‘โฮล์ม เอกมัย 22’ โลว์ไรส์ในซอยเงียบ
คอลัมน์มุมบ้านใหม่
ทําเลเอกมัย ในซอยเงียบ มีความเป็นส่วนตัว แต่ยังรายล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ ยังคงได้รับความสนใจจากทั้งผู้พัฒนาและกลุ่มผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง สวนทางกับภาวะตลาดรวมที่ไม่หวือหวา และถือเป็นการเปิดตัว บุกตลาดคอนโดฯครั้งแรกของ บริษัท เอส เอ ฟิวเจอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ เลือกเจาะย่านเอกมัย กับโครงการ “โฮล์ม เอกมัย 22” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ มูลค่า 650 ล้านบาท ที่ให้บรรยากาศเหมือนบ้าน โดยโครงการชูจุดเด่นความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 90 ยูนิต ห้องพักต่อชั้นเพียง 14 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.18 แสนบาทต่อตารางเมตร ภายใต้การออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมที่กลมกลืน แปลกตา ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เพราะผู้พัฒนาต้องการให้เปรียบเป็น โอเอซิส ในย่านดังกล่าว ส่วนลักษณะอาคารภายนอกโดดเด่น สูง 8 ชั้น ถูกแบ่งเป็น 2 อาคาร เว้นช่องว่างกลางอาคารให้ลมพัดผ่าน โดยมีทางเชื่อมกันที่ชั้นล่างกับชั้นดาดฟ้าเพื่อใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันได้
ขณะที่ห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน 1 ห้องนํ้า ขนาดพื้นที่ 33.75-43.00 ตารางเมตร ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องนํ้า ขนาดพื้นที่ 60.50-77.25 ตารางเมตร และดูเพล็กซ์ขนาดพื้นที่ 66.75-101.00 ตารางเมตร นอกจากนี้ ภายในโครงการ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ล็อบบี้ สระว่ายนํ้า ห้องออกกำลังกาย ห้องเซานา-สตรีม สวนดาดฟ้า ห้องเด็กเล่น ห้องสมุด Co-Working Space และ Shuttle Service ที่มีให้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในการเดินทางระหว่างโครงการกับสถานีรถไฟฟ้าด้วย
ด้านทำเลที่ตั้ง ย่านเอกมัย รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษา โรงเรียนนานาชาติ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำ ทั้งในซอยทองหล่อ-เอกมัย ส่วนการเดินทาง สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งด้านซอยเอกมัย 22 สุขุมวิท 63 และซอยปรีดีพนมยงค์ 41 สุขุมวิท 71
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ของแพงหลบไป! แสนสิริรุกคอนโดจับต้องได้
บมจ. แสนสิริ เชื่อมั่นตลาดที่อยู่อาศัยกลุ่มเรียลดีมานด์ยังคงมีดีมานด์ในระดับสูง รุกหน้าแผนธุรกิจคอนโดฯ ราคาที่เข้าถึงได้ เป็นหัวหอกลุยตลาดปี 2562-2563 เปิดทำเล “เพชรบุรี-ทองหล่อ ” ราคาที่ดินดันราคาขายเติบโตสูง 33%
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ ที่ลูกค้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นหลัก แสนสิริจึงพิถีพิถันในการพัฒนาคอนโดมิเนียมทุกโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ได้มากที่สุด และตรงกับอุปสงค์ของตลาดคอนโดมิเนียมในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ไม่สูงมากอย่างคอนโดมิเนียมเซ็กเม้นต์ C และ D ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เรามองเห็นศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นที่ชุมชนที่เป็นทำเลของผู้อยู่อาศัยจริง โดยกลุ่มลูกค้ายังคงเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ในการซื้อคอนโดเพื่อสะท้อนความสำเร็จในฐานะของบ้านหลังแรก ประกอบกับปีนี้กลยุทธ์ของบริษัทเน้นการโอนกรรมสิทธิ์เป็นหลักเนื่องจากมีโครงการที่จะเสร็จสิ้นพร้อมโอนกรรมสิทธิ์รวม 10 โครงการ โดยคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้จากการโอนให้บริษัทกว่า 12,300 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้”
“ ปี 2563 แสนสิริจะยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเซ็กเม้นต์ C และ D โดยมุ่งเน้นขยายไปยังพื้นที่ที่เป็นทำเลชุมชนที่อยู่อาศัยจริงสะท้อนเรียลดีมานด์ ”
นายองอาจ ยังระบุถึงทำเลที่น่าสนใจในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เจาะกลุ่มดังกล่าว ว่า ย่านเพชรบุรี-ทองหล่อ เป็นหนึ่งทำเลที่น่าจับตามอง หลังจากประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว “โครงการเดอะ เบส เพชรบุรี-ทองหล่อ ” มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท อย่างไม่เป็นทางการ ด้วยยอดขาย 100% ของยูนิตพิเศษ รวมมูลค่า 550 ล้านบาท โดยทำเลนี้ มีความโดดเด่นทั้งแง่การอยู่อาศัยและการลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่า ขณะที่ อุปสงค์ของคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยในบริเวณถนนเพชรบุรี มีอัตราเพิ่มขึ้นสูงขึ้นโดยเฉลี่ยสูงถึงปีละ 4.5% อีกทั้งอุปทานของคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆในย่านนี้ที่ปัจจุบันมีเพียง 5,000 ยูนิต
นอกจากนี้ ราคาที่ดินเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องบนถนนเพชรบุรี โดยในปี 2556 ราคาที่ดินซื้อขายกันอยู่ที่ 300,000 บาท/ตารางวา และในปี 2562 เพิ่มขึ้นมาเป็น 600,000 บาท/ตารางวา หรือเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวในระยะเวลาเพียงหกปี โดยราคาที่ดินเฉลี่ยบริเวณถนนเพชรบุรีมีอัตราสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละ 10%
” ราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกันจากราคาเฉลี่ยประมาณ 90,000 บาท/ตารางเมตร ในปี 2558 เพิ่มมาอยู่ที่ 120,000 บาท/ตารางเมตร ในปี 2019 หรือเติบโตประมาณ 33% “
โดย Capital Gain ของย่านเพชรบุรีเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยเช่าเฉลี่ยในบริเวณถนนเพชรบุรีหรือ Rental Yield อยู่ที่ 6% ต่อปี ทั้งยังแวดล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์และแหล่งออฟฟิศแหล่งใหญ่ของกรุงเทพฯ อย่างย่านอโศก และสถานศึกษาชั้นนำ จึงทำให้ย่านเพชรบุรี-ทองหล่อ มีอุปสงค์จากกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
TPCH เดินเครื่องเต็มสูบ รับรู้รายได้เต็มปี 60 เมกะวัตต์ หนุนนิวไฮต่อเนื่อง
เร่งเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เพิ่มอีก 4 โรงไฟฟ้า ทำให้มีโรงไฟฟ้าชีวมวลขายไฟได้ครบทั้ง 10 โรงไฟฟ้า กำลังผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ ภายในปี 63
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวล 6 แห่ง กำลังการผลิตรวมทั้งหมด 60 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวลช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB) ,โรงไฟฟ้าชีวมวลแม่วงศ์ เอ็นเนอยี่ (MWE),โรงไฟฟ้าชีวมวลมหาชัย กรีน เพาเวอร์ (MGP) ,โรงไฟฟ้าชีวมวลทุ่งสัง กรีน (TSG ) โรงไฟฟ้าชีวมวล พัทลุง กรีน เพาเวอร์ (PGP) และโรงไฟฟ้าชีวมวลสตูล กรีน เพาเวอร์ (SGP) รับรู้รายได้เต็มปี หนุนผลงานนิวไฮต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ทีพีซีเอช เพาเวอร์1 (TPCH 1) ,โรงไฟฟ้าชีวมวล ทีพีซีเอช เพาเวอร์2 (TPCH2), โรงไฟฟ้าชีวมวล ทีพีซีเอช เพาเวอร์ 5 (TPCH5 ), โรงไฟฟ้าชีวมวล ปัตตานี กรีน เพาเวอร์ (PTG ) เพิ่มอีก 4 โรงไฟฟ้า ส่งผลให้มีโรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้ครบทั้ง 10
โรงไฟฟ้า กำลังการผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ ภายในปี 63 พร้อมกันนี้ ยังเดินหน้าก่อสร้าง โรงไฟฟ้าขยะสยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ให้เสร็จภายในปี 64 มั่นใจหนุนผลงานเติบโตโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง ส่งผลให้ล่าสุด โรงไฟฟ้าชีวมวลมหาชัย และทุ่งสัง กรีน ได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทพลังงานทดแทน On Grid จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน และบริษัท ฯยังได้ร่วมออกบูธในงาน 20 ปี Thailand Energy Awards เพื่อเป็นการโชว์ความสำเร็จของบริษัทฯในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลของ TPCH ที่มีผลงานที่โดดเด่นด้านการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00-18.00 น. ณ Hall 105 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
หมดไฟ ภาวะคุกคามคุณภาพชีวิต
การขาดสมดุลชีวิตและการทำงาน เป็นสาเหตุหลักของ “ภาวะหมดไฟ” ในการทำงาน จนส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษา และรับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ศ.นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายเวชศาสตร์ ป้องกันและสังคม รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า ภาวะคุกคามคุณภาพชีวิตของคนในปัจจุบันอาจไม่ใช่เพียงแค่โรคทางกายเท่านั้น แต่สภาวะความผิดปกติทางจิตใจกำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนวัยทำงานยุคนี้ ล่าสุดภาวะนี้กำลังเป็นที่กล่าวถึงในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย เรียกว่า “ภาวะหมดไฟ” หรือ Burn out องค์การอนามัยโลกประกาศว่าจะใช้มาตรฐานการจัดกลุ่มโรคฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 11 (International Classification of Diseases Revision11: ICD-11) ในวันที่ 1 มกราคม 2565 หรือ ค.ศ.2022 และมีข่าวว่าองค์การอนามัยโลกจะถือว่าภาวะหมดไฟเป็นโรค หรือเป็นการวินิจฉัยทางการแพทย์ได้ แต่ล่าสุด องค์การอนามัยโลกภาวะหมดไฟไม่ใช่โรค และแนะนำให้จำกัดการเรียกภาวะหมดไฟนี้เฉพาะในคนทำงานหรือประกอบอาชีพเท่านั้น ไม่ใช้คำนี้ในภาวะที่มีความรู้สึกลบหลายอย่างที่คล้ายกันแต่มีสาเหตุจากอย่างอื่น เช่น ครอบครัว คนรัก หรือเรื่องส่วนตัว
ภาวะหมดไฟเป็นภาวะผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน (Occupational Phenomenon) ไม่ใช่ความผิดปกติใหม่ แต่เป็นหัวข้อที่มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ สำหรับสาเหตุอาจกล่าวได้ว่า เป็นผลกระทบจากการขาดสมดุลชีวิตและการทำงาน (WorkLife Balance) ทำให้เกิดปัจจัยต่างๆ อันนำมาซึ่งภาวะหมดไฟในการทำงาน อาทิ ขาดการบริหารจัดการและการตัดสินใจที่ดี อยู่ใน สิ่งแวดล้อมหรือสภาพการทำงานที่มีความกดดันและความเครียดตลอดเวลา ขาดความชัดเจนในภาระงาน ไม่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน มีความรับผิดชอบในงานและความคาดหวังในการทำงานสูงมากเกินไป ทำงานที่ไม่เหมาะกับตนเองจนทำให้เกิดความเครียด ทำงานที่มีความวุ่นวายทำให้ต้องใช้พลังงานสูงจึงเหนื่อยล้าได้ง่าย และขาดแรงสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น
เมื่อเกิดภาวะหมดไฟอาจมีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติทั้งทางร่างกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำลงอันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมาได้บ่อยขึ้น จนถึงนอนไม่หลับ เป็นต้น สำหรับความผิดปกติทางอารมณ์ ได้แก่ รู้สึกล้มเหลว สิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย กังวลใจทุกครั้งที่ต้องไปทำงาน ขาดแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นในการทำงาน ขาดสมาธิและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดทัศนคติเชิงลบต่องานและผู้ร่วมงาน รู้สึกโดดเดี่ยว ฯลฯ อีกทั้งความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น การขาดความรับผิดชอบต่องาน หลีกเลี่ยงการทำงาน ปลีกตัวออกจากสังคม ใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงกินอาหารมากขึ้นเพื่อปลอบประโลมตัวเอง
ภาวะนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เหมือนเช่นโรคอื่นๆ แต่ก็สามารถทำได้ด้วยการใช้แบบสอบถาม “Burn out Self-Test” ที่พัฒนาขึ้นโดย คริสติน่า มาสลัช นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน ซึ่งแบบสอบถามนี้ได้จัดแบ่งคำถามตามหัวข้อชี้วัดภาวะหมดไฟในการทำงาน แบบสอบถามนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและทำการทดสอบได้ด้วยตนเอง หากพบว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะนี้อย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาและรับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
การลดความเสี่ยงและรักษาอาการนั้น เบื้องต้นสามารถเริ่มได้ด้วยตัวเองคือ ปรับสมดุลการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานทันที เพื่อไม่ให้ร่างกายและจิตใจทรุดโทรมไปมากกว่าเดิม เช่น พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบทุกมื้อและเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ชอบ จำกัดเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารและโซเชียลมีเดีย จัดลำดับความสำคัญของงานและเวลาในการทำงาน สร้างขอบเขตในการทำงาน ปรับมุมมองหรือทัศนคติให้เห็นถึงคุณค่าของงานที่ทำ ช่วยเหลือผู้อื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน หรือออกไปทำกิจกรรมจิตอาสา จะทำให้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
เตรียมระเบิดศึก “วิ่งเพื่อฮีโร่ไทย” โรด ทู โตเกียว 2020
“ตูน บอดี้สแลม” นำทัพคนดังร่วมวิ่งประลองความอึดใน “วิ่งเพื่อฮีโร่ไทย” ใน เดอะ เพาเวอร์ ออฟ ยูนิตี้ พรีเซนต์ โรด ทู โตเกียว 2020 ที่กกท. หัวหมาก
วันที่ 17 ต.ค.62 เดอะ เพาเวอร์ ออฟ ยูนิตี้ เชิญชวนคนไทยรวมพลังวิ่งเพื่อฮีโร่นักกีฬาไทย ก้าวสู่โตเกียว 2020 ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ที่ด้านหน้าอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย นำโดย ตูน อาทิวราห์, BNK48, โจอี้ บอย, ป๊อด โมเดิร์นด็อก, แสตมป์ อภิวัชร์ และใบเตย อาร์สยาม ร่วมด้วยนักกีฬาทั้งโอลิมปิกและพาราลิมปิกมาร่วมงานอย่างคับคั่ง
สำหรับรายได้จากการสมัครโดยไม่หักค่าใช้จ่าย จะมอบให้นักกีฬาเพื่อเป็นกำลังใจ และสนับสนุนทีมนักกีฬาไทยไปโอลิมปิกและพาราลิมปิก ที่โตเกียว 2020 ประเทศญี่ปุ่น สำหรับทุกคน โอลิมปิกและพาราลิมปิกเป็นการแข่งขันสำคัญที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี แต่สำหรับนักกีฬา โอลิมปิกและพาราลิมปิกคือทุกวันของชีวิตของนักกีฬา
โดยการแข่งขันแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ มินิมาราธอนระยะทาง 10 กิโลเมตร ค่าสมัคร 700 บาท วิ่งฟันรัน Fun Run ระยะทาง 5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 500 บาท และวิ่งฟันรัน (Guide Runner) ระยะทาง 5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 500 บาท ซึ่งจะร่วมวิ่งกับนักกีฬาพาราลิมปิก และผู้พิการทางสายตา
สมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://www.runlah.com/events/rtt2020 และ https://race.thai.run/herothai รวมถึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/ThePowerOfUnityRoadToTokyo2020
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
“อีเมล์” ช่องทางสื่อสารตลาดที่ไม่ควรมองข้าม!
เมื่อพูดถึงเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในแวดวงการตลาดในปัจจุบัน เรามักจะสนใจแต่เฉพาะช่องทางใหม่ๆ อย่างเช่น โซเชียล ระบบสั่งงานด้วยเสียง และ เทคโนโลยีเออาร์ (Augmented Reality หรือ AR) ซึ่งจะเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า และแม้ว่าแต่ละช่องทางที่กล่าวมาจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากที่แบรนด์มาปรับใช้เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้าในปัจจุบัน แต่ผลการศึกษาล่าสุดจากอะโดบีชี้ว่าช่องทางการตลาดรูปแบบเดิมอย่างอีเมล์ (Email) ยังคงรักษาสถานะที่มั่นคงและสร้างความมั่นใจกับลูกค้าได้อย่างดีท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีและช่องทางใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
ที่จริงแล้ว รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับการใช้อีเมล์ของอะโดบี (“Adobe Email Usage Study”) ประจำปี 2562 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจาก 1,002 คนในสหรัฐฯ ช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 ระบุว่า ผู้บริโภคใช้เวลาราว 5 ชั่วโมงต่อวัน โดยแบ่งเป็น ใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงเพื่อเช็คอีเมล์บริษัท และ ประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อเช็คอีเมล์ส่วนตัว ผู้บริโภคเหล่านี้รีเฟรชกล่องอินบ็อกซ์ของตนเองในหลายๆ ช่วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน เช่น ขณะที่กำลังดูทีวี บนเตียงนอน ระหว่างการประชุมเรื่องงาน ขณะขับรถ และแม้กระทั่งในห้องน้ำ
ซาราห์ เคนเนดี้ รองประธานฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ดิจิทัลของอะโดบี กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าเราทุกคนรู้สึกสบายใจกับการใช้อีเมล์ และอีเมล์ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราในเกือบทุกแง่มุม แม้ว่าเวลาที่เราใช้ในการเช็คอีเมล์โดยรวมมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา แต่ความถี่ในการเช็คอีเมล์ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ผลการสำรวจของอะโดบีตอกย้ำว่าอีเมล์ยังคงมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของลูกค้า และนั่นหมายความว่ายังคงมีโอกาสที่สูงมากสำหรับนักการตลาดในการใช้ประโยชน์จากอีเมล์เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรม”
“ความเกี่ยวเนื่องทางปริบท (Contextual Relevance) และคุณประโยชน์ นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้คุณสามารถนำเสนอคุณค่าของสินค้า (value) ให้กับลูกค้าได้ทันที ถ้าขาดปัจจัยดังกล่าว ลูกค้าก็จะไม่สนใจในสิ่งที่คุณนำเสนอ” เคนเนดี้กล่าวเพิ่มเติม
ผลการสำรวจชี้ว่า ผู้ใช้เปิดดูอีเมล์ที่ทำงานบ่อยครั้งกว่าอีเมล์ส่วนตัว โดยอยู่ที่ 80% และ 57% ตามลำดับ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าตนเองชอบที่จะรับข้อเสนอผ่านทางอีเมล์มากที่สุด (56% สำหรับอีเมล์ที่ทำงาน, 60% สำหรับอีเมล์ส่วนตัว) ซึ่งมากกว่าไดเร็คเมล โซเชียล และช่องทางการตลาดอื่นๆ อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคระบุว่า ในบรรดาข้อเสนอทางอีเมล์จากแบรนด์ต่างๆ มีเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่น่าสนใจหรือน่าดึงดูดมากพอที่จะเปิดอ่าน แล้วเพราะเหตุใดผู้บริโภคถึงไม่เปิดดูอีเมล์? ผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่าการที่แบรนด์ต่างๆ ส่งอีเมล์มาบ่อยครั้งเกินไปทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญใจ ทั้งในส่วนของอีเมล์ที่ทำงานและอีเมล์ส่วนตัว ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่ถูกกล่าวถึงได้แก่ ข้อมูลการตลาดเกี่ยวกับผู้รับอีเมล์ไม่ถูกต้อง ข้อเสนอที่ส่งมาใช้สำหรับสินค้าที่เคยซื้อไปแล้ว และข้อความที่ส่งมาใช้ถ้อยคำฟุ่มเฟือยหรือไม่เหมาะสม
ผู้บริโภคระบุว่า การปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ในการทำตลาดผ่านอีเมล์มีความสำคัญต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอีเมล์ส่วนตัว เมื่อแยกกลุ่มตามช่วงอายุ พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) (46%) ระบุว่าตนเองต้องการอีเมล์สื่อสารแบบเฉพาะบุคคลจากแบรนด์ต่างๆ ตามมาด้วย 43% ของคนกลุ่ม Gen X และ 30% ของคนรุ่นเบบี้บูม ในส่วนของอีเมล์ที่ทำงาน 37% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลต้องการให้มีลักษณะเป็นแบบเฉพาะบุคคล เช่นเดียวกับ 26% ของคนรุ่น Gen X และ 23% ของคนรุ่นเบบี้บูม
ผู้บริโภคระบุว่าตนเองรู้สึกหงุดหงิดมากที่สุดกับอีเมล์แนะนำสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงกับความสนใจของเขา โดยอยู่ที่ 33% สำหรับอีเมล์ที่ทำงาน และ 31% สำหรับอีเมล์ส่วนตัว
เคนเนดี้กล่าวเสริมว่า “ไม่ใช่ความลับอะไรที่ทุกวันนี้ลูกค้าคาดหวังประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลทั้งในส่วนของออนไลน์และออฟไลน์ การปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลที่ถูกต้องเหมาะสมและมีประโยชน์สำหรับการทำตลาดผ่านอีเมล์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ มันอาจฟังดูง่าย แต่คุณจะต้องระบุชื่อลูกค้าอย่างถูกต้อง ยื่นข้อเสนอที่โดนใจสำหรับสินค้าและโปรโมชั่นที่ลูกค้าสนใจ และเลิกใช้วิธีการส่งอีเมล์แบบเหมารวมจำนวนมากไปยังลูกค้าทุกรายที่อยู่ในรายชื่อ คุณจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่การงานของลูกค้า ตำแหน่งที่ตั้ง พฤติกรรมในอดีต และสิ่งอื่นๆ ที่คุณรู้เกี่ยวกับลูกค้าและได้รับความยินยอมจากลูกค้าในการใช้ข้อมูลดังกล่าว”
ผลการศึกษาชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในทุกกลุ่มอายุเช็คอีเมล์ที่ทำงานขณะที่อยู่นอกออฟฟิศเป็นประจำ และที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาเช็คอีเมล์ส่วนตัวระหว่างชั่วโมงทำงานในสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นกับคนรุ่นเบบี้บูมมากกว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z ซึ่งอยู่ที่ 31% และ 26% ตามลำดับ โดยคนสองกลุ่มหลังยังคงเช็คอีเมล์ส่วนตัวหลายครั้งต่อชั่วโมง
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเช็คอีเมล์ที่ทำงานขณะที่อยู่นอกออฟฟิศ แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นที่จะต้านทานต่อพฤติกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล โดยผู้บริโภคเกือบครึ่งหนึ่ง (48%) ระบุว่าตนเองไม่ได้เช็คอีเมล์ที่ทำงานจนกว่าจะเริ่มต้นการทำงาน และในบรรดาส่วนที่เหลือ มีเพียง 13% เท่านั้นที่เช็คอีเมล์ขณะที่ยังไม่ได้ลุกจากที่นอน, 15% ขณะที่เดินทางไปทำงาน และ 25% ขณะที่รับประทานอาหารเช้า
สำหรับอีเมล์ส่วนตัว ผู้บริโภค 25% เช็คอีเมล์ส่วนตัวเป็นอันดับแรกขณะที่ยังไม่ได้ลุกจากที่นอน และ 42% เช็คอีเมล์ขณะแต่งตัวหรือรับประทานอาหารเช้า, 16% เช็คอีเมล์ขณะที่เดินทางไปยังที่ทำงาน และ 17% เช็คอีเมล์เมื่อไปถึงที่ทำงาน
เมื่อเปรียบเทียบกัน จะพบว่าโซเชียลมีเดีย ซึ่งดูเหมือนว่าจะครอบงำชีวิตของเรา โดยมากแล้วจะมีการเช็คเป็นครั้งแรกระหว่างพักเบรกในที่ทำงาน (30%) และที่ตามมาติดๆ คือ 26% เช็คโซเชียลมีเดียครั้งแรกขณะที่ยังไม่ได้ลุกจากที่นอน, 25% ขณะที่แต่งตัวในตอนเช้าหรือรับประทานอาหารเช้า, 11% ระหว่างเดินทางในตอนเช้า และ 8% เช็คโซเชียลมีเดียในที่ทำงาน
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561 ผลการศึกษานี้ยังพบว่าคนรุ่นเบบี้บูมมีแนวโน้มมากกว่า (กว่าครึ่งหนึ่ง) ที่จะละเลยอีเมล์เรื่องงานในช่วงวันหยุด แต่ยังคงเช็คอีเมล์ส่วนตัวอยู่เป็นประจำ ในทางตรงกันข้าม หนึ่งในสี่ของคนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen X เช็คอีเมล์ที่ทำงานหลายครั้งต่อวันในช่วงวันหยุด ขณะที่หนึ่งในสามทำอย่างนั้นกับอีเมล์ส่วนตัว
เคนเนดี้กล่าวกับ CMO by Adobe ว่า “คนแต่ละช่วงวัยมีความชอบและนิสัยที่แตกต่างกัน ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญ และยังขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวันและรสนิยมของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น คนที่มักจะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะอาจเลือกที่จะเช็คอีเมล์ขณะที่อยู่บนรถไฟฟ้า ส่วนคนที่ขับรถไปทำงานอาจรอจนกระทั่งไปถึงออฟฟิศแล้วค่อยเช็คอีเมล์ การศึกษาว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปิดอ่านอีเมล์จากแบรนด์ต่างๆ เมื่อไรและที่ไหนบ้างนับว่ามีความสำคัญต่อการเพิ่มอัตราการเปิดอ่านอีเมล์และการมีส่วนร่วมของลูกค้า”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 21,350.00 | 21,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,383.00 | 20,966.28 | 21,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,244.70 | 18,869.65 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,106.40 | 16,773.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 622.00 | 9,429.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 484.00 | 7,337.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,433.00 | 21,724.28 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/10/2562
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | – | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.84 | 19.84 | – | – | – | – | – | 19.84 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.66 | – | – | – | 35.11 | – | 35.16 | 34.96 | – | 34.96 |
ดีเซล | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 | 25.69 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 23.69 | 23.69 | – | – | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.49 | 15.49 | – | – | – | – | – | – | – | – |