สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2561

ราคาคอนโดขยับรับรายได้ ย่าน”สีลม-สาทร” อัพสูงกว่าชานเมือง14.6%

 

Baania เปิดผลสำรวจชี้ราคาคอนโดฯขยับขึ้นสอดคล้องกับรายได้ของแต่ละทำเล ย่านกลางเมืองสีลม-สาทร อัพเงินเดือนได้ 14.6% ขณะที่ทำเลอโศก-เพชรบุรี ปรับเงินเดือนขึ้นสูงสุดเฉลี่ย 9.3%
นางสาวอัญชนา วัลลิภากร ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ให้บริการระบบค้นหาที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ Baania.com และบริการข้อมูลการตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วย big data analytics ระบุว่า ทำเลย่านพระราม 9 มีการกระจุกตัวของกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านธุรกิจ การบริหารงาน และเทคโนโลยีสูง
ขณะย่านปทุมวัน มีการกระจุกตัวของกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านธุรกิจ การบริหารงาน งานสอน และด้านสุขภาพสูง ย่านอโศก มีการ กระจุกตัวของกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม สังคมศาสตร์ กฎหมาย และกลุ่มงานพนักงานขายทั่วไปอยู่สูง ย่านอารีย์ฯ มีการกระจุกตัวของกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี และกลุ่มงานพนักงานสนับสนุนงานทั่วไปสูงในพื้นที่ นอกจากนี้ ปัจจัยเชิงพื้นที่ของบริษัท ซึ่งหมายถึงสภาพแวดล้อมบริษัท และตำแหน่งที่ตั้งของบริษัทที่อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมมีส่วนช่วยให้ระดับค่าตอบแทนของแรงงานในย่านนั้นสูงขึ้นกว่าพื้นที่อื่น
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การเข้ามาทำงานในเขตย่านเศรษฐกิจกลางเมืองมากเท่าไร จะส่งผลให้แรงงานได้รับระดับเงินเดือนที่สูงขึ้นตามไปด้วย เช่น หากเลือกทำงานในย่านสีลม-สาทร จะได้รับเงินเดือนเริ่มต้นที่สูงกว่างานลักษณะเดียวกันในพื้นที่ย่านชานเมืองถึง 14.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณจากค่าประมาณเฉลี่ยของแรงงานในพื้นที่  ขณะเดียวกัน การตัดสินใจทำงานในย่านต่างๆ จะส่งผลต่อเนื่องกับการเติบโตของเงินเดือนที่แตกต่างกันด้วย โดยการทำงานในย่านอโศก-เพชรบุรี จะให้ผลตอบแทนของการเติบโตในเงินเดือนสูงที่สุดถึง 9.3% ต่อปี
สำหรับราคาที่อยู่อาศัยกลางเมืองใกล้ที่ทำงาน จากคลังข้อมูลของ Baania สะท้อนราคาคอนโดมิเนียมมือหนึ่งแบบห้องสตูดิโอ – 1 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอนในเขตย่านเศรษฐกิจข้างต้น พบว่า สามารถแบ่งการกระจุกตัวของกลุ่มราคาได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มราคาสูงพื้นที่ย่านสีลม-สาทร, ปทุมวัน และ อโศก-เพชรบุรี และกลุ่มราคาปกติ หรือ ราคาเฉลี่ยในพื้นที่น้อยกว่ากลุ่มราคาสูงเกือบเท่าตัวอยู่ในพื้นที่ย่านอารีย์ฯ และพระราม 9
ทั้งนี้ จากข้อมูลการวิเคราะห์การจ่ายผลตอบแทนในพื้นที่ และข้อมูลราคาคอนโดฯมือหนึ่งในพื้นที่ พบว่า ในพื้นที่ที่มีการจ่ายผลตอบแทนของเงินเดือนโดยเฉลี่ยสูง (เงินเดือนเริ่มต้นที่สูง หรือการเติบโตของเงินเดือนที่สูง) ราคาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในพื้นที่จะสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งได้แก่ ย่านสีลม-สาทร, ปทุมวัน และอโศก-เพชรบุรี ส่วนพื้นที่ที่มีการจ่ายผลตอบแทนของเงินเดือนโดยเฉลี่ยสูงแต่ไม่โดดเด่นกว่าย่านเมือง ได้แก่ พื้นที่ย่านอารีย์ฯ และพระราม 9 จะมีราคาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในพื้นที่ที่ไม่ปรับตัวสูงมากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ใน Bangkok Zone 4
สำหรับบทวิเคราะห์ Baania Data  Insights ล่าสุดได้นำข้อมูลคนทำงานที่มีอยู่ในระบบออนไลน์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาวิเคราะห์ในมุมมองของตลาดแรงงานที่เชื่อมโยงกับทำเลแหล่งงานชั้นดีที่มีผลต่อรายได้ รวมถึงความสามารถในการอยู่อาศัยในทำเลที่เป็นแหล่งงานต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลพบการกระจุกตัวของการจ้างงานเกิดขึ้นในเขตกลางเมืองและตามแนวถนนอย่างชัดเจน โดยพบว่าย่านเมืองที่มีการจ้างงานในเงินเดือนที่สูงระดับเข้มข้นคือ พื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ในย่านต่างๆ ดังนี้ 1. สีลม-สาทร 2. ปทุมวัน 3. อโศก-เพชรบุรี 4. พระราม 9 และ 5. อารีย์ฯ (Bangkok Zone 4)
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจะพบว่า ประเภทของงานที่มีการกระจุกตัวสูงในเขตกลางเมือง ได้แก่ กลุ่มงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านธุรกิจ การบริหารงาน เทคโนโลยี กฎหมาย และด้านสังคมศาสตร์ และกลุ่มงานด้านเทคนิคระดับกลาง  ส่วนกลุ่มงานที่กระจุกตัวอยู่นอกเมืองมากกว่า ได้แก่ กลุ่มงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ การสอน และสุขภาพ กลุ่มงานพนักงานสนับสนุนงานทั่วไป และกลุ่มงานฝีมือ ขณะที่บางกลุ่มงานจะมีการกระจายตัวอย่างสมํ่าเสมอทั้งในเขตกลางเมืองและนอกเมืองคือ กลุ่มงานขายและงานบริการ

 

ที่มา : http://www.bkkcitismart.com


 

เผยผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการบ้านเดี่ยว แต่กลับซื้อคอนโดฯ-ทาวน์เฮ้าส์

 

จัดงาน “อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018” เผยภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ขณะที่ผลสำรวจระบุผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการบ้านเดี่ยวแต่กลับซื้อคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด กลุ่ม CMC – ออริจิ้นฯ ปล่อยคอนโดฯ ได้เยอะที่สุด

นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในฐานะผู้จัดงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาหลายปีและปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นการจับจ่ายใช้สอยเงินก้อนใหญ่ สะท้อนได้จากผลสำรวจผู้บริโภคพบว่าแม้ส่วนใหญ่จะต้องการบ้านเดี่ยวมากที่สุด แต่กำหนดงบประมาณในการซื้อเพียง 1-3 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์ เป็นหลัก

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังสะท้อนความคาดหวังของผู้บริโภคในการได้รับส่วนลดและโปรโมชั่นเป็นอย่างมากด้วย โดยบอกว่าแม้จะไม่ได้วางแผนสำหรับการซื้อในช่วงงาน แต่หากมีโปรโมชั่นที่ถูกใจก็อาจตัดสินใจได้ทันที ซึ่งมีตัวเลขถึง 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

“ยอดขายรวมและผู้เข้าชมงานปีนี้ลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน NPA หรือสินทรัพย์ของสถาบันการเงินยอดขายลดลง เนื่องจากลักษณะทรัพย์สินที่เหลืออยู่อาจจะไม่ตรงกับความต้องการ ส่วนยอดจองสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงเล็กน้อย โดยปีนี้ธนาคารรัฐ 2 แห่งเน้นดำเนินกิจกรรมของตัวเองตามนโยบายรัฐบาลเท่านั้น”

ด้าน นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ในฐานะผู้จัดงานกล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาแอพพลิเคชันเพื่อความสะดวกในการเข้าชมงาน คือ Home Event App ซึ่งได้ทดลองใช้แล้วในปีที่ผ่านมา โดยผู้เข้าชมงานสามารถสแกน QR Code ด้วยสมาร์ทโฟนเพื่อลงทะเบียนชมงาน เก็บข้อมูลโครงการที่สนใจและสิ่งที่สนใจอื่นๆ ภายในงาน ส่วนผู้มาออกงานก็สามารถเห็นข้อมูลผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ สามารถกำหนดกลยุทธ์การขายและโปรโมชั่นแบบด่วนๆ ได้

ปีนี้ยังได้จัดโซนพิเศษ “Hot Deal” ซึ่งเป็นการรวมสินค้า “โปรโมชั่นพิเศษ” จากทุกแบรนด์ที่มาร่วมงาน กำหนดเงื่อนไขดีลพิเศษซื้อขายเฉพาะภายในวันงานเท่านั้น ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากทั้งผู้ประกอบการที่ส่งโปรดักต์ยูนิตพิเศษเข้าร่วมเกือบ 200 รายการ และผู้เข้าชมงานที่ให้ความสนใจกับสินค้า Hot Deal เป็นจำนวนมาก

นายบริสุทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทใหญ่ที่มีพื้นที่ขายขนาดใหญ่ยังคงสามารถสร้างยอดขายได้มากเป็นอันดับหนึ่ง อาจเป็นเพราะด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างขวาง จึงสามารถดิสเพลย์โปรดักต์ได้น่าสนใจและดึงดูดใจได้มากกว่า อย่างไร ก็ตามบริษัทขนาดกลางหรือบริษัทตัวแทนขายอสังหาฯ ก็สามารถทำยอดขายได้สูงมากจนน่าแปลกใจ โดยสินค้า  ที่สามารถขายได้เยอะที่สุดคือคอนโดมิเนียม

“ระยะหลังๆ เราจะเห็นตัวแทนขายอสังหาฯ หรือเอเย่นต์มาร่วมออกงานมากขึ้น บริษัทเหล่านี้จะมีสินค้าจากหลายๆ โครงการแต่ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ กลุ่มนี้เขามีกลยุทธ์และเทคนิคการขายดีมาก เรียกว่าที่ไหนมีกำลังซื้อ มีคนเดินผ่าน เขาสามารถขายได้หมด และที่ไม่ขาดคือโปรโมชั่นพิเศษที่จะให้กับลูกค้า”

 

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com


 

9 เศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย

 

9 เศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย

 

จากหนังเรื่อง Crazy Rich Asians ที่มาแรง เราขอนำเสนอ 8 เศรษฐีเอเชียในชีวิตจริงกันบ้าง มาดูกันเลยว่าพวกเขาคือใคร ทำธุรกิจอะไร และรวยขนาดไหน?

 

rich1

 

8. Yang Huiyan

 

สินทรัพย์สุทธิ: $21.9 พันล้าน (ประมาณ 7.19 แสนล้านบาท)

ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย เป็นนักธุรกิจและนักลงทุนสัญชาติจีน ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทโฮลดิ้ง Country Garden ซึ่งมุ่งเน้นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยพ่อของเธอได้โอนหุ้น 70% ของบริษัทมาให้เธอก่อนที่บริษัทจะ IPO ในปี 2007

 

rich2

 

7. Masayoshi Son

สินทรัพย์สุทธิ: $22.7 พันล้าน (ประมาณ 7.45 แสนล้านบาท)

นักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งและประธาน Softbank Group บริษัทโฮลดิ้งชื่อดัง เห็นอย่างนี้แต่เขาก็เคยประสบปัญหามาแล้วในช่วงวิกฤติดอทคอมปี 2000 ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าของบริษัท Softbank ทำให้เขาสูญเสียสินทรัพย์ไปกว่า $70 พันล้าน

 

rich3

6. Wang Jianlin

สินทรัพย์สุทธิ: $30 พันล้าน (ประมาณ 9.85 แสนล้านบาท)

นักธุรกิจและนักลงทุนสัญชาติจีน เป็นผู้ก่อตั้ง Dalian Wanda Group บริษัทพัฒนาอสังหาฯ และยังเป็นบริษัทโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทหารถึง 16 ปี และได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท Dalian Wanda Group ในปี 1992

 

rich4

5. Lee Shau-Kee

สินทรัพย์สุทธิ: $30.3 พันล้าน (ประมาณ 9.95 แสนล้านบาท)

เศรษฐีผู้ร่ำรวยจากอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของ Henderson Land Development ซึ่งเป็นเครือบริษัทที่โฟกัสไปยังอสังหาฯ โรงแรม ร้านอาหาร และบริการอินเตอร์เน็ต เขาเติบโตมาจากครอบครัวยากจน ถึงขั้นที่ว่าครอบครัวของเขาสามารถทานเนื้อสัตว์ได้อย่างมาก 2 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น

 

rich5

5. Hui Ka Yan

สินทรัพย์สุทธิ: $30.3 พันล้าน (ประมาณ 9.95 แสนล้านบาท)

นักธุรกิจชาวจีนผู้เป็นเจ้าของและประธานของ Evergrande Group ซึ่งเป็นเครือบริษัทที่ทำธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขามักถูกเปรียบเปรยว่าเป็น Donald Trump แห่งประเทศจีน

 

rich6

4. Li Ka-Shing

สินทรัพย์สุทธิ: $34.9 พันล้าน (ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท)

นักธุรกิจและนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง ตอนนี้เขาเป็นประธานของบริษัทโฮลดิ้ง CK Hutchison ที่ซึ่งเขาเป็นผู้บริหารงานหลักๆ บริษัทนี้ยังเป็นเจ้าของร้านสุขภัณฑ์ความงามชื่อดังอย่าง Watson ในแถบเอเชีย และ Superdrug ในแถบยุโรปอีกด้วย

 

rich7

3. Jack Ma

สินทรัพย์สุทธิ: $39 พันล้าน (ประมาณ 1.28 ล้านล้านบาท)

นักธุรกิจเจ้าของ Alibaba Group ซึ่งมุ่งเน้นทำธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ หม่าแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จได้แม้ว่าจะเคยถูกปฏิเสธมาก่อน ไม่ว่าจะจาก KFC หรือมหาวิทยาลัย Harvard ก็ตาม

 

rich8

2. Mukesh Ambani

สินทรัพย์สุทธิ: $40.1 พันล้าน (ประมาณ 1.32 ล้านล้านบาท)

นักธุรกิจชาวอินเดียผู้เป็นประธานบริษัทโฮลดิ้ง Reliance Industries Limited ซึ่งมีธุรกิจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน ปิโตรเคมี คมนาคม หรือค้าปลีก เป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในอินเดีย

 

rich9

1. Ma Huateng

สินทรัพย์สุทธิ: $45.3 พันล้าน (ประมาณ 1.49 ล้านล้านบาท)

นักธุรกิจสายเทคโนโลยี เป็นเจ้าของและประธานของบริษัท Tencent หนึ่งในบริษัทอินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดของจีน ผู้ให้บริการแอปฯ ส่งข้อความมือถือยอดนิยมอย่าง WeChat

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

ทำงานอย่างไรให้สุขภาพจิตดี และมีความสุข

 

สุขภาพจิตกับการทำงาน

คนทำงานหลายคนต้องยอมรับว่าความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความสามารถในการทำงานลดน้อยลง ทำให้ความกระตือรือร้นหดหาย จนในที่สุด ทำให้ตัวเองรู้สึกเกิดความกลัวที่จะทำงาน โดยเฉพาะการทำงานในวันจันทร์ คนทำงานส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าไม่อยากจะไปทำงาน แล้วรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

การทำงานมาพร้อมกับความเครียดเสมอ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเราอยากเห็นผลงานที่ดี บางครั้งเราจึงมักจะกดดันตัวเอง หรือกดดันคนอื่นให้เกิดความเครียดในการทำงานโดยไม่รู้ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำงานให้ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกเช่นนั้นเสมอไป

ต้องยอมรับว่าไม่มีงานใดที่ทำแล้วไม่เกิดความเครียด เพราะงานทุกงานล้วนต้องเจอกับปัญหา เราจะจัดการกับความเครียดเหล่านั้นอย่างไร จึงจะทำให้ชีวิตการทำงานที่มีความสุขคืนกลับมา และต้องทำอย่างไรจึงจะเรียกคืนการเป็นพนักงานสุขภาพดีคนเดิมกลับมาได้

 

จัดการความเครียด

ความเครียดจากการทำงานเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สุขภาพคนทำงาน และสุขภาพของงานก็ย่ำแย่ไปตาม ๆ กัน เมื่อเรามีความเครียดสะสม เราจะไม่สามารถทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เราจะรู้สึกว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยความกดดัน และปัญหาก็จะถาโถมเข้ามาหาเราอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดเราจะเกิดความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับงานของเรา ทำให้งานที่ออกมาได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี และในขณะเดียวกันเมื่อเราเกิดความเครียดร่างกายของเราก็จะทำงานได้ไม่ดี เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้น หากเราต้องการเป็นพนักงานที่ทำงานดี และมีความสุข เราต้องจัดการกับความเครียดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการทำงานให้ได้เสียก่อน เมื่อรู้สึกว่าเราทำงานหักโหมมากเกินกว่าร่างกายและสมองจะรับได้ไหว ให้หยุดพักสักครู่ เพราะหากเราไม่หยุด ความเครียดจะเข้ามาสั่งการและควบคุมเรา ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุข ให้ลองลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หรือทักทายพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ ด้วยเรื่องราวอย่างอื่น หรือลองทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ เมื่อรู้สึกเครียดให้หยุดพักสัก 10-15 นาที แล้วเราจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การทำงานที่ได้ผลดีไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอด ควรหาเวลาพักผ่อนบ้าง เมื่อเราสุขภาพจิตดี เราก็จะทำงานได้ดีขึ้น

 

จัดสมดุลของงานและชีวิต

การทำงานหนักหักโหมจนเกินไป ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย หากเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเกินไป โดยไม่หันไปมอง หรือใส่ใจคนในครอบครัวเลย ไม่เพียงแต่เราที่จะรู้สึกว่ากำลังถูกตัดขาด แต่สมาชิกในครอบครัวของเราเองก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาอีกต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาครอบครัวในภายหลังได้ ไม่ว่าเราจะมีงานที่ต้องรับผิดชอบยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืม คือ เราต้องจัดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัวให้ดี อย่าทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานมากเกินไป เพราะเราอาจจะสูญเสียความสุขในอีกด้านหนึ่งได้ เราสามารถจัดการปัญหานี้ได้ด้วยการกำหนดเวลาที่แน่นอนในการทำงาน อย่าให้เกินเวลาที่เรากำหนดไว้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาส่วนหนึ่งไปอยู่กับครอบครัว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ผ่อนคลายความเครียด เมื่อชีวิตของเรามีความสมดุลแล้ว เป้าหมายของการเป็นพนักงานสุขภาพดีก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

 

ลดความคาดหวัง

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตการทำงานของเราเกิดปัญหา คือ การกดดันตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัว บางคนมักจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราต้องทำงานให้ดีที่สุด เราต้องไม่ทำงานผิดพลาด เราต้องได้รับคำชมจากเจ้านาย เมื่อเราบอกตัวเองว่าต้องทำงานอย่างนี้อยู่ทุกวัน เราก็จะมีความเครียดเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องทำงาน เราสามารถทำงานอย่างจริงจังได้ แต่ต้องไม่นำความเครียดเข้าไปรวมอยู่ด้วย เพราะสิ่งนั้นจะทำลายสุขภาพของเรา การเป็นพนักงานที่ทำงานเก่ง ควรมาพร้อมกับสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ด้วย หากลองพิจารณาดูให้ดี แม้ว่าเราจะเป็นพนักงานที่ทำงานเก่งมากคนหนึ่ง แต่ดูภายนอกแล้ว เราเป็นคนที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา ก็ยากที่จะมีคนอยากเข้ามาพูดคุยกับเรา ดังนั้น อย่าเพิ่มความกดดันให้กับตัวเอง เพราะมันจะทำลายสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของเรา

 

เติมพลังด้วยความสุข

ความสุขเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีสีสัน และรู้สึกได้ถึงการถูกเติมเต็มในชีวิต ในโลกของการทำงานก็เช่นเดียวกัน ชีวิตการทำงานของเราจำเป็นต้องมีความสุข เพราะนั่นเป็นการพิสูจน์ว่าผลงานที่เราทำออกมาจะมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ ความสุขทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากจะมาทำงานทุกวัน และวันทำงานของเรามีคุณค่า ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขในการทำงาน? สิ่งเล็ก ๆ ที่เราสามารถทำได้ คือ การไม่เพิ่มความเครียด และความกดดันให้มีมากเกินไป หรืออาจจะหากิจกรรมที่ทำร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อเพิ่มรอยยิ้ม และความสนุกสนานในการทำงานแต่ละวัน เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพจิตดี และทำงานอย่างมีความสุขได้ตลอดทั้งปี

 

          คนทำงานหลายคนมักจะเกิดข้อสงสัยว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข เพราะงานที่ทำแต่ละวันนั้น ล้วนเต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน การจะเป็นพนักงานที่มีสุขภาพจิตดี และมีความสุขนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่หากลองพิจารณากันให้ดี เราจะเห็นว่าความสุขในที่ทำงานนั้นสร้างได้ ไม่ยากเลย เพียงแต่เราต้องปรับทัศนคติ และลดความกดดันที่มีในการทำงานให้น้อยลง เพียงเท่านี้ เราก็จะเป็นพนักงานที่มีความสุข และมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง

 

ที่มา : https://th.jobsdb.com


 

“ไมโครเวฟ” ปลอดภัยต่อสุขภาพของคนเราหรือเปล่า?

 

"ไมโครเวฟ" ปลอดภัยต่อสุขภาพของคนเราหรือเปล่า?

ไมโครเวฟ ช่วยให้การอุ่นอาหารหรือการปรุงอาหารกลายเป็นเรื่องง่าย แถมยังช่วยให้เราประหยัดเวลาไปได้เยอะด้วย แต่อาหารที่ได้จากไมโครเวฟนั้นมีความปลอดภัยหรือเปล่าเชิญมาหาคำตอบกัน

 

อาหารที่ใช้ ไมโครเวฟ มีความปลอดภัยหรือไม่?

มีหลักฐานน้อยมากที่บ่งบอกว่า การใช้ไมโครเวฟแล้วทำให้เกิดความเสี่ยงอะไร ความเสี่ยงเท่าที่เห็นก็มีแต่การกระจายความร้อนได้ไม่ทั่วถึง จนทำให้เกิดจุดความร้อนต่ำที่ทำให้เชื้อโรคต่างๆ รอดชีวิตได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมอาหารที่ทำจากไก่ดิบแช่แข็ง สามารถแพร่เชื้อซาลโมเนลโลสิส (Salmonellosis) ที่ทำให้เกิดโรคไทฟอยด์และพาราไทฟอยด์ได้ ก็เป็นเพราะไมโครเวฟกระจายความร้อนได้ไม่ทั่วถึงนั่นเอง

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังบอกด้วยว่า มีภาชนะบางประเภทที่ไม่มีความปลอดภัยกับการใช้ไมโครเวฟ ซึ่งภาชนะพวกนั้นก็ได้แก่…

  • ภาชนะโลหะ
  • วัสดุที่ทำจากพลาสติกนิ่มๆ
  • จานกระดาษ
  • กระดาษแข็ง

ภาชนะที่มีความปลอดภัยต่อการใช้ไมโครเวฟมากที่สุดก็คือ ภาชนะที่เป็นเซรามิคและแก้ว

 

ไมโครเวฟทำให้เสียคุณค่าทางโภชนาการไปบ้างหรือเปล่า?

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การปรุงอาหารหรือการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ ก็เหมือนกับการใช้ความร้อนในการปรุงอาหารด้วยวิธีอื่นๆ นั่นแหละ ที่จะทำให้ต้องสูญเสียวิตามินบางอย่างไปบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้ว การใช้ความร้อนจากไมโครเวฟอย่างรวดเร็วนั้น จะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่าการใช้ความร้อนในการปรุงอาหารโดยทั่วๆ ไป

 

ไมโครเวฟก่อให้เกิดโรคมะเร็งหรือเปล่า?

ผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารก่อมะเร็ง‘ คือตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นมา ซึ่งสารก่อมะเร็งนั้นจะก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติในขณะปรุงอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน อย่างเช่น เนื้อสัตว์และเนื้อปลา และมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้สูงขึ้น ถ้าใช้เวลาหรือความร้อนในการปรุงเนื้อสัตว์นั้นมากเกินไป

วิธีการปรุงอาหารเป็นปัจจัยที่มีผลต่อสารก่อมะเร็งมาก การศึกษาวิจัยบางชิ้นได้รายงานว่า สารก่อมะเร็งจะก่อตัวขึ้นในเนื้อไก่ได้ในระดับสูง ถ้านำไปปรุงให้สุกในไมโครเวฟ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการทอดในกระทะ การย่าง หรือการอบ

แต่ยังไม่มีการศึกษาวิจัยชิ้นไหนที่ระบุหรือแสดงให้เห็นว่า การบริโภคสัตว์ปีกที่ทำให้สุกในไมโครเวฟนั้น มีส่วนเกี่ยวกับกับโรคมะเร็ง

ผลการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้เปิดเผยว่า ปลาย่างมีสารก่อมะเร็งมากกว่าปลาที่ปรุงให้สุกในไมโครเวฟ ในขณะที่การปรุงเนื้อให้สุกในไมโครเวฟนั้น ไม่สามารถตรวจจับสารก่อมะเร็งได้เลย นอกจากนี้การละลายเนื้อแช่แข็ง และการอุ่นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์และเนื้อปลาในไมโครเวฟนั้น มักจะใช้เวลาไม่กี่นาที จึงไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งขึ้นมาได้

 

ไมโครเวฟทำให้บรรจุภัณฑ์มีอันตรายหรือไม่?

มีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า สารเคมีในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกนั้น อาจเล็ดรอดเข้าไปอยู่ในอาหาร เวลาที่นำเข้าไมโครเวฟได้ ซึ่งนั่นจะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น แต่ภาชนะพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติก และแผ่นพลาสติกสำหรับห่ออาหารในยุคนี้  ได้รับการออกแบบมาให้ทนทานกับความร้อนในเครื่องไมโครเวฟเป็นอย่างดี

ถ้าบรรจุภัณฑ์นั้นระบุว่า ปลอดภัยต่อการใช้กับไมโครเวฟล่ะก็ มักจะแสดงสัญญลักษณ์รูปไมโครเวฟ หรือมีวิธีใช้กับไมโครเวฟอย่างถูกต้องบอกเอาไว้ด้วย ฉะนั้น เวลาจะเลือกซื้ออะไรที่ต้องนำมาใช้กับไมโครเวฟ ก็ควรพลิกดูสัญญลักษณ์พวกนี้ให้ดีก่อน

 

ไมโครเวฟฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้หรือไม่?

อาหารที่ปรุงสุกแล้ว มักจะลดความเสี่ยงในการติดโรคลงไปได้เยอะ ซึ่งปัญหาใหญ่ของการใช้ไมโครเวฟก็คือ การกระจายความร้อนได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากรูปร่างของอาหาร ซึ่งปัจจัยนี้เองที่อาจทำให้คุณสังเกตเห็นว่า อาหารที่อุ่นด้วยไมโครเวฟนั้นมีบางจุดที่ร้อน และมีบางจุดที่เย็น จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านความปลอดภัยขึ้นมาได้

การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ อาจช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคได้ ถ้าใช้อุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสมกับสัดส่วนของอาหาร โดยถ้าใช้อุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก็สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้เกือบหมด แต่สารพิษที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์พวกนี้อาจทนทานต่อความร้อนได้

ฉะนั้น ถ้าอาหารที่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดสารพิษปนเปื้อนมาอยู่ก่อนแล้ว ไมโครเวฟก็อาจฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ แต่ไม่สามารถทำลายสารพิษที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์นั้นได้ ถึงแม้จะใช้ความร้อนและระยะเวลาที่เหมาะกับสัดส่วนของอาหารแล้วก็ตาม ซึ่งการปรุงอาหารด้วยวิธีอื่นๆ ก็เกิดผลข้างเคียงเช่นนี้เหมือนกัน การเก็บอาหารอย่างถูกต้อง จึงนับเป็นเรื่องสำคัญมากในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาแบบนี้

 

วิธีลดความเสี่ยงจากการใช้ไมโครเวฟ

  • หลีกเลี่ยงการทำให้ผักสุกเกินไป เพื่อช่วยลดโอกาสที่จะสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ
  • ก่อนนำอาหารเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ ควรอ่านฉลากที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ แล้วปฎิบัติตามคำแนะนำนั้น
  • ถ้าบรรจุภัณฑ์นั้นไม่ได้ระบุว่ามีความปลอดภัยต่อการใช้ในไมโครเวฟ ก็ควรเทใส่ภาชนะที่มีความเหมาะสมต่อการใช้ในไมโครเวฟมากกว่า
  • ควรหมุนจานอาหารและคนอาหารบ่อยๆ ในระหว่างที่นำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ เพื่อช่วยกระจายอุณหภูมิความร้อนได้อย่างทั่วถึง และลดโอกาสที่เชื้อจุลินทร์จากอาหารจะทำให้เกิดความเจ็บป่วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารก่อนนำเข้าปาก เนื่องจากอาหารอาจมีความร้อนจัดจนทำให้เกิดการลวกปากได้
  • จงจำเอาไว้ว่าไมโครเวฟไม่ได้มีมนต์วิเศษที่จะช่วยให้อาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์มีความปลอดภัยขึ้นมาได้ ฉะนั้นถ้าคุณไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด ก็ควรโยนอาหารนั้นทิ้งไปซะ
  • คุณไม่ควรนำอาหารแห้งมาอุ่นในไมโครเวฟ เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ไม่ควรนำเส้นพลาสต้าแห้งๆ ผลไม้ พริกทุกชนิด และเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูปเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟด้วย

 

ที่มา : https://www.sanook.com


 

ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2561

 

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,500.00 18,400.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,000.00 18,070.72 1,192.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 18,722.60 1,235.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,263.65 1,072.80
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,456.58 953.60
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,125.76 536.00
ทองรูปพรรณ 40%

 

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2561

 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.75 29.75 30.25 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75 29.75
แก๊สโซฮอล์ 91 29.48 29.48 29.98 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48 29.48
แก๊สโซฮอล์ E20 26.74 26.74 27.14 26.74 26.74 26.74 26.74 26.74 26.74
แก๊สโซฮอล์ E85 21.19 21.19 21.19 21.19
เบนซิน 95 36.86 37.31 37.36 37.16 36.96 37.16
ดีเซล 29.19 29.19 29.59 29.19 29.19 29.19 29.19 29.19 29.19 29.19
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.19 33.06 33.46 33.06 33.06
แก๊ส NGV 14.58 14.58
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า