สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 19 กันยายน 2563

กลยุทธ์ลดเสี่ยง  เจาะซื้อที่ดิน  ผ่านเทคโนโลยี  

อสังหา ใช้เทคโนโลยี ชี้ให้ชัดว่าทำเล ที่ต้องการ มีศักยภาพพอ ต่อการลงทุนหรือไม่ ท่ามกลางการแข่งขัน ยุค “ดิสรัปชัน”

เมื่อทำเล หรือโลเกชัน คือ สิ่งที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างเน้นย้ำเสมอ ว่าเปรียบเป็นปัจจัยสูงสุดในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สำเร็จ และคงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น ท่ามกลางข้อจำกัดของตลาด โดยมีผู้ซื้อเป็นตัวกำหนด (ดีมานด์) และซัพพลายค้างเก่าจำนวนมาก ที่ต้องนำมาศึกษากับองค์ประกอบอื่นๆร่วมด้วย เพื่อชี้ให้ชัดๆว่าทำเลดังกล่าวมีศักยภาพเพียงพอต่อการลงทุนหรือไม่ ขณะยุค “เทคโนโลยีดิสรัปชัน” โมเดลธุรกิจที่มีนวัตกรรม-เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลง

สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น เปรียบเป็นอีกฟันเฟือง ที่เข้ามาท้าทายพลิกโฉมการพัฒนาโครงการในหลายๆด้านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การสร้างแบบจำลองมิติเสมือนจริง (BIM), แพลตฟอร์มควบคุมเวลาการก่อสร้าง, การควบคุมคุณภาพ (QC) และต้นทุน ที่เดิมมักเกิดความผิดพลาดสูญเสียระหว่างการก่อสร้าง มีความเสียหายราว 10-20% ของต้นทุนการก่อสร้างสัดส่วน 50% ในแต่ละโครงการ ซึ่งพบเมื่อผู้พัฒนาฯ นำนวัตกรรม เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ามาช่วยแก้ไขจำกัดปัญหาเบื้องต้นแล้ว ต้นทุนดังกล่าวจะลดลง ถูกเปลี่ยนเป็นกำไร หรือช่วยให้ผู้ซื้อซื้อได้ง่ายขึ้น จากราคาขายที่สามารถปรับลงมาได้ เพราะต้นทุนถูก

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาฯ ที่ได้นำนวัตกรรม เข้ามายกระดับมาตรฐานการพัฒนาโครงการ ครอบคลุมงานบริการ การบริหารจัดการโครงการที่ชูเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย ผ่านระบบ LIV-24 เรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงปี 2562 นั้น เผยว่า ปัจจุบันบริษัท ยังใช้เทคโนโลยี ในแง่ Big Data ชั้นสูง อัพเดตแบบเรียลไทม์ มาวิเคราะห์ในการจัดซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอย่างเข้มข้นจริงจังอีกด้วย ภายใต้ระบบ “Sansiri Bangkok Model” หรือแผนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากปัจจัย 3 สิ่งของการทำพร็อพเพอร์ตี้ คือ โลเกชัน โลเกชัน และโลเกชัน เป็นกุญแจดอกสำคัญสูงสุด 
    ระบบดังกล่าว จะช่วยประเมินตั้งแต่การจัดหาที่ดินที่เหมาะสม , ระบุ สภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ, แสดงกายภาพของกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย (ดีมานด์) เช่น อายุ อาชีพ ที่ตั้งของที่อยู่อาศัยเดิม และสถานที่ทำงาน  รวมไปถึงการวิเคราะห์จำนวนซัพพลายในตลาด เพื่อช่วยพิจารณาได้ว่า ทำเลดังกล่าว เป็นบลูโอเชี่ยน (ตลาดใหม่) หรือ เรดโอเชี่ยน ที่มีการแข่งขันรุนแรงอยู่แล้ว  เปรียบเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ตั้งแต่แรก ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการประมาณ 100 โปรเจ็กต์ในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ทำเลด้วยเทคโนโลยี ซึ่งอนาคตการใช้ระบบ “แผนที่กรุงเทพฯ” ของแสนสิริ จะยิ่งมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น จากภาวะตลาดที่ไม่ง่ายเหมือนอดีต

“จากเดิมเรามองมิติเดียว แค่ดีมานด์และซัพพลาย แต่เมื่อดูหลายมิติ เห็นกายภาพของลูกค้า หรือแหล่งอำนวยความสะดวกโดยรวมของทำเล ช่วยให้มั่นใจในศักยภาพพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น ตรงกันข้าม หากซื้อที่ดินผิดจะผิดพลาดไปหมด เปรียบเป็นการตรวจสอบความถูกต้องร่วมกับฝ่ายการตลาด และเป็นกลยุทธ์สำคัญการลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจขณะนี้ได้อย่างแม่นยำ”

  ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมเชื่อมต่อทุกมิติของการพัฒนาโครงการผ่านระบบนวัตกรรมเทคโนโลยี ตั้งแต่การสร้างสัญญาจ้าง-สัญญาก่อสร้าง, การประมาณการต้นทุน, การจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง, การรายงานความคืบหน้าของการพัฒนาและเข้าตรวจเพื่อควบคุมคุณภาพ อย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 

ขอบคุณข้อมูลจาก  thansettakij.com


ตลาดบ้านสร้างเอง  อีกความหวังอสังหาฯไทย 

เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย มูลค่ามหาศาล 7 แสนล้านต่อปี ไม่ได้ถูกกระทุ้งผ่านเพียงโครงการหมู่บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม ราคาถูกยันแพงขนาดน้อย-ใหญ่ในระบบทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีชะตากรรมไม่แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กำลังถูกพิษของสถานการณ์โควิด-19 เล่นงานจนผู้ซื้อบางกลุ่ม บางทำเลลืมหูลืมตาไม่ขึ้น คาดอย่างต่ำทั้งปีในแง่การโอนกรรมสิทธิ์คงหายไปราว 30% เพราะแม้ตลาดมีสัญญาณบวกการซื้อ-ขายเริ่มฟื้นหลัง

คลายปลดล็อก แต่จากฐานที่เติบโตมาตลอดต่อเนื่อง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลขประมาณการ จีดีพี (อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ) ลบลงแรงล่าสุด ถึง 8.1% และความไม่แน่นอนของโรค ซึ่งอาจกลับมาระบาดรอบสอง ยังเป็นปัจจัยรั้งตัวใหญ่ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของศูนย์อสังหาริมทรัพย์ (ธอส.) พบอีกตลาดที่มีความสำคัญต่อภาคอสังหาฯไม่แพ้กัน คือ “ตลาดบ้านสร้างเอง” ครอบคลุม การสั่งสร้างผ่านบริษัทรับสร้างบ้าน และผู้รับเหมารายย่อย-รายใหญ่ ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละปีมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท และหากคำนวณในเชิงสัดส่วนเปรียบเทียบทั่วประเทศ ระหว่างบ้านจัดสรร และบ้านสร้างเอง ตลาดสร้างเอง กลับมีจำนานมากกว่าที่40:60 มีอัตราเติบโตขึ้นทุกปี แม้แต่ในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ก็พบจำนวนช่วงปี 2562 เพิ่มขึ้น 3% อยู่ที่ราว 18,000 หลัง นอกจากนี้ ยังมีที่ดินว่างเปล่าอีกไม่น้อยกว่า 120 ล้านตารางเมตร โดยในจำนวนนี้กว่า 50% อยู่ใน 10 เขตหลักที่เป็นพื้นที่สำหรับ “บ้านสร้างเอง” ทั้งสิ้น

    ข้อมูลดังกล่าว สะท้อนผ่านการบอกเล่า ของนายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสของ “ตลาดบ้านสร้างเอง” โดย มีเรียลดีมานด์ (ความต้องการเพื่ออยู่อาศัยจริง) เป็นตัวรองรับอย่างแท้จริง และไม่มีการลงทุนเก็งกำไรเผื่อผสม แต่ด้วยสถานการณ์โควิด คาดตลอดทั้งปี นับแค่ในกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านของสมาคมจำนวน 50 ราย ซึ่งเดิมเป็นสัดส่วนกระตุ้นตลาดในทุกๆปี ราว 25% นั้น ยอดขายคงลดลงราว 10% จากเป้าหมายที่วางไว้ 1-1.2 หมื่นล้านบาท 

ทั้งนี้ ไม่ได้กังวล แต่กลับเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า หรือกลุ่มคนสั่งสร้างบ้าน เนื่องจากตลาดนี้มีความแตกต่างจากลูกค้าในโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งส่วนใหญ่มักพึ่งพาระบบการขอสินเชื่อจากธนาคาร และมีปัญหาถูก
ปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์) สูงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ตลาดบ้านสร้างเอง ลูกค้าส่วนใหญ่ จะมีการวางแผนล่วงหน้า 5-6 เดือน ผ่านการเก็บเงินสะสม โดยมีการยื่นขอสินเชื่อธนาคารเพียง 50% เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ ทั้งฝากผู้ประกอบการ และฝากผู้บริโภค รอเพียงมาตรการกระตุ้นจากรัฐ โดยเฉพาะข้อเสนอ ซึ่งสมาคมขอให้รัฐบาลสนับสนุนตลาด ผ่านการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา 2% ของค่าปลูกสร้าง ในระยะ 5 ปี และยกเว้นภาษีที่ดินว่างเปล่า (ไม่เกิน 200 ตารางวาต่อคน) สำหรับปลูกสร้างบ้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจในทุกแง่ได้ ทั้งเปิดช่องให้ประชาชนมีบ้านได้ง่ายขึ้

“บ้านสร้างเอง 2 แสนล้านบาท ถูกสร้างเพื่ออยู่อาศัยจริง ต่างจากตลาดหลัก ซื้อแล้วไม่อยู่ มีฟองสบู่ ฉะนั้น ทำอย่างไรให้ตลาดนี้ยังคงอยู่ เพราะกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยังคงมี โดยมาตรการด้านภาษีที่เสนอ รัฐสามารถดำเนินการได้ทันที เป็นผลดีไม่เฉพาะธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่เม็ดเงินนับแสนล้านจะหมุนเวียนไปยังธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ฯ มีความหมายมากกว่านำเงินอัดแจกใส่มือประชาชน คาดเร็วๆนี้คงมีข่าวดี”

นายวรวุฒิ ยังกล่าวว่า ขณะนี้เปรียบเป็นจังหวะดีของผู้บริโภคในตลาดรับสร้างบ้านอย่างมาก หลังจากวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับลดลงราว 5% และต่อรองได้ ขณะผู้ประกอบการต่างกังวลถึงความไม่แน่นอนในอนาคต ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจโลก หรือไวรัส จึงพากันทำการตลาดผ่านการลดค่าปลูกสร้างตั้งแต่ 5-20% ซึ่งสูงมาก หรือให้ราคาเดิม แต่เพิ่มสเปกให้ และบางส่วนใช้วิธีเสนอบริการเสริม อื่นๆพ่วงเข้าไปด้วย เพื่อดึงดูดยอดออเดอร์ หวังตุนไว้ในมือมากๆ ทำให้ช่วงที่ผ่านมา บริษัทรายใหญ่ ซึ่งโหมทำการตลาดอย่างหนัก กลับมียอดขายเติบโตเกือบเท่าตัว สะท้อนความมั่นคงของตลาด ว่ายังไปได้ต่อท่ามกลางวิกฤติ 

ขณะกลุ่มบ้านราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากฐาน 3 ล้าน ก็บ่งบอกว่ากลุ่มผู้บริโภคของตลาดนี้ มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ 
    ทั้งนี้ สมาคม เตรียมลุยจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020” ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ หลังจากยกเลิกไปเมื่อช่วงต้นปี 2563 คาดจะเป็นอีกช่องทางในการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯในส่วนของผู้ต้องการปลูกสร้างบ้าน ซึ่งยอดที่เกิดขึ้น อาจการันตรีได้ว่า ตลาดดังกล่าวไปต่อได้ เหนือวิกฤติ? 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สรรพากรดิจิทัล ไม่ต้องใช้หนังสือรับรองนิติบุคคลแล้ว

สรรพากรดิจิทัล ไม่ต้องใช้หนังสือรับรองนิติบุคคลแล้ว

กรมสรรพากรก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลล้ำอีกขั้น ประกาศยกเลิกการใช้สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล

นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการยกเลิกการใช้สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลและสำเนาเอกสารข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคล ได้แก่ หนังสือบริคณห์สนธิ และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น โดยกำหนดให้ใช้หนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือบริคณห์สนธิ และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น จากการเชื่อมโยงข้อมูลนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแทนวิธีการให้ผู้ประกอบการต้องคัดเอกสารดังกล่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า การยกเลิกการใช้สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล และสำเนาเอกสารข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลเป็นไปตามโครงการยกเลิกสำเนาเอกสาร (No Copy) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Transformation) นอกจากนั้นยังเป็นการอำนวยความสะดวกรวดเร็ว และลดภาระลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ และเดินหน้าเข้าสู่สรรพากร 4.0 อีกด้วย

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


เลสเตอร์ คว้า “อุนแดร์” จากโรม่าร่วมทัพแบบยืมตัว

เลสเตอร์ คว้า "อุนแดร์" จากโรม่าร่วมทัพแบบยืมตัว

“จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ประกาศคว้าตัว เซนกิซ อุนแดร์ ปีกชาวตุรกี ในสัญญายืมตัว มาจากโรม่า ในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี จนจบฤดูกาล 2020/21

โดย เซนกิซ อุนแดร์ ได้กล่าวว่า “ผมแทบจะรอไม่ไหวกับโอกาสที่จะได้ร่วมงาน และ ลงซ้อม กับเลสเตอร์ ซิตี้ ผมหวังมาตลอดว่าอยากมาเล่นในอังกฤษ และ นี่ก็เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้มาเล่นในพรีเมียร์ลีก”

“ผมจะทำเต็มที่เพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีม ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม และผมเชื่อว่า ผมสามารถพัฒนาฝีเท้าได้ดีขึ้นอีก ผมมีความเร็ว และ ผมก็สามารถสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูให้กับทีมได้”

undeer

“ผมรู้สึกดีมากๆ เพราะเพื่อนสนิทของผมก็เล่นให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ผมมีความสุขที่จะได้เล่นกับ ชากลาร์ โซยุนชู ผมติดตามผลงานของเลสเตอร์ มาตลอดก็เพราะเขา”ปีกชาวตุรกี กล่าว

สำหรับ อุนแดร์ ย้ายจาก อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ มาอยู่กับโรม่า เมื่อปี 2017 และกลายเป็นนักเตะตุรกี ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในนัดประเดิมสนามกับ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018

ทั้งนี้อุนแดร์ ลงเล่นนัดประเดิมสนามให้กับทีมชาติตุรกีในเกมพบกับทีมชาติโคโซโว ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเมื่อปี 2016 และล่าสุดพาทีมชาติผ่านเข้ารอบคัดเลือกบอลยูโร 2020 ซึ่งมีกำหนดแข่งขันในปีหน้า นับถึงปัจจุบัน เซนกิซ อุนแดร์ ลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วรวม 21 นัด ยิงไป 6 ประตู

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


How to ล้างหน้าอย่างไรไม่ให้แก่

How to ล้างหน้าอย่างไรไม่ให้แก่

การล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นจุดเริ่มต้นของการมีผิวสุขภาพดี แล้วมั่นใจแค่ไหนว่าที่เราล้างหน้าอยู่ทุกวันทำถูกต้องแล้ว 100%

คนเราล้างหน้ากันทุกวันเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่รู้หรือไม่ ว่าการล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ผิวมีสุขภาพดี ซึ่งการล้างหน้าดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มีหลายท่านล้างหน้าไม่สะอาด ไม่ถูกวิธี อาจส่งผลทำให้ผิวมีริ้วรอย ใบหน้าไม่สดใส สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการล้างหน้า พญ.พนิดา จรรย์ศุภรินทร์ แพทย์ประจำแอดไลฟ์ชั้น 1 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) แนะนำวิธีการล้างหน้าอย่างไรไม่ให้แก่ ดังนี้

โดยทั่วไปแนะนำให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น การล้างหน้าบ่อยเกินไป อาจทำให้มีการทำลายสมดุลผิวที่เป็นเกราะป้องกันผิว ทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้

หนึ่งในความสำคัญของการล้างหน้าคือ การทำความสะอาดผิวเพื่อเตรียมพร้อมที่จะบำรุงผิวหน้าในขั้นตอนถัดไป นั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงควรล้างหน้าให้สะอาด เพื่อให้ครีมบำรุงต่างๆ สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างเต็มที่

แนะนำการล้างหน้าเบื้องต้น คือการล้างหน้าต้องล้างให้สะอาด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป ปกติแล้วควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือเช้าและเย็น โดยมีขั้นตอนการล้างหน้าคือ

1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการล้างหน้าโดยเฉพาะ เช่น ผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ผสมพาราเบน แอลกอฮอล์ หรือสารทำความสะอาดที่มีความรุนแรงเกินไป ส่วนผิวมัน ผิวผสม หรือคนที่มีปัญหาสิว อาจเลือกเจลล้างหน้าที่อ่อนโยน แต่ผสมสารที่ช่วยลดความมัน ลดการอุดตันของสิว เช่น salicylic acid เป็นต้น

2. เริ่มล้างหน้าโดยเริ่มจากการทำผิวหน้าให้เปียกด้วยน้ำสะอาดเล็กน้อย หลังจากนั้นใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้า นวดผิวหน้าให้ทั่วนานประมาณ 15-20 วินาที ไม่ควรนวดแรงจนเกินไป พยายามนวดขึ้นเพื่อเป็นการต้านแรงโน้มถ่วง หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด อย่าใช้น้ำร้อนจัด เพราะจะทำให้ผิวแห้งเกิดริ้วรอยได้ เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูที่สะอาดหรือกระดาษเช็ดหน้าซับเบาๆ อย่าถูแรงเกินไป

3. สำหรับในตอนเย็นจะเพิ่มขั้นตอนการเช็ดครีมกันแดดและครีมล้างหน้าก่อนการล้างหน้า

  • ขั้นตอนแรก ล้างมือให้สะอาด ในกรณีที่มีการแต่งหน้า ทามาสคาร่า เราควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับล้างเช็ดตาโดยเฉพาะ โดยการเทผลิตภัณฑ์ที่จะเช็ดตาลงบนสำลีให้ชุ่ม หลังจากนั้นทาบนเปลือกตา เช็ดออกเบาๆ จากหัวตาไปหางตาจนกว่าจะสะอาด
  • ใช้คลีนซิ่งน้ำนมหรือออย หลักการก็คือผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ทาผิวหน้าตอนกลางวันมักจะมีเบสเป็นน้ำมัน เช่น ครีมกันแดด และเครื่องสำอาง มักมีลักษณะ กันน้ำ ดังนั้นการล้างหน้าเพียง step เดียวเหมือนตอนเช้า จึงไม่เพียงพอ ดังนั้น ขั้นตอนแรกเราจึงควรเช็ดเอาครีมกันแดด และเครื่องสำอางออกก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่ให้เช็ดเครื่องสำอางในท้องตลาดมีมากมาย แบ่งได้เป็นกลุ่ม cleansing milk, oil เช็ดเครื่องสำอาง และกลุ่มที่เป็น micellar water การเลือกใช้ หากแต่งหน้าจัดๆ cleansing milk หรือ cleansing oil จะทำความสะอาดเครื่องสำอางกันน้ำได้ดีกว่า ขั้นตอนเริ่มจากบีบใส่ผิวนวดลงบนผิวหน้าที่แห้งเพื่อล้างครีมหรือครีมกันแดด จากนั้นนำสำลีชุบน้ำเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมด จากนั้นจึงเริ่มล้างหน้าตามปกติ

สิ่งสำคัญที่สุด คือล้างหน้าให้สะอาด เช็ดเครื่องสำอางทุกครั้ง เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้าให้เหมาะกับผิว รวมถึงไม่ควรใช้น้ำร้อนจัดหรือนำสบู่อาบน้ำมาล้างหน้าด้วย เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้ง เกิดเป็นริ้วรอยได้ เมื่อหน้าสะอาดแล้ว การบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไปก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


ภาษาอาหรับในชีวิตประจำวัน คำไหนใช้ในโอกาสไหน อ่านเถอะได้ประโชน์

1- อินชาอัลลอฮฺ. ان شآءالله
หมายถึง : หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ใช้เมื่อคิดจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด
2- มาชาอัลลอฮฺ.. ماشاءالله
หมายถึง : รู้สึกยินดีในสิ่งต่างๆซึ่งแปลว่า พระประสงค์ของอัลลอฮฺ เมื่อพอใจสิ่งใดที่เกิดกับเรา หรือเมื่อเราเห็นสิ่งที่เราพอใจ
3- อัลฮัมดุลิลลาฮ.. الحمدلله
หมายถึง : บรรดาการสรรเสริญ เป็นของอัลลอฮฺ เป็นการสรรเสริญพระเจ้า เมื่อพอใจสิ่งใดที่เกิดกับเรา
4- อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ.. استغفرالله
หมายถึง : ใช้พูดเมื่อ สำนึกผิดจากการกระทำบาป ซึ่งแปลว่าฉันขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัย
5- ลิฮุบ บิลลาฮฺ.. لحب الله
หมายถึง : ใช้พูดเมื่อเกิดความรักกับผู้ใด ซึ่งแปลว่า รักเพื่ออัลลอฮฺ
6- ฟีอะมานิลลาฮฺ.. في أمان الله
หมายถึง : ใช้พูดเมื่อจะจากกัน ซึ่งแปลว่าขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง
7- อัลลอฮุอักบัร.. الله اكبر
หมายถึง : คำสดุดีพระผู้เป็นเจ้ามีความหมายว่า อัลลอฮฺ พระผู้ทรงเกรียงไกร
8- ฟีซะบี่ลิลลาฮฺ.. في سبيل الله
หมายถึง : ในหนทางของอัลลอฮฺ เช่น บริจาคสิ่งของ หรือจ่ายทรัพย์สินเพื่อหนทางของอัลลอฮฺ
9- วัลอิยาซุบิลลาฮฺ.. وعياذبالله
หมายถึง : ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ (ให้ห่างไกลจากสิ่งนี้) เป็นคำกล่าว ที่มักกล่าวกันเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ดี เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
10- นะอูซุบิลลาฮิ มินซาลิก
.نعوذ بالله من ذلك
หมายถึง : ขออัลลอฮฺคุ้มครองเราให้ห่างไกลจากสิ่งนั้น
11- อินนาลิลลาฮฺ วะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน
انّالله وانّاإليه راجعون
หมายถึง : แท้จริงนั้น ตัวเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแน่นอนว่า เราจะต้องกลับไปยังพระองค์”
*โดยส่วนใหญ่แล้ว ใช้กล่าวเมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของพี่น้องมุสลิม เป็นการเตือนสติตนเอง และผู้คนรอบข้างแต่ในบางครั้ง ก็อาจจะใช้กล่าวเมื่อประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือเรื่องที่ไม่ดี เสมือนการอุทาน .
12- ญะซากัลลอฮฺค็อยร็อน
جزاكَ الله خيرا
หมายถึง : ใช้เวลา ขอบคุณ ผู้ชาย ความหมายประมาณว่า..ขออัลลอฮฺ ซ.บ. ทรงตอบแทนท่านชาย
13- ญะซากิลลาฮฺค็อยร็อน
جزاكِ الله خيرا
หมายถึง : ใช้เวลา ขอบคุณ ผู้หญิง ความหมายคือ ขออัลลอฮฺ ซ.บ.ทรงตอบแทนท่านหญิง
14- ญะซากุมุลลอฮฺค็อยร็อน
جزاكُمُ الله خيرا
หมายถึง ใช้เวลา ขอบคุณคนหลายๆคน อาจมีทั้งชายและหญิงรวมกัน หรือในกรณีที่เราไม่ทราบว่าคนพวกนั้นเป็น “เขา” หรือ “เธอ” ความหมายก็จะประมาณ.. ขออัลลอฮฺ ซ.บ.ทรงตอบแทนพวกท่าน !
* คำว่า ขอบคุณ กับ ญะซากัลลอฮฺ จะต่างกันก็ตรงความหมายที่เกินกว่าและลึกซึ้ง เพราะ “ขอบคุณ” ก็คือ คำแสดงความขอบใจในน้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้ ส่วน “ญะซากัลลอฮฺค็อยร็อน” ในทางภาษาอาหรับแล้วความหมายจะกินเกินขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะเป็นคำแสดงความขอบคุณไปในตัวแล้ว ยังเป็นคล้ายๆกับการวิงวอน~วอนขอ ให้อัลลอฮฺ ซ.บ. ทรงตอบแทนบุคคลที่มีน้ำใจกับเราคนนั้นอีกทีหนึ่งด้วย
การกล่าว “ญาซากั้ลลอฮุ…” ที่ถูกต้อง
คำว่า “ญาซา” มีความหมายว่า “ตอบแทน”หรือ “ให้รางวัล” — ซึ่ง “รางวัล” นั้น ก็มีอยู่สองประเภท นั่นคือ “รางวัลที่ดี และ “รางวัลที่เลว”
การกล่าวเพียงแค่ “ญาซากั้ลลอฮฺ” นั้น จึงมีความหมายได้สองแบบว่า “ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนแก่ท่านซึ่งรางวัลที่ดีงาม” หรือ “ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนแก่ท่านซึ่งรางวัลที่เลวทราม”
ดังนั้น การกล่าวเพียงแค่ “ญาซากั้ลลอฮฺ” จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันอาจเป็นการดุอาอฺที่สาปแช่งผู้ที่เรากล่าวด้วย
การกล่าว “ญาซากั้ลลอฮฺ…” จึง ต้องมีคำมาเติมต่อท้ายให้สมบูรณ์ ซึ่งมีอยู่สองแบบ คือ…
1. ญาซากั้ลลอฮุ ชัรฺรอน
جزاكَ الله شرا
มีความหมายว่า : ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนแก่ท่านซึ่งรางวัลที่เลวทราม”
2. “ญาซากั้ลลอฮฺ ค็อยร็อน
جزاكَ الله خيرا
มีความหมายว่า : ขออัลลอฮฺทรงแทนแก่ท่านซึ่งรางวัลที่ดีงาม”
สรุปแล้ว คำว่า “ญาซากั้ลลอฮฺ …” นั้น จำต้องตามด้วยคำต่อท้าย ไม่ว่าจะเป็น “ชัรฺร็อน” หรือ “ค็อยร็อน”
พี่น้องก็เลือกเอาว่าเราควรจะกล่าวในสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลบุญต่อตัวเราและ พี่น้องของเรา หรือจะกล่าวคำที่สร้างความหายนะให้ทั้งตัวเราและพี่น้องของเรา
หากเราต้องการกล่าวต่อพี่น้องของเรา เพื่อเป็นการขอบคุณและขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามให้แก่ผู้คนผู้นั้น ก็จงกล่าวเต็มๆ ว่า “ญาซากั้ลลอฮุ ค็อยร็อน” อย่ากล่าวเพียงแค่ว่า “ญาซากั้ลลอฮฺ”
ขอบคุณข้อมูลจาก mtoday.co.th

“สเปรย์สะท้อนน้ำจากแกลบ” เพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง

“หน้ากากอนามัย” กลายเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตใหม่ไปแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา จึงได้เห็นนวัตกรรมมากมายเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย หรือจะว่าไปแล้ว น่าจะเป็น “หน้ากากผ้า”  ที่ประชาชนทั่วไปใช้แทนหน้ากากอนามัยมากกว่า และนวัตกรรมที่พูดถึงกันเยอะสำหรับหน้ากากผ้า ก็คือ “ผ้าสะท้อนน้ำ” ซึ่งเป็นนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน 

นั่นคือจุดเริ่มต้นไอเดียของ 2 นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ต้องการทำสารเคลือบหน้ากากผ้า ที่เรียกว่า “สเปรย์สะท้อนน้ำ” ที่ผลิตจากของเหลือทิ้งภาคเกษตรเพื่อลดปัญหาขยะ โดยสารนี้สามารถใช้ฉีดพ่นเคลือบบนผ้าทุกชนิด เพื่อป้องกันละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งจากเชื้อไวรัส COVID-19 และเมื่อฉีดพ่นสารเคลือบแล้ว หน้ากากผ้า ก็สามารถซักและนำมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
 
“วิภาดา จารุพงศ์จิตรัตน์”  หรือ น้องไฮ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มจธ. เล่าว่า ช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ใหม่ๆ เกิดการขาดแคลนหน้ากากอนามัย คนก็หันมาใช้หน้ากากผ้า แม้กรมอนามัยบอกว่าสามารถป้องกันได้ระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วเวลามีละอองน้ำลายจากคนที่ไอหรือจามมาโดน สักพักมันจะซึมเข้าไปในผ้าได้ จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ 100% 
เธอและเพื่อน “ศดานันท์ สุขนิตย์” หรือน้องสนุ๊ก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มจธ.จึงร่วมกันคิด ว่าน่าจะทำสารเคลือบผ้าอะไรก็ได้ เพื่อให้สามารถป้องกันละอองน้ำลายที่ติดอยู่บนผิวผ้าได้ เพราะปกติผ้าทั่วไปจะมีรูขนาด 20 ไมโครเมตร ซึ่งรูมีขนาดใหญ่กว่าหน้ากากอนามัย ขณะที่เชื้อไวรัสนั้น มีขนาดที่เล็กมากๆ ประมาณ 0.05-0.2 ไมโครเมตร ถึงแม้จะอยู่บนละอองน้ำลายที่มีขนาดประมาณ 50 – 100 ไมโครเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่อยู่ดี จึงคิดกันว่าจะทำสารที่สามารถสะท้อนน้ำ ป้องกันการดูดซึมน้ำบนผ้าได้ ทำให้เราพัฒนาสารตัวนี้ขึ้นมา

“น้องสนุ๊ก” เล่าเสริมว่า ช่วงแรกมองว่า มีหน้ากากสะท้อนน้ำยี่ห้อหนึ่งมีวางขายในตลาดอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ข้อจำกัด เพราะโจทย์ที่ได้รับจากอาจารย์ที่ปรึกษาคือ ให้ลองเอาของเหลือทิ้งจากภาคเกษตร มาเป็นสารเคลือบ ซึ่งนอกจะทำให้ผ้าธรรมดาทั่วๆ ไปกลายเป็นหน้ากากสะท้อนน้ำ นำมาใช้ซ้ำๆ ได้ ทำให้สามารถลดขยะ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ทั้งหน้ากากผ้า และของเหลือทิ้งจากเกษตรไปพร้อมๆ กัน  

ของเหลือทิ้งจากภาคเกษตร ที่นักคิดทั้ง 2 คนเลือกใช้ คือ แกลบ เพราะประเทศไทยปลูกข้าวกันเยอะ แล้วแกลบส่วนใหญ่ที่เห็นก็เอาไปทำปุ๋ยหรือเผาทิ้ง ทำให้เกิดฝุ่นกลายเป็นมลพิษ จึงนำแกลบมาสกัดเอาสารที่ต้องการ แล้วลดขนาดของสารนั้นลงให้อยู่ในระดับนาโนเมตร จากนั้นปรับสภาพพื้นผิวโครงสร้างให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบน้ำ แล้วนำไปผสมให้กลายเป็นสารแขวนลอยเพื่อนำมาใช้สเปรย์พ่นลงบนผ้า หลังจากนั้นจึงนำไปผ่านกระบวนการยึดติดตรึง เพื่อให้สารติดบนเส้นใยของผ้าได้แน่นขึ้น 

ทั้ง 2 เริ่มต้นจากการใช้แกลบ 1 กิโลกรัม ผลิตสารพ่นได้ประมาณ 2 กรัม นำมาทดสอบฉีดพ่นทั่วพื้นผ้าสาลูหรือผ้าอ้อมเด็กซึ่งปริมาณสารที่ใช้น้อยมาก ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนกว่า ก่อนจบโปรเจกต์ ผลการทดลองที่ได้พบว่า จากผ้าอ้อมที่มีรูระบายค่อนข้างใหญ่ หลังพ่นสารเข้าไปเคลือบบนผ้าอ้อมทำให้เนื้อผ้ายึดติดกันแน่น รูตารางของเนื้อผ้าถี่ขึ้น เมื่อลองหยดน้ำหรือเทน้ำลงบนผ้าที่เคลือบสาร ก็พบว่า น้ำกลิ้งไปมาบนผ้า น้ำไม่ซึมเข้าในเนื้อผ้าแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ทดสอบด้วยการซักถึง 30 ครั้ง แต่ผ้าที่เคลือบสารก็ยังคงมีคุณสมบัติในการกันน้ำหรือสะท้อนน้ำแม้จะนำมาใช้ซ้ำๆ หลายรอบ ผ้าก็ไม่เปียกน้ำ 

“ผศ.ดร.เขมฤทัย ถามะพัฒน์” อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา กล่าวเสริมว่า ความหมายของคำว่า “สะท้อนน้ำ” คือทำให้พื้นผิวของผ้าไม่เปียกน้ำ หรือน้ำไม่สามารถซึมเข้าไปในผ้าได้ และด้วยคุณสมบัติของสารสะท้อนน้ำจากแกลบที่สามารถกันน้ำได้นี้ นอกจากนำไปใช้ฉีดพ่นบนหน้ากากผ้าแล้ว ยังสามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก เช่น รองเท้าผ้าใบ เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งชุดผ่าตัด หรือจะนำไปใช้ฉีดพ่นบนกระดาษก็สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ นอกจากนั้น ยังสามารถปรับสูตรการผลิตสารพ่นเคลือบสะท้อนน้ำให้เหมาะสมกับประเภทของวัสดุที่อยากให้กันน้ำได้อีกด้วย ดังนั้น หากมีผู้สนใจที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ หรือพัฒนาต่อในเชิงพาณิชย์ สามารถติดต่อมาได้ที่ภาควิชาฟิสิกส์ มจธ.

สเปรย์สะท้อนน้ำหรือสารสะท้อนน้ำจากแกลบ ถือเป็นนวัตกรรมสารเคลือบกันน้ำที่ผลิตจากธรรมชาติรายแรกๆ ที่ยังไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม แกลบไม่ใช่ของเหลือทิ้งทางการเกษตรเพียงชนิดเดียว ที่สามารถนำมาสกัดสารที่มีคุณสมบัติสะท้อนน้ำได้เท่านั้น แต่ยังมีฟางข้าว ซังข้าวโพด อ้อย หรือแม้แต่ตระกูลพืชเปลือกแข็ง เช่น เปลือกมะพร้าว กาบมะพร้าว เปลือกถั่ว รวมถึงใบไผ่ ที่สามารถนำมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“สะเดา” หวานเป็นลมขมเป็นยา

ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า และ กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข

“สะเดา” หวานเป็นลมขมเป็นยา

          ถ้าพูดถึง”สะเดา” เราคงนึกถึงสมุนไพรรสขมที่มีประโยชน์ และคิดถึงเมนูสูตรเด็ด ”สะเดาน้ำปลาหวาน” ที่กินคู่กับปลาดุกย่างที่แสนอร่อย

          ข้อมูลของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า สะเดาเป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีน แร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย

          สรรพคุณทางยาของสะเดา
          1. ดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย ใบสะเดาเมื่อนำมาต้มในน้ำร้อน ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง ล้างพิษในกระแสเลือด กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
          2. รักษาโรคผิวหนัง สารเกดูนิน (Gedunin) และ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราตามเท้า เล็บมือ เล็บเท้า กลาก-เกลื้อน หิด เริม แผลจากโรคสะเก็ดเงิน (เชื้อแบคทีเรีย) หัด ลมพิษ ผดผื่นคัน หูด และอีสุกอีใส
          3. แก้ไข้มาเลเรีย สารเคมีกลุ่มลิโมนอยด์ (Limonoids) ได้แก่ สารเกดูนิน และ นิมโบลิดี ในใบและเมล็ดสะเดา สามารถยับยั้งเชื้อฟัลซิปารัม (P.Falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาชนิดหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          4. รักษาโรคไขข้อ ขอบใบสะเดา เมล็ดสะเดา และเปลือกต้น เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อได้ โดยช่วยลดอาการปวด บวมในข้อ ซึ่งอาจนำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้ทาในบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และอาการปวดหลังช่วงล่าง หรือนำใบมาต้มเป็นน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการของโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคกระดูกพรุน
          5. ช่วยย่อยอาหาร ใบสะเดา สามารถนำมาทำเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำดี ช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งน้ำดีที่ถูกกระตุ้นสร้างออกมานั้นจะช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีขึ้นด้วย
          6. บำรุงสุขภาพช่องปาก บำรุงเหงือกและฟัน นิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในยาสีฟันทั่วไป ช่วยรักษาโรครำมะนาด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
          7. ลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็งมีผลวิจัยบางชิ้นเผยว่า สารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) และสารลิโมนอยด์ (Limonoids) ที่พบในเปลือก ใบ และผลสะเดา มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง
          8. คุมกำเนิด ใช้น้ำมันสะเดาเพื่อคุมกำเนิดในผู้หญิงและผู้ชาย โดยใช้วิธีต่างกัน ผู้หญิงนั้นจะใช้น้ำมันสะเดาชุบสำลีทาบริเวณปากในช่องคลอด ส่วนผู้ชายจะใช้ฉีดน้ำมันสะเดาบริเวณท่อนำอสุจิ
          9. บำรุงข้อต่อ สะเดาช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย
          10. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยจะยับยั้งการผลิตอินซูลินได้กว่าร้อยละ 50 และยังช่วยปรับสมดุลความอยากอาหาร
          11. ดีท็อกซ์สารพิษในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดดีหมุนเวียนในร่างกายมากขึ้น
          12. ต้านมะเร็งสารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย
          13. ลดการติดเชื้อราในช่องคลอด
          14. บำรุงหัวใจ ผลของต้นสะเดา หากนำมาต้ม ใช้จิบอย่างน้อยวันละครั้ง มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ

          อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมดุลและแข็งแรง

ขอบคุณข้อมูลจาก med.mahidol.ac.th


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 28,600.00 28,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,853.00 28,091.48 29,200.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,667.70 25,282.33 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,482.40 22,473.18 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 834.00 12,643.44 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 649.00 9,838.84 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,920.00 29,107.20 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/09/2563 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 21.75 21.75 22.25 21.75 22.25 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75
แก๊สโซฮอล์ 91 21.48 21.48 21.98 21.48 21.98 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48
แก๊สโซฮอล์ E20 20.24 20.24 20.74 20.24 20.74 20.24 20.24 20.24 20.24
แก๊สโซฮอล์ E85 18.04 18.04 18.04
เบนซิน 95 29.16 30.11 29.66 29.16 29.16
ดีเซล 21.19 21.19 21.69 21.19 21.69 21.19 21.19 21.19 21.19 21.19
ดีเซล B10 18.19 18.19 18.69 18.19 18.69 18.19 18.19 18.19 18.19 18.19
ดีเซล B20 17.94 17.94 18.44 17.94 18.44 17.94 17.94 17.94
ดีเซลพรีเมี่ยม 25.64 25.66 28.14 27.64 25.64
แก๊ส NGV 14.17 14.17 14.17
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า