ที่ดิน 28 ไร่บนถนนรัชดาภิเษก CBRE เป็นตัวแทนขาย คาดพัฒนาเป็น Mixed Use
CBRE ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการขายที่ดินเปล่าขนาดใหญ่บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ และมีอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (FAR) 7:1 สามารถพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครได้ โดยมีกำหนดวันยื่นซองประมูลในวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก ติดสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน 2 สถานี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อใหม่ของกรุงเทพฯ คือ รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้มสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ทำให้มีความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นอย่างมาก รวมทั้งตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยอยู่ตรงข้ามกับอาคารสำนักงานระดับเกรดเออย่างเอไอเอ แคปิตอล เซ็นเตอร์ ห้างสรรพสินค้าเอสพลานาด รัชดาภิเษก และมีโครงการที่พักอาศัยมากมายอยู่บริเวณโดยรอบ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในย่านรัชดาภิเษก ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 250% เนื่องจากย่านนี้เป็นทำเลใหม่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้ซื้อคอนโดมิเนียมและผู้เช่าพื้นที่สำนักงาน ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการต่างมองหาที่ดินในย่านนี้เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ ด้วยขนาดและทำเลที่ตั้งจึงทำให้ที่ดินเปล่าแปลงนี้มีศักยภาพสูงที่จะนำมาพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยพัฒนาเป็นโครงการแบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ได้
นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหารและหัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “ราคาที่ดินบนถนนรัชดาภิเษกมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ขนาด รูปร่างของที่ดิน และที่สำคัญถ้าติดรถไฟฟ้าก็จะมีผู้สนใจมากและราคาก็จะสูง ย่านรัชดาภิเษกนั้นถือเป็นย่านที่มีความเจริญ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการเงิน และมีระบบขนส่งมวลชนที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง โดยอาคารเอไอเอ แคปิตอล เซ็นเตอร์ นับเป็นโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จและมีผู้เช่าเต็ม ทำให้ย่านรัชดาภิเษกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
“ปัจจุบัน แปลงที่ดินขนาดใหญ่ที่มีการเสนอขายนั้นมีน้อยมาก การเปิดขายที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 28 ไร่บนถนนรัชดาภิเษกนี้จะเป็นโอกาสที่สำคัญของผู้พัฒนาโครงการในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ซีบีอาร์อีคาดว่าที่ดินแปลงนี้จะเป็นการซื้อขายที่ดินขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงมากอีกแปลงหนึ่ง หลังจากที่ซีบีอาร์อีได้เป็นตัวแทนขายที่ดินสถานทูตอังกฤษขนาดที่ดิน 23 ไร่ ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินที่มีมูลค่ารวมสูงสุดของประเทศไทย”
ผู้ที่สนใจยื่นซองประมูล สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นางกุลวดี สว่างศรี หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย โทร. 02 119 2997 หรือ investment@cbre.co.th
ขอบคุณที่มา thinkofliving.com
JLL ชี้กรุงเทพฯติดโผออฟฟิศบูม
นางสาวเรจินา ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านตลาดทุนของเจแอลแอล ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า JLL ได้จัดทำรายงาน Technology Firms Transform Southeast Asia (กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) พบว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัลมีการเติบโตรวดเร็ว ทำให้กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีมีความต้องการเช่าสำนักงานมากขึ้น จากสถิติปี 2558 มีความต้องการใช้พื้นที่ 10% แนวโน้มเพิ่มเป็น 15-25% ภายในปี 2573
ทั้งนี้ ธุรกิจเทคโนโลยีมีเงินลงทุนสูงถึง 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราขยายตัวของดีมานด์เฉลี่ยปีละ 6% แนวโน้มจนถึงปี 2568 ภูมิภาคนี้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ต่อปี สูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่ามีอัตราเฉลี่ย 3.5% ต่อปี
นอกจากนี้ คาดการณ์เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต (กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาศัยอินเทอร์เน็ต) มีมูลค่าสูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 และธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือการซื้อขายออนไลน์มีการเติบโตเร็วที่สุด มูลค่า 88,000 ล้านดอลลาร์ โฟกัสช่วง 5-10 ปีข้างหน้า คาดว่าขยายตัวเฉลี่ย 30% ต่อปี อ้างอิงจากผลการศึกษาร่วมระหว่าง Google และ Temasek
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก ได้แก่ อาลีบาบา เฟซบุ๊ก กูเกิล และ Sea เช่าพื้นที่สำนักงานรายละ 20,000-50,000 ตารางเมตรใน 3-5 เมือง มีการว่าจ้างพนักงานเพิ่ม 30-50% ต่อปีในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากอีคอมเมิร์ซแล้ว เกมและกีฬาออนไลน์เป็นบริษัทที่มีแนวโน้มเช่าสำนักงานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”
รายงานของ JLL ระบุด้วยว่า เมืองหลวง 4 แห่งได้รับความนิยม ได้แก่ กรุงจาการ์ตา กรุงเทพฯ มะนิลา นครโฮจิมินห์ ส่วนทำเลที่เลือกมีความแตกต่างกันไป โดยสิงคโปร์ จาการ์ตา มะนิลา นิยมเลือกทำเลชั้นดีในย่านศูนย์กลางธุรกิจ, กรุงกัวลาลัมเปอร์นิยมทำเลนอกศูนย์กลางธุรกิจที่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงได้ และกรุงเทพฯ เน้นย่านธุรกิจหลัก ๆ ตามแนวรถไฟฟ้า
“บริษัทเทคโนโลยียังคงให้ความสำคัญต่อคุณภาพของอาคาร เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยรักษาหรือดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถ ดังนั้น ผู้พัฒนาโครงการที่วางแผนลงทุนออฟฟิศบิลดิ้งแห่งใหม่จำเป็นต้องรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า” นางสาวลิมกล่าว
ขอบคุณที่มา www.prachachat.net
เศรษฐกิจไทยครึกครื้น ขานรับประกาศเลือกตั้ง ก.พ. 62
- หลังประกาศ พ.ร.บ. เลือกตั้ง 2 ฉบับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น ทั้ง GDP สูงขึ้น ค่าเงินบาทแข็งตัว ตลาดหุ้นสูงขึ้น เป็นต้น
- สาเหตุหลัก มาจากความแน่นอนในการจัดการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติและประชาชนมั่นใจกับรัฐบาลไทย และพร้อมจะกลับมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นนั่นเอง
เลือกตั้ง ปี 62 ไม่ใช่แค่ประชาชน แต่เศรษฐกิจไทยก็ดีใจไม่แพ้กัน
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุกเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 พร้อมกับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ออกมา ซึ่งพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับนี้ ประกาศให้ใช้เมื่อพ้น 90 วัน หลังประกาศไป และกำหนดให้ต้องมีการจัดตั้งการเลือกตั้งขึ้นภายใน 150 วันนับจากวันดังกล่าวด้วย
โดยในวันที่ 13 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมา ยืนยัน อีกครั้งนึงว่า ถึงแม้ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะยังไม่สามารถให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติมได้ แต่อย่างไรก็ตาม
คาดว่า ประเทศไทยของเราจะมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 อย่างแน่นอน
หลังจากมีการประกาศกำหนดการเลือกตั้งที่แน่นอนออกมา ไม่ใช่แค่ประชาชนเท่านั้นที่ดีใจ แต่ ภาคเศรษฐกิจเอง ก็มีการตอบรับไปในทางที่ดีขึ้นจากข่าวดีในครั้งนี้เช่นกัน
โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้คาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 61 นี้จะ เพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 4.4 – 4.8% หรือมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.6%
โดยการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ส่งผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นสัญญาณที่ดี ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะดีขึ้น ทำให้ต่างชาติมั่นใจที่จะ เข้ามาลงทุน มากขึ้น และประชาชนเองก็อยากจะจับจ่ายใช้สอยกันเยอะขึ้น ซึ่งปกติในช่วงเลือกตั้งจะ มีเงินสะพัด และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 3 – 4 หมื่นล้านบาท เลยทีเดียว
เงินบาทไทยแข็งค่า เปิดตลาดที่ 32.58 บาทต่อดอลลาร์
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยข้อมูลว่า ค่าเงินบาทไทยในวันที่ 14 ก.ย. 61 เปิดตัวที่ระดับ 32.58 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากช่วงปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อน 32.66 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง
สาเหตุของปรากฎการณ์นี้ มาจากภาพรวมของ ตลาดหุ้น ที่มีการปรับตัวสูงขึ้น หลังจากข่าวความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งของไทยเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยต่างประเทศสนับสนุนด้วย เช่น สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะผ่อนคลายลง ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างไทยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าจะเป็นผลในระยะสั้นเท่านั้น เพราะ ในอนาคตทิศทางของค่าเงินบาทไทย ก็ยังคงอ่อนตัวลงอยู่ เนื่องจากมันยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายๆ อย่าง เช่น การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ และ ความเสี่ยงของประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่เข้ามามีผลกระทบเช่นกัน
ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นเกือบ 40 จุด ปิดตัวที่ระดับ 1,717.96 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทย สดใสรับเลือกตั้ง โดยในวันที่ 13 ก.ย. 61 หลังเปิดตลาดได้ไม่นาน หุ้นก็พุ่งสูงขึ้นถึง 11 จุดจากวันก่อน และ ทะลุไปหยุดอยู่ที่ 1,717.96 จุด ซึ่งถือว่าบวกมากถึง 38.57 จุด และมีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 78,999.35 ล้านบาท มีสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 17,481.77 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,007.13 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยขายสุทธิ 12,787.54 ล้าน
ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ นักลงทุน หันมาลงทุนกับตลาดหุ้นในช่วงนี้ เนื่องจาก ทิศทางความแน่นอนในการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นนั่นเอง
ทูตสหรัฐฯ เชื่อไทยมีเลือกตั้งปีหน้า หวังให้ เสรี-ยุติธรรม
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561 นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเยี่ยมอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ถึงกรณีที่ไทยได้ออกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งมา 2 ฉบับ ว่า
“เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสำคัญ ทำให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรือง เกิดการเลือกตั้งในปีหน้า….อยากเห็นประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง มีอิสระเสรีภาพ มีความเจริญรุ่งเรือง อยากเห็นคนไทยมีส่วนร่วมทางการเมือง มีการอภิปรายอย่างเปิดกว้าง เมื่อเกิดการเลือกตั้งแล้วจะมีรัฐบาลที่มาจากพลเรือน คิดว่าระบอบนี้จะประสบความสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม “
เราจะเห็นได้ว่า ในสายตาของชาวต่างชาติ ประเทศไทยถือเป็น แหล่งลงทุน ที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากเรามีทรัพยากรที่พร้อมทั้งในด้านวัตถุดิบและกำลังคน และมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างมาก แต่ข้อเสียเพียงไม่กี่อย่างของไทย คือ ปัญหาการเมืองที่มีความไม่แน่นอน และการทุจริตที่มีให้เห็นบ่อยครั้ง
ดังนั้น การที่ประเทศไทย มีวันเลือกตั้งที่แน่นอนแล้ว มันก็ไม่แปลกที่เศรษฐกิจหลายๆ ด้านของเราจะดีขึ้น และคาดว่าในช่วงของการเลือกตั้งจริงๆ มันจะยิ่งขยับตัวสูงขึ้นกว่าในตอนนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เศรษฐกิจไทยเอง ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามและเฝ้าระวัง เช่น สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ, อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในตลาดโลก, ความเสี่ยงจากวิกฤตค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ ความเสี่ยงทางด้านอุทกภัย และ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เป็นต้น
ซึ่งเราก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน แล้วการเลือกตั้งที่เรารอคอยมานานแสนนานในครั้งนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรทำให้มันสะดุดหรือเปล่า rabbit finance จะไม่พลาดมาอัปเดตให้ฟังกันแน่นอนค่ะ
ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com
มะเร็งลำไส้ใหญ่คร่าชีวิตคนไทยพุ่ง 3 พันคนต่อปี
สช.ห่วงแนวโน้ม ‘โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่’ ทำคนไทยตายพุ่ง ๓,000 คนต่อปี ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผย ๔ ปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะการรับประทานเนื้อแดง เนื้อแปรรูป ปิ้งๆ ย่างๆ ด้านสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อฯ ย้ำคุมเข้มฟาร์มปศุสัตว์และเจ้าของเขียง หลังตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงบ่อยครั้ง นักวิชาการหนุนปฏิบัติตามประกาศอย. เพจสุขภาพชวนปรับไลฟ์สไตล์ชีวิต ขณะที่ สช. นำประเด็นความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ เข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑ ปลายปีนี้
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัด เวทีสช.เจาะประเด็น ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เรื่อง “กินเปลี่ยนชีวิต หยุดวิกฤตมะเร็งลำไส้ใหญ่” วันอังคารที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมบองมาร์เช่ มาร์เก็ต ประชานิเวศน์ ๑ โดยมีสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมจำนวนกว่า ๕๐ คน
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวในหัวข้อ “คนไทยกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่” ว่า โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบบ่อย ๑ใน ๕ ของประเทศไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีผู้เสียชีวิตกว่า ๓,๐๐๐ รายต่อปี
ปัจจุบันพบผู้ป่วยชาย ๖,๘๗๔ รายต่อปี ผู้ป่วยหญิง ๕,๕๙๓ รายต่อปี จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ ๓ ในเพศชาย และอันดับ ๔ในเพศหญิง
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและควรระมัดระวังได้แก่ ๑. ผู้ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด เนื้อแดง เนื้อแปรรูป หรืออาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม และกินอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์น้อย ๒. ผู้ที่ชอบสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ๓. ผู้มีประวัติหรือคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ หรือเคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ชนิด Adenomatous polyps และ ๔. ผู้มีปัญหาระบบขับถ่าย เช่น ลำไส้อักเสบ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะลำไส้แปรปรวน เป็นต้น ทั้งนี้ มักพบโรคในผู้สูงอายุ วัย ๕๐-๗๐ ปี ส่วนกลุ่มอายุน้อยกว่า ๕๐ ปีที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ฯ อาจมีโอกาสเกิดโรคสูงขึ้นเช่นกัน
มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งป้องกันได้หากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และตรวจคัดกรองตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก จะทำให้การรักษาได้ผลดีและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติรณรงค์ให้ความรู้และแนวทางป้องกัน ควบคู่กับโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงให้ผู้อายุ ๕๐-๗๐ ปี เข้ารับการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
“ประเทศไทยมีแนวโน้มอุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่ฯ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตก โดยปัจจุบันเรามี แผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ เป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายแนวทางการป้องกันและควบคุมโรค”
ผศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ ประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพิษวิทยาศาสตร์ทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในหัวข้อ “กินไม่คิด ชีวิตเปลี่ยน” ว่า ภาวะโภชนาการที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่คือผู้ที่กินผักผลไม้น้อย ชอบกินเนื้อหมู เนื้อวัว และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง หรือท้องผูกเป็นประจำ
ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับประชาชนคือรับประทานเนื้อแดงควรไม่เกิน ๕๐๐ กรัม (ครึ่งกิโลกรัม) ต่อสัปดาห์ และสลับกับเนื้อไก่ เนื้อปลา ไม่กินเนื้อสัตว์แปรรูปบ่อย ขณะเดียวกันให้กินผัก ผลไม้ เพราะใยอาหารจะช่วยเร่งการขับถ่ายทำให้ของเสียไม่ตกค้างในลำไส้และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีที่เจริญในลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้ นอกจากนั้น ควรมีการควบคุมปริมาณการใช้วัตถุเจือปนในอาหารแปรรูป เช่น สารไนไตรท์ ให้เป็นตามกำหนดในประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างจริงจัง
นายสิทธิพร บุรณนัฏ ผู้จัดการสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด กล่าวในหัวข้อ “ผลิตภัณฑ์ปลอดสาร From Farm to Table” ว่าปัจจุบันการบริโภคเนื้อวัวของประเทศไทย แบ่งเป็น ๓ ตลาด ได้แก่ ๑. ตลาดพรีเมี่ยม ๒. ตลาดโมเดิร์นเทรด และ ๓. ตลาดเขียง โดยส่วนที่เป็นปัญหาใส่สารเร่งเนื้อแดงส่วนมากเกิดจาก ตลาดเขียงหรือตลาดล่าง ซึ่งกรมปศุสัตว์มีตรวจพบสารเร่งฯตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์ม เนื่องจากผู้ผลิตไม่ต้องการให้เนื้อวัวมีไขมันและเมื่อนำมาจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคก็จะไม่ทราบเพราะดูไม่ออก
“สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารที่ผิดกฎหมาย และทางเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ออกตรวจตราเป็นพิเศษ จับกุมผู้กระทำผิดอยู่บ่อยครั้ง ส่วนตัวคิดว่าจะลงโทษฟาร์มอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโทษเจ้าของเขียงที่นำมาจำหน่ายด้วย รวมถึงให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและมีระบบตลาดสอบสินค้าที่รวดเร็ว”
สำหรับสมาชิกของสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ผลิตกว่า ๑๐๐ ราย มุ่งจำหน่ายเนื้อในตลาดพรีเมี่ยมหรือเนื้อวัวราคาสูงที่มีไขมันแทรกอยู่ ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงไม่มีการใส่สารเร่งเนื้อแดงอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของสหกรณ์ฯ ขายให้ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
ด้าน นายจาคี ฉายปิติศิริ ผู้ดูแลเพจ ‘จาคี มะเร็งไดอารี่’ กล่าวในหัวข้อ “เรียนรู้ประสบการณ์ผ่านโรคร้าย” ว่า ตนเองเกิดอาการของโรคในช่วงปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ เริ่มปวดท้อง ระบบขับถ่ายผิดปกติ รับประทานอาหารไม่ได้และไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งผลการตรวจพบเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย เมื่อเริ่มการรักษาก็ต้องพบกับผลข้างเคียงหลายอย่าง แต่พยายามทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงมากพอที่จะรับการรักษาต่อไป โดยปรับปรุงเรื่องอาหาร วิธีออกกำลังกาย ดูแลสภาพจิตใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดีที่สุด ทำให้การรักษาผ่านไปได้อย่างราบรื่น
สำหรับเพจ ‘จาคีมะเร็งไดอารี่’ จัดทำขึ้นระหว่างที่เจ็บป่วยเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแง่มุมที่เป็นประสบการณ์ตรงจากการรักษา นำเสนอในสิ่งที่ตนเองเคยเป็นหรือเคยทำมาแล้ว ซึ่งแพทย์และพยาบาลเป็นผู้แนะนำ
“ผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการสู้โรค คือการสู้กับความไม่รู้ อันจะนำมาซึ่งความวิตกกังวลและความกลัวตามมา เมื่อเรามีข้อมูลมากขึ้นเพียงพอก็จะเข้ารับการรักษาด้วยความเข้าใจและจะพยายามสอดแทรกเนื้อหาส่งเสริมสภาพจิตใจให้ผู้ที่ติดตามรู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อน”
ปัจจุบัน พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ใน มาตรฐานคนสุขภาพดี ทั่วไป คือเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แนะนำว่าทุกคนควรหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะคนที่มีต้นทุนทางสุขภาพดี ย่อมจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยดูแลสุขภาพมาก่อน
ผศ.ดร.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในหัวข้อ “รู้เท่าทันสุขภาพ ห่างไกลมะเร็งลำไส้ใหญ่” ว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการรณรงค์ผู้บริโภคให้มี ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ หรือ Health Literacy สำคัญมากในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีและสังคมออนไลน์มาเกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายจึงต้อง รู้เท่าทันเรื่องดิจิทัล (Digital Literacy) และ รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ด้วย เพื่อเสพข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและช่วยกันจับตาข้อมูลที่บิดเบือนในยุค ๔.๐
อย่างไรก็ดี การรณรงค์ให้ความรู้เท่าทันสุขภาพด้านอาหารนับเป็นเรื่องข้างยาก เช่นคำแนะนำให้ “หลีกเลี่ยง” หรือดู “ความเหมาะสม” หมายถึงผู้บริโภคต้องมีความเข้าใจและตระหนักในการเลือกรับประทาน มากกว่าความชอบส่วนตัวและรสชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า “you are what you eat” สุขภาพอยู่ที่เราเลือก
“ทุกภาคส่วนสามารถสร้างสังคมสุขภาวะร่วมกัน ผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ลดความเสี่ยง สร้างคำเตือนหรือไม่โฆษณาที่กระตุ้นการบริโภคเกินปริมาณ ขณะที่สื่อมวลชนก็ควรแสดงออกถึงความรับผิดชอบ ไม่โฆษณาชวนเชื่อเกินจริง มีพื้นที่หรือเวลาเผยแพร่ข้อมูลที่เอื้อต่อสุขภาพ”
ผศ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ ถูกกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เพื่อป้องกันและควบคุมปัจจัยคุกคามสุขภาวะ รวมทั้งอยู่ในแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข และการประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑” จะเป็นเวทีพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน วันที่ ๑๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ภายใต้ธีมงานว่า “รู้เท่าทันสุขภาพ ร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ” ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาร่างข้อเสนอเรื่องรู้เท่าทันของโรคไม่ติดต่อ ผู้ที่สนใจติดตามความคืบหน้าที่ www.nationalhealth.or.th หรือ www.samatcha.org
ขอบคุณที่มา www.prachachat.net
ปลุกไฟในตัวคุณ! วลีเด็ดจากหนังดัง ที่ช่วยเติมพลังชีวิต
“When you got nothing. You got nothing to lose.”
เป็นคำกล่าวของ Jack ในภาพยนตร์ Tatanic ซึ่งแปลว่า เมื่อคุณไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรจะเสีย ซึ่งหมายถึง คุณมาตัวเปล่า จะไปกลัวอะไรที่จะลองทำ เพราะถ้าล้มเหลว คุณก็ไม่ได้เสียอะไร
“Do or do not. There is no try.”เป็นคำกล่าวของ Yoda จากเรื่อง Star Wars แปลว่า ไม่มีคำว่าพยายาม มีแต่ทำหรือไม่ทำ เท่านั้น ซึ่งหมายถึง บางคนที่ต้องการเริ่มทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ใช้แค่คำว่าพยายาม ซึ่งก็เลยทำไม่สำเร็จ เพราะคุณมีทัศนคติแบบแค่พยายามทำดู
“Don’t tell me I can’t do it. don’t tell me it can’t be done!”
เป็นคำกล่าวของ Howard Hughes ซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง จากหนังเรื่อง Aviator หมายถึง อย่าบอกว่าฉันทำไม่ได้ และอย่าบอกฉันว่ามันจะไม่สำเร็จ ซึ่งถ้าคุณเชื่อมั่นในอะไรสักอย่าง ไม่ว่าคนรอบข้างจะพูดอย่างไร คุณก็จะทำมันให้สำเร็จ
“Nobody is gonna hit as hard as life, but it ain’t how hard you can hit.
It’s how hard you can get hit and keep moving forward. It’s how much you can take, and keep moving forward. That’s how winning’s done.”
“Great men are not born great, they grow great.”
คำคมจากหนังเรื่อง God Father เขียนโดย Mario Puzo ซึ่งเป็นนิยายที่นำมาสร้างเป็นหนัง คำกล่าวนี้หมายถึง คนที่ดีเยี่ยม อาจจะไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อม แต่พวกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนตัวเองเป็นคนที่เพียบพร้อม
“No Retreat. No surrender. New age has begun”คำคมจากหนังเรื่อง 300 (2007) โดย King Leonidas ที่พูดปลุกขวัญขณะกำลังต่อกรกับข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า แสดงถึงความมุ่งมั่นในตัวเอง เพื่อนร่วมงาน และคนรอบข้าง ว่าจะสามารถก้าวผ่านความยากลำบากไปได้ ขอแค่เรามีความมั่นใจและยืนหยัดที่จะสู้อย่างมีความหวังมาถึงตรงนี้แล้วทุกคนคงได้แรงบันดาลใจกันพอควร หนังบางเรื่องคุณอาจเคยดูแล้วลืม หรือบางเรื่องคุณอาจยังไม่ได้ดู ก็แนะนำให้ไปดูครับ เชื่อว่าคุณจะได้แรงบันดาลใจดีๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตอย่างแน่นอนการสร้างแรงบันดาลใจ
สิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เราเกิดแรงผลักดันในการทำบางอย่างควรมาจากภายในของตัวเราเอง ซึ่งการตั้งคำถามในหัวของคุณจะเป็นตัวจุดประกายแรงบันดาลใจ นอกจากนี้คุณจะเริ่มเห็นอุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ซึ่งผมมีคำตอบในการจัดการกับอุปสรรคและผมยังมีวิธีทำให้คุณไปถึงจุดที่คุณต้องการได้ง่ายขึ้นครับ1.คำถามในหัวของคุณ
เริ่มกันที่ทัศนคติ และการมองโลกของมนุษย์ เพราะโดยธรรมชาติ มนุษย์เราสอนให้คิดลบไว้ก่อน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนเราสมัยมนุษย์ยุคหิน ถึงการคิดลบจะช่วยสร้างความกลัว และทำให้เรามีชีวิตรอด แต่มันเป็นตัวฉุดรั้งคุณจากความสำเร็จในโลกปัจจุบันเมื่อสมองของเราคิดลบโดยอัตโนมัติ เราก็มักถามคำถามแง่ลบเข้าไปในสมองตัวเอง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็จะเป็นลบออกมา แต่ถ้าเราใส่คำถามที่เป็นแง่บวก คำตอบที่ได้ก็จะเป็นบวกออกมาเช่นกัน เช่นตัวอย่างนี้ครับ
- คำถามแง่ลบ
เผื่อใครไม่รู้ตัวว่าวันนึง เรายัดคำถามแง่ลบลงในสมองมากแค่ไหน ผมก็มีตัวอย่างคำถามง่ายๆ แต่ทำลายล้างสูงมาฝากกัน อาทิ
ทำไมชีวิตฉันถึงแย่ขนาดนี้? ทำไมชีวิตเราถึงไม่ไปไหนสักที?
- คำถามแง่บวก
กลับกัน ถ้าคุณเริ่มตั้งคำถามในแง่บวก สมองก็จะประมวลผลในทางที่ดี นั่นก็คือกำลังใจและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไปของคุณ เมื่อไหร่ที่เราปรับมุมมอง ใช้ชีวิตในแง่ดี เราก็จะมีความสุขขึ้น
ฉันได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องแย่ๆ ในครั้งนี้?
ฉันจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้?
2.มองให้เห็นอุปสรรคที่แท้จริงของคุณ
เหตุที่คุณถามคำถามลบๆ กับตัวเอง อาจเป็นเพราะว่า ความกลัว ความไม่แน่นอนอะไรบางอย่าง ทำให้คุณคิดลบ และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับปัญหาจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน แต่โดยส่วนใหญ่ปัญหาที่ทำให้เราไม่สามารถเดินตามความฝันได้คือ
- เงินไม่พอ
ซึ่งในที่นี้หมายถึง เงินที่นำมาใช้ในการทำสิ่งที่ตัวเองรัก และเงินที่จะมาเลี้ยงดูเราในช่วงเวลาที่กำลังตั้งตัว ลอกนึกสภาพ ถ้าคุณต้องการเปิดร้านขายของออนไลน์ แต่ตอนนี้คุณทำงานประจำมีเงินเดือน 30,000 บาท เงินเก็บ 300,000 บาท แต่การเปิดร้านค้าออนไลน์แบบที่คุณต้องการต้องใช้เงิน 600,000 บาท คุณก็คงรู้ตัวว่าเงินเก็บคุณไม่พอจะทำสิ่งที่ตัวเองรัก
หรือในกรณีที่คุณลาออกจากงานประจำมาแล้ว และคุณมีเงินพอเปิดร้านค้าออนไลน์ 600,000 บาท ซึ่งคุณลงเงินไปทั้งหมด แต่ในช่วง 2 -3 เดือนแรก หักลบกลบหนี้กำไรขาดทุนแล้ว คุณไม่มีกำไรเลย และคุณได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดเพื่อเปิดร้านและผลิตสินค้า คราวนี้ คุณจะเอาเงินจากที่ไหนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันล่ะครับ
- ความไม่มั่นใจ
คุณอาจกำลังไม่มั่นใจในสิ่งที่คุณทำ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ สิ่งที่คุณชอบจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคุณและคนในครอบครัวได้หรือไม่
โดยส่วนใหญ่เกิดจาก 2 ปัญหานี้ ซึ่งคำตอบของ 2 ปัญหานี้ คือ คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนงานหรือหารายได้เสริม เพื่อให้คุณสามารถทำสิ่งที่คุณต้องการควบคู่ไปกับงานที่คุณทำไปก่อน เพื่อดูว่าสิ่งที่เราจะทำมีโอกาสที่จะสำเร็จมั้ย และมีสิ่งอื่นที่เราชอบอีกมั้ย ซึ่งคุณต้องยอมเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จ ทั้งงานหลักและงานรอง
สำหรับคนที่ศึกษาทดลองทำทุกอย่างมาดีแล้ว จนมั่นใจว่าสิ่งที่ชอบสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ก็ออกมาเลยครับ แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าจะออกมาทำอะไร แต่งานที่ทำอยู่ก็ไม่ชอบ อย่าเพิ่งคิดจะออกครับ เพราะคุณอาจหนีเสือปะจระเข้
การไม่มีงานประจำทำ เท่ากับคุณไม่มีรายได้ ซึ่งถ้าคุณยังหาไม่เจอว่าคุณชอบทำอะไร หรือสิ่งที่คุณชอบทำไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ คุณเหมือนทุบหม้อข้าวตัวเอง คุณก็ตกอยู่ในความลำบากแล้วหล่ะครับ
3.เลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ
ถ้าคุณทราบแล้วว่าคุณต้องการทำอะไรในอนาคต มีอีกวิธีที่จะทำให้คุณไปถึงจุดหมายได้โดยใช้การเลียนแบบพฤติกรรม เช่น สมมติคุณอยากเป็น CEO บริษัท start up ที่เป็นแนวคล้าย Jeff Bezos เจ้าของ Amazon ที่ตอนนี้ติด 1 ใน 5 คนที่รวยที่สุดในโลก และบางเดือนก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
คุณควรรู้ว่าคนประเภทนี้เขาใช้ชีวิตกันอย่างไร เขาเดินอย่างไร เขาพูดอย่างไร มีผู้บริหารในองค์กรใหญ่ๆ และผู้นำระดับโลกที่ออกกำลังกายทุกวัน ซึ่งถ้าคนเหล่านี้ยังใส่ใจออกกำลังกาย มันต้องมีอะไรดีแน่ๆ
และถ้าเป็นไปได้ คุณก็ควรพยายามเข้าสังคม ใช้ชีวิตให้เหมือนกับคนพวกนี้ เช่น CEO ที่คุณชอบออกกำลังกายที่ไหน คุณก็ไปออกกำลังกายที่นั่น คุณอาจได้พูดคุยสนทนากับ CEO หรือเขาไปบรรยายให้ความรู้ที่ไหน คุณก็เข้าไปร่วมกับเขา คุณจะได้แนวคิดว่าคนพวกนี้คิดอะไร ทำไมพวกเขาถึงไปอยู่ในจุดที่คุณต้องการได้
แต่ถ้าคุณไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อมีไลฟ์สไตล์แบบเขาได้ เพียงพยายามปรับให้เข้ากับชีวิตของคุณมากที่สุดก็เพียงพอแล้ว
ได้ทราบข้อมูลกันไปแล้ว หวังว่าจะทำให้คุณสามารถทำตามความฝันของคุณได้ ขอให้คุณปลดล็อกตัวเองและเลียนแบบชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตแน่นอนครับ
ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18 กันยายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,550.00 | 18,450.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,050.00 | 18,116.20 | 1,195.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,768.08 | 1,238.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,304.58 | 1,075.50 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,492.96 | 956.00 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,156.08 | 538.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,336.88 | 418.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 18 กันยายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | – | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.79 | 21.79 | – | – | – | – | – | 21.79 | 21.79 | – |
เบนซิน 95 | 38.06 | – | – | – | 38.51 | – | 38.56 | 38.36 | 38.16 | 38.36 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.13 | 15.13 | – | – | – | – | – | – | – | – |