ยักษ์คอนโด-มิกซ์ยูส ชนสนั่นกลางกรุง 10โครงการแสนล.
ราคาที่ดินทะลุ 2-3 ล้านบาทต่อตารางวา ปลุกยักษ์คอนโดฯ-มิกซ์ยูส กลางเมืองชนกันสนั่นเกือบ 10 โครงการวมนับแสนล้าน ศุภาลัยมั่นใจไอคอน สาทร ปลุกทำเลคึกคัก
ปมราคาที่ดินแพงทะลุกว่า 2-3 ล้านบาทต่อตารางวา รอบสถานีรถไฟฟ้าย่านซีบีดี (ศูนย์กลางธุรกิจ)ทำให้คอนโดมิเนียมในละแวกนั้นมีมูลค่าสูงตาม เพื่อให้เหมาะกับรสนิยมของลูกค้าและราคาที่ดิน
จากมุมสะท้อนของ นายสุรเชษฐกองชีพกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟีนิกซ์พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ระบุว่าโครงการมูลค่าสูงๆ ในย่านใจกลางเมืองส่วนใหญ่จะต้องพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เพราะส่วนใหญ่พัฒนาบนที่ดินแปลงใหญ่ของตนเอง หรือที่ดินเช่าของรัฐเมื่อรวมกับมูลค่าของโครงการที่พัฒนาบนที่ดินซึ่งมีหลากหลายรูปแบบการใช้ประโยชน์และเป็นโครงการขนาดใหญ่เพราะพัฒนาบนที่ดินขนาดใหญ่จึงมีผลให้มูลค่าโครงการสูงมากบางโครงการสูงหลายหมื่นล้านบาทหรือมากถึงแสนล้านบาทในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะยังมีอีกหลายโครงการที่จะ เปิดตัวในอนาคต
เช่น โครงการที่จะพัฒนาบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งที่สถานีกลางบางซื่อ, สถานีแม่นํ้า, บ้านพักพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย มักกะสัน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีที่ดินของกรมธนารักษ์ซึ่งปัจจุบันเป็นที่จอดรถตรงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต, ที่ดินเอกชนของกลุ่มเซ็นทรัล บริเวณหัวมุมถนนพระราม 9 โครงการซูเปอร์ทาวเวอร์, ที่ดินขนาด 51 ไร่ของกลุ่มบีทีเอส-เซ็นทรัล ย่านพหลโยธิน, ที่ดินสถานทูตอังกฤษ ของกลุ่มเซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์ มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท ซึ่งหลายโครงการส่วนใหญ่ยังไม่มีรายละเอียดออกมา และอีกหลายโครงการที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างพัฒนา
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นอีกทั้งที่ดินหลายๆ แปลงในหลายทำเลของหน่วยงานราชการมีการเปิดโอกาสให้เอกชนที่สนใจเข้าไปร่วมประมูลหรือเสนอผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของที่ดินเพื่อนำที่ดินไปพัฒนามีมากขึ้นก็อาจจะมีผลให้ในอนาคตกรุงเทพมหานครจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการมากกว่าหมื่นล้านบาทอีกหลายโครงการแน่นอน
ด้านนายไตรเตชะตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวโครงการใหญ่มูลค่าสูงสุด 2 หมื่นล้านบาท “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” เชื่อว่าจะช่วยให้ทำเลย่านสาทร และพื้นที่ใกล้เคียงคึกคักลูกค้าให้ความสนใจปิดการขายในเวลาอันรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พิษคุมกู้ซื้อบ้าน ฉุดยอดโอนวูบ12%
แบงก์พาณิชย์โอด LTV ฉุดยอดสินเชื่อบ้าน-โอนลด คาดไตรมาส 2 วูบ “ออมสิน” จ่อออกแพ็กเกจอุ้มลูกค้า ออมก่อนซื้อ-ผ่อนดาวน์ก่อนกู้ “กสิกรไทย” หนีเจาะตลาด Gen Y “ซีไอเอ็มบี ไทย” จ่อหารือธปท.ลดผลกระทบ หลังตัวเลขเม.ย.วูบ 50%
มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยกำหนดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา หากดูตามข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีการสำรวจพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ พบว่า กลุ่มผู้ซื้อ พิษคุมกู้ซื้อบ้านฉุดยอดโอนวูบ 12%ที่อยู่อาศัยที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV จะอยู่ที่ประมาณ 18-22% เมื่อเทียบกับจำนวนบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในแต่ละปี โดยประเมินว่ามาตรการ LTV อาจมีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยประมาณ 1.8-2.2 หมื่นบัญชีนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ธนาคารจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือลูกค้าและลดผลกระทบจาก LTV ประมาณ 2-3 โปรเจ็กต์ เช่น 1.ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถให้ลูกค้ารายย่อยเข้าถึงบ้านได้มากขึ้น โดยที่ธนาคารไม่ได้รับความเสี่ยงมากขึ้น 2.กำหนดให้ลูกค้าออมเงินก่อนกู้ เนื่องจากลูกค้าต้องมีเงินดาวน์มากขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาวินัยการออม และ 3.ให้ลูกค้าผ่อนหรือชำระเงินผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไประยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยโอนให้ธนาคาร เป็นต้นในไตรมาสแรกธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อแล้ว กว่า 1 หมื่นล้านบาท เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้และทั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 6-7 หมื่นล้านบาท แต่หลังเดือนมีนาคมสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัว จึงเป็นที่มาที่ธนาคารเสนอคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ออกมาตรการช่วยเหลือ ส่วนยอดการปฏิเสธสินเชื่อภายหลังจากมีมาตรการ LTV ตัวเลขไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากธนาคารไม่ได้เปลี่ยนสูตรหรือหลักเกณฑ์ในการอนุมัติสินเชื่อขณะที่คุณภาพสินเชื่อ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3% มีอัตราเพิ่มขึ้นบ้างตามแนวโน้มหนี้ครัวเรือนที่ขยับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งระบบยังถือว่าตํ่า เนื่องจากธนาคารช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยืดอายุการชำระหนี้ เป็นต้น
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสแรกเติบโต 4% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาทส่วนหนึ่งมาจากยอดค้างโอนในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนไตรมาส 2 ยังเห็นภาพไม่ชัด แต่ยอมรับว่าน่าจะชะลอตัวอย่างไรก็ดี ธนาคารมองว่า กลุ่ม Gen Yเป็น กลุ่มที่มีความสำคัญ และจะเห็นการเติบโตใน 1-2 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุตั้งแต่ 25-38 ปี มีรายได้มากกว่า 4 หมื่นบาทต่อเดือน และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมากกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือนยังไม่มีที่อยู่อาศัยของตัวเองมีสัดส่วนประมาณ 72% ของประชากรกลุ่มนี้ 1.89 ล้านคน กำลังมองหาบ้านราคาระดับ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ประมาณ 4.2-5 หมื่นหน่วยต่อปี จึงเป็นโอกาสในการเติบโตของธนาคาร“ผลจาก LTV จะส่งผลให้กลุ่มคนที่มีความต้องการในการซื้อบ้านหลังแรก หลังที่ 2 และ หลังที่ 3 ชะลอ เนื่องจากลูกค้าต้องหาเงินส่วนต่างมาจ่ายเงินดาวน์มากขึ้น หากดูตัวเลขจากศูนย์วิจัยฯ คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปีนี้อาจอยู่ที่จำนวน 169,300 -177,000 หน่วย หรือหดตัวประมาณ 8.5 -12.5% ซึ่งเราก็ต้องหากลุ่มใหม่ๆ โต เช่น กลุ่ม Gen Y เป็นต้น”นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ยอมรับว่ายอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงเล็กน้อยภายหลังจากมาตรการ LTV บังคับใช้ โดยยอดสมัครสินเชื่อใหม่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ารู้ตัวว่ามีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจชะลอการซื้อออกไป ส่วนผลกระทบจะมีมากน้อยต่อเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อหรือไม่นั้น ธนาคารได้ติดตามอย่างใกล้ชิดในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี กลุ่มที่เข้าข่ายหลักเกณฑ์กำกับ เป็นเซ็กเมนต์ที่ธนาคารไม่ได้เน้นทำอยู่แล้ว จึงประเมินว่าภาพรวมไม่กระทบมากนักนายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดือนเมษายนเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมลดลงเกือบ 50% และเทียบเดือนเมษายนปีนี้กับปีก่อนก็ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยในช่วง 4 เดือนแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อไปแล้ว กว่า 7 พันล้านบาท จากเป้าทั้งปีอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดอนุมัติสินเชื่อทรงตัวอยู่ที่ 50-60% หนี้เอ็นพีแอลอยู่ที่กว่า 1% ธนาคารจึงขอประเมินผลกระทบจากมาตรการ LTV ก่อนจะเข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 31.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า
เงินบาทเปิดตลาด 31.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า มองกรอบวันนี้ 31.85-32.00 จับตาตัวเลขส่งออกไทย
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.95 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ ที่ปิตลาดที่ระดับ 31.91 บาท/ดอลลาร์“มีแรงซื้อดอลลาร์เมื่อเทียบกับทุกสกุล หลังมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯน่าจะจัดการปัญหาสงครามการค้าได้ โดยวันนี้ให้ติดตามส่งออกนำเข้าของไทย”นักบริหารเงิน กล่าวนักบริหารเงิน ยังประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 31.85 – 32.00 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
สร้างองค์ความรู้ การป้องกันอันตรายจากแมงกะพรุนพิษ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเครือข่ายระบาดวิทยา สร้างองค์ความรู้ด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ เผยที่ผ่านมา มีรายงานการค้นพบและพิสูจน์ได้ว่า มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษในน่านน้ำทะเลไทยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิด การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการองค์ความรู้เพื่อการสร้างเครือข่าย” และ “การทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ” ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ร่วมกับเครือข่าย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมแพทย์ทหารเรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยมหิดล นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยค้นพบและพิสูจน์ได้ว่ามีการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษในน่านน้ำทะเลไทย จากรายงานสถานการณ์ตั้งแต่ปี 2542 – 2558 พบกลุ่มผู้บาดเจ็บรุนแรงจากแมงกะพรุนพิษอย่างน้อย 40-50 ราย และเสียชีวิตจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษ จำนวน 8 ราย เป็นชาวต่างชาติ 6 ราย คนไทย 2 ราย โดยทั้งหมดเกิดจากแมงกะพรุนกล่องชนิดหนวดหลายเส้น และพบว่ากระจายอยู่ใน 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง สตูล สงขลา และสุราษฎร์ธานี กรมควบคุมโรค ได้เล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาเรื่องการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษ โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ และการสื่อสารความเสี่ยงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ฝึกอบรมให้ความรู้ให้ครอบคลุมทุกด้าน รวมไปถึงสร้างและผลิตสื่อในหลากหลายรูปแบบให้เหมาะสมกับประชากรเป้าหมายแต่ละกลุ่ม สร้างภาคีเครือข่ายชุมชนแมงกะพรุนพิษ เช่น สถานประกอบการโรงแรมและที่พักตากอากาศ สมาคมท่องเที่ยว ชมรมท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศก์ ชมรมหน่วยกู้ชีพ สื่อสารมวลชน กรมแพทย์ทหารเรือ ครู บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งผลการดำเนินงานพบว่า ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บรุนแรงและผู้เสียชีวิตจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษเพิ่มอีก การประชุมครั้งนี้ นอกจากการทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีการมอบโล่เกียรติคุณแก่ผู้มีคุณประโยชน์และสนับสนุนให้กับหลายภาคส่วน อาทิเช่น ศ.คลินิก นพ.นิเวศ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.ดร.พญ.ลักขณา ไทยเครือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.สมชัย บุศราวิช ที่ปรึกษาคณะทำงานสัตว์ทะเลมีพิษประเทศไทย อีกทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้การสื่อสารความเสี่ยง และการกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาและภัยสุขภาพจากแมงกะพรุนพิษอย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
ผู้แพ้ที่แท้จริงคือกูเกิล
บทวิเคราะห์ผู้แพ้ ผู้ชนะ และตาอยู่ในสงครามการค้าที่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกเป็นเดิมพัน โดยกรกิจ ดิษฐาน
หัวเว่ยคือเป้าหมายการโจมตีจากรัฐบาลสหรัฐ โดยมีกูเกิลเป็นหัวหอกภาคธุรกิจของสหรัฐที่ประกาศตัดญาติขาดมิตรหัวเว่ย ออกจากระบบแอนดรอยด์แต่ผู้แพ้ที่ยับเยินที่สุดไม่ใช่หัวเว่ย แต่เป็นกูเกิลมีคำกล่าวว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” หัวเว่ยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แม้ว่าหัวเว่ยจะไม่ใช่วีรบุรุษ แต่สถานการณ์ที่บีบคั้นกำลังทำให้หัวเว่ยต้องเร่งพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราทราบกันแล้วว่ามันคือระบบปฏิบัติการหงเหมิง (Hongmeng) และหัวเว่ยซุ่มพัฒนา OS ตัวนี้มาระยะหนึ่งแล้วในฐานะแผน Bหลังจากนี้ไม่เฉพาะแต่หัวเว่ยเท่านั้นที่ต้องมีแผน B ประเทศไหนก็ตามที่มีเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนของตัวเอง หรือมีปัญหาระหองระแหงกับประเทศตะวันตก จะต้องซุ่มพัฒนา OS และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมารองรับสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน เพราะรับประกันไม่ได้ว่า วันดีคืนดีสหรัฐจะลุกขึ้นมาใช้ไม้นี้กับพวกเขาหรือไม่?เรื่องนี้จึงอาจถือเป็นจุดจบของยุครุ่งเรืองของกูเกิล ที่กุมระบบแอนดรอยด์มาหลายปี แต่แทนที่จะทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมา กลับยอมให้รัฐบาลชี้นำจนนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจหัวเว่ยเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราต้องวิเคราะห์กัน แต่อาจกล่าวโดยย่อไว้ ณ ที่นี้ได้เลยว่า จนถึงทุกวันนี้ สหรัฐและพันธมิตรก็ยังไม่มีหลักฐานเอาผิดหัวเว่ยได้แบบอยู่หมัด มีแต่ข้อกล่าวหาลอยๆ เท่านั้น
กูเกิลในฐานะบริษัทอเมริกัน มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐหลังจากที่รัฐบาลมีคำสั่งขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย กูเกิลไม่ทำตามคำสั่งก็ไม่ได้ผลกระทบไม่ใช่แค่สายสัมพันธ์กับหัวเว่ยจะขาดสะบั้นเท่านั้น แต่กูเกิลยังปิดตายประตูเข้าสู่จีนไปตลอดกาล นั่นหมายความว่ากูเกิลได้ปล่อยให้ตลาดใหญ่ที่สุดในโลกได้หลุดมือไปเรียบร้อยแล้วไม่เฉพาะแค่กูเกิล บริษัทอเมริกันรายอื่นๆ ก็อาจโดนหางเลขไปด้วย รวมถึงเฟซบุ๊ค ที่พยายามจะเข้าจีนครั้งแล้วครั้งเล่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กมีภรรยาเป็นคนจีนก็แล้ว ลงทุนพูดภาษาจีนก็แล้ว มาจีนไม่รู้จักกี่รอบแล้วก็ยังพาเฟซบุ๊คเข้ามาไม่ได้แต่นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับความน่าเชื่อถือที่กูเกิลได้ทำลายลงไปจนสิ้นซาก เพราะต่อไปนี้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับกูเกิลจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่รู้ว่าจะถูกเล่นงานแบบหัวเว่ยหรือไม่แน่นอนว่า หัวเว่ยต้องรู้เรื่องนี้และคาดการณ์เอาไว้แล้ว OS หงเหมิงไม่ใช่แค่แผน B แต่ยังมีแผน C ที่รองรับเอาไว้แล้ว นั่นคือ App Gallery ซึ่งเปิดตัวไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นร้านค้าแอพที่ให้บริการนอกจีน และหัวเว่ยออกแบบแอพที่จะตอบสนองผู้ใช้ในโลกตะวันตก โดยไม่อิงกับระบบของกูเกิลยุโรปเป็นภูมิภาคที่กูเกิลถูกโจมตีอย่างหนักด้วยข้อหาผูกขาดตลาด ดังนั้นกูเกิลจึงเปิดช่องโหว่เอาไว้ที่นี่ ตลาดยุโรปจึงมีพื้นที่ให้เสิร์ชเอ็นจินอื่นๆ ผู้ให้บริการแอพอื่นๆ นอกเหนือจากกูเกิล และนี่คือ “คำสั่งศาลยุโรป” ให้ต้องเจียดพื้นที่ให้บริษัทอื่นด้วย ไม่ใช้กุมอยู่รายเดียวส่วนหัวเว่ยครองสัดส่วนตลาดสมาร์ทโฟน 20% ใน 22 ประเทศของยุโรป รวมถึงสเปน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ และปีนี้หัวเว่ยหรือกับผู้ให้บริการระบบในยุโรปเพื่อติดตั้ง App Gallery โดยจะให้ส่วนแบ่งพอสมควรเลยทีเดียวกับหุ้นส่วนในยุโรป และจะทำให้สมาทโฟนของหุ้นส่วนในยุโรปมี App Gallery พร้อมๆ กับ App store ของกูเกิลภายในเครื่องเดียวกันบางทีนี่อาจเป็นทางออกให้กับประเทศอื่นๆ ที่ใช้เครื่องของหัวเว่ยก็เป็นได้ไม่เพียงเท่านั้น หัวเว่ยยังล่อใจนักพัฒนาแอพ โดยสัญญาว่าจะช่วยทำการตลาดให้ และจะช่วยเปิดตลาดแอพในจีนให้ด้วย ถือเป็นเงื่อนไขที่น่าเย้ายวนใจมาก เพราะจู่ๆ ก็ได้เข้าถึงตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแค่ช่วยหัวเว่ยเท่านั้นดังนั้น การขั้นบัญชีดำของทรัมป์จึงเป็นโอกาสทองของ App Gallery เสียอย่างนั้น แถมยังบั่นทอนส่วนแบ่งตลาดของกูเกิลอีกต่างหากแม้จะมีโอกาสในวิกฤต แต่ในวิกฤตก็มีเรื่องเสียโอกาสเช่นกัน ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดก็คือ หลังจากนี้หัวเว่ยจะหล่นจากตำแหน่งผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนสูงสุดอันดับ 2 ของโลกในทันที และจะมาอยู่ที่ 3 ตามหลังซัมซุงและแอปเปิล ถึงแม้ว่าสหรัฐจะยุติมาตรการคว่ำบาตร แต่ผู้บริโภคจะขยาดกับหัวเว่ย เพราะ Damage has been done หรือความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เหรินเจิ้งเฟย บอกว่าถึงเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทหัวเว่ย แต่ลูกๆ ของเขาใช้แอปเปิลกันหมด พวกเขาไม่มีความคิดเรื่องกีดกันการค้า หรือต้องใช้ของจีนเท่านั้นแต่คนจีนทั่วไปอาจไม่ได้ใจวางผลิตภัณฑ์อเมริกันเหมือนเขา และไม่แน่ว่ายอดขายแอปเปิลอาจจะตกลงในจีน หรือเกิดกระแสต่อต้านสินค้าอเมริกันอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าเป็น “ดาบนั้นคืนสนอง”ปีนี้กูเกิลคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หลังนี้จะโชว์โฆษณาในผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยไม่ได้แล้ว จึงคาดเดาไม่ได้ว่ารายได้จะตกลงไปเท่าไร สื่อต่างประเทศบางรายชี้ว่าเป็นแค่ภาวะสะอึก แต่การสะอึกไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวใช่หรือไม่? ยังไม่นับตลาดยุโรปที่กูเกิลถอยทัพ แต่หัวเว่ยกำลังรุกคืบ แล้วไหนจะประเทศในเอเชียอีกมากมายที่ยังไม่เลือกฝั่ง แถมยังรู้สึกหมันไส้สหรัฐที่กลั่นแกล้งประเทศโน้นประเทศนี้ไม่หยุดหย่อนจริงอยู่ที่พวกเรายังต้องใช้ระบบแอนดรอยด์และแอพพลิเคชั่นของกูเกิล แต่หลังจากนี้เราจะเริ่มตาสว่างกันแล้วว่า การผูกขาดตลาดโดยกูเกิลมีอันตรายมากแค่ไหน
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ชนิดทอง |
ราคารับซื้อ กรัมละ |
ราคารับซื้อ บาทละ |
ราคาขาย บาทละ |
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
19,200.00 |
19,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,244.00 |
18,859.04 |
19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,119.60 |
16,973.14 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 80% |
995.20 |
15,087.23 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
560.00 |
8,489.60 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
435.00 |
6,594.60 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,289.00 |
19,541.24 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/05/2562
|
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
แก๊สโซฮอล์ 95 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
29.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
29.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 |
26.54 |
26.54 |
26.94 |
26.94 |
26.94 |
– |
26.54 |
26.54 |
26.94 |
26.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 |
20.99 |
20.99 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.99 |
– |
– |
เบนซิน 95 |
36.96 |
– |
– |
– |
37.41 |
– |
37.46 |
37.26 |
– |
37.26 |
ดีเซล |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
28.19 |
ดีเซลพรีเมี่ยม |
31.79 |
32.06 |
32.25 |
32.25 |
32.25 |
– |
– |
– |
– |
– |
แก๊ส NGV |
15.94 |
28.19 |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |