Sansiri ผนึก BCPG- ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77 สร้างโมเดลใหม่ก่อนใครครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จับมือภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนร่วมในการจัดการพลังงานด้วยตนเองหวังเป็นต้นแบบชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะตามแนวคิด Green Sustainable Living ด้วยกำลังผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณที่ใช้ทั้งหมดและช่วยโลกลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าปลูกป่าถึง 400 ไร่ ลูกบ้านแสนสิริลดต้นทุนค่าไฟ 15 %
แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี ประกาศความสำเร็จในการเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำร่องระบบแลกเปลี่ยนพลังงานจริงแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งนับเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับกลยุทธ์ในการผสานความเชี่ยวชาญข้ามอุตสาหกรรมของภาคเอกชนในระดับมหภาคระหว่างผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทนของไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต (Energy management for the future) ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยน Consumerเป็น “Prosumers” ยุคแห่งการผลิตโดยผู้บริโภคซึ่งคนไทยสามารถเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานสะอาดจากพลังงานไฟฟ้าทดแทน อีกทั้งยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) รวมทั้งการความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย ไปอีกขั้น คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการ ลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกป่าถึง 400 ไร่ ตามแนวคิด Low Cost-Low Carbon ด้วยกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ซึ่งคาดว่าไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยให้ลูกบ้านแสนสิริได้ถึง 15% พร้อมเผยแผนการระยะยาวในการนำไปใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริกว่า 20 โครงการภายในปี 2018 ภายใต้แผน พัฒนาชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ (Smart Green Energy Community)
ที่มา : https://thinkofliving.com
น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันที่ 24 ส.ค. 2561 นี้ บีโอไอจะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และองค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Council for The Promotion of International Trade) หรือ CCPIT จัดงานสัมมนาใหญ่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทย-จีน ในหัวข้อ “Thailand – China Business Forum 2018: Comprehensive Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC”
ในโอกาสที่ นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากหน่วยงานราชการของจีน มีกำหนดเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 6 พร้อมทั้งนำคณะนักธุรกิจจีน จำนวนกว่า 400 ราย จากหลายสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจดิจิทัล ยานยนต์ และพลังงาน เป็นต้น ทั้งรายใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดินทางมาศึกษาลู่ทางด้านการค้าและการลงทุนในประเทศไทยด้วย
การสัมมนาในช่วงเช้าจะเป็นเวทีในการกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการลงทุนระหว่างไทย-จีน ซึ่งเน้นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขับเคลื่อนประเทศตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลของประเทศ และมาตรการสิทธิประโยชน์การลงทุน โดยมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษจากนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ สาธารณรัฐประชาชนจีน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งการบรรยายของรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและผู้บริหารระดับสูงจากรัฐบาลไทย
นอกจากนี้ บีโอไอยังจัดให้มีเวทีเสวนาโดยเชิญนักลงทุนจีนที่ได้มาลงทุนในประเทศไทยแล้ว ร่วมให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการลงทุนในไทย ให้แก่นักลงทุนจีนที่สนใจลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่อีอีซี
สำหรับในช่วงบ่าย กระทรวงพาณิชย์จะจัดให้มีการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทย-จีน รวมถึงพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างหน่วยงานของไทยและจีน อาทิ บีโอไอ กับ CCPIT และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) กับ หน่วยงานดูแลและพัฒนาโครงการอวกาศของจีน (China National Space Administration: CNSA) เป็นต้น
“เป็นโอกาสดีที่ไทยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของไทย รวมทั้งเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนจากประเทศจีน ซึ่งเป็นนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งรองรับการลงทุน และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญของภูมิภาค” น.ส.ดวงใจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จีนเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายสำคัญในการชักจูงการลงทุน โดยบีโอไอ มีสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนประจำใน 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนของจีนได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีบริษัทจีนจำนวนมากที่เป็นเป้าหมายในการชักจูงการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของรัฐบาล หากพิจารณาจากสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ จีนเป็นนักลงทุนจากต่างประเทศในไทยอันดับ 5
ที่มา : https://www.khaosod.co.th
ควิก โคท โปรดักส์ สบช่องตลาดวัสดุก่อสร้างสดใส เพิ่มการลงทุน เร่งขยายโรงงานผลิต 4.0
ควิก โคท โปรดักส์ ชี้อุตสาหกรรมอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณโตต่อเนื่อง กำลังซื้อวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวทางบวก เดินหน้าเร่งเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมลงทุนขยายโรงงานเพิ่มไลน์ผลิตใหม่ โดยนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการผลิตมากกว่า 60% ตั้งเป้าลดต้นทุนสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิต เชื่อมั่นหลังโรงงานแล้วเสร็จ สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดกลับมาจากวิกฤติสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์สินค้าใหม่ My Loft (ภายใต้คอนเซ็ปต์ DIM ที่จะสร้าง Inspirationจากภายในตัวตนของลูกค้า เจาะลูกค้าใหม่กลุ่ม Home Users พร้อมปล่อย GP100 (ปูนกาวอเนกประสงค์) และดิ่งแดง Premium หรือ CP001P (ปูนฉาบอิฐมวลเบาเพิ่มสารพิเศษ) ลดปัญหารอยแตกร้าว ขยายฐานลูกค้ากลุ่มช่าง เร่งเพิ่มยอดขาย คาดสิ้นปี 2561 ยอดขายแตะ 800ล้านบาท โดยมีโครงสร้างกำไรสูงกว่าเดิม ไม่น้อยกว่า 10% พร้อมตอกย้ำ ความเป็นแบรนด์ปูนฉาบอิฐมวลเบาอันดับหนึ่งในใจช่างของ “ปูนลูกดิ่ง” พร้อมทำกิจกรรม CSR ร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ “แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง”
นายอัครภัทร ทองน้ำตะโก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควิก โคท โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มองเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างภายในประเทศ ที่เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้นไปในทิศทางบวกหลังจาก ชะลอตัว มาตั้งแต่ปลายปี 2559 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยคาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 8-10% ในครึ่งปีหลัง หลังจากมีการอนุมัติโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายในประเทศอย่างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายต่าง ๆ เมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) และเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Special Eastern Economic Corridor zone หรือ โครงการ Eastern Airport City ประกอบกับกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ของภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวการลงทุนทั้งในส่วนของงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารสำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมกลางน้ำในตลาดวัสดุก่อสร้างอย่าง เหล็ก ซีเมนต์ คอนกรีต ปูนสำเร็จรูป รวมถึงปูนฉาบอิฐมวลเบาด้วย
ทำให้ปีนี้ ควิกโคทฯได้ขยายการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ ในสายการผลิตเดิมและเริ่มแผนขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าทุกกลุ่ม ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า100 ล้านบาท โดยจะมีการนำเอาหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตให้เป็นระบบออโตเมชั่นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 60% เมื่อเทียบกับการผลิตระบบเดิม เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ช่วยลดระยะเวลาการผลิตทำให้ผลิตสินค้าได้มากขึ้น และสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนของสินค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว โดยแผนการขยายโรงงานนี้จะแล้วเสร็จในปี 2562 และจะมีความสามารถในการผลิตได้สูงถึง3200 ตัน/วัน หรือกว่า 9 แสนตัน/ปี โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 10 เท่าตัว
ล่าสุด ควิกโคทฯ ได้เปิดตัว 3 แบรนด์สินค้า ได้แก่ 1) My Loft ปูนฉาบแต่งผิวสไตล์ลอฟท์สำเร็จรูปที่สามารถใช้งานได้ทันที โดยมี Concept ในการสร้างแรงบันดาลใจของผู้ใช้แบบ DIM หรือ DO IT MYSELF ไม่ใช่แค่ DIY อย่างที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่อย่าง Home users ที่ปัจจุบันมีความนิยมออกแบบตกแต่งบ้านด้วยตัวเองมากขึ้น 2) GP100 ปูนกาวอเนกประสงค์ ที่สามารถใช้เป็นทั้งปูนก่ออิฐมวลเบาและเป็นปูนกาวติดกระเบื้องทั่วไปในตัวเดียวกัน เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์การใช้งานให้กับช่างที่ต้องการความสะดวกมากว่าเดิม และ 3) ปูนฉาบมวลเบาดิ่งแดง Premium CP001P สูตรพิเศษที่ช่วยลดการแตกร้าวได้มากถึง 95% สำหรับลูกค้าและผู้ใช้งานที่ต้องการปูนฉาบอิฐมวลเบาเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพที่เหนือกว่าเดิม
นอกจากนี้ทางบริษัท ยังได้มีการทำกิจกรรม CSR เพื่อตอกย้ำว่า เป็นแบรนด์ปูนฉาบอิฐมวลเบาอันดับหนึ่งในใจช่าง ด้วยการทำกิจกรรม CSR ร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง “แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง” กับ 3 โครงการดี ๆ ได้แก่ โครงการไม่แตกแยกไม่แตกร้าว ซึ่งเป็น”โครงการอบรมพื้นฐานงานก่อสร้างเบื้องต้นกับปูนลูกดิ่ง” ร่วมกับสถาบันศึกษา 10 สถาบัน อาทิเช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการสามเสน เป็นต้น โครงการ “ไม่แตกแยกไม่แตกร้าว ซีซั่น 2” เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในกลุ่มนักเรียนช่างให้มีความรักความสามัคคี และโครงการประกวดหนังสั้นเพื่อรณรงค์ ต่อเนื่องในการสร้างความปรองดองให้กลุ่มนักเรียนช่าง โดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมฝายมีชีวิตที่มุ่งสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาสานต่อในรัชกาลปัจจุบัน โดยยึดหลักการทรงงาน 23 ประการ ที่ทางพนักงานและบริษัทฯ ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตลอดมา โดยโครงการดังกล่าวจะมีการจัดทำในปี 2561-2562 ที่จะถึงนี้
“จากแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิต การเปิดตัวสินค้าใหม่ และการทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่องในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดรายได้ที่ 800 ล้านบาทเทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา และหลังจากโรงงานใหม่เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าปูนตราลูกดิ่งจะสามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดกลับคืนมาในระดับเดิมได้ในปี 2562” นายอัครภัทร กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : https://www.ryt9.com
“แบงก์พาณิชย์” หนาว! หลัง “แบงก์ชาติ” ชี้ “ค่าธรรมเนียมแบงก์” ฮวบลง 11.2%
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. ระบุถึงผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 57,000 ล้านบาท ขยายตัว 15.9% ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลง
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคาร ลดลงเป็นครั้งแรกที่ 11.2% เพราะได้รับผลกระทบจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน เนื่องจากผู้ใช้บริการหันมาโอนเงินทางโมบายแบงก์กิ้งเพิ่มขึ้น 90% หรือ 224 ล้านรายการ ขณะที่อัตราการโอนเงินผ่านสาขามีเพียง 170,000 รายการ ซึ่งถือว่าน้อยมาก
สำหรับสินเชื่อขยายตัว 5.4% เพิ่มขึ้นไตรมาสก่อนที่อยู่ 4.7% โดยขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ยกเว้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่หดตัว 1.8% เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้และหุ้น
ซึ่ง ธปท.คาดว่าสินเชื่อในปี 2561 ขยายตัว 4-6% ตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล อยู่ที่ 2.93% ใกล้เคียงไตรมาสก่อนที่ 2.92% หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดว่าต้นปี 2562 เอ็นพีแอลมีทิศทางดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามเอ็นพีแอลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและธุรกิจเอสเอ็มอีที่ยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับขึ้น หลังหมดโปรโมชั่น 3 ปี และยังพบว่าเอ็นพีแอลที่อยู่อาศัยระดับ 3-5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นซึ่งเชื่อมโยงไปถึงสินเชื่อเอสเอ็มอี
นางสาวดารณี กล่าวว่า ต้นทุนดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งจะกระทบกับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย และกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูง แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะค่อยๆปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งไม่น่ามีผลกระทบต่อผู้กู้มากนัก
นอกจากนี้ ค่าธรรรมเนียมการโอนเงินที่จะลดลงได้อีก ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นได้
ที่มา : https://www.sanook.com
น้ำหนักขึ้น-ลงเร็วผิดปกติ อันตรายต่อร่างกายอย่างไร?
เรื่องของน้ำหนักมักเป็นหัวข้อที่ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย หรืออยู่ในช่วงอายุไหนๆ ก็มักจะแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอยู่ตลอด เพราะแต่ละคนก็มีความกังวลแตกต่างกัน บางคนอ้วนเกินไปอยากลดน้ำหนัก แต่ก็มีบางคนที่ผอมเกินไปจนอยากจะเพิ่มน้ำหนักเช่นเดียวกัน แต่ละคนเลยมักจะแบ่งปันสูตรเพิ่ม หรือลดน้ำหนักด้วยกันอยู่เรื่อยๆ แต่หากเราลองทำตามแล้วได้ผลก็จริง แต่น้ำหนักของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกายบ้างหรือไม่ Sanook! Health มีคำตอบจากโรงพยาบาลวิภาวดีมาฝากกัน
น้ำหนักเปลี่ยนมากแค่ไหน ถึงเรียกว่าผิดปกติ
หากคุณน้ำหนักลด หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 5-10% ของน้ำหนักเดิมของเราภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะลด หรือเพิ่มน้ำหนักเลย นั่นหมายถึงอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณได้ เช่น หากเคยมีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม หากคุณน้ำหนักลงไปถึง 54-57 กิโลกรัม หรือน้ำหนักเพิ่มถึง 63-66 กิโลกรัม ภายใน 6 เดือน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็กร่างกายโดยละเอียด เพราะอาการน้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคอันตรายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ไทรอยด์ ต่อมน้ำเหลือง ตับ ไต เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพูดถึงคนที่กำลังพยายามลด หรือเพิ่มน้ำหนัก ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน น้ำหนักก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงเกิน 1 กิโลกรัมต่อ 2 สัปดาห์ (หรือ ½ กิโลกรัม ต่อ 1 สัปดาห์)
สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม-ลด
ไม่ว่าคุณจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจจะเพิ่มน้ำหนักก็ตาม สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้
-
อาหารที่ทานไม่เหมือนเดิม
แน่นอนว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่สาเหตุที่ชัดเจนมาจากอาหารที่ทานเข้าไปในร่างกาย อาจจะทานอาหารในบริมาณที่มากเกินกว่าที่เราเคยทาน จึงทำให้เราได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นเกินความจำเป็นในแต่ละวัน จนพลังงานที่เหลือไปสะสมเป็นไขมันอยู่ตามชั้นผิวหนังด้านในนั่นเอง นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับประเภทของอาหารที่ทาน คุณอาจกำลังทานอาหารที่ให้พลังงานสูงติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 1 สัปดาห์ เช่น อาหารทอด ของหวาน ขนมปังขาวที่มีส่วนผสมของน้ำตาล น้ำเชื่อม หรือทานอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป เป็นต้น ส่วนใครที่น้ำหนักลด ก็อาจจะเป็นในทางตรงกันข้าม คือ ทานอาหารน้อยลง หรือเลือกทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำลง เช่น ลดการทานแป้ง น้ำตาล และไขมันจากสัตว์ลงนั่นเอง (รวมไปถึงคนที่ทานอาหารคนเดียว อาจทานได้น้อยลงกว่าเดิมด้วย)
-
กิจกรรมในชีวิตเพิ่ม-น้อยลง
จากที่เคยออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้อาจไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเดิม หรือแต่ก่อนอาจจะเดินมากขึ้น แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เดินไปไหน การใช้ชีวิตเปลี่ยนจากงานที่ต้องเดินต้องยืน ก็เปลี่ยนมาเป็นการนั่งทำงานตลอดทั้งวัน รวมไปถึงการไม่สบาย หรือร่างกายมีอาการบาดเจ็บ จนทำให้ร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อนมากนัก การเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไปเท่าเดิมจึงน้อยลง จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักขึ้นได้ (แต่จากสาเหตุนี้ มักจะน้ำนหักขึ้นอย่างช้าๆ มากกว่า) คนที่น้ำหนักลด อาจอยู่ในช่วงทำงานที่ใช้พละกำลังมากขึ้น เดินมากขึ้น ขยับร่างกายมากขึ้น รวมไปถึงออกกำลังกายมากขึ้นด้วย
-
ผลข้างเคียงจากการทานยาบางชนิด
คุณอาจเป็นคนที่ต้องทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำ โดยอาจมีการเปลี่ยนเป็นยาตัวใหม่ในช่วงนี้ ผลของยาบางตัวอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ เช่น ยาต้านซึมเศร้า หรือการใช้ฮอร์โมนเพิ่มเติมอย่าง ฮอร์โมนเอสโทรเจน โพรเจสเทอโรน และคอร์ติโซน เป็นต้น ยาที่ทานแล้วน้ำหนักลดก็อาจมีอยู่บ้างเช่นกัน เช่น ยาต้านซึมเศร้าบางชนิด ยากระตุ้นบางชนิด ยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือยาตามแพทย์สั่งบางตัว
-
ความเครียด
บางคนอาจเครียดแล้วไม่ทานอาหาร แต่กับบางคนอาจเครียดแล้วยิ่งทานอาหารมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความเครียดส่งผลกระทบต่อการทำงานในส่วนต่างๆ ของร่างกายให้แปรปรวนตามไปด้วย ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบไหลเวียนโลหิตอาจทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม จึงทำให้เกิดเป็นไขมันสะสมตามชั้นผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณพุงส่วนล่าง ตามต้นแขนต้นขา และสะโพกได้ หรืออาจทำให้เราเบื่ออาหาร ทานอะไรไม่ลงจนน้ำหนักลดได้เช่นกัน นอกจากนี้ความเครียดยังส่งผลให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันน้อยลง เราอาจขาดการเดิน การวิ่ง การออกกำลังกาย นั่นจึงเป็นการทำให้ลดการใช้พลังงานในแต่ละวันลงไปอีกด้วย
-
ภาวะบวมน้ำ
ภาวะบวมน้ำ อาจเกิดขึ้นกับคนที่มีการทำงานของหัวใจ ไต หรือต่อมไทรอยด์ผิดปกติ จะรู้สึกว่าตัวบวม แขน ขา นิ้วบวม แหวน หรือรองเท้าเดิมๆ ที่ใส่อยู่รู้สึกคับ ตกบ่ายๆ เย็นๆ อาจมีอาการเหนื่อยหอบ และอาจเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นในช่วงเวลากลางคืน และอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
-
มีอาการของโรคบางอย่าง
ใครที่อาการผิดปกติที่ฟัน เหงือก โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ปัสสาวะบ่อย ระบบย่อยอาหารผิดปกติ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ถ่ายเหลวบ่อย เป็นโรคติดเชื้อ เช่น เอดส์ วัณโรค รวมไปถึงโรคมะเร็งชนิดต่าง อาจมีส่งสัญญาณอันตรายมาพร้อมกับอาการน้ำหนักลดลงได้
เคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
หลักการง่ายๆ มีเพียงแค่ลดอาหารที่ให้พลังงานเกินลง เช่น แป้งขาว น้ำตาล ไขมันจากสัตว์ เครื่องดื่ม และอาหารหวานๆ อาหารสำเร็ตรูป อาหารแปรรูปต่างๆ เป็นต้น จากนั้นเริ่มออกกำลังกายทั้งเล่นเวท และคาร์ดิโอครั้งละอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ และพักผ่อนให้เพียงพอ นอน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หากรักษาระดับน้ำหนักให้ค่อยๆ ลง 1 เดือนไม่เกิน 2 กิโลกรัมได้ ก็สามารถลดน้ำหนักช้าๆ แต่ปลอดภัยได้เรื่อยๆ
เคล็ดลับในการเพิ่มน้ำหนักอย่างปลอดภัย
อันที่จริงแล้ว การเพิ่มน้ำหนักด้วยตัวเองสำหรับคนที่ผอมมากตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเรื่องที่อันตรายมากเกินไป ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้พบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้ผอมกว่าปกติเสียก่อน หากเป็นเพียงพันธุกรรม หรือเป็นคนที่เผาผลาญพลังงานได้ดีอยู่แล้ว ก็ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และนักโภชนาการ เพื่อการวางแผนการทานอาหาร และการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเราให้ได้มากที่สุด โดยหลักๆ แล้วอาจเป็นการเพิ่มปริมาณ และมื้ออาหารที่เราทานให้มากขึ้น เน้นทานอาหารที่ให้พลังงานสูง (แต่ไม่อันตรายต่อร่างกาย) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ น้ำมันมะกอก ข้าวกล้อง ผลไม้ต่างๆ หลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักด้วยอาหารพลังงานสูงที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ขนมหวาน หรืออาหารฟาสต์ฟูด และออกกำลังกายเน้นการเล่นเวทเฉพาะที่มากกว่าการคาร์ดิโอ เป็นต้น
เราไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักทุกวัน อาจจะ 3-4 วันครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้งก็ได้ เพื่อค่อยๆ เช็กน้ำหนักของตัวเองที่คงที่แล้ว (ใน 1 วันน้ำหนักของเราสามารถขึ้นหรือลงได้ ½ -1 กิโลกรัมอยู่แล้ว) และควรชั่งน้ำหนักเวลาเดิม วันเดิมของสัปดาห์ สวมชุดเดิม (ใส่ให้น้อยชิ้นที่สุด หรือไม่ใส่เสื้อผ้าก็ได้) บนเครื่องชั่งน้ำหนักตัวเดิม และวางเครื่องชั่งน้ำหนักที่เดิมทุกครั้ง (บางบนพื้นเรียบแข็ง ไม่วางบนผ้า หรือพรม เพราะค่าน้ำหนักอาจเคลื่อนได้)
ที่มา : https://www.sanook.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23 สิงหาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคาขาย/บาท |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% |
18,600.00 |
18,500.00 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
19,100.00 |
18,161.68 |
1,198.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
n/a |
18,813.56 |
1,241.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
n/a |
16,345.51 |
1,078.20 |
ทองรูปพรรณ 80% |
n/a |
14,529.34 |
958.40 |
ทองรูปพรรณ 50% |
n/a |
8,171.24 |
539.00 |
ทองรูปพรรณ 40% |
n/a |
6,352.04 |
419.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 23 สิงหาคม 2561
|
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
แก๊สโซฮอล์ 95 |
29.75 |
29.75 |
29.85 |
29.75 |
29.75 |
29.75 |
29.75 |
29.75 |
29.75 |
29.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 |
29.48 |
29.48 |
29.58 |
29.48 |
29.48 |
29.48 |
29.48 |
29.48 |
29.48 |
29.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 |
26.74 |
26.74 |
26.74 |
26.74 |
26.74 |
– |
26.74 |
26.74 |
26.74 |
26.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 |
21.19 |
21.19 |
– |
– |
– |
– |
– |
21.19 |
21.19 |
– |
เบนซิน 95 |
36.86 |
– |
– |
– |
37.31 |
– |
37.36 |
37.16 |
36.96 |
37.16 |
ดีเซล |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
ดีเซลพรีเมี่ยม |
32.19 |
33.06 |
33.06 |
33.06 |
33.06 |
– |
– |
– |
– |
– |
แก๊ส NGV |