สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 22 มกราคม 2561

แลนด์แอนด์เฮ้าส์จัดทัพลงทุนรุกอสังหาฯเช่า

ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 3 ปีก่อน ด้วยปัจจัยหนุนการเติบโตเศรษฐกิจที่ระดับ 4% การส่งออกและท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดหุ้นปรับขึ้นสูงตั้งแต่ต้นปี

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าประเมินภาพรวมที่อยู่อาศัยจดทะเบียนใหม่ปีนี้จะเติบโต 5-8% เทียบปี 2560 ที่ประมาณการที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่ม อยู่ที่ 90,030 หน่วย ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีจำนวน 104,628  หน่วย เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก 2560 ตลาดคอนโดมิเนียมอยู่ในภาวะชะลอตัว หลังจากนั้นฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง แต่คาดว่าทั้งปี 2560 กลุ่มคอนโด มีจำนวน 58,900 หน่วย ลดลง 19.2%  เทียบปี 2559

จากแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาเติบโตในปีนี้  บริษัทจึงเตรียมงบลงทุน 13,000 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย 7,000 ล้านบาท และงบลงทุนอสังหาฯเพื่อการเช่า 6,000 ล้านบาท

แผนลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ เปิดใหม่ 18 โครงการ มูลค่า 36,300 ล้านบาท แบ่งเป็น พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 16 โครงการ  และต่างจังหวัด 2 โครงการ ที่เชียงใหม่และอยุธยา  แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 14 โครงการ  ทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ  และคอนโดมิเนียม  4 โครงการ  ประกอบไปด้วย The Ease พระราม2 มูลค่า 760 ล้านบาท , เดอะรูม สุขุมวิท 38  มูลค่า 3,200 ล้านบาท  ,เดอะรูม พญาไท มูลค่า 3,900 ล้านบาท และ The Key เพชรเกษม  มูลค่า 2,200 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่จะลงทุนรวม 18 โครงการในปีนี้ มีที่ดินในมือครบทุกแปลงแล้ว อย่างไรก็ตามพบว่าแนวโน้มราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมาขยับในอัตราสูง ในทำเลย่านธุรกิจที่ระดับ 20-30%

“แนวโน้มราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ ส่งผลให้ต้นทุนที่ดินพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทขยับจาก 12% เป็น 20% ในปีที่ผ่านมา” 

นพร กล่าวว่าสำหรับเป้าหมายยอดขายที่อยู่อาศัยปีนี้อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท เติบโต  19% โดยมียอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท โดยมีแบ็คล็อกราว 10,000 ล้านบาท ที่รอรับรู้รายได้ในช่วง 2 ปี

ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยของบริษัทในปีนี้จะอยู่ที่ 7 ล้านบาทต่อหน่วย  ขณะที่ปี 2560 อยู่ที่ 7.5 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากปีนี้มีสัดส่วนการเปิดทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากสัดส่วนยอดขายตามมูลค่าที่อยู่อาศัย ปีนี้บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด อยู่ที่ 68%  ทาวน์เฮ้าส์ 9% และคอนโด 23%

ทางด้านแผนลงทุนธุรกิจอสังหาฯเพื่อการให้เช่า จำนวน 6,000 ล้านบาทในปีนี้  โปรเจคหลัก คือ เทอร์มินอล 21 พัทยา ที่จะเปิดให้บริการในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีทั้งพื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม

นอกจากนี้จะใช้งบประมาณบางส่วนสำหรับเซ็นสัญญาเช่าที่ดินสวนชูวิทย์ บริเวณสุขุมวิท 10 สัญญา 30 ปี เพื่อพัฒนาอสังหาฯ เช่า รูปแบบ “มิกซ์ยูส” ทั้งพื้นที่ค้าปลีกราว 3,000 ตร.ม.,โรงแรม ขนาด 400 ห้อง และอาคารสำนักงาน พื้นที่รวม 1 แสนตร.ม. คาดโครงการดังกล่าวใช้งบลงทุน 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่องในช่วง 3 ปีครึ่ง ที่จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ

อดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ  บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่านอกจากนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนอสังหาฯเช่า ประเภทอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐต่อเนื่อง โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลงทุนซื้ออาคารอพาร์ตเมนต์มาปรับปรุงใหม่ 5 อาคาร ในซิลิคอนวัลเลย์  และล่าสุดเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซื้ออาคารอพาร์ตเมนต์ ขนาด 168 ห้อง มูลค่า 110  ล้านดอลลาร์  ในซานฟรานซิโก ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาลงทุนอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐไปแล้ว 550 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลตอบแทนดี ทั้งด้านอัตราค่าเช่าที่ปรับขึ้นได้ 5-7% ในปีที่ผ่านมา

อีกทั้งหลังจากปรับปรุงและปล่อยเช่าได้ระยะ 3 ปี  สินทรัพย์มีราคาเพิ่มขึ้น สามารถขายทำกำไรได้ดี  เห็นได้จากบริษัทซื้ออาคารอพาร์ตเมนต์ มูลค่า 12 ล้านดอลลาร์  เมื่อนำมาปรับปรุงและปล่อยเช่าไประยะหนึ่ง  สามารถขายได้ในราคา 18 ล้านดอลลาร์  ปีนี้กำลังพิจารณาลงทุนอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐเพิ่มเติม รวมทั้งโอกาสขายอาคารที่ปรับปรุงแล้ว หากได้ผลตอบแทนที่ดี

ปีนี้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจอสังหาฯเพื่อการเช่า 3,700  ล้านบาท เติบโต 19%

ในส่วนของการระดมทุนปีนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้จำนวน 14,000 ล้านบาท ช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4   คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

http://www.bangkokbiznews.com


ปรับค่าจ้างดัน‘รับสร้างบ้าน’ขึ้นราคา5%

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 1 เม.ย.นี้ ดันต้นทุนแรงงานเพิ่ม วัสดุส่อขึ้นราคา คาดไตรมาส2 ขยับราคารับสร้างบ้าน 5% ประเมินแนวโน้มตลาดมูลค่า 5 หมื่นล้าน ปีนี้ขยายตัว 5% แรงหนุนเศรษฐกิจฟื้น กระตุ้นผู้บริโภคตัดสินใจสร้างบ้าน

หลังคณะกรรมการค่าจ้าง ประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 7 อัตรา ระหว่าง 8-22 บาท มีผล วันที่ 1 เม.ย.2561  ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะชะลอตัวในครึ่งปีแรก หลังจากนั้นเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตชัดเจนทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐและตลาดหุ้นปรับขึ้นสูง ส่งผลให้ปี 2560 ตลาดรับสร้างบ้านเติบโตราว 5% มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท  ในจำนวนนี้สมาชิกสมาคมฯ พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีส่วนแบ่ง 20% มูลค่าราว 1.05  หมื่นล้านบาท

จากแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ คาดการณ์จีดีพี เติบโต 4%  อีกทั้งยังมีปัจจัยการเลือกตั้ง ที่จะช่วยกระตุ้นการวางแผนลงทุนของภาคเอกชน จากเดิมบางส่วนอยู่ในภาวะชะลอตัว

ประกอบกับการประกาศขึ้นอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำทั่วประเทศ ที่ส่งผลให้ธุรกิจที่ใช้แรงงานมีต้นทุนเพิ่มขึ้น  รวมทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่มีทั้งกลุ่มแรงงาน ,กลุ่มแรงงานมีทักษะ  รวมทั้งธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่ม ที่อาจจะพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้า

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งด้านแรงงานและวัสดุก่อสร้าง ดังนั้นในไตรมาส2 ราวเดือน เม.ย.นี้  กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับขึ้นราคาประมาณ 5% หลังจากไม่ปรับราคาในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

“ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีกประการ ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในไตรมาส 2 นี้ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น”

ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้โต5%

สำหรับตลาดรับสร้างบ้านปี 2561 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนหน้านี้ จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคให้กล้าใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่มากขึ้น หลังจากที่ชะลอการตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน  โดยกลุ่มสมาชิกสมาคมฯประมาณการเติบโตปีนี้ 5% หรือมีมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามในโอกาสที่ตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมธุรกิจรับสร้าง คนที่ 8 วาระ 2 ปี (2561-2562) ได้วางนโยบายการทำงานมุ่งพัฒนาสมาคมฯ แบบยั่งยืนเพื่อให้ “รับสร้างบ้าน เป็นมืออาชีพที่ผู้บริโภควางใจ” เป็นองค์กรคุณภาพมีความน่าเชื่อถือ เป็นศูนย์รวมข้อมูลเกี่ยวกับรับสร้างบ้านทั้งในเชิงสถิติและนวัตกรรม

อีกทั้งเป็นผู้นำแนวคิดและเทรนด์การรับสร้างบ้าน โดยให้ความสำคัญกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน ทั้งนี้ สมาคมฯ มีเป้าหมายจะสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ

นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ

“บ้านสูงวัย-สมาร์ทโฮม”เทรนด์แรง

นางศิริพร กล่าวว่าสำหรับเทรนด์ธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้   คือ บ้านที่สร้างขึ้นสำหรับทุกวัย หรือ “3เจน”  โดยเฉพาะบ้านที่รองรับกลุ่มสูงวัย  ซึ่งมีทั้งการรีโนเวทบ้านเก่าและสร้างบ้านใหม่  อีกเทรนด์ที่ได้รับความสนใจสูง คือ สมาร์ทโฮม การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะมาในงานภายในบ้าน ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคปัจจุบัน

ปัจจุบันการอยู่อาศัยของคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นรูปแบบ“มัลติ แฟมิลี่”  โดยเฉพาะในพื้นที่เมือง ที่นิยมสร้างบ้านให้บุตรหลานอยู่ในบริเวณเดียวกับบ้านพ่อแม่ จึงมีลักษณะการใช้ที่ดินเต็มพื้น เช่น การสร้างบ้านหลายชั้น เพื่อให้บุตรอยู่อาศัยคนละชั้น  ดังนั้นการออกแบบบ้านจึงต้องพัฒนาไปตามไลฟ์สไตล์ผู้อยู่ศัยในปัจจุบัน

สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านปีที่ผ่านมา แบ่งสัดส่วนเป็น 5 กลุ่ม คือ ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท  10%, ราคา 2.5-5 ล้านบาท 40%, ราคา 5-10 ล้านบาท 36%, ราคา 10-20 ล้านบาท 9% และ มากว่า 20 ล้านบาท 5%

ชี้โอกาสตลาดอาเซียนโต

นายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่าจากการทำวิจัยร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เกี่ยวกับตลาดรับสร้างบ้านในกลุ่มอาเซียน พบว่าในประเทศ ลาว กัมพูชา และเมียนมา เป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศดังกล่าว ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้านในไทยมีการพัฒนาทั้งเทคโนโลยีการก่อสร้าง วัสดุ และการออกแบบบ้านที่โดดเด่น   จึงมีโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปขยายธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ

ทั้งนี้ ประเทศที่มีโอกาสสูง คือ กัมพูชา  ที่พบว่ามีกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มีความต้องการสร้างบ้านระดับ 20-30 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น และสนใจใช้บริการรับสร้างบ้านจากประเทศไทย   ขณะนี้สมาคมฯกำลังศึกษาโอกาสที่สมาชิกจะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งการร่วมทุนเป็นพันธมิตรกับธุรกิจท้องถิ่น และการขยายธุรกิจโดยผู้ประกอบการไทย

สำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดหลักของสมาคมฯ 2 งาน ในปีนี้ คือ “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018 ในเดือนมี.ค.2561 และ “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018 เดือนส.ค. 2561 ได้เพิ่มกิจกรรมที่ช่วยต่อยอดองค์ความรู้ของธุรกิจและช่วยขยายฐานเครือข่าย โดยจะเปิดโอกาสให้บริษัทที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมฯ มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น

http://www.bangkokbiznews.com


มั่นใจราคาสินค้าไม่ปรับขึ้นตามค่าแรง สั่งจับตาทุกพื้นที่

“อธิบดีกรมการค้าภายใน” ชี้ปรับขึ้นค่าแรงกระทบต้นทุนสินค้าไมาถึง 1% มั่นใจราคาสินค้าไม่ปรับขึ้นตามค่าแรง พร้อมจับตาทุกพื้นที่

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า จากการคำนวนผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าหลังมีการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-22 บาท พบว่าจะกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าไม่ถึงร้อยละ 1 จึงมองว่าไม่ควรมีผลทำให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า และวันที่ 24 มกราคมนี้ จะมีการเชิญผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็กกว่า 100 ราย หารือถึงต้นทุนราคาสินค้า หากผู้ประกอบการรายใดพบว่าการปรับขึ้นค่าแรงส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า ก็สามารถชี้แจงได้ หลังจากนั้นกรมฯ จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จอีกครั้ง ทั้งนี้ กรมการค้าภายในกำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องทำหนังสือแจ้งก่อนการปรับขึ้นราคา หรือปรับลดปริมาณสินค้ามายังกรมการค้าภายในก่อนทุกครั้ง

ส่วนการลอยตัวน้ำตาลทรายนั้น กระทรวงพาณิชย์ยังคงให้น้ำตาลทรายอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมและยังคงเพดานราคาขายปลีกไว้ที่ 23.50 บาทต่อกิโลกรัมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนจะมีการปรับออกจากบัญชีสินค้าควบคุมหรือไม่ ยังต้องรอกระทรวงอุตสาหกรรมทำหนังสือ เพื่อให้ยกเลิกการกำหนดราคาเพดานดังกล่าวส่งเข้ามาก่อน และยังจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ (กกร.) และนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อมีมติออกมาก่อนถึงจะยกเลิกได้

ทั้งนี้ ในช่วงนี้หากพบผู้ค้ารายใดจำหน่ายสูงเกินกว่าราคาเพดานที่ กกร. กำหนดจะมีความผิดข้อหาไม่ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดของ กกร. มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และจากแนวโน้มราคาน้ำตาลพบว่าลดลง จึงไม่มีเหตุผลที่จะอ้างปรับขึ้นราคาจำหน่ายได้และตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งมาพบว่าขณะนี้น้ำตาลยังเป็นสตอกเก่า ราคาจึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

http://www.bangkokbiznews.com


‘มธ.’บูรณาการวิจัยรับยุทธศาสตร์ชาติ

โครงการแปรรูปกล้วยหอมทองปทุมฯ ,โมเดลสมาร์ทฟาร์มเมอร์เกษตรอินทรีย์ ,ระบบวิเคราะห์อัจฉริยะเพื่อป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง , เซรั่มบำรุงผิวหน้าสารสกัดจากมะรุม ผลงานวิจัยจากวิทยาศาสตร์ มธ. สานต่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย

โครงการแปรรูปกล้วยหอมทองปทุมฯ ,โมเดลสมาร์ทฟาร์มเมอร์เกษตรอินทรีย์ ,ระบบวิเคราะห์อัจฉริยะเพื่อป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง , เซรั่มบำรุงผิวหน้าสารสกัดจากมะรุม ผลงานวิจัยจากวิทยาศาสตร์ มธ. นำมาสานต่อเมกะโปรเจคปี61 ครอบคลุมอุตสาหกรรมเกษตร – บิ๊กดาต้า – โอทอป/เอสเอ็มอีตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0

รศ. สมชาย ชคตระการ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า งานวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.ปีนี้ ประกอบด้วย1. วิทย์เพื่อการเกษตร กับโครงการ “กล้วยหอมทองปทุมฯ” และ “เกษตรอินทรีย์ 4.0” 2. วิทย์เพื่อการจัดการข้อมูล กับโครงการ “ระบบวิเคราะห์อัจฉริยะ”และ3. วิทย์เพื่อพัฒนาสินค้า กับโครงการ “โอทอป-เอสเอ็มอี 4.0” เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการโอทอปและเอสเอ็มอี ด้วยการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากงานวิจัย

พลิกโฉมเศรษฐกิจด้วย วทน.

โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. จะให้บริการงานวิจัยและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์มาพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตรของประเทศไทยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่าย ต้นทุนต่ำ โดยจะเป็นการพัฒนาแบบครบวงจร ตั้งแต่พัฒนาการเพาะปลูก พัฒนาคุณภาพผลผลิต ยกระดับแพคเกจจิ้ง รวมไปถึงการต่อยอดแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์
ในปีนี้ จะเป็นการนำร่องด้วย 2 โครงการหลัก คือ โครงการกล้วยหอมทองปทุมธานี พืชเศรษฐกิจประจำท้องถิ่นตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ รวมไปถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม และ โมเดลสมาร์ทฟาร์มเมอร์ วิถีเกษตรอินทรีย์ 4.0เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อการทำเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานและใช้ต้นทุนต่ำลงถึง 2 เท่า

ถัดมาจะเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อการจัดการข้อมูล การพัฒนางานวิจัย เพื่อให้ประเทศไทยเท่าทันกระแสเมกะเทรนด์เทคโนโลยีของโลกในเรื่อง บิ๊กดาต้า และคลาวด์ มาสร้างสรรค์ประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคม เน้นการจัดการข้อมูลบิ๊กดาต้าหรือเซ็ตข้อมูลขนาดใหญ่ วิเคราะห์ และประมวลผลออกมาเป็นข้อมูล เพื่อใช้พัฒนาเป็นประโยชน์ ตลอดจนเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นหรือคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การพัฒนาระบบวัดระดับแม่น้ำไทย ทำหน้าที่วิเคราะห์ ความสูงของแม่น้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมเฉียบพลันและวิกฤติน้ำแล้ง เป็นต้น

 ยกระดับรายได้ให้กับชุมชน

นอกจากนี้ยังนำ วิทยาศาสตร์มาใช้พัฒนาผู้ประกอบการโอทอปและเอสเอ็มอี ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการหลัก คือ 1.ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมความอร่อย บริการวิจัยและพัฒนารสชาติ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยผู้เชี่ยวชาญทางการทดสอบ และประเมินคุณภาพอาหารด้วยวิธีทางประสาทสัมผัสที่ถูกต้อง รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้การประเมินคุณภาพอาหารฯ แก่ผู้ประกอบการชุมชน โอทอปและผู้ที่สนใจ 2.ศูนย์พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อยกระดับและพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพและตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคอย่างครบวงจร ด้วยการสร้างความเข้าใจ ในการพัฒนาสินค้า เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ การเลือกวัสดุ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภค จากผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาเทคโนโลยีวัสดุและสิ่งทอ

ยกตัวอย่างงานวิจัยวัสดุนาโนอัจฉริยะกักเก็บสารสำคัญในเครื่องสำอาง ด้วยการนำสารชีวภาพมาทำเป็นอนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนผสมผสานเทคโนโลยีการกักเก็บแบบใหม่ที่สามารถให้สาร 2 ชนิดที่แตกต่างกันอยู่ด้วยกัน เพื่อให้เกิดการซึมผ่านผิวหนังได้ในระดับลึก และปลดปล่อยสารออกฤทธิ์ที่สกัดได้จากพืชสมุนไพรในระยะเวลาที่นานขึ้น อนุภาคนี้มีความเสถียรมากขึ้นกว่าวิธีปกติทั่วไป เช่น เซรั่มหน้าใสที่มีสารสกัดจากมะรุมช่วยให้หน้ากระจ่างใสพร้อมกับชุ่มชื้นด้วยวิตามินอี เป็นต้น

http://www.bangkokbiznews.com


รายแรกของโลก! วิจัยเปลือกไข่-ถั่วเน่าผลิตแคลเซียม รักษาป่วยติดสุรา

ทีมเภสัชกร รพ.สวนปรุง วิจัยเปลือกไข่-ถั่วเน่า ผลิตเป็นแคลเซียมให้วิตามินK2 สู่กระดูกโดยตรงไม่ถูกดูดซึมระหว่างทางสำเร็จเป็นรายแรกของโลก ตั้งโจทย์ใช้สมุนไพรเป็นแพทย์ทางเลือกรักษาผู้ป่วยติดสุรา ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าแคลเซียมจากต่างประเทศ

ภญ.ดร.วนิดา พุ่มไพศาลชัย หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อการแพทย์ทางเลือกแบบผสมผสาน พบว่าคนไข้ที่ติดสุราจะมีปัญหาขาดแคลเซียม ดังนั้นจึงได้ตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรที่จะใช้วัตถุดิบธรรมชาติ และหาได้จากภายในท้องถิ่นของภาคเหนือ โดยเฉพาะกลุ่มสุมนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กระทั่งทางทีมเภสัชกรได้ค้นพบว่า ในเปลือกไข่ไก่มีแคลเซียมสูง และในถั่วเน่า ซึ่งเป็นพืชผักที่คนภาคเหนือบริโภคกันอยู่แล้ว เมื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการวิจัย และตรวจสอบวิเคราะห์แร่ธาตุต่างๆ พบว่า มีแคลเซียมสูง และดูดซึมในร่างกายได้ดี จึงได้ผลิตแคลเซียมจากเปลือกไข่ไก่ และถั่วเน่าใส่แคบซูลให้คนไข้ภายในโรงพยาบาลสวนปรุง ซึ่งได้ใช้เวลาในการวิจัยเกือบ 2 ปี จนขณะนี้พบว่า มีความเสถียร และคุณสมบัติเทียบเท่ากับแคลเซียมที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ

โดยพบว่ามีวิตามิน K2 ที่นำพาแคลเซียมสู่กระดูกได้โดยตรงไม่ถูกดูดซึมระหว่างทาง ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการ ยังไม่พบว่าที่ใดในโลกมีการนำเอาเปลือกไข่กับถั่วเน่ามาผลิตเป็นแคลเซียม ซึ่งทางทีมวิจัยได้วิเคราะห์สารตกค้างโลหะหนัก อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เกินมาตรฐาน จึงถือว่าได้ทีมเภสัชรกรของโรงพยาบาลสวนปรุง คิดค้นได้เป็นรายแรกของโลก โดยขณะนี้ได้นำไปให้ผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสวนปรุงช่วยฟื้นฟูร่างกาย และคนไข้ที่ต้องการแคลเซียมดังกล่าว ก็สามารถนำเปลือกไข่มาขายให้กับทางโรงพยาบาลสวนปรุงในกิโลกรัมละ 50 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อแคลเซียมที่มีราคาถูกกว่าแคลเซียมนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะนี้มีจำหน่ายเป็นกระปุกราคา 150 บาท บรรจุ 60 เม็ด และยังได้มีการทำแปลงสาธิตปลูกถั่วเน่าภายในโรงพยาบาลสวนปรุงด้วย เพื่อให้ความรู้กับผู้ป่วยจิตเวชภายในโรงพยาบาลก็จะเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการฟื้นฟูด้วย

ภญ.ดร.วนิดา กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการประสานงานกับทางโรงพยาบาลของทหาร เพื่อช่วยในการผลิตแคลเซียมดังกล่าว ซึ่งหากว่าดำเนินการได้ จะช่วยลดการนำเข้าแคลเซียมจากต่างประเทศมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และสามารถผลิตให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศได้ใช้ประโยชน์ด้วย โดยตอนนี้ทางโรงพยาบาลสวนปรุงผลิตตามความต้องการของผู้ป่วยจิตเวชเท่านั้น และยังมีกำลังการผลิตค่อนข้างน้อย และไม่สามารถดำเนินการในเชิงการตลาดด้วยกฎระเบียบของทางราชการ แต่หากว่ามีผู้ป่วยเกี่ยวกับกระดูก หรือจิตเวชที่สนใจก็สามารถเข้ามาติดต่อซื้อได้ที่ร้านปลายฟ้าภายในโรงพยาบาลสวนปรุง ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าะเป็นกาแฟ ไอศกรีม คุ๊กกี้ และแคลเซียม ซึ่งล้วนแต่เใช้สมุนไพรที่เป็นสารสกัดมาผลิต เพื่อให้เกิดประโยชน์ และมีีความปลอดภัยต่อร่างกย ซึ่งถือเป็นการแพทย์ทางเลือกแบบผสมผสาน

นอกจากนั้นแล้ว ทางทีมเภสัชกรยังได้คิดค้น วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างแบรนด์ชื่อว่า “ปลายฟ้า” โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานั้น เน้นการใช้สมุนไพรเป็นหลักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ เพื่อสุขภาพแบบผง และแบบทรีอินวัน, ช็อคโกแลตมิกซ์โก้โก้, และคุ๊กกี้ผักที่ล้วนแต่มีส่วนผสมของสารสกัดผักและเครื่องเทศที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ไม่ชอบกินผักผลไม้ และส่งเสริมให้เด็กๆได้บริโภคขนมที่เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกัน ยังได้ผลิตไอศกรีมน้ำนมถั่วเหลืองเครื่องเทศไม่ใช้น้ำตาล แต่ใช้น้ำเชื่อมเข้มข้นจากพืชที่ทางทีมเภสัชกรได้วิจัยขึ้นมา เพื่อให้เหมาะสมสำหรัับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก โดยที่รสชาติไม่ได้แตกต่างจากไอศกรีมทั่วไป ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยเสริมพลังให้กับสมองนอกจากการใช้ยาของผู้ป่วยได้อีกทางหนึ่ง

พร้อมกันนี้ กระบวนการผลิตคุ๊กกี้ หรือไอศกรีม จะเป็นหนึ่งในกิจกรรมฟื้นฟูให้กับผู้ป่วยจิตเวชที่มีความพร้อมที่จะเข้ามาบำบัด และจะได้รับการเรียนรู้ว่าการผลิตอาหารเหล่านี้ทำอย่างไร ใช้วัตถุดิบแบบไหนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กับผู้ป่วยจิตเวชได้มีสมาธิ การตอบสนองในการเรียนรู้ระหว่างที่ทำการรักษาแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่ได้กลับไปต่อยอดเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวเมื่อกลับไปสู่สังคมตามปกติ

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 22/1/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,050.00 20,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,299.00 19,692.84 20,650.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,169.10 17,723.56 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 585.00 8,868.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 455.00 6,897.80 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,346.00 20,405.36 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  22/1/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.45 28.45 27.95 28.45 28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
แก๊สโซฮอล E-20
25.94
25.94
25.94
25.44
25.94
25.94
25.94
25.94
25.94
แก๊สโซฮอล E-85 20.94 20.94 20.94 20.94
แก๊สโซฮอล 91 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18
เบนซิน 95 35.56 36.01 36.06 35.56 35.06 35.56
ดีเซลหมุนเร็ว 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.59 30.59 30.59 30.59 30.59
มีผลตั้งแต่ 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00

 

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า