จับทิศตลาดอสังหา ไตรมาส 4 โตแบบระวัง
เรื่อง อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร
นับเวลาถอยหลังก่อนก้าวสู่ไตรมาส 4 ปี 2561 กันแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ดูจะไม่คึกคักเท่าที่ควรอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์จะมีแต่เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตจากปัจจัยบวกต่างๆ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบกับภาพรวมอสังหาฯ ได้เช่นกัน อิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาฯ ทั้งแนวราบและสูงยังมีการเปิดตัวต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการยังคงมีความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่เช่นกัน ซึ่งจะดูถึงความต้องการและกำลังซื้อจริง เพราะยังมีซัพพลายเหลือมากในบางพื้นที่
ขณะเดียวกัน เรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยและความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินนั้น เชื่อว่าจะขยับขึ้นไม่มากหรือครั้งละ 0.25% เพราะเศรษฐกิจโตแบบไม่กระจาย ทำให้รายได้ในชนบทยังไม่เข้มแข็ง
ด้านการปล่อยสินเชื่อนั้นเป็นการระมัดระวังของสถาบันการเงิน แต่เชื่อว่ายังมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อด้วยแคมเปญพิเศษ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาโครงการและแบงก์ ทั้งนี้ เพื่อต้องการระบายสต๊อกสินค้าในมือ
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเองก็มีการปรับตัว เพื่อป้องกันในเรื่องของยอดการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งจะมีการพรีแอพพรูพลูกค้าก่อนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ยอดปฏิเสธสินเชื่อราว 20% เป็นตัวเลขที่ผู้ประกอบการรับได้ เพราะจะได้กลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการจริงกลับมาไม่ใช่ดีมานด์เทียม
อย่างไรก็ดี จากตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค. 2561) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ในส่วนของโครงการอาคารชุดมีการเปิดตัวราว 3 หมื่นหน่วย ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว คาดว่าทั้งปีจะเปิดตัวใหม่ราว 5.6-5.8 หมื่นหน่วย ลดลง 10% จากปีที่แล้วอยู่ที่ราว 6.4 หมื่นหน่วย
ขณะที่โครงการจัดสรรแนวราบช่วง 7 เดือน เปิดตัวราว 2 หมื่นหน่วย ลดลง 20% คาดว่าทั้งปีจะเปิดใหม่ราว 3.6-3.7 หมื่นหน่วย หรือลดลง 10-15% ซึ่งแต่ละปีบ้านแนวราบจะเปิดตัวเฉลี่ยที่ 4 หมื่นหน่วยบวก/ลบ ต่อเนื่องมา 7-8 ปี
ด้านมูลค่าและราคาเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์นั้น พบว่า ในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2561 มียอดจดทะเบียนการโอนทั้งแนวราบและสูงเพิ่มขึ้นประมาณ 33% หรืออยู่ที่ราว 9.1 หมื่นหน่วย เมื่อเทียบบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 6.9 หมื่นหน่วย ในส่วนของมูลค่าการโอนรวมเพิ่มขึ้นราว 40% หรืออยู่ที่กว่า 2.5 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วอยู่ที่กว่า 1.8 แสนล้านบาท
ส่วนราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 5% หรือเฉลี่ยที่ 2.79 ล้านบาท โดยอาคารชุดราคาเฉลี่ยที่ 2.72 ล้านบาท บ้านเดี่ยวราคาเฉลี่ย 4.57 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 1.93 ล้านบาท บ้านแฝดราคาเฉลี่ย 3.29 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์ราคาเฉลี่ย 3.13 ล้านบาท
ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นได้ว่าผู้ประกอบการได้มีปรับตัวมีการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะตลาดและเพื่อไม่ให้กระทบแคชโฟวของบริษัท ขณะที่การรับรู้รายได้มีต่อเนื่องจากการโครงการก่อสร้างเมื่อปี 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทยอยแล้วเสร็จ นอกจากนี้ในหลายบริษัทเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ไปในปีหน้า
อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่ายอดโอนทั้งแนวราบและสูงถึงสิ้นปีจะเพิ่มขึ้น 14-15% หรืออยู่ที่ 1.86 แสนหน่วย จากปีที่แล้วอยู่ที่ราว 1.63 แสนหน่วย และคาดว่ามูลค่าจะทะลุ 5 แสนล้านบาท จากปีที่แล้วอยู่ที่ 4.27 แสนล้านบาท ปีนี้ตลาดยังคงเติบโต แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงสวนทางกับยอดโอนที่เพิ่มขึ้น
ขอบคุณที่มา www.posttoday.com
รื้อค่าเช่าที่ราชพัสดุ
ธนารักษ์ทบทวนค่าเช่า ที่ราชพัสดุทั่วประเทศใหม่ 10.45 ล้านไร่เพิ่มรายได้ ชงครม.ลงทุนหมอชิต2.6หมื่นล. ยันไม่แตะพื้นที่เกษตรกรรม และที่อยู่อาศัยประชาชน
น.ส.อมรรัตน์ กล่ำพลบ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2562 กรมมีแผนพิจารณาการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ 10.45 ล้านไร่ทั่วประเทศใหม่ โดยตั้งเป้าเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ แบ่งเป็นที่ราชพัสดุที่ให้รัฐวิสาหกิจและเอกชนเช่า 3.96 แสนไร่ หรือสัดส่วน 4% ของพื้นที่ทั้งหมด หากสัญญาเช่าเดิมไม่เข้าฐานค่าเช่าที่เป็นจริงจะเจรจาขอทบทวนค่าเช่าให้เหมาะสม สำหรับที่ให้ส่วนราชการเช่า 96% หรือประมาณ 10 ล้านไร่ หากไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ ก็จะเจรจาขอคืนพื้นที่เพื่อนำไปจัด ประโยชน์ใหม่
“การพิจารณาจัดประโยชน์ที่ครั้งนี้จะเน้นเจรจาเฉพาะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และเอกชนรายใหญ่ ซึ่งมีทั้งพื้นที่ที่มีสัญญาอยู่และกำลังหมดสัญญาเท่านั้น ส่วนพื้นที่สำหรับให้ประชาชนอยู่อาศัย หรือที่เกษตรกรรมจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อชาวบ้าน ส่วนที่ราชการเช่าขณะนี้กำลังพิจารณาแนวทางการขอคืนพื้นที่ว่าจะมีรูปแบบการนำส่งคืน รวมถึงการชดเชยสิทธิประโยชน์ หรือผลตอบแทนคืนให้อย่างไร” น.ส.อมรรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ จะบริหารจัดการทรัพย์สินที่ราชพัสดุแปลงใหญ่หลายโครงการ อาทิ สัปดาห์หน้าจะเสนอโครงการพัฒนา ที่ราชพัสดุขนส่งหมอชิตให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา หลังเจรจากับเอกชนเสร็จแล้ว โดยปรับรูปแบบการลงทุนจาก 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท พื้นที่พัฒนา 7 แสนตารางเมตร ในจำนวนนี้ชดเชยพื้นที่ให้กับรัฐ 1.2 แสนตารางเมตร พร้อมมอบผลตอบแทนเป็นเงินสด 600 ล้านบาท และทรัพย์สินอีก 2,400 ล้านบาท รวมเป็น 3,000 ล้านบาท โดยใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้า โรงแรม ที่จอดรถรองรับรถไฟฟ้าบีทีเอส และอพาร์ตเมนต์
ขณะที่การพัฒนาหอชมเมืองความสูง 459 เมตร มูลค่า 4,600 ล้านบาท ได้ทำสัญญาไปแล้วใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี บริหารโครงการ 30 ปี
สำหรับโครงการนำที่ราชพัสดุมา สนับสนุนพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้มีความคืบหน้า โดยในปี 2562 จะนำที่ราชพัสดุใน จ.นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย ออกมาประมูลใหม่ จากที่ก่อนหน้านี้เปิดแล้วแต่ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูล พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินใหม่จากรายบล็อกเป็นรายแปลง ซึ่งจะทำให้ค่าเช่าปรับลดลงจากไร่ละ 2,400 บาท/ปี เหลือ 1,800-2,100 บาท เพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน
ขอบคุณที่มา www.posttoday.com
เลือกยังไง? ประกันชีวิต แบบมีเงินคืน vs ไม่มีเงินคืน
ประกันชีวิต มีหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบรับความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน เช่น บางคนต้องการออมเงินผ่านการประกันชีวิต หรือบางคนต้องการความคุ้มครองชีวิตที่สร้างความอุ่นใจให้คนข้างหลัง ซึ่งประกันบางประเภทจะมีเงินคืนให้ผู้เอาประกันด้วย แต่บางประเภทก็ไม่มี แล้วอย่างนี้ จะเลือกประกันชีวิตแบบไหนให้เข้ากับตัวเองดีล่ะ แล้วแบบที่ได้เงินคืนนี่คุ้มมั้ย? rabbit finance มีคำตอบค่ะ
ประกันชีวิตแบบไม่มีเงินคืน คือ…?
ประกันชีวิตประเภทนี้มักถูกเรียกว่าประกันแบบจ่ายเบี้ยทิ้ง คือประกันชีวิตที่ต้องชำระเบี้ยประกันทุกงวดเพื่อแลกกับความคุ้มครองตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับผู้เอาประกันในระหว่างนั้น ประกันก็จะรับผิดชอบตามทุนประกันในกรมธรรม์
แต่ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นกับผู้เอาประกันเลยตลอดอายุสัญญาของกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับนั้นๆ ผู้เอาประกันก็จะไม่ได้รับเงินคืน กล่าวคือ จ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อแลกกับความคุ้มครองชั่วขณะนั่นเองค่ะ
ประกันชีวิตแบบไม่มีเงินคืนเหมาะกับผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือเป็นคนหารายได้หลักของบ้าน ที่ต้องการหาตัวช่วยคุ้มครองชีวิตในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จนทำให้ไม่สามารถทำงานหาเงินต่อได้ คนในครอบครัวจะได้มีหลักทรัพย์จากความคุ้มครองของประกันชีวิตเข้ามาช่วยจุนเจือ
ประกันชีวิตแบบมีเงินคืน
ประกันชีวิตแบบมีเงินคืน หมายถึง ประกันชีวิตที่จะจ่ายเงินคืนให้กับผู้เอาประกันเมื่อชำระเบี้ยประกันจนครบกำหนดตามเงื่อนไข ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ เงินปันผล กับ เงินคืน ซึ่งมีข้อแตกต่างกันดังนี้
- เงินปันผล
เงินปันผล คือ เงินส่วนแบ่งที่ได้รับคืน โดยจะได้รับเงินจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทกล่าวคือ ถ้าบริษัทสร้างกำไรได้เยอะ ก็จะได้รับเงินปันผลเยอะตามไปด้วย ดังนั้น หากต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผลเยอะๆ ให้พิจารณาบริษัทประกันชีวิตให้ดีว่าจะสามารถสร้างผลกำไรได้มากน้อยแค่ไหน
- เงินคืน
เงินคืน คือ เงินที่ผู้เอาประกันจะได้รับเมื่อชำระเบี้ยประกันจนถึงกำหนดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยจะได้รับเงินตามที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนแบบเต็มจำนวน โดยที่ผู้เอาประกันก็จะทราบล่วงหน้าแล้วว่าได้รับเงินเท่าใด เช่นประกันชีวิตแบบประกันสะสมทรัพย์ ก็จะจ่ายเงินตามเงื่อนไขนี้เช่นกันค่ะ
ศึกประกันชีวิต แบบคืนเงิน vs แบบไม่คืนเงิน ใครวิน?
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่กำลังพิจารณาว่าจะทำประกันชีวิตแบบไหนดี ขอแนะนำว่าอย่าทำตามคนอื่น แต่ให้ดูจากความต้องการของเราเองดีกว่า โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ค่ะ
- ทำประกันชีวิตแบบคืนเงิน
ประกันชีวิตแบบคืนเงินเหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างวินัยในการออมเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตจากผลตอบแทนที่จะได้รับเมื่อครบอายุสัญญาของกรมธรรม์ พร้อมทั้งได้รับความคุ้มครองจากประกันชีวิตไปด้วย
ประกันชีวิตแบบคืนเงินมักจะใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออมเงิน เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคนมากกว่า ดังนั้นความคุ้มครองที่ได้รับจึงอยู่ในวงเงินที่มีจำนวนไม่สูงนัก
- ทำประกันชีวิตแบบไม่คืนเงิน
ประกันชีวิตแบบจ่ายเบี้ยทิ้งจะเหมาะกับผู้เอาประกันที่ต้องเผชิญความเสี่ยงในชีวิตมากกว่า และต้องการความคุ้มครองที่จะเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวได้
โดยมีเป้าหมายการทำประกันชีวิตเพื่อหาตัวช่วยรองรับความเสี่ยงมากกว่าต้องการผลตอบแทน ประกันชีวิตรูปแบบนี้ส่วนมากจะมีความคุ้มครองในวงเงินที่ค่อนข้างสูงกว่าแบบข้างบนค่ะ
ถ้าถามว่าประกันชีวิตแบบมีเงินคืนหรือไม่มีเงินคืน แบบไหนดีกว่ากัน คำตอบคือดีคนละแบบค่ะ ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวผู้เอาประกันเองด้วยการพิจารณาความเสี่ยงที่คุณต้องเจอว่ามาก-น้อยแค่ไหน เพื่อให้การจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตของเรานั้นคุ้มค่าที่สุดค่ะ
ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com
วิธีเอาตัวรอดเมื่อขับรถผ่าน 4 จุดอันตราย บนท้องถนน
เวลาที่เราต้องเดินทางไปไหนมาไหนก็ตาม โดยเฉพาะไปต่างจังหวัดด้วยการขับรถยนต์ส่วนตัว แน่นอนว่าเมื่อใดที่เราขับรถออกจากบ้าน อุบัติเหตุย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งตอนที่ต้องขับผ่าน จุดอันตราย ต่างๆ บนท้องถนน ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นกว่าเดิม
โดยในครั้งนี้ rabbit finance จะขอยกเอาจุดอันตรายที่ผู้ใช้รถใช้ถนนต่างพบเจออยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ จุดที่มีหมอกลงจัด มีโค้งอันตราย ต้องขับรถลุยน้ำ และพบเจอปาหินแก๊งสเตอร์ ลองมาดูกันดีกว่าว่าควรทำอย่างไร หากต้องเจอกับสถานกาณ์เหล่านี้
วิธีเอาตัวรอดเมื่อขับรถแล้วต้องเจอ จุดอันตราย
1.จุดที่หมอกลงจัด
เวลาขับผ่านบางจุดที่มีหมอกลงลงจัดที่ส่วนมากจะเกิดขึ้นบริเวณตอนเหนือของเมืองไทย รวมถึงจุดที่มีควันจากไฟไหม้หญ้าข้างทางที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ของทุกภาค ซึ่งหมอกและควันเหล่านี้มักจะบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ให้มองเห็นถนนหนทางได้ลำบากยิ่งขึ้น
หากรถของคุณมีไฟตัดหมอกควรจะเปิดใช้งานมันด้วย เพื่อช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นให้สามารถมองออกไปได้ไกลขึ้น และนอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ควรทำด้วย ได้แก่
- ควรลดความเร็วของรถ
เช่น จากเดิมขับ 90 กม./ชม. อาจลดลงเหลือ 50-60 กม./ชม. พร้อมกับรักษาระดับความเร็วนี้ไว้
- ควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ
เผื่อรถคันหน้ามีการเบรกกระทันหันจะได้ไม่มีการชนท้ายเกิดขึ้น
- ควรรักษาเส้นทางในการขับขี่
อย่าเพิ่งเปลี่ยนเลนหรือเร่งความเร็วแซงรถคันหน้า อย่าขับรถคร่อมเลน และควรไม่ควรขับชิดด้านใดด้านหนึ่งของถนนมากเกินไป เพื่อป้องกันการเฉี่ยวชนคนหรือรถตันอื่น
- ไม่ควรจอดรถข้างทาง
เพราะรถคันอื่นที่ขับมาอาจมองไม่เห็น และเกิดการเฉี่ยวชนกันได้ จึงควรจอดเมื่อพ้นบริเวณที่หมอกลงจัดไปแล้ว หากจำเป็นจริงๆ ควรจอดในที่ที่ปลอดภัยหรือชิดไหล่ทางมากที่สุด
- ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน
เพราะรถที่ขับตามหลังมาอาจเกิดการเข้าใจผิด และทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
2. โค้งอันตราย
เมื่อต้องเจอกับโค้งอันตราย โค้งหักศอก และโค้งปราบเซียนทั้งหลาย แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้จักรถตัวเองดีว่าต้องเหยียบหรือผ่อนคันเร่งหนักเบา และแตะเบรกเบาๆ หรือเหยียบให้ลึกขึ้นในสถานการณ์ใดบ้าง รวมถึงการบังคับพวงมาลัยว่าต้องหักมากหรือน้อยแค่ไหน เพราะเราขับมันอยู่ทุกวันจนชิน จึงรู้จักหวะต่างๆ หมดแล้ว
แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งมั่นใจเกินไป เพราะสิ่งที่ควรทำในการเข้าโค้งประเภทนี้คือ ต้องชะลอความเร็วก่อนจะเข้าโค้ง อย่า! ชะลอความเร็วในโค้ง เนื่องจากการชะลอความเร็วในโค้งอาจทำให้รถเสียหลักระหว่างกำลังเข้าโค้งอยู่และทำให้รถหลุดโค้งจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ อีกทั้งยังควรที่จะใช้ความเร็วในระดับที่เหมาะสมสำหรับการเข้าโค้งและอย่าประมาทเด็ดขาด
3. ขับรถลุยน้ำ
ถ้าต้องขับรถลุยน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมสูง น้ำขัง หรือลำธารเล็กๆ ก็ตาม การขับรถที่ต้องลุยแอ่งน้ำทั้งหลายเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ต้องระวังไม่ให้รถยนต์คันโปรดของตัวเองเกิดเครื่องดับหรือได้รับความเสียหายต่างๆ ซึ่งคุณสามารถป้องกันน้ำเข้าเครื่องยนต์ได้ดังนี้
- ไม่เปิดแอร์ตอนขับลุยน้ำ
หากคุณต้องขับลุยน้ำจริงๆ อย่างแรงที่ต้องทำคือการปิดแอร์ เพื่อไม่ให้น้ำเข้าห้องเครื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้เครื่องยนต์ดับได้
- ควรใช้เกียร์ต่ำ
ถ้าเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดา แนะนำว่าควรใช้เกียร์ 2 แต่ถ้าเป็นรถยนต์เกียร์ออโต้ ควรจะใช้เกียร์ L อีกทั้งยังควรลดความเร็วลง รวมถึงรักษาความเร็วในระดับต่ำนั้นไว้ด้วย
- ลดความเร็วเมื่อขับรถสวนกับคันอื่น
เพื่อเป็นการลดระดับความสูงของคลื่นน้ำที่เกิดจากแรงปะทะขณะขับลุยน้ำ เพราะยิ่ใช้ความเร็วมากเท่าไหร่ คลื่นน้ำก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งเสี่ยงต่อการที่น้ำเข้าสู่รถยนต์ได้ง่ายขึ้น
- อย่าเร่งรอบเครื่องสูงๆ
เพราะการเร่งรอบเครื่อง จะทำให้อุณหภูมิห้องเครื่องสูงขึ้น พัดลมระบายความร้อนจทำงาน ทำหัดใบพัดหมุนตีน้ำเข้าห้องเครื่องได้ และไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย เนื่องจากการใช้รอบต่ำๆ ก็มีแรงดันมากพอที่จะดันน้ำออกมาจากท่อได้อยู่แล้ว
- ควรเว้นระยะห่างกับรถคันหน้า
เนื่องจากระบบเบรกจมอยู่ใต้น้ำ ประสิทธิภาพการทำงานจะต่ำลง หากเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้มีระยะเบรกที่ปลอดภัย
- เมื่อพ้นช่วงที่น้ำท่วมขัง
หลังจากพ้นช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ควรย้ำเบรกบ่อยๆ หรือเหยียบเบรกเป็นช่วงๆ ถี่ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากระบบ ผ้าเบรกจะได้แห้งไวขึ้น ส่วนรถเกียร์ธรรมดาให้ย้ำคลัทช์เพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อป้องกันปัญหาคลัตช์ลื่นจากการลุยน้ำ
- หลังจากถึงที่หมายปลายทาง
พอเราขับรถถึงจุดหมายของที่ต้องการแล้ว ควรติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้สักพักนึง อย่าเพิ่งรีบดับเครื่องยนต์ทันที เพื่อเป็นการไล่ความชื้นภายในห้องเครื่อง และไล่น้ำออกจากท่อไอเสียให้หมดก่อน
4. ปาหินแก๊งสเตอร์
กรณีคุณต้องขับรถในเส้นทางที่เปลี่ยวหรือไม่ค่อยคุ้นชินเมื่อเดินทางไปต่างจังหวัด ควรระวังเหตุการณ์ปาหินไว้ด้วย ซึ่งมันเป็นอีกหนึ่งเหตุที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งตามที่เห็นจากข่าว โดยวิธีการสังเกตสามารถทำได้ก็คือ ให้ลองสังเกตรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับตามมาหรือเร่งเครื่องตามมา
แก๊งค์ปาหินส่วนใหญ่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการก่อเหตุอยู่แล้ว ซึ่งหากมองกระจกข้างหรือกระจดหลังดูแล้วรู้สึกว่ามอเตอร์ไซต์คันนั้นหรือกลุ่มนั้นดูมีท่าทางที่ผิดสังเกต ดูแล้วรู้สึกแปลกๆ ให้รีบชะลอความเร็วรถและเบี่ยงเลนออกห่างทันที
แต่ถ้าเส้นทางนั้นเปลี่ยวก็ยังไม่ควรจอดทันที ให้ขับไปยังสถานที่ที่มีบ้านคน ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน หรือผู้คนพลุกพล่าน จากนั้นค่อยจอดรถ แล้วรีบโทรแจ้งตำรวจทันที
การใช้รถใช้ถนนสามารถเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อนขึ้นได้ตลอดเวลา ฉะนั้นเวลาขับขี่จึงควรที่จะมีสติครบถ้วน อย่าประมาท และทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนรอบข้าง ถ้าจะให้ดีก็ควรจะทำประกันรถยนต์ดีๆ ไว้ หรือต่อประกันอยู่เสมอ เพื่อความสบายใจของเรา หากต้องพบเจอกับอุบติเหตุต่างๆ บนท้องถนนนั่นเอง
ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com
บทความธรรมะ มีสติเหมือนมีเครื่องผูกใจ
มีสติเป็นเสมือนเชือกผูกใจ
เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงปฐกถาธรรมของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้แสดงไว้ ในหนังสือ คำสอนหลวงพ่อ
ความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี เกิดแล้วเผาใจให้เร่าร้อน ให้ใจมือบอด ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คนที่ฆ่ากันทำร้ายกันเพราะความโกรธแผล็บเดียวเกิดขึ้น แแต่ว่าไม่ยั้งใจ ปล่อยให้ไหลไปตามอำนาจของความโกรธจึงก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน คนที่ไปอยู่ในคุกเพราะโทษฐานฆ่าคนตายนั้น ไม่ใช่โกรธกันมาถึงสิบปี บางที่โกรธเดี่ยวนั้นฆ่าเดี่ยวนั้น นี่เพราะว่าไม่เคยหักห้ามใจ ชอบปล่อยไปตามเรื่อง ไม่เอาเชือกผูกใจไว้เสียบ้าง
เชือกผูกใจก็คือตัวสตินั้นเอง สติคือความรู้สึกตัวได้ทันท่วงที่ในเมื่อใจเรามันจะคิดอะไรขึ้นมา…รู้สึกทัน แล้วก็รั้งได้ทันที พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตอบปัญหามาณพคนหนึ่งว่า “ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสจิตใจ”
มาณพนั้นถามว่า อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสจิตใจ สิ่งที่มันไหลไปลักษณะต่างๆ เขาเรียกว่ากระแส กระแสน้ำ กระแสคลืน กระแสลม กระแสใจมันก็ไหลเรื่อย ให้เกิดอะไรขึ้นในใจของเรา ถามว่าใช้อะไรเป็นเครื่องกั้น?
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ สติ เตสํ นิวารณํ “ บอกว่า สตินั่นแหละ เป็นเครื่องกั้นกระแส เป็นเครื่องหยุดยั้งความคิดไว้ไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์อันนั้น
เช่นว่า พอเกิดความโกรธ รู้ตัวปั๊บ หยุดมันเสีย ยั้งมือไว้ ยั้งปากไว้ อย่าด่าออกไป อย่าหยิบอาวุธ อย่าทำอะไร ยั้งไว้ ถ้าเราทำอย่างนี้ก็เรียกว่า มีการเหนี่ยวรั้ง มีการบังคับตัวเอง
ผู้ประเสริฐ คือ ผู้บังคับตัวเองได้
คนเรานั้นถ้าบังคับตัวเองได้มากเท่าใด ยิ่งเป็นผู้ประเสริฐมากเท่านั้น คนที่ประเสริฐก็คือคนที่บังคับตัวเองได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ก็ไม่ประเสริฐอะไร
ความของคนมันอยู่ที่การบังคับตัวเอง ถ้าไม่รู้จักบังคับตัวเอง เขาตั้งให้ใหญ่เท่าใดมันก็ใหญ่อย่างไม่ได้เรื่องนั่นแหละ สำคัญมันอยู่ตรงนี้
ฉะนั้น เราจะต้องฝึกบังงคับตัวเองไว้ เหนี่ยวรั้งไว้ ไม่ให้เกิดอารมณ์เช่นนั้น แต่ว่าการบังคับเหนี่ยวรั้งนั้นเป็นปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อมันหยุดแล้ว เราควรจะวิจัยค้นคว้าต่อไปว่า อะไรมาทำให้เราโกรธ อะไรมาทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นในใจ
แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไร สมมติว่าเขาด่า เราอย่ายึดเอาคำด่านั้นมาโกรธ เราก็ควรถามว่า ใครด่า คนด่ามันมีหรือ แล้วใครเป็นผู้ถูกด่า ผู้ถูกด่ามันมีหรือ ผู้ด่านมันก็ไม่มี ผูุ้ถูกด่าก็ไม่มี คำด่ามันมีหรือ ไม่มี มันเป็นแต่คลื่นของอากาศที่เกิดจากลมปากที่พูดออกมาเท่านั้นแล้วก็หายไป เรานี่โง่เองที่ไปยึดไว้ ไม่ยอมให้มันหายไปตามอากาศ ชอบสร้างเรื่องสร้างราว สร้างเรด้าห์ออกไปรับรอบตัว รับเอาไว้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าอะไรๆก็รับเอาๆ นี่เรียกว่าควายเขารึ ชอบหาเรื่อง ชอบรับเรื่องนั้นเรื่องนี้มาใส่ไว้ในใจ แล้วไปนั่งทุกข์ทนหม่นหมองใจ ทำให้ตนเศร้าใจเป็นทุกข์ไปเปล่าๆ ทีนี้ให้มีการควบคุม คอยเหนี่ยวรั้งไว้
คนที่จะควบคุมตัวเองด้วยเรื่องใด ต้องรู้ว่าอะไรมันทำให้เรายุ่งให้รู้เรื่องก่อน รู้ว่าสิ่งไหนทำให้ยุ่ง ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลง ตัวริษยา ตัวอะไรที่ทำให้ยุ่ง มันยุ่งเพราะอะไร ทำไมมันจึงยุ่ง ต้องคิด ต้องตรอง เมื่อคิดไปตรองไปก็จะมองเห็นภาพของมันตามกันมาเป็นแถว ตัดต้นทาง ตัดขบวน อย่าไปตัด ปลายแถว ตัดปุ๊ปมันก็กล้มพรวดลงไปเลย เรื่องนั้นก็หายไป แล้วเราก็จะต้องเอาไปศึกษาบ่อยๆ
หมั่นคิดพิจารณาเรื่องที่ผ่านมาด้วยปัญญา
ของเก่าเอามาคิดค้นไม่ใช่เสียหาย ถ้าเอามาพิจารณาด้วยปัญญา มันก็ไม่เป็นไร ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “อย่าไปคิดถึงเรื่องผ่านมาแล้ว” นั่นหมายความว่า อย่าไปคิดด้วยความโง่ อย่าไปคิดด้วยความยึดถือฝันเพ้อ แต่ถ้าเราเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพินิจพิจารณา ศึกษา ค้นคว้า เพื่อปัญญาแล้ว อย่างนี้ก็ใช้ได้
ก็เรื่องในชีวิตของเราแต่ละคนมันเยอะ ผ่นมาแล้วก็เอามาดูเสียมั่ง ดูด้วยปัญญา ดูว่ามันมาอย่างไร มันไปอย่างไร มันอยู่อย่างไร มันเกิดทุกข์โทษอย่างไรในชีวิตของเรา เอามาดูบ้างเถอะ ถ้าดูแล้วจะฉลาดขึ้น รู้เท่าทันเหตุการณ์มากขึ้ง บังคับจิตใจของตัวเองได้มากขึ้น อันจะเป็นทางช่วยให้เกิดความสงบใจ
อันนี้เป็นวิธีการปฏิบัติเบื้องต้นในการรู้จักนึกคิด เพื่อรักษาใจของเราให้สงบขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ
พระพรหมมังคลาจารย์(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
ขอบคุณที่มา sara-108.blogspot.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19 กันยายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,550.00 | 18,450.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,050.00 | 18,116.20 | 1,195.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,768.08 | 1,238.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,304.58 | 1,075.50 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,492.96 | 956.00 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,156.08 | 538.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,336.88 | 418.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 19 กันยายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 | 30.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 | 30.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 | – | 27.94 | 27.94 | 27.94 | 27.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.79 | 21.79 | – | – | – | – | – | 21.79 | 21.79 | – |
เบนซิน 95 | 38.06 | – | – | – | 38.51 | – | 38.56 | 38.36 | 38.16 | 38.36 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.13 | 15.13 | – | – | – | – | – | – | – | – |