สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2562

ALL เฮ! รับมาตรการรัฐ เร่งโอน5โครงการ4.8พันล้าน

“ALL”เผยรับอานิสงส์เต็มที่จากมาตรการปรับลดค่าโอน-ค่าจดจำนองบ้านเหลือ 0.01% เผยล่าสุดมีสต็อกพร้อมโอน มูลค่ากว่า 4,800 ล้านบาท จาก 5 โครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์หนุนผลงานปีนี้โต

 หลังจากที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศมาตรการลดภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย (มาตรการลดภาระฯ) แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง  โดยลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิมร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และ ลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 

ทั้งนี้เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน โดยมีระยะเวลานับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 
 

ต่อเรื่องนี้นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เผยว่ามาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท 

ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือว่ามาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการ ที่ช่วยกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันมาตรการนี้ ยังช่วยการตัดสินใจของกลุ่มผู้บริโภค ที่มีความต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง (Real Demand) และที่สำคัญช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างเสร็จพร้อมโอน อีกด้วย

ทั้งยอมรับว่า มาตรการนี้ เป็นมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สรรพากรได้ประกาศลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียมสูงสุด 200,000 บาท สำหรับโครงการที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต โดยต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2562 

“มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มผู้ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริงได้ ซึ่งการปรับลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% จะช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเอง ก็จะต้องมีการจัดปรับโปรโมชั่นต่างๆ ให้สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว  เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการที่มีสินค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในมือ จะได้เปรียบจากมาตรการดังกล่าว  เนื่องจากลูกค้าโดยส่วนใหญ่จะต้องมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที หลังตัดสินใจซื้อ จึงจะได้รับสิทธิ์จากมาตรการดังกล่าว” นายธนากร กล่าว
 
สำหรับโครงการ บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ALL  ถือว่าได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์และจะโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ (สต็อก) มูลค่ารวมประมาณ 4,800 ล้านบาท จาก 5 โครงการที่มีในมือ ประกอบด้วย

1. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 (The Excel Hideaway Sukhumvit 50) ปัจจุบันมีสต็อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,900 ล้านบาท

2. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71 (The Excel Hideaway Sukhumvit 71) ปัจจุบันมีสต็อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท

3. โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต (The Excel Khukhot) ปัจจุบันมีสต็อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 50 ล้านบาท

4. โครงการ ไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) ปัจจุบันมีสต็อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 200 ล้านบาท และ

5. โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว – นวมินทร์ (The Vision Ladprao – Nawamin) ปัจจุบันมีสต็อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการมีระดับราคาขายตั้งแต่ 1.5 – 3 ล้านบาทต่อยูนิต  สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าวที่จะช่วยลดค่าโอน – ค่าจดจำนองที่มีราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า โดยภาพรวมว่า มาตราการปรับลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ถือเป็นข่าวดีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้าย และจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2562 กลับมาคึกคักอีกครั้ง 

ขณะเดียวกันจะช่วยผลักดันผลประกอบการของ ALL ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย และจะเป็นไตรมาส ที่ดีสุดของปีนี้ด้วยเช่นกัน และจะผลักดันให้ผลประกอบการในปี 2562 เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

โดยเป้าหมายรายได้รวมในปี 2562 ตั้งเป้าเติบโตมากกว่าเท่าตัวจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,342.97 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 1,691.94 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรก เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเตรียมประกาศงบ 9 เดือนแรกเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความพยายามรักษาอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ในระดับ 36 – 37%

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 – 4 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2563 – 2565) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการทยอยรับรู้ Backlog ดังกล่าว นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทยังมีแผนการเปิดขายโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแผนการเตรียมเปิดโครงการดังกล่าว จะช่วยหนุนยอดขาย (Presales) ในปี 2562 มีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีที่ระดับ 7,000 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


‘แยกเกษตร’  ขุมทรัพย์ใหม่ เชื่อมรถไฟฟ้า3สาย

บีทีเอส ขยับเดินอีก4 สถานี ดันแยกเกษตรฯ ทำเลทองใหม่ เชื่อมรถไฟฟ้า 3 สาย นํ้าตาล-เขียวเหนือ-แดง คอนโดฯ ปักหมุดรอพรึบรับเมืองมหาวิทยาลัย ตามด้วยมิกซ์ยูส ระดับเจ้าสัวเตรียมปักหมุดคึกคัก

วันที่ 5 ธันวาคม 2562 รถไฟฟ้าบีทีเอสจะพาผู้โดยสารมาถึง สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกหนึ่งทำเลน่าจับตา เนื่องจากผู้คนพลุกพล่าน เป็นย่านเมืองมหาวิทยาลัย มีนิสิต นักศึกษา หมุนเวียนเข้าพื้นที่ อีกทั้งหน่วยงานราชการ คนทำงาน ร้านค้า ย่านพักอาศัย ประเมินว่าจะมีผู้ใช้บริการบีทีเอสส่วนต่อขยาย จากสถานีห้าแยกลาดพร้าวมายังสถานีนี้มากถึง1 แสนคนต่อวัน

ขณะการเชื่อมโยงการเดินทางมีแยกเกษตรศาสตร์ แกนหลักโซนตะวันออกของกรุงเทพ มหานครมีถนนประเสริฐมนูกิจ (เกษตรฯ-นวมินทร์ ) อนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล(แคราย-มีนบุรี) ตัดส่วนต่อขยายสายสีเขียวบนถนนพหลโยธิน และเชื่อมทะลุถนนวิภาวดีรังสิตมีรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สถานีบางเขน แต่บริเวณนี้มีเสียงสะท้อนว่าสถานีห่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฝั่งวิภาวดีฯถึง 1 กิโลเมตร แต่อนาคตจะมีการเชื่อมโยงด้วยสกายวอล์กช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก อย่างไรก็ตาม พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีที่ว่างอยู่มากราคาที่ดินไม่แพง เนื่องจากมีที่ดินราชการอยู่มาก แต่ผู้ประกอบการนิยมซื้อหมู่บ้านจัดสรรเก่า รวมแปลงขึ้นคอนโดมิเนียมในซอย ทั้งทำเล เสนานิคม บางบัว ทำเลเกษตรฯ-นวมินทร์ ฯลฯ

ส่วนความคึกคักของคอนโดมิเนียมช่วงก่อนหน้าส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) จะก่อสร้างเริ่มมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้น ทั้งบริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) ปักหมุดบริเวณต้นๆ ถนนเกษตรฯ-นวมินทร์ ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เช่นเดียวกับค่ายพฤกษาแชปเตอร์วันห่างจากแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ประมาณ 100 เมตร เปิดขายหมดเกลี้ยงภายในวันเดียว ย่านมหาวิทยาลัยศรีปทุม สถานีบางบัวห่างจาก สถานีเกษตรศาสตร์ 1 สถานี คอนโดมิเนียมห่างจากสถานีรถไฟฟ้า 1-2 กิโลเมตร ห้องขนาด 27-30 ตารางเมตร บอกขายที่ 9 แสนบาท ห้องหัวมุม 1.1 ล้านบาท เรียกว่าค่อนข้างแพงแม้รถไฟฟ้ายังไม่ก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ มีโครงการคอนโด มิเนียมเกิดขึ้นรายล้อม การเดินทางใกล้เพียง 1-2 สถานี หากสำรวจตั้งแต่ถนนพหลโยธิน ซอย 30 เยื้องเมเจอร์รัชโยธินจะมีโครงการแมสซารีน คอนโด มิเนียมของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (แกรนด์ยูนิตี้) ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซื้อร้านอาหารขึ้นโครงการ ไม่ห่างกันจะเป็นค่ายเอสซี แอสเสท เปิดขายคอนโดมิเนียม เซนทริก และค่ายแอล.พี.เอ็น. โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 เลยไปยังแยกเสนาฯ จะพบ โครงการพรีเมียมเพลส อยู่ติดกับโรงพยาบาลเมโย ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ ควิน ของค่ายเล็ก

สำหรับ กลุ่มเซ็นทรัล ซื้อร้านอาหารน้อมจิตต์บริเวณพหลโยธิน 34 ขึ้นโครงการ ฟิน (PHYN) ขณะที่กำลังขึ้นโครงการอีกแห่ง บริเวณแยกรัชโยธิน ซื้อที่ดินร้านข้าวผัดปูเมืองทอง เป็นต้น

เรียกว่าโซนที่รถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ที่จะวิ่งผ่านอีก 4 สถานี ได้แก่ สถานีพหล 24 สถานีรัชโยธิน สถานีเสนานิคม และ สถานีมหาวิทยาลัยเกษรศาสตร์ เป็นโซนร้อนแรงมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นค่อนข้างมาก ส่วนทำเลก่อนข้ามไปแยกรัชโยธินจะมีค่ายออริจิ้น อยู่ตรงข้ามตึกช้าง

สำหรับโครงการขนาดใหญ่มิกซ์ยูส มีหลายโครงการ ห่างจาก สถานีห้าแยกลาดพร้าว มานิดเดียว กลุ่มเซ็นทรัล เตรียมพัฒนามิกซ์ยูส บนเนื้อที่ 49ไร่ บริเวณถนนพหลโยธิน ตรงข้ามแดนเนรมิตเก่า ทะลุไปยังถนนวิภาวดีฯ ใกล้ตึกซินวัตร 3 ฐานเศรษฐกิจเก่า

ฝ่ายวิจัย ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ พบว่า สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยกว่าเรื่องของราคาที่ดินและโครงการคอนโดมิเนียมคือ การเกิดขึ้นของอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ เริ่มเคลื่อนไหวให้เห็น รอบสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว เหนือ (หมอชิต-คูคต) สถานีรถไฟฟ้าหมอชิตมีโครงการมิกซ์ยูส ที่มีแผนจะพัฒนาอยู่ในพื้นที่ โครงการบางกอก เทอร์มินอลที่มีทั้งโรงแรม พื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และสถานีขนส่งที่แม้ว่าจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวเป็นรูปธรรมแต่ก็ยังคงไม่ได้มีการยกเลิกโครงการไป โครงการเดอะยูนิคอร์น โครงการมิกซ์ยูสของกลุ่มซิโน-ไทยที่มีทั้งพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และศูนย์กีฬาที่คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2563 กลุ่มสิงห์เอสเตทที่เป็นเจ้าของอาคารซันทาวเวอร์สมีการเช่าและซื้อที่ดินโดยรอบเพื่อพัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน อาคารจอดรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com


หุ้นปิดร่วง 10.49 จุด กลุ่มแบงก์ฉุด นำโดยKBANK

หุ้นปิดร่วง 10.49 จุด กลุ่มแบงก์ฉุด นำโดยKBANK

หุ้นไทย วันที่ 24 ต.ค.62 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,620.97 จุด ลดลง 10.49 จุด (-0.64%) มูลค่าการซื้อขาย 70,336.58 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงแรงในภาคบ่าย นักวิเคราะห์ระบุหุ้นไทยอ่อนแอกว่าภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่าตลาดบ้านเราได้รับแรงฉุดจากหุ้นในกลุ่มแบงก์ ภายหลังจากที่ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ได้ประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2563 ออกมาแล้วดูไม่ดี ทำให้คาดว่าธนาคารอื่นก็จะประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2563ไม่ดีเช่นเดียวกัน โดยแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ฉุดดัชนีตลาดรวมประมาณ 6-7 จุด ขณะที่หุ้นKBANKปรับตัวลง 7.38 %

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มโรงไฟฟ้า ยังช่วยประคองตลาดฯไว้ จากที่ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี โดยอาจมีเม็ดเงินลงทุนโยกจากกลุ่มแบงก์เข้ามาในหุ้นจำพวก ที่ไม่อ่อนไหวต่อตลาด (Defensive)ก่อน เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนติดตามความคืบหน้า คือ การแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งตลาดฯคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (25 ต.ค.) นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะผันผวน และอาจได้เห็นการพักตัวบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,610-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,630-1,640 จุด

5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,635.38 ล้านบาท ปิดที่ 138.00 บาท ลดลง 11.00 บาท

GPSC มูลค่าการซื้อขาย 3,686.95 ล้านบาท ปิดที่ 93.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 3,569.30 ล้านบาท ปิดที่ 106.50 บาท ลดลง 7.50 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,669.52 ล้านบาท ปิดที่ 78.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,628.90 ล้านบาท ปิดที่ 164.00 บาท ลดลง 4.50 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com


โรคเอ็มเอส ภัยเงียบใหม่วัยทำงาน

โรคเอ็มเอส ภัยเงียบใหม่วัยทำงาน thaihealth

กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา แนะคนวัยทำงานหรือวัยหนุ่มสาว ระวังภัยโรคเอ็มเอส ทำให้แขนขาอ่อนแรง ชาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย มีปัญหาในการเดิน การทรงตัว ตามัวมองไม่เห็น

นายแพทย์ณัฐพงศ์   วงศ์วิวัฒน์   รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคมัลติเพิลสเคอโรสิส หรือโรคเอ็มเอสคือโรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัดจากข้อมูลพบว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น ความไม่สมดุลของภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและในช่วงวัยทำงาน อายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ตามองไม่เห็นหรือมองภาพซ้อน ปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การออกเสียง สะอึก ปวดแสบร้อน หรือคล้ายไฟช็อตการทรงตัวที่ผิดปกติ  ภาวะเมื่อยล้า ปัญหาด้านความจำ อารมณ์ ความคิด และการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์หญิงทัศนีย์  ตันติฤทธิ์ศักดิ์  รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์  สถาบันประสาทวิทยา  กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วยแต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และไม่สามารถคาดเดา การเกิดอาการได้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก วิธีการรักษาปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบให้หายขาด แต่เป็นการรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายและควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ 1. รักษาด้วยยา ตามอาการของผู้ป่วย จะเป็นยาที่บรรเทาอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น 2. การบำบัด โดยยึดเส้นและออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงลดการสั่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว โดยออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก รวมทั้งยังเป็นการช่วยยืดเส้นอีกด้วย  ผู้ป่วยเป็นโรคเอ็มเอสควรปฏิบัติตัวดังนี้ งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น  เดิน ว่ายน้ำ ยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยช่วยในการขับถ่าย หลีกเลี่ยงความเครียด อย่างไรก็ตามโรคเอ็มเอส เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเอง หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th


คำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้ เกี่ยวกับวันปิยมหาราช (Chulalongkorn Day)

23 ตุลาคม Chulalongkorn Day คำศัพท์ภาษาอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันคล้ายวันสวรรคต วันปิยมหาราช วันสำคัญ วันสำคัญของไทย วันหยุด เกร็ดความรู้

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช วันสำคัญของไทย กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความเคารพต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการวางพวงมาลาที่พระบรมรูปทรงม้า ลานพระราชวังดุสิต ซึ่งวันปิยมหาราช (Wan Piyamaharaj Day) ภาษาอังกฤษ คือ Chulalongkorn Day เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดราชการ อีกด้วย ทีนเอ็มไทยเลยขอนำความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับวันสำคัญนี้มาฝากกันคำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้
เกี่ยวกับวันปิยมหาราช (Chulalongkorn Day)

วันปิยมหาราช = Chulalongkorn Day

วันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดราชการ = National holiday / Public holiday

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว = King Chulalongkorn

รัชกาลที่ 5 = King Rama V

พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ = The great monarch

รัชกาล, รัชสมัย, การครองราชย์ = Reign

ในสมัยรัชกาลที่ 5 = In the reign of the fifth

สวรรคต = Pass away

พระราชกรณียกิจ = The royal activity

ปฏิรูป = Reform

การเลิกทาส = Abolition of slavery/ Slave Abolition Act

ก่อตั้งระบบการศึกษาของไทย = Improved the areas of Thai educational system

ก่อตั้งระบบไปรษณีย์ = Improved postal services

ก่อตั้งทางรถไฟสายแรกของไทย = Improved the construction of Thailand’s first railway

รำลึกถึง = Commermorate

พวงมาลา = wreath

พระบรมรูปทรงม้า = The Equestrian Statue of King Chulalongkorn

ลานพระราชวังดุสิต  = The Grounds of the Dusit Palace

ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com


แนะใช้ Data ถูกวิธี รับมือดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น

ทุกวันนี้ แนวคิดการตลาดที่เรียกว่า “data-driven marketing” หรือ “การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยดาต้า” ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ที่แค่ผ่านมาแล้วผ่านไปเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีการตลาดที่เกิดขึ้นจริงแล้วในปัจจุบัน และยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดได้เข้าใจ ข้อมูลเชิงลึกและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า การนำมาข้อมูล (data) มาใช้นั้นสามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับแผนการตลาดได้อย่างมหาศาล ไม่เพียงแบรนด์สามารถขายของได้มากขึ้น ผู้บริโภคเองก็ยังได้รับบริการหรือมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ในทางที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งในอนาคตต่อไป แนวคิดการทำตลาดเช่นนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกแบรนด์ต้องทำในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้เกิดความสำเร็จสูงสุด

นายศุภกิตติ์ ลิ้มบุญทรง ผู้อำนวยการบริหาร เอดีเอ ประเทศไทย บริษัทโฆษณาดิจิทัลครบวงจร ในเครือเอเชียต้า กรุ๊ป จากประเทศมาเลเซีย ระบุว่า สำหรับประเทศไทยธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด และหันมาใช้ดาต้ากันมากกว่า 80% แล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังใช้ดาต้าได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานกับลูกค้าที่ผ่านมา การใช้ดาต้ามาช่วยในการวิเคราะห์หาแผนการตลาดที่เหมาะสมนั้น สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญการตลาดได้มากกว่า 3 เท่าตัว นั่นหมายความว่า ธุรกิจสามารถประหยัดงบประมาณในการซื้อโฆษณาได้ถึง 1 ใน 3 หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว

อีกทั้งปัจจุบันเรากำลังมุ่งไปสู่การทำการตลาดแบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละคน ดังนั้นดาต้าจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก แต่การจะใช้ดาต้าให้เกิดประโยชน์ได้นั้น นักการตลาดจะต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างแม่นยำ เพื่อเปลี่ยนดาต้าให้กลายมาเป็นข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคซึ่งต้องคอยเฝ้าสังเกตติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด นำมาประกอบกับเทรนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้นๆ ดาต้าจึงจะกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังได้ เพราะจะช่วยให้แบรนด์เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถตอบสนองในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ที่การแข่งขันแย่งชิงลูกค้ามีแต่จะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เพราะฉะนั้น ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ

นายศุภกิตติ์ กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจุบันการเข้าถึงดาต้าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับธุรกิจไทยอีกต่อไปเพราะมีเครื่องมือให้เลือกใช้มากมาย อีกทั้งยังมีผู้ให้บริการหรือเอเจนซี่คอยให้คำปรึกษาอยู่มากมายในตลาด แต่การจะนำดาต้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือก่อให้เกิดอัตราส่วนผลตอบแทนจากการลุทุนตามที่ต้องการได้นั้น ต้องมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่

1. ต้องมีการบริหารจัดการดาต้าที่ดี เพราะดาต้ามีอยู่อย่างมหาศาล แบรนด์ต้องมีผู้ช่วยในการเก็บข้อมูล หรือมีเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยในการจัดเก็บ และสามารถดึงข้อมูลที่ต้องการออกมาใช้ในเวลาที่ต้องการได้ด้วย ดาต้าเหล่านี้ จะทำให้แบรนด์ได้รู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นของผู้บริโภค รู้ว่าผู้บริโภคเป็นใคร ทำอะไรกันบ้าง รับข้อมูลข่าวสารทางช่องทางไหน ปัจจุบัน บางบริษัทยังไม่เริ่มเก็บข้อมูล บางบริษัทมีการเก็บข้อมูลแล้วแต่ไม่เคยนำมาใช้ ซึ่งล้วนแต่เป็นการเสียโอกาส

2. มีการทำ data analytics หรือการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เชิงลึกต่อโดยผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเราได้ดาต้า หรือข้อมูลมากองรวมกันแล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการตีความหาความหมายของข้อมูลนั้นๆ เพราะการที่มีข้อมูลเยอะไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จได้แต่นักการตลาดจะต้องสามารถกรองเอาแต่เฉพาะดาต้า ที่จำเป็นเพื่อมาใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ ต้องทำความเข้าใจความหมายของข้อมูลแต่ละชุดว่ากำลังบอกอะไรกับเราบ้าง การวิเคราะห์ที่เจาะลึกจะทำให้เราได้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือลูกค้าที่เรียกว่า “insight” หรือคำตอบว่า สิ่งที่ผู้บริโภคทำไปนั้น มีเหตุจูงใจอะไร ทำอย่างนั้นไปทำไม ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะแบรนด์จะได้ทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อจะได้วางกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้องตรงจุด เป็นการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และต่อยอดเป็นการสร้างฐานลูกค้าเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในระยะยาวได้อีกด้วย 

3. เปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและดาต้าที่มีให้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ธุรกิจ เป็นขั้นที่ต้องอาศัยการประสานงานกันระหว่างฝ่ายการตลาด มีเดียและฝ่ายครีเอทีฟ เพื่อที่จะหากลยุทธ์มาสร้างความมีส่วนร่วม หรือดึงความสนใจลูกค้า โดยผลลัพธ์ปลายทางต้องตอบโจทย์เรื่อง ROI หรือผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทได้ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในวงการการตลาดให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เป็นอย่างมาก แต่มาถึงยุคนี้ แบรนด์เริ่มหันมามองและทำความเข้าใจตนเองใหม่ว่า จุดประสงค์หลักของการทำธุรกิจ ไม่ใช่การผลิตคอนเทนต์ที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่การที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้นั้น เป็นการสร้างคอนเท้นต์ที่มาช่วยขายสินค้า และบริการให้ได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำธุรกิจ ดังนั้น data เป็นส่วนสำคัญในการคิดแคมเปญ และแคมเปญต้องตอบโจทย์เรื่องยอดขายและผลตอบแทนต่อการลงทุน

สำหรับภาพรวมของธุรกิจไทยเรื่องการใช้ดาต้านั้น ยังถือว่าอยู่ในช่วงกำลังปรับตัว ยังไม่ถึงจุดที่มีการใช้ดาต้าอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน ซึ่งในอนาคตถ้าธุรกิจไทยสามารถใช้ดาต้าที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว คาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณในการซื้อสื่อโฆษณาได้หลายพันล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 21,400.00 21,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,386.00 21,011.76 22,000.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,247.40 18,910.58 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,108.80 16,809.41 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 624.00 9,459.84 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 485.00 7,352.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,436.00 21,769.76 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/10/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55 26.55
แก๊สโซฮอล์ 91 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28 26.28
แก๊สโซฮอล์ E20 23.54 23.54 23.54 23.54 23.54 23.54 23.54 23.54 23.54
แก๊สโซฮอล์ E85 19.49 19.49 19.49
เบนซิน 95 33.96 34.41 34.46 34.26 34.26
ดีเซล 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39 25.39
ดีเซล B10 23.39 23.39 23.39
ดีเซล B20 22.39 22.39 22.39 22.39 22.39 22.39 22.39 22.39
ดีเซลพรีเมี่ยม 29.24 29.26 29.64 29.64 29.64
แก๊ส NGV 15.73 15.73
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า