 เนื้อที่ 9.58 ไร่ A2 เนื้อที่ 8.95 ไร่ และ A3 เนื้อที่ 13.58 ไร่ มูลค่าการลงทุน 11,721 ล้านบาท รายได้ของโครงการตลอดอายุสัญญา 156,292 ล้านบาท มี IRR 12.18% ซึ่งเป็นโครงการที่ความคุ้มค่าต่อการลงทุน

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การพัฒนาสถานีกลางบางซื่อเมื่อแล้วเสร็จ จะเป็นการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยใหม่ของประเทศไทย ในรอบ 200 ปี จากการพัฒนาทางด้านใต้ย่านเกาะรัตนโกสินทร์ บริเวณสถานีหัวลำโพง ย้ายมาอยู่ทางด้านเหนือ ที่ย่านบางซื่อ ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือดาวน์ทาวน์ ส่วนหัวลำโพงจะเป็นโอลด์ทาวน์

นอกจากนี้ ย่านบางซื่อยังเป็นพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาลจะพัฒนาเป็นสมาร์ซิตี้หรือเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเอกชนที่สนใจลงทุนพัฒนาโครงการก็สามารถยื่นเสนอได้ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และยังสามารถยื่นขอสิทธิพิเศษการพัฒนาได้ตามที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำหนด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  prachachat.net


ถกประเด็น…คุมเข้มสินเชื่อบ้าน ใครได้ประโยชน์

ถกประเด็น...คุมเข้มสินเชื่อบ้าน ใครได้ประโยชน์

ยังคงเป็นที่ถกเถียง สำหรับมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ปีหน้า ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เน้นคุมเข้มบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป หรือที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะปล่อยกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 80% และต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ซึ่งจะมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2562 เน้นดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเก่าที่รีไฟแนนซ์ รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องทุกประเภทที่ใช้หลักประกันเดียวกันในการคำนวณ นับตั้งแต่เงินกู้เพื่อซื้อบ้าน บวกกับสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิต สินเชื่อเพื่อการปรับปรุง/ต่อเติม/ซ่อมแซม เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบันนับเฉพาะเงินกู้เพื่อซื้อบ้านเท่านั้น

ป้องกันหนี้ครัวเรือนพุ่ง-ดีมานด์เทียม

มาตรการดังกล่าว ธปท. ระบุว่า เป็นการสร้างมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวัง ซึ่งจะปลอดภัยสำหรับสถาบันการเงินผู้ให้กู้และผู้กู้ เพราะหากให้สินเชื่อเกินกว่าความต้องการบ้าน ในระยะยาวจะส่งผลให้ผู้กู้ มีหนี้มากเกินความจำเป็น สุดท้ายจะมีผลกระทบต่อราคาบ้าน เพราะเมื่อความต้องการของผู้บริโภคสูงขึ้นก็จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลกระทบผู้ที่อยากจะมีบ้านหลังแรก ต้องไปซื้อบ้านในราคาที่แพงจนเกินไป ซึ่งจะมีผลกระทบต่อหลายๆ ภาคส่วน อีกทั้งยังเป็นการป้องกันดีมานด์เทียม ป้องกันประชาชนไปก่อหนี้โดยที่ยังไม่ได้ประเมินว่า หากซื้อบ้านแล้วในอนาคตบ้านราคาตกลงจะมีผลกระทบต่อตัวเองอย่างไร โดยเฉพาะการลงทุน เพื่อปล่อยเช่า หรือขายต่อ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต

สำหรับข้อมูลการขอสินเชื่อใหม่ที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา มีจำนวน 100,000 บัญชี วงเงินรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 15,000 บัญชี หรือคิดเป็น 15% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด เป็นสัญญาที่ 2 และเป็นสัญญาเงินกู้ที่มีมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยในจำนวนนี้ มีการปล่อยสินเชื่อเกินกว่า 80% หรือเกิน threshold ที่กำหนดของมูลค่าบ้านที่เป็นหลักประกัน มีจำนวนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คงค้างสะสมมียอดรวม 3 ล้านล้านบาท

ภาคธนาคารหวั่นกระทบกลุ่มรีไฟแนนซ์

นายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในมุมของผู้ให้สินเชื่อไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสามารถปรับกระบวนการทำงานได้ แต่ต้องมีความชัดเจนในเรื่องของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้กับผู้กู้มากกว่านี้ เพราะเกณฑ์ LTV (loan to value) หรือเพดานสินเชื่อใหม่ มีผลกระทบกับผู้ที่ผ่อนบ้านมาแล้ว 3 ปี และอยากรีไฟแนนซ์เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง เนื่องจากตามปกติการผ่อนบ้านในช่วง 3 ปีแรก เงินต้นจะลดลงไปเพียง 6-7% เท่านั้น การลดวงเงินรีไฟแนนซ์เหลือเพียง 80% จึงกระทบต่อผู้กู้อย่างแน่นอน

ส่วนตัวแทนจากธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาใช้เกณฑ์กำกับดูแลสำหรับบ้านหลังที่ 3 แทนบ้านหลังที่ 2 เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมของคนที่ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันจะซื้อบ้านย่านชานเมืองเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนในเมืองจะซื้อคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เพื่อลดเวลาเดินทาง หากต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% บางครอบครัวอาจไม่ไหว

asian casual male and house loan

ภาคอสังหาฯ แนะคุมบ้านหลังที่ 3-เลื่อนเวลา หวั่นกระทบตลาด

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือปัญหาการเหลื่อมเวลา และอาจเป็นผลกระทบต่อลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยแต่อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยมีกำหนดรับโอนหลังปี 2562 เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยมีลักษณะพิเศษ เพราะสินค้าที่ส่งมอบจะต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงทำการส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ใช้เวลาก่อสร้างนาน 1-3 ปี ซึ่งจากการประเมินพบว่า มียอดขายอยู่ระหว่างสร้างรอโอน เพื่อส่งมอบหลังปี 2562 มูลค่ารวม 6 แสนล้านบาท

ดังนั้นหากใช้เกณฑ์ใหม่ที่มีเพดานสินเชื่อ 80% เท่ากับต้องดาวน์ 20% จึงมีส่วนต่างที่ผู้ซื้อต้องโปะเงินดาวน์เพิ่มอีกอย่างน้อย 10-15% ตรงจุดนี้เกรงว่าผู้บริโภคหรือผู้ซื้อจะรับภาระไม่ไหว ธปท. จึงควรระบุคำจำกัดความของบ้านหลังที่ 2 ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และต้องสร้างความเข้าใจกรณีที่สัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีผู้กู้ร่วมมากกว่า 1 คน ซึ่งผู้กู้ร่วมหรือผู้ค้ำประกันคนที่ 2 หรือคนถัดไปจะถูกนับว่าเป็นผู้กู้ในสัญญาแรก ทำให้เสียโอกาสในการทำสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของตัวเอง จึงขอเสนอให้ใช้มาตรการกับสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในบ้านหลังที่ 3 และเลื่อนกำหนดบังคับใช้จากเดิม 1 มกราคม เปลี่ยนเป็น 1 กรกฎาคม 2562 แทน ให้ผู้บริโภคมีเวลาเตรียมตัวรองรับมาตรการใหม่ เนื่องจากกำหนดเดิมมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึง 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม ด้านผลสำรวจหลังงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ช่วงวันที่ 4-7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา และมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คาดว่าจะมียอดขายตามมาอีกไม่ต่ำกว่า 2 เท่า โดยผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยราว 80% ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 20% ซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งในจำนวนนี้ 27% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 1-2 ล้านบาท และ 29% ต้องการระดับ 2-3 ล้านบาท และอีก 32% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท มีเพียง 12 % ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จึงอาจมองได้ว่า มาตรการคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นไปที่บ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท และบ้านหลังที่ 2 ยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มาซื้อที่อยู่อาศัย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com


9 สิ่งที่ต้องทำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในบ้านที่อาจเกิดกับเด็ก

9 สิ่งที่ต้องทำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในบ้านที่อาจเกิดกับเด็ก

คุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปหลังจากคลอดลูก’ ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวรวมถึงเรื่องบ้าน โดยเฉพาะเรื่องบ้านที่กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะบ้านถือเป็นสถานที่ที่แรกที่เด็กจะได้ใช้เป็นพื้นที่เรียนรู้ในการปฏิบัติตัว ว่ามีอะไรบ้างที่เล่นได้และอะไรที่ไม่ควรซน เราคงไม่แนะนำให้ย้ายของทุกชิ้นที่มีออกจากบ้านเพียงเพราะคุณมีลูกเล็กหรือใกล้จะคลอด เพียงแต่ต้องเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น 

4 อย่างที่ต้องมีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน 

1. อุปกรณ์สำหรับป้องกันการบาดเจ็บที่นิ้วมือ เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งได้ง่าย เพียงแค่เอาไปติดไว้กับประตู และสามารถหยิบใช้ได้สะดวก แถมยังมีอุปกรณ์เสริมสำหรับประตูที่บางกว่าปกติ
2. ประตูป้องกันเด็กไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ต่างๆ สามารถช่วยลดอันตรายต่อเด็ก โดยการกั้นไม่ให้เด็กเข้าห้องครัวใกล้เตาร้อนๆ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ล็อคบานตู้ไม่ให้เด็กเปิดตู้เองได้ เพื่อป้องกันเด็กโดนตู้หนีบนิ้ว
3. ยางติดขอบโต๊ะ ควรติดแผ่นยางตามมุมโต๊ะเพื่อป้องกันลูกเดินชนหรือกระแทก ในกรณีมีแผ่นกระจกวางไว้บนโต๊ะควรย้ายออกไปไว้ที่อื่นก่อนชั่วคราวจนกว่าลูกจะโต
4. ชั้นวางหนังสือและลิ้นชักใส่เสื้อผ้าแบบยึดติดกับผนัง เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์คว่ำได้ง่าย เวลาลูกปีนป่ายอาจถูกล้มทับได้ง่าย

9 สิ่งที่ต้องทำเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน 

1. เวลาเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับเด็กควรได้มาตรฐาน เช่น เตียง ชิงช้า รถเข็น ควรศึกษาข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเลือกอุปกรณ์และของใช้สำหรับเด็กที่ได้มาตรฐาน ซึ่งถูกออกแบบและทดสอบเพื่อความปลอดภัยของเด็ก
2. เก็บสายไฟ และวัตถุชิ้นเล็กที่เด็กสามารถกลืนลงคอให้พ้นมือเด็ก เพราะในช่วงที่ฟันของลูกน้อยกำลังจะขึ้น เด็กจะคันเหงือกและอยากกัดทุกอย่างที่คว้าได้ 
3. เก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มักมีสีสันสดใสและกลิ่นหอมให้พ้นมือเด็ก เนื่องจากน้องๆ หนูๆ ยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างน้ำผลไม้และน้ำยาทำความสะอาด ดังนั้นจึงควรเก็บให้พ้นมือเด็ก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
4. หน้าต่างควรมีที่ล็อคอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันเด็กพลัดหล่นจากตึก นอกจากนี้ไม่ควรวางเตียงเด็กหรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ไว้ใกล้หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ เพราะ เด็กอาจปีนป่ายและตกตึกได้
5. ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่บนโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมตามลำพัง เพราะเด็กอาจกลิ้งตกลงมาหรือไม่ก็ค่อยๆ ขยับตัวมาจนถึงขอบโต๊ะได้
6. ควบคุมอุณหภูมิของเครื่องทำน้ำอุ่นที่ลูกสามารถเปิดปิดได้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกซึ่งสามารถสร้างความเจ็บปวดได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผิวที่บอบบางของเด็ก
7. ไม่ควรใช้หมอนและผ้าห่มที่มีน้ำหนักมากบนที่นอนเด็ก ผ้าห่มที่ควรใช้ควรเป็นผืนใหญ่ผืนเดียวที่สามารถเก็บชายผ้าห่มไว้ที่ใต้เบาะได้ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการใช้ผ้าห่มหลายๆ ผืน ที่อาจพันตัวเด็กได้
8. ควรผูกเชือกสำหรับดึงผ้าม่านให้สั้นลงและพ้นมือเด็ก
9. เครื่องหอมและดอกไม้แห้งควรเก็บให้พ้นมือเด็ก น้ำมันและสารเคมีต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสารพิษ แต่เด็กๆ อาจคิดว่าเป็นขนม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com


กองทุน ETF นวัตกรรมการลงทุน ทางเลือกที่ไม่ควรพลาด

ในช่วงที่ภาวะการลงทุนในตลาดโลกต้องรับมือกับความผันผวน การเลือกเข้ามาลงทุนใน ETF จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ มือใหม่สมัครเล่นอย่างเราๆ ก็อาจจะเกิดความสงสัยได้ว่า คือการลงทุนประเภทใด มีนโยบายการลงทุนอย่างไร วันนี้ rabbit finance ได้หาข้อมูลมาเสิร์ฟก่อนที่จะลงสนามการลงทุนจริงกันค่ะ

ใครคือผู้เริ่มต้นผู้คิดค้นการลงทุน  ETF

ETF

ย้อนไปเมื่อปี 2536 Mr.Nate Most ได้นำใบเสร็จการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ หรือที่เรียกว่า commodity ในโกดังแทนการซื้อขายที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า จึงเป็นจุดกำเนิดของการนำประสบการณ์ในครั้งนั้นมาใช้ จนกระทั่งได้เกิดการพัฒนาจนมาเป็น

กองทุน ETF กองแรกของโลก โดยมีชื่อว่า Standard & Poor’s-500 Depositary Receipts หรือ SPDRs เรียกกันง่ายๆ ว่า Spiders และยังคงเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

นอกจากนี้แล้ว ยังได้ขยายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถบยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา อังกฤษ ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นเกือบทุกตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และไทย ก็ได้จัดตั้งและซื้อขายกองทุน ETF เช่นกัน แต่ในบ้านเรา ETF เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อช่วงปี 2550 หรือ 11 ปีที่แล้ว

ETF คืออะไร ทำไมถึงน่าลงทุน

 

ETF

ETF หรือ Exchange Traded Fund

เป็นกองทุนรวมประเภทกองทุนเปิดที่ไม่มีกำหนดอายุโครงการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสมือนหุ้นที่สามารถซื้อขายเหมือนหลักทรัพย์ตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายได้ตลอดวัน แต่มีความต่างจากกองทุนประเภทอื่นที่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ที่ราคาสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ณ สิ้นวันทำการเท่านั้น

โดยมีนโยบายการลงทุนที่คล้ายคลึงกับ Index fund ซึ่งเป็นการลงทุนที่อ้างอิงกับดัชนีต่างๆ เช่น ดัชนีที่อ้างอิงหุ้น (หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม) หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ (ตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารหนี้ระยะยาวตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน) หรือดัชนีหุ้นกู้บริษัทเอกชน รวมถึงดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ (ราคาทองคำแท่ง) เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ETF เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในวงการตลาดทุนในต่างประเทศ จากการศึกษาโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุน ETF ทุกกองทุนทั่วโลกรวมกัน มีมูลค่ามหาศาล

ประเภทของการลงทุน ETF มีอะไรบ้าง

กองทุน ETFมีลักษณะคล้ายดัชนีทางการเงิน จึงสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท หากหลักทรัพย์ประเภทที่อ้างอิงดัชนี ได้แก่

ETF

1.อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น (Equity ETF)

  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวม เช่น SET50 Index, S&P500 Index, NASDAQ Composite Index ฯลฯ
  • อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวมของแต่ละประเทศ หรือดัชนีราคาหุ้นระหว่างประเทศ เช่น MSCI World Index ฯลฯ
  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น SET Energy & Utilities Sector Index ฯลฯ

2.อ้างอิงดัชนีราคาตราสารหนี้

  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาล หรือ Treasury Bond Index
  • อ้างอิงดัชนีร าคาหุ้นกู้บริษัทเอกชน หรือ Corporate Bond Index

3.อ้างอิงหลักทรัพย์หรือดัชนีอื่นๆ

  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ETF
  • อ้างอิงดัชนีราคาทองคำ หรือ Gold ETF

นโยบายการลงทุนใน ETF

ETF ส่วนใหญ่มีนโยบายการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรับ หรือที่เรียกว่า Passive Management Strategy ที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิงมากที่สุด ไม่ได้เป็นการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรุก หรือเรียกว่า Active Management Strategy เพื่อเอาชนะตลาดเหมือนกองทุนรวมส่วนใหญ่ จึงทำให้ ETF มีค่าใช้จ่ายตลอดจนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป

ลงทุนใน ETF รับผลตอบแทนแบบไหน

ETF

การลงทุนใน ETF จะได้รับผลตอบแทนเป็น 2 แบบ ได้แก่

  • กำไรจากส่วนต่างของราคา (capital gain) โดยหากผู้ลงทุนที่สามารถซื้อหน่วย ETF ในราคาต่ำแล้วสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าตอนที่ซื้อมา จะได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคา
  • เงินปันผล (dividend) ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการถือหน่วย ETF ซึ่งได้มาจากเงินปันผลของบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index โดยผู้จัดการกองทุนจะจัดสรรเงินปันผล หลังจากหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุน

เบื้องต้นเราได้เห็นแล้วว่า การลงทุนใน ETF มีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยม และนักลงทุนคุ้นเคยกันมากที่สุดเห็นที่จะเป็นการลงทุนที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงย่อมมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นแล้วก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน ก็ควรที่จะศึกษาให้ดีเสียก่อนนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  rabbitfinance.com


ขนมยามดึกไม่ใช่ปัญหา! วิจัยชี้ปมโรคอ้วน “นอนไม่พอ-ระบบเผาผลาญทำงานลดลง”

เดอะ การ์เดี้ยน รายงาน ผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการนอนหลับว่า การถูกรบกวนการนอนหลับในช่วงเวลากลางคืนจะทำให้ “ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง” และร่างกายจะมีความสามารถ “กักเก็บไขมัน” ไว้ได้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่โรคอ้วนมากกว่า “การกินขนม” ในเวลาดึก

ในขณะเดียวกันงานวิจัยชิ้นนี้รายงานว่า ผลกระทบต่อ “นาฬิกาชีวิต” ซึ่งเป็นผลพวงจากการถูกรบกวนขณะนอนหลับจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ตั้งแต่โรคหัวใจจนถึงโรคเบาหวาน

โจนาธาน ซีเดอเนย์ส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Uppsala ในประเทศสวีเดน และเป็นผู้เขียนงานวิจัย กล่าวว่า  “การนอนหลับไม่ใช่เพียงการประหยัดพลังงานของร่างกาย แต่ยังมีฟังก์ชั่นอีกหลายอย่าง” ซึ่งการค้นพบนี้ โจนาธานต้องการชี้ให้เห็นถึงฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่ไม่มีอะไรสามารถทดแทนการนอนหลับได้

งานวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับก่อนหน้านี้หลายชิ้นมักเชื่อมโยง “การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ” เข้ากับโรคอ้วนและโรคเบาหวาน แต่ละเลยอธิบายเหตุผลในกระบวนการเชื่อมโยงเพราะเป็นสิ่งที่ “ยากจะอธิบาย”

การนอนหลับที่ไม่เพียงพอจะรบกวนฮอร์โมนส์ที่ทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหารและความอิ่ม ดังนั้นแล้วคนที่นอนไม่เพียงพอจึงกินมากกว่าปกติ และอาจเหนื่อยหน่ายการออกกำลังกาย รวมทั้งไม่สามารถต้านทานขนม-ของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ โดยงานวิจัยก่อนหน้านี้ของโจนาธานก็แสดงผลเช่นเดียวกันว่า คนที่ถูกรบกวนการนอนหลับเล็กน้อยมักเลือกทานอาหารที่มีแคลอรี่สูงและทานจำนวนมากกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้น โรคอ้วนมักก่อให้เกิดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งมีผลต่อการนอนหลับที่สนิทระหว่างคืน

ผลการศึกษาล่าสุดค้นพบว่า การนอนหลับที่ถูกรบกวนมีผลโดยตรงกับระบบเผาผลาญและการสมดุลระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ

งานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ลงวารสาร Science Advances โดยมีอาสาสมัครที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 15 คนเข้ารับการทดสอบและเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อกับไขมัน และเลือด ในคืนที่นอนหลับเป็นปกติกับคืนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน

เนื้อเยื่อไขมันของอาสาสมัครที่ถูกรบกวนการนอนแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามีการเพิ่มของเซลล์ดูดซับไขมัน ตรงกันข้ามกับเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ลดระดับโครงสร้างโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายต้องการรักษาโครงสร้างกล้ามเนื้อ

“การขาดการนอนหลับจะลดโปรตีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ” ซีเดอเนย์ส กล่าวและต่อว่า มีความเป็นไปได้ที่การควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงข้างต้น

ทั้งนี้ งานวิจัยยังชี้ถึงผลเสียของการถูกรบกวนในขณะนอนหลับต่อแผลอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคเบาหวานประเภทสอง

ความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับไม่เพียงพอและความเจ็บป่วยยังเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก และคนส่วนมากก็มีแนวโน้มรูปแบบการนอนหลับที่เปลี่ยนไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  prachachat.net


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,900.00 18,800.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,400.00 18,464.88 1,218.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 19,131.92 1,262.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,618.39 1,096.20
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,771.90 974.40
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,307.68 548.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,458.16 426.00

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45 30.45
แก๊สโซฮอล์ 91 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18 30.18
แก๊สโซฮอล์ E20 27.44 27.44 27.44 27.44 27.44 27.44 27.44 27.44 27.44
แก๊สโซฮอล์ E85 21.44 21.44 21.44 21.44
เบนซิน 95 37.56 38.01 38.06 37.86 37.66 37.86
ดีเซล 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.89 33.76 33.76 33.76 33.76
แก๊ส NGV 15.73 15.73
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า