สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2561

กองทุนแบงก์รัฐ หนุนธนาคารรัฐ เอื้อผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย

 

กองทุนแบงก์รัฐ หนุนธนาคารรัฐ เอื้อผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย

คณะอนุกรรมการกองทุนแบงก์รัฐ เตรียมความพร้อมแผนใช้เงินกองทุนแบงก์รัฐ เสริมสภาพคล่องให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หลังประสบปัญหาขาดทุนจากปัญหาหนี้เสีย พร้อมหนุนการอนุมัติเงินให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลของธนาคารให้มีความทันสมัยรองรับการบริการให้กับผู้ขอสินเชื่อบ้านและที่อยู่อาศัย

หลังจากที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากปัญหาหนี้เสียที่มีมากถึง 50% ซึ่งมากกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีหนี้เสียไม่เกิน 5% และหนี้เสียนั้นเป็นการปล่อยกู้อย่างไม่มีศักยภาพให้กิจการโครงการที่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มมุสลิม และทางธนาคารได้ส่งเรื่องให้ สำนังานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐฯ (ป.ป.ท.) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วกว่า 50 คดี แต่ธนาคารฯ ยังไม่พ้นวิกฤตจนต้องแก้ปัญหาด้วยการโอนหนี้เสีย 5 หมื่นล้านบาท ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ “ไอแอม” ขณะที่คณะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบแก้กฎหมายให้กระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นได้เกิน 49% เป็นการชั่วคราว เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือดำเนินงานของธนาคาร ตามสัดส่วนและระยะเวลาที่เหมาะสมของคณะรัฐมนตรี และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 61 ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นกระทรวงการคลังจะใส่เงินเพิ่มทุนส่วนแรก 2,000 ล้านบาท เป็นเงินจากงบประมาณให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทันที

ล่าสุด นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารและอำนวยการในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (กองทุนแบงก์รัฐ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการใช้เงินของกองทุนที่มีอยู่ล่าสุด 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากมีการดำเนินการใช้ได้เร็ว ก็จะเป็นผลดีต่อธนาคารของรัฐให้มีความเข้มแข็ง ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้น โดยแผนการใช้เงินของกองทุนแบงก์รัฐ ที่สำคัญ 1 ใน 3 เรื่อง คือ การเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท จากการเพิ่มทุนทั้งหมด 1.8 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สนช. เห็นชอบแก้กฎหมายให้กระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นได้เกิน 49% เป็นการชั่วคราว โดยหลังจากนี้จะเป็นการสรรหาพันธมิตรมาร่วมทุนถือหุ้นในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งเป็นรอบที่ 3 โดยมีเป้าหมายหาผู้ร่วมทุนให้ได้ภายในสิ้นปี้นี้ (2561)

สำหรับแผนการใช้เงินของกองทุนแบงก์รัฐที่สำคัญนอกเหนือจากการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการดำเนินการโครงการอินฟินิท จำนวน 650 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในการใช้สถานที่ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนการเรียนรู้การเงินฟินเทคสมัยใหม่ทั้งหมด โดยส่วนนี้ต้องตั้งงบประมาณไว้มาก เพราะต้องร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ที่มีความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีฟินเทคที่ทันสมัย เพื่อให้คนไทยนำไปต่อยอดได้

ที่สำคัญคือ การอนุมัติเงินให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลของธนาคารให้มีความทันสมัยรองรับการบริการให้กับผู้ขอสินเชื่อบ้านและที่อยู่อาศัย ขณะที่ ธอส.เตรียมขอความร่วมมือธนาคารสมาชิก และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) รวมถึงกรมบังคับคดี ในการนำทรัพย์สินรอการขายหรือ เอ็นพีเอ ของทุกหน่วยงานนำมารวมกันออกจำหน่ายภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีเอ็นพีเอที่จะนำออกมาจำหน่ายไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท

 

ที่มา : https://www.ddproperty.com


 

ศุภาลัย โชว์ผลงานครึ่งปีแรก 61 กวาดยอดขาย+สร้างรายได้รวมโตต่อเนื่อง

 

ศุภาลัย ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 กวาดยอดขาย 17,760 ล้านบาท เติบโต 33%  โกยรายได้รวม 11,158 ล้านบาท  เติบโต 13%  กำไรสุทธิ 2,092 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น 0.40 บาทต่อหุ้น เตรียมแผนบุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 3 เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง 9 โครงการ เพื่อผลักดันให้ทะลุเป้าหมายยอดขาย 33,000 ล้านบาทในปีนี้

 

 

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีแรก 2561 ว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จด้านยอดขายที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขาย 17,760 ล้านบาท เติบโตขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการ ทั้งสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม และแนวราบ แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 48% และโครงการแนวราบ 52%  และคิดเป็น 54% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 33,000 ล้านบาท  อีกทั้งสามารถทำรายได้รวม  11,158 ล้านบาท เติบโต 13% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 56% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 44%

บริษัทสามารถทำผลงานด้านกำไรสุทธิ 2,092 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 54% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.43% ต่อปี ณ 30 มิ.ย. 2561 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 42,486 ล้านบาท ณ 30 มิ.ย. 2561 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2561 จำนวน 9,745 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 32,741 ล้านบาทในอีก 4 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 838 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 28 ส.ค.2561 และจ่ายปันผล วันที่ 11 ก.ย. 2561

ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่ารวม 7,600 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 1 โครงการ และแนวราบ 9 โครงการ ซึ่งบริษัทได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในโครงการแนวราบโดยพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่  New Look, New Brand : ESSENCE    โดยเปิดตัวโครงการแรกในทำเลกลางเมืองย่านลาดพร้าว ชื่อโครงการ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว” บนพื้นที่ประมาณ  26  ไร่  จำนวน 190 แปลง  ด้วยบ้านใหม่ล่าสุด 3 ชั้น 3 แบบ 3 สไตล์  ทั้ งบ้านเดี่ยว  บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม  โดยสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับโครงการแนวราบ และปัจจุบันสามารถโกยยอดขายพุ่งสูงกว่า 700  ล้านบาท  และในเดือนตุลาคมนี้บริษัทเตรียมเดินหน้าตอกย้ำแบรนด์ ESSENCE เปิดตัวโครงการใหม่ย่านทำเลสวนหลวง ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 และคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน

ขณะเดียวกันโครงการคอนโดมิเนียมได้มีการพัฒนาแบบห้องชุดรูปแบบใหม่ในโครงการแรก “ศุภาลัย เวอเรนด้า สุขุมวิท 117” ด้วยการออกแบบ 1 Bedroom Plus+โดยมีพื้นที่เป็นห้องอเนกประสงค์ที่เป็นทั้งห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องแต่งตัว เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย ซึ่งได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นจำนวนมากตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง และยังคงทยอยเข้ามาจับจองกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 60% เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทั้งรูปแบบห้องพักอาศัยที่หลากหลาย ทำเลที่ตั้งบนถนนสุขุมวิท  ใกล้รถไฟฟ้าสถานี  ปู่เจ้าสมิงพราย เพียง 200 เมตร และใกล้จุดเชื่อมต่อทางด่วนวงแหวนรอบนอก  ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง  และราคาที่คุ้มค่าทั้งการลงทุนหรือเพื่ออยู่อาศัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็มทั้ง Co – living space Co -working space เป็นต้น

ไตรมาส 3 บริษัทส่งโปรโมชั่นใหม่ต่อเนื่อง “ชุ่มฉ่ำ รับทองกับศุภาลัย” รับทองคำแท่ง หนักสูงสุด 10 บาท สำหรับลูกค้าที่จองโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ที่มีมูลค่า 7 ล้านบาทขึ้นไป และรับทองคำแท่งมูลค่า 7 บาท สำหรับโครงการที่มีมูลค่า 4-7 ล้านบาท  รับทองคำแท่งมูลค่า 5 บาท สำหรับโครงการที่มีมูลค่า 2-4 ล้านบาท รับทองคำแท่งมูลค่า 3 บาท สำหรับ โครงการที่มีมูลค่า 2 ล้านบาท หรือ เลือกรับฟรี ส่วนลดเงินสดสูงสุด 100,000 บาท + ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนฯ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2561

อีกทั้งเตรียมเดินหน้าตามแผนงานเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง จำนวน 9 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ  จำนวน  7 โครงการ  ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือ ศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก – วงเวียนใหญ่ บนขนาดที่ดินประมาณ 2 ไร่จำนวน 363 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด มีลูกค้าลงทะเบียนสนใจห้องชุดมากกว่า 1,000 คน และสามารถสร้างยอดขายในระยะเวลาที่รวดเร็ว เกือบ 90% มูลค่ากว่า 1,250 ล้านบาท ภายในวันเปิดจองอย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้บริษัทยังได้รับใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2015 ซึ่งเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการรับรองในด้านการพัฒนาคุณภาพและระบบงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับระบบบริหารงานคุณภาพสู่มาตรฐานสากล ภายใต้แนวคิดการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพเพื่อสังคมไทย ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทะลุเป้าหมายยอดขาย 33,000 ล้านบาทในปีนี้อย่างแน่นอน

 

ที่มา : https://thinkofliving.com


 

รถติดหลอนอีก 3 ปี “ลำสาลี”คิวต่อไป ขอครม. 3 พันล. แก้จุดทับซ้อนสายสีส้ม-สะพานข้าม

 

 

 

รถติดหลอนคนกรุง 3 ปี รัฐโหมสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสี ขุดพรุนทั่วกรุง หนักสุดพหลโยธิน ลาดพร้าว รามคำแหง พระราม 9 ศรีนครินทร์ แจ้งวัฒนะ รามอินทรา เล็งจัดฟีดเดอร์รับคนจากในซอยส่งถึงบันไดรถไฟฟ้า รฟม.เร่งเคลียร์ กทม.ยุติจุดทับซ้อน ชง ครม.อัดเพิ่ม 3 พันล้าน เจาะอุโมงค์สายสีส้ม รอสะพานยกระดับพาดยาวลำสาลี-คลองบ้านม้า จับตาอิตาเลียนไทยฯ รับส้มหล่น กลับลำไม่ทุบทิ้งสะพานแยกบางกะปิ ตำรวจจัดจราจรเร่งระบายรถเช้า-เย็น ออกกฎเหล็กคุมรถบรรทุกวิ่งในพื้นที่ก่อสร้าง
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบัน รฟม.กำลังเร่งก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สาย ได้แก่ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายบางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค สายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี สายสีเหลืองลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี ซึ่งทำให้ผิวการจราจรบนถนนสายหลักทั้งถนนประชาราษฎร์ จรัญสนิทวงศ์ เพชรเกษม พหลโยธิน ลาดพร้าว ศรีนครินทร์ แจ้งวัฒนะ รามอินทรา ติวานนท์ รามคำแหง และพระราม 9 ถูกจำกัด ส่งผลกระทบต่อการจราจรติดขัดมากขึ้น โดยเฉพาะถนนลาดพร้าวและรามคำแหง ที่ผิวจราจรคับแคบและเป็นพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ
“ด้วยข้อจำกัดผิวจราจร ทำให้รถติดมากขึ้น ยิ่งหน้าฝนยิ่งหนัก รฟม. ผู้รับเหมา และตำรวจจราจร เร่งหาทางบรรเทาปัญหา เช่น ลาดพร้าวที่ติดหนักในขณะนี้เพราะปิดถนน 2 เลนจาก 6 เลนเหลือ 4 เลน จะจัดช่องเว้าให้รถสาธารณะเข้าไปจอด 21 จุดตลอดแนว เช่น หน้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว จะประสานกับการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวง เพราะมีย้ายเสาไฟฟ้าและท่อประปาด้วย อีกทั้งจะประสาน ขสมก.นำรถเมล์วิ่งเป็นฟีดเดอร์รับส่งคนจากในซอยไปยังสถานีรถไฟฟ้า เช่น ซอยภาวนา ลาดพร้าว 71 วัดบึงทองหลาง”
เร่งเคลียร์จุดทับซ้อน กทม.
นอกจากนี้จะเร่งเคลียร์พื้นที่จุดทับซ้อนกับโครงการก่อสร้างของ กทม. เพื่อให้งานก่อสร้างเดินหน้าตามแผน และคืนผิวจราจรได้เร็วขึ้น ที่มีข้อยุติแล้วคือสะพานข้ามแยกลำสาลีในแนวสายสีส้ม ซึ่ง กทม.มีโครงการขยายสะพานข้ามแยกไปถึงคลองบ้านม้า พร้อมสร้างอุโมงค์ทางลอดตั้งแต่คลองบ้านม้าไปถนนราษฎร์พัฒนา และให้ รฟม.ออกเงินและก่อสร้างให้ไปก่อนพร้อมกับรถไฟฟ้า ในเร็ว ๆ นี้จะเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขยายกรอบวงเงินก่อสร้างเพิ่มเฉพาะสะพานข้ามแยก เพราะเป็นคนละโครงการกัน คาดว่าจะใช้เงินก่อสร้างอีกหลาย 1,000 ล้านบาท
“ได้รับอนุมัติแล้ว จะให้ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เป็นผู้ก่อสร้างรวมเข้าไปกับงานอุโมงค์ของสายสีส้ม ส่วนที่เป็นอุโมงค์ทางลอดยังสามารถรอได้ เพราะช่วงนั้นเป็นโครงสร้างยกระดับ ขณะที่สะพานข้ามแยกบางกะปิ ในแนวสายสีเหลือง เดิม กทม.อยากจะให้ทุบแล้วสร้างใหม่ อาจจะไม่ต้องรื้อ เพราะถ้ารื้อจะต้องเสียค่าก่อสร้างเพิ่ม อาจจะปรับแบบโครงสร้างให้วิ่งเกาะด้านข้างสะพานแทน”
ติดหนึบ – พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลกำลังเผชิญกับปัญหารถติดอย่างสาหัส ส่วนหนึ่งมาจากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายที่ต่อขยายเส้นทางจากในเมืองไปยังชานเมืองมากขึ้น มีกำหนดทยอยเปิดใช้ปี 2562-2566 เท่ากับคนกรุงต้องเผชิญรถติดอีก 3-5 ปี
คิวต่อไปปิดสะพานแยกลำสาลี
นายวิทยา พันธุ์มงคล รักษาการรองผู้ว่าการ รฟม.ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวว่า ทางอิตาเลียนไทยฯได้ปรับแผนเจาะอุโมงค์ช่วงแยกลำสาลี-คลองบ้านม้าออกไป 2 เดือน จากเดิมจะปิดสะพานข้ามแยกชั่วคราว 6 เดือนเพื่อรื้อบางส่วนรองรับกับโครงสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าและโครงการของ กทม.ภายในเดือน ต.ค.นี้เป็นปลายปี ซึ่งยอมรับว่าการปิดสะพานข้ามแยกจะส่งผลกระทบต่อการจราจร
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กทม.มีโครงการจะก่อสร้างแก้ปัญหาการจราจรบนถนนรามคำแหง วงเงินรวม 5,770 ล้านบาท แยกเป็นทางยกระดับขนาด 4 ช่องจราจรจากแยกลำสาลี-คลองบ้านม้า วงเงิน 3,120 ล้านบาท และอุโมงค์ทางลอดใต้ถนนกาญจนาภิเษกจากคลองบ้านม้า-ถนนราษฎร์พัฒนา วงเงิน 2,000 ล้านบาท และขยายผิวจราจรถนนราษฎร์พัฒนาเชื่อมกับคลองบ้านม้า เป็น 8 ช่องจราจร วงเงิน 650 ล้านบาท
“สำนักการโยธา กทม. กำลังร่วมกับ รฟม.ที่กำลังสร้างสายสีส้มเพื่อปรับแบบ เพราะมีพื้นที่ทับซ้อนกัน ลักษณะจะเหมือนกับอุโมงค์ลอดใต้ถนนจรัญสนิทวงศ์-แยกบางพลัด ที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ซึ่งการก่อสร้างจะต้องไปพร้อมกัน ครั้งนั้นกว่าจะสร้างอุโมงค์ได้ก็ 3-4 ปี กว่าจะสร้างเสร็จ”
ส่วนสะพานข้ามแยกบางกะปิที่ก่อนหน้านี้มีแนวคิดจะรื้อออกเพื่อก่อสร้างสายสีเหลือง ล่าสุด รฟม.แจ้งมาว่า จะไม่รื้อออกแล้ว แต่จะสร้างเสาตอม่อบริเวณกลางสะพานแทน จะใช้พื้นที่บางส่วนของสะพานเท่านั้น แต่อาจจะต้องสร้างช่องทางจราจรทดแทนเมื่อเสาตอม่อเสร็จ ซึ่ง รฟม.กำลังปรับแบบอยู่เช่นกัน แต่ผู้ที่รับภาระการก่อสร้างยังคงเป็น รฟม. เพราะเป็นการใช้พื้นที่สะพานของ กทม.ในการก่อสร้าง
รามฯ-ลาดพร้าวติดหนึบ 3 ปี
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวว่า สถานการณ์รถติดพื้นที่กรุงเทพฯ มีแนวโน้มจะติดมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนที่ยิ่งทำให้รถติดหนักขึ้น เนื่องจากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้ากระจายในหลายพื้นที่ กว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือถนนลาดพร้าวและรามคำแหง เพราะเป็นถนนที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากทั้งเช้าและเย็น และมีพื้นผิวจราจรถูกใช้ไปในโครงการก่อสร้างค่อนข้างมาก
“ถนนลาดพร้าวที่ติดหนักมากเกิดจากยกเลิกช่องทางพิเศษบริเวณขาออก ช่วงแยกบางกะปิ-โชคชัย 4 ได้หารือกับผู้รับเหมาก่อสร้าง จะถอนแนวกั้นออกไปในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า 06.00-09.00 น. และเย็น 15.00-21.00 น. ให้เหลือช่องจราจร 3 ช่อง ส่วนป้ายรถประจำทางทั้ง 21 ป้ายที่อยู่ในพื้นที่ก่อสร้าง จะขยับออกไปตลอดแนว 50 เมตร และงดใช้ป้ายรถเมล์หน้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ให้รถประจำทางเข้าไปจอดรับผู้โดยสารบริเวณถนนคู่หน้าห้างแทน ให้จราจรคล่องตัวขึ้น”
แนะใช้ทางลัดทางเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม อยากให้ใช้เส้นทางลัดใน ซ.ลาดพร้าว 30, 32 และ 36 เนื่องจากสามารถลัดไปออกถนนรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว-วังหิน ถนนโชคชัย 4 ถนนลาดปลาเค้า-วังหิน ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนประเสริฐมนูกิจได้ ขณะที่ฝั่งขาเข้า ให้ใช้ซอยลาดพร้าว 64 และซอยลาดพร้าว 80 เพื่อไปออกถนนรัชดาภิเษกซอย 18 และแยกรัชดาฯ-สุทธิสารยังมีแนวคิดจะเจาะเกาะกลางถนนบริเวณหน้าศาลอาญาไปถึงแยกรัชโยธิน เพื่อเป็นถนนให้รถที่มาจากลาดพร้าวเลี้ยวขวาได้ทันที ไม่ต้องกลับรถไกล อยู่ระหว่างหารือกับ กทม. เชื่อว่าปัญหาบนถนนรัชดาภิเษกจะคลี่คลายเมื่ออุโมงค์ลอดใต้แยกรัชโยธินสร้างเสร็จในเดือน ต.ค.นี้ และเมื่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-คูคตแล้วเสร็จในปี 2563
พล.ต.ต.จิรพัฒน์กล่าวอีกว่า อีกจุดจะวิกฤตบริเวณแยกลำสาลีในแนวสายสีส้มที่จะก่อสร้างสถานีใต้ดิน มีความจำเป็นต้องรื้อสะพานข้ามแยกออก ตอนนี้ได้รื้อสะพานช่วงขาลงออกแล้ว คาดว่าปลายปีนี้จะสามารถรื้อในช่วงขาขึ้นได้ทั้งหมด โดยเมื่อสร้างเสร็จแล้ว รฟม.จะต้องสร้างสะพานนี้คืน กทม.ในภายหลัง คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ปี
ไม่ทุบสะพานบางกะปิ
ส่วนสะพานข้ามแยกบางกะปิ เดิมที่มีแนวคิดจะรื้อสะพานออกด้วยนั้น ตอนนี้ผู้รับเหมามีแนวคิดใหม่ที่จะสร้างตอม่อบริเวณกลางสะพาน และขยายสะพานออกไปข้างละ 1 ช่องแทน อยู่ระหว่างการออกแบบร่วมกับ กทม. ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจะได้ข้อสรุป
และเพื่อช่วยบรรเทาปัญหา ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในจุดที่มีปัญหา พร้อมจัดกำลังช่วยเหลือกรณีน้ำท่วมและช่างเคลื่อนที่เร็วกรณีเกิดอุบัติเหตุรถเสีย โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า 06.00-08.00 น. และช่วงเย็น 15.00-21.00 น.
ออกกฎเหล็กคุมรถ 6 ล้อ
นอกจากนี้เตรียมออกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักรว่าด้วยการห้ามรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป เดินและห้ามจอดรถในทางบางสายในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อบังคับใช้ในถนนที่มีการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เช่น ถนนแจ้งวัฒนะ รามอินทรา ลาดพร้าว รามคำแหง คาดว่าสามารถประกาศใช้ได้ในเร็ว ๆ นี้

 

ที่มา : http://www.bkkcitismart.com


 

ประโยชน์ของการ “เทรดทอง” ที่คุณอาจมองข้ามไป

 

ประโยชน์ของการ “เทรดทอง” ที่คุณอาจมองข้ามไป

เทรดทอง หมายถึง การซื้อขายราคาทองคำที่มีอยู่ในตลาด นั่นก็คือการค้าทองนั่นเอง โดยใช้ราคาทองมาเป็นตัวพิจารณาการซื้อขาย หากเราซื้อทองมาในราคาถูกและขายออกในราคาแพง เราก็จะได้กำไรจากการค้าทอง ซึ่งมีหลักการเทรดอยู่ 2 แบบคือ

1.เทรดโดยการซื้อถูกขายแพง

คล้ายๆกับเราเล่นหุ้น เช่น ซื้อทอง 1 บาท ในราคา 20,000 บาท และขายไปในวันถัดมาที่ราคา 1 บาท ราคา 21,000 บาท จะได้กำไรทันที 1,000 บาท เป็นต้น

2.เทรดทองโดยการใช้สัญญาแบบ CFD หรือใช้การทำนายส่วนต่าง (นิยมใช้ในการเทรด forex)

ถ้าเป็นการเทรดทองแบบนี้ แค่คุณทำนายหรือคาดการณ์ราคาทองว่ามันจะขึ้นหรือลงภายในกรอบที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว ถ้าทำนายถูกก็จะได้รับเงินจำนวนมากจากการทำสัญญาแบบ CFD

ข้อดีของการเลือก เทรดทอง

1.สามารถทำกำไรได้รวดเร็ว

การแกว่งตัวของราคาทองคำของโลกมีวาระที่ทำนายได้อย่างแน่นอน การเลือกเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาทองคำ ถือว่าเป็นไปได้ และคุณสามารถทำได้อย่างแน่นอน

2.การใช้กราฟทางเทคนิคมีความคลาดเคลื่อนต่ำ

หากเลือกเทรดทองโดยใช้กราฟทางเทคนิค ค่าความคลาดเคลื่อนก็จะต่ำลง มีโอกาสในการเทรดได้ถูกทางในสัญญา CFD ได้มากกว่านั่นเอง

 

goldd

 

กลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ในการเทรดทองได้

อาจเลือกใช้เส้นไข่ปลาอย่าง parabolic ทำนายทิศทางการขึ้นหรือลงของกราฟ หรือเลือกใช้ Bollinger Band ในการมองหาช่วงแกว่งของราคาที่รุนแรงเพื่อทำการเทรดก็สามารถทำได้

ดังนั้น การเลือกที่จะเทรดทอง ก็เหมือนกับเทรด forex ในส่วนของราคาเงิน หรือว่าเป็นการเทรดในส่วนของหุ้นนั่นเอง แต่ว่ามีข้อดีประการสำคัญคือ สามารถคำนวณหาจุดของการเทรดทอง หรือทำนายทิศทางของการแกว่งตัวของทองคำได้ง่ายกว่าสิ่งอื่นๆนั่นเอง

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

เปิดชื่อ 8 โรคร้าย ทำลายสุขภาพช่วงวัยทำงานแบบไม่รู้ตัว

 

เปิดชื่อ 8 โรคร้าย ทำลายสุขภาพช่วงวัยทำงานแบบไม่รู้ตัว

แม้วัยทำงาน จะเป็นวัยที่อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว แต่สุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย ยิ่งไลฟ์สไตล์และรูปแบบการทำงานในปัจจุบัน ทำให้หลายคนต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ จนทำให้มีสารพัดโรคตามมาและวันนี้ Tonkit360 ขอพาไปเช็กกันว่า โรคร้ายที่มักเกิดกับคนทำงานออฟฟิศแบบไม่รู้ตัว มีอะไรบ้าง

  1. โรคกรดไหลย้อน

สาเหตุของโรคนี้ เกิดจากการทานอาหารไม่เป็นเวลา เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เครียดจัด สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าหนัก และหากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อนแบบเรื้อรัง (ระยะเวลากว่า 10 ปี) ก็อาจทำให้เป็นมะเร็งหลอดอาหารส่วนปลายได้

  1. โรคอ้วน

ปัจจุบันพบว่า คนวัยทำงานเป็น “โรคอ้วน” มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องนั่งทำงานแบบติดเก้าอี้ หรือชอบทำงานไป ทานอาหารไป และยิ่งไม่ค่อยออกกำลังกาย ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนยิ่งสูงขึ้น

ที่สำคัญโรคอ้วนยังเป็นบ่อเกิดของโรคสำคัญๆ มากมาย อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง ฉะนั้น การที่คุณหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ น่าจะเป็นวิธีป้องกันโรคอ้วนที่ดีที่สุด

  1. โรคความดันโลหิตสูง

สำหรับ “โรคความดันโลหิตสูง” เปรียบเสมือนภัยเงียบที่คุณจะรู้ตัวว่าป่วยด้วยโรคนี้ เมื่อร่างกายมีอาการเตือน และปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค ก็อาจเกิดจากความเครียด โรคอ้วน ทานอาหารที่มีรสเค็ม สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้า และหากคุณเป็นผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงานจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ทำงานใช้กำลัง

ที่สำคัญ ความดันโลหิตสูงไม่ใช่เรื่องโรคภัยเล็ก ๆ ที่เกี่ยวกับความดันเท่านั้น เพราะความร้ายแรงของโรคนี้ อาจนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย และหัวใจวาย

  1. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ในบางครั้ง คุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์จำเป็น ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้ ทั้งแบบติดงานด่วนจริง ๆ หรือคิดไปเองว่า งานที่ทำอยู่รอไม่ได้ (แต่ห้องน้ำรอได้) แต่รู้หรือไม่ว่า การอั้นปัสสาวะนาน ๆ ไม่ใช่เรื่องดี และหากคุณอั้นปัสสาวะจนมีความรู้สึกว่าหายปวด นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจกำลังเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

  1. โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

ผู้เป็นโรคนี้จะมีอาการปวดหลังแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการปวดร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ซึ่งหากไม่ยอมไปพบแพทย์ อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดหลังและร้าวลงขา ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาทันที สาเหตุของโรคนี้ อาจมาจากการทำงานที่เคร่งเครียด ไม่มีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ จนร่างกายเกิดการอ่อนล้า และเสื่อมสภาพลงไป ฉะนั้น ในช่วงเวลาทำงานขอให้คุณหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หรือลดน้ำหนักให้สมดุลกับร่างกาย และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก

  1. โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

หรือ “โรคซีวีเอส” มีสาเหตุมาจากการใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน (เกินความจำเป็น) ประกอบกับตำแหน่งการจัดวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม มีแสงสว่าง หรือแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป ระยะห่างระหว่างดวงตากับจอคอมพิวเตอร์ ท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ นำไปสู่ “โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” ทั้งสิ้น โดยอาการของผู้เป็นโรคนี้ คือ ตาแห้ง แสบตา ตาไม่สู้แสง ไม่สามารถจับโฟกัสได้ สำหรับวิธีป้องกัน เพียงคุณพักสายตาเป็นระยะ ๆ อาทิ ทุก 20 นาที ให้พักสายตาประมาณ 20 วินาที ทั้งการหลับตาพัก การเปลี่ยนจุดโฟกัสจากหน้าจอคอมฯ เป็นที่อื่น หรือลุกจากที่นั่ง เพื่อไปเข้าห้องหรือเดินไปดื่มน้ำก็ได้

  1. โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)

ไม่ใช่โรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือสัญญาณเตือนโรคมะเร็ง โดยอาการของโรคนี้ คือ อาการท้องเสีย อย่างไรก็ดี หากชีวิตคุณหลงเข้ามาติดกับเจ้า “โรคลำไส้แปรปรวน” ก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่า ตลอดช่วงชีวิตของคุณต้องเผชิญกับโรคนี้อีกหลายครั้งแน่ ๆ ยิ่งหากคุณเครียดก็ยิ่งกระตุ้นอาการของโรค

  1. โรคเส้นประสาทถูกกดทับที่ข้อมือ

หรือ “โรคพังผืดทับเส้นประสาท” เป็นโรคที่มักเกิดกับผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมือ ๆ อาทิ ครู ช่างเจาะถนน ทํางานเย็บปักถักร้อย หรือนักกีฬาบางประเภท (แบดมินตัน ปิงปอง วอลเลย์บอล)

สำหรับโรคนี้มีวิธีการรักษาหลากหลายรูปแบบ ทั้งกินยา ทำกายภาพ หรือผ่าตัด แต่ไม่ว่าคุณจะรับการรักษาแบบใด หากยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตทำงานรูปแบบเดิม ๆ ก็มีความเสี่ยงกับมาเป็นโรคนี้อีก ดังนั้น คุณควรหมั่นบริหารมือและนิ้วอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อ จะช่วยลดความเสี่ยงอาการเส้นเอ็นอักเสบ

พอเห็นสาเหตุของแต่ละโรคแบบนี้ บอกได้เลยว่า วิธีแก้ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก แค่คุณลุกออกจากโต๊ะทำงานบ้าง เพื่อเคลื่อนไหวร่างกาย ปรับนิสัยการใช้ชีวิตประจำวันใหม่ ปรับการกินใหม่ พยายามแบ่งเวลาไปพักผ่อนและออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ บรรดาโรคร้ายก็จะหลีกหนีไปจากคุณเอง

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2561

 

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,700.00 18,600.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,200.00 18,267.80 1,205.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 18,934.84 1,249.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,441.02 1,084.50
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,614.24 964.00
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,216.72 542.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,397.52 422.00

 

 

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2561

 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.75 29.75 29.85 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75
แก๊สโซฮอล์ 91 29.48 29.48 29.58 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48
แก๊สโซฮอล์ E20 26.84 26.84 26.74 26.84 26.84 26.84 26.84 26.84 26.84
แก๊สโซฮอล์ E85 21.19 21.19 21.19 21.19
เบนซิน 95 36.86 37.31 37.36 37.16 36.96 37.16
ดีเซล 28.89 28.89 29.09 28.89 28.89 28.89 28.89 28.89 28.89 28.89
ดีเซลพรีเมี่ยม 31.89 32.76 32.96 32.76 32.76
แก๊ส NGV 14.58 14.58
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า