2บิ๊กอสังหาฯทุ่ม4หมื่นล้านลงทุนใหม่ดันบริษัทย่อยรุกธุรกิจโรงแรมเต็มสูบ
2บิ๊กอสังหาฯทุ่ม4หมื่นล้าน ลงทุนใหม่ดันบริษัทย่อยรุกธุรกิจโรงแรมเต็มสูบสิงห์เอสเตท ปิดดีลซื้อ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ มูลค่าร่วม 1 หมื่นล้านบาท เสริมแกร่ง เอส โฮเตล ดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปีหน้า ด้านออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ทุ่ม 2 หมื่นล้านบาทรุก 3 กลุ่มธุรกิจได้มือดีวงการโรงแรมคุม ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ไม่เพียงโฟกัสการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น แต่ยังมองถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทย่อย ให้มาดูการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และผลักดันบริษัทย่อยเหล่านี้ เข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เพื่อขยายฐานรายได้ประจำให้แก่บริษัทแม่มากขึ้น
ล่าสุดสิงห์ เอสเตทฯ ปิดดีลซื้อ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ จาก APAC Holding LLC มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทเรียบร้อยแล้ว
หลังการซื้อกิจการดังกล่าว ก็จะมีการโอนโรงแรมทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ, เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท เข้ามาอยู่ในบริษัท เอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตท ที่กำลังจะถูกปลุกปั้นให้มาโฟกัสการลงทุนและบริหารจัดการในธุรกิจโรงแรม รวมถึงวางแผนสร้างแบรนด์โรงแรมของตัวเองในอนาคต
ปัจจุบันเอส โฮเตลฯ มีโรงแรมอยู่ภายใต้การดูแล 29 แห่งในต่างประเทศ (โรงแรมที่ไปซื้อร่วมกับฟิโก้ คอร์ปอเรชั่น ที่สิงห์เอสเตท เป็นเจ้าของอยู่ 50%) และโรงแรมในประเทศ 2 ของสิงห์ เอสเตท คือโรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย และ พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ รีสอร์ท อีกทั้งสิงห์ เอสเตท ยังมีแผนจะนำบริษัทเอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2562 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
อีกทั้งปัจจุบันสิงห์ เอสเตท ยังอยู่ระหว่างลงทุนโครงการ “ครอสโร้ดส์” ที่ประเทศมัลดีฟส์ ที่จะเป็นการลงทุนด้าน Tourist Facilities Destination จำนวน 9 เกาะ ที่จะมี 9 โรงแรม สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว อาทิ ท่าเทียบเรือยอชต์, บีช คลับ, ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลงทุนในเฟสที่ 1 มูลค่าการลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท โดยจะเปิดตัวโรงแรมได้ 2 แห่งช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ส่วนการลงทุนในเฟส 2 จะดำเนินการได้หลังจากปี 2562
ทั้งนี้การลงทุนที่เกิดขึ้นรวมโครงการครอสโร้ดส์ที่มัลดีฟส์ คาดว่าสินทรัพย์ของสิงห์ เอสเตท จะเติบโตเป็น 6 หมื่นล้านบาท จากปี 2560 ที่มีสินทรัพย์อยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ในการลงทุนจะมีทั้งเงินกู้และเงินทุนของสิงห์ เอสเตท
ขณะที่ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ล่าสุดดึงมือทองในธุรกิจโรงแรม “กมลวรรณ วิปุลากร” ที่หลังจากเกษียณจากดิเอราวัณ กรุ๊ป ก็มานั่งแท่นดูแลกลุ่มธุรกิจโรงแรม, เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ กลุ่มสำนัก งานให้เช่า-ค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจอาหารภายใต้ “บริษัท วัน ออริจิ้น” ที่เพิ่งเปิดตัว และประกาศแผนลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาทใน 5 ปีนี้ ส่วนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ก็จะโฟกัสการพัฒนาอสังหาริม ทรัพย์เพียงอย่างเดียว
นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี 2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้ราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส
สำหรับเงินลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ฯ และ 2. เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย
เบื้องต้นคาดว่าภายใน 5 ปี จะพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ทั้งหมด 15 แห่ง รวมจำนวนห้องพักกว่า 4 พันห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง ซึ่งการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)โดยที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญานำแบรนด์ของเชน อินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ 1. สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ 2. สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา และ 3. ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง จะทยอยเปิดครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 ขณะเดียวกันยังวางแผนลงทุนในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อะโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดิน
http://www.thansettakij.com
ตึกแถว ‘ลุมพินีใต้’ ระอุ! เจ้าของปั่นราคาทะลุ 2 ล้าน … ‘เจริญ’-บิ๊กทุน จ่อฮุบยกเวิ้ง
ตึกแถวเก่า-ที่ดินว่าง-ภัตตาคาร บนถนนพระราม 4 โซนลุมพินีใต้ ยัน! หัวลำโพง ร้อนฉ่า! ‘เจ้าสัวเจริญ-บิ๊กทุน’ จ้องตะครุบ ลุยผุดคอนโดมิเนียม เผย ที่ดินหายากราคาแค่หลักล้าน เผย เจ้าของอาจปั่นราคาทะลุ 2 ล้าน ในเวลาอันใกล้ เหตุส่วนใหญ่เป็นที่รัฐ ใกล้โครงการยักษ์ ‘วันแบงค็อก-สถานทูตอังกฤษ เซ็นทรัล’
นอกจากที่ดินทำเลทอง ซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ราชพัสดุ และที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บนถนนพระราม 4 แล้ว ยังมีที่ดินเอกชนอีกหลายแปลงที่บิ๊กทุนหมายตา รวมทั้ง ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ เจ้าของโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ‘วันแบงค็อก’ อีกด้วย
แหล่งข่าวจาก บริษัท ทีซีซีกรุ๊ปฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นอกจากที่ดินซึ่งบริษัทชนะประมูลและพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ‘วันแบงค็อก’ และโครงการ ‘เดอะ ปาร์ค’ แล้ว ล่าสุดยังพบว่า มีที่ดินเอกชนหลายแปลงที่น่าสนใจ ไล่ตั้งแต่ที่ดินแปลงงามของ ‘ค่ายวิระยะประกันภัย’ จำนวน 6 ไร่เศษ อยู่ระหว่างให้ ‘เบนซ์ธนบุรี’ เช่าทำเลลุมพินีตอนใต้ของถนนพระราม 4 ทั้งนี้ จากการสอบถามได้คำตอบว่า ยังไม่อยากขาย เนื่องจากที่ดินในเมืองหายากราคาแพง ซึ่งล่าสุด อยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา อย่างไรก็ดี เจ้าของค่อนข้างหวงที่ดิน ซึ่งสามารถตั้งราคาขายสูงได้ถึงตารางวาละ 2 ล้านบาท หรือ มากกว่านั้น หากนักลงทุนต้องการ
ใกล้กับที่ดินของวิริยะประกันภัยยังมีภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดต่อขอซื้อเพื่อขึ้นคอนโดมิเนียม
เช่นเดียวกับ ที่ดินของ ‘สุวรรณสวัสดิ์’ เป็นที่ว่างเปล่าทำเลหัวมุมติดกับตึกแอลพีเอ็น เข้าใจว่า ปัจจุบัน อยู่ในกองทุนฟื้นฟูของไทยฟา เนื้อที่กว่า 3 ไร่ ห่างจากสถานีลุมพินีเพียง 500 เมตร
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า ยังมีอีกทำเลที่น่าสนใจ เนื่องจากแปลงที่ดินห่างจากที่ตั้งของโครงการ ‘วันแบงค็อก’ เพียง 400 เมตร สภาพเป็นแปลงที่ดิน 6 ไร่เศษ ด้านในยังเป็นโกดัว หากขับรถลงทางด่วน มุ่งหน้าไปทางสามย่านจะอยู่ซ้ายมือ อยู่ติดกับตึกอมันตา ลุมพินี ซึ่งยอมรับว่า มีนักลงทุนสนใจหลายรายรวมทั้งบริษัทด้วย โดยราคาที่ดินอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา รวมถึงตึกแถวจำนวนมากทำเลหัวลำโพง เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟใต้ดินเชื่อมไปยังสามย่านและหัวลำโพงได้ และเป็นถนนพระราม 4 เส้นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีตึกแถวในซอยรอบสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที ลุมพินี และสถานีศูนย์สิริกิติ์ ยังมีที่ดินและตึกแถวของเอกชน ทำเลไผ่สิงโต ขณะที่ ถนนพระราม 4 โซนเหนือส่วนใหญ่เป็นที่ดินรัฐให้เช่าเป็นส่วนใหญ่
“ราคาที่ดินถนนพระราม 4 ฝั่งเหนือ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐให้เช่า ขณะที่ ลุมพินีตอนใต้ของพระราม 4 ราคาที่ดินจะราคาดีมากกว่าโซนเหนือ เพราะเป็นฟรีโฮลด์”
“ฐานเศรษฐกิจ” สอบถามเจ้าของตึกแถวเก่าใกล้กับวัดหัวลำโพง ระบุว่า มีเอกชนติดต่อขอซื้อ ซึ่งบางรายขายคูหาละ 20 ล้านบาท ขณะที่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการเก็บไว้เพื่อค้าขายมากกว่า
ด้าน นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดิร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนส์ จำกัด กล่าวว่า ที่ดินเอกชนที่น่าสนใจ ได้แก่ ตึกแถวเก่าจำนวนมาก คูหาละ 15-20 ล้านบาท ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าสลัมไผ่สิงโตและที่ดินด้านหลังตึกแถวเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสลัม มองว่าเป็นทำเลที่เอกชนให้ความสนใจ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นที่ดินของใคร
http://www.thansettakij.com
พาณิชย์ถกเอกชนรับมือสงครามค้าสหรัฐ-จีน
-25 มิ.ย. 2561- นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 26 มิถุนายนกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือและรับฟังข้อเสนอแนะถึงปัญหาการค้าระหว่างประเทศกับภาคเอกชน อาทิ สมาคมการค้า หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อุตสาหกรรมเหล็ก-อลูมิเนียม อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น โดยจะนำข้อเสนอและข้อมูลไปชี้แจงกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(ยูเอสทีอาร์)ในการเยือนสหรัฐฯกลางเดือนกรกฎาคม และจะใช้โอกาสนี้เข้าพบยูเอสทีอาร์และขอชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงท่าทีว่าไทยแม้จะเป็นประเทศเล็ก
ชุติมา บุณยประภัศร
แต่ยืนยันว่าทำตามกติกาการค้าโลก และมีกฎระเบียบในประเทศที่จะดูแลคนในประเทศ เช่น เรื่องขอให้นำเข้าเนื้อสุกรและเครื่องในจากสหรัฐฯ สหรัฐฯต้องพิสูจน์และรับรองในเรื่องการไม่ใช้สารที่ไทยต้องห้าม หรือ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ก็จะชี้แจงและแสดงความกังวลว่าไทยเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่ผลิต และการออกมาตรการตอบโต้ของ 2 ประเทศใหญ่ ย่อมกระทบไปทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย
http://www.thansettakij.com
หวั่นวิกฤติการเงินลาม! ‘วิรไท’ ยันทุนสำรองแกร่งมากกว่าหนี้ระยะสั้น 35 เท่า
นักค้าเงินห่วงแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่! ประเทศที่อ่อนแอจะเป็นเป้านิ่งถูกโจมตีเหมือน ‘ฟิลิปปินส์-อาร์เจนตินา’ จนนำไปสู่ EM Contagion ‘วิกฤติการเงิน’ ซ้ำรอยปี 2540 จี้! แบงก์ชาติส่งสัญญาณนโยบายการเงินฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุน
ความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และรวมทั้งแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงมีโอกาสที่สินทรัพย์เสี่ยงของไทย เช่น หุ้น พันธบัตร จะเผชิญแรงเทขายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่า อาจจะทะลุระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในระยะสั้นนี้ ค่าเงินในโซนเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาท จะยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หากทั้งตลาดหุ้นและบอนด์ไทยยังคงเผชิญแรงเทขายต่อเนื่อง
หวั่นวิกฤติการเงินรอบใหม่
ความน่ากลัวของการเทขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ตอนนี้ก็คือ หากธนาคารกลางของประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและดึงเงินทุนให้ไหลกลับเข้ามาได้ แรงเทขายสินทรัพย์อาจจะบานปลายและขยายตัวเป็นวงกว้างกระทบตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ เกิดเป็นการลุกลามของวิกฤติการเงินในตลาดเกิดใหม่ (EM Contagion) ซึ่งอาจจะนำไปสู่วิกฤติการเงินและวิกฤติเศรษฐกิจได้ ดังเช่น วิกฤติหนี้ในกลุ่มลาตินอเมริกา ในยุค 90 หรือ Asian Financial Crisis ปี 2540
“ตลาดเกิดใหม่ที่ดูอ่อนแอก็เป็นเป้านิ่ง ที่เจอแรงเทขายสินทรัพย์ ตลาดก็จะไล่เก็บไปทีละประเทศ ตุรกี ต่อ อาร์เจนตินา บราซิล อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ ฟิลิปปินส์ ไทย แต่ไทยเรานี่ซอฟต์ ๆ แล้ว แต่ประเทศอื่น ๆ ที่โดน คือ ค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อแรง ตลาดคิดว่า แบงก์ชาติต้องสู้ ต้องขึ้นดอก ถ้าไม่ขึ้นดอก เงินก็ไหลออกรัว ๆ ขึ้นแล้ว ยังไม่ช่วย อันนี้ก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ แบบอาร์เจนตินา ส่วนสถานการณ์แบบนี้ มองว่าคือ การขายทำกำไรส่วนหนึ่ง แล้วก็โยกเงินไปลงทุนที่อื่นที่ดีกว่า เช่น ไปลงสหรัฐฯ ส่วนโจมตีค่าเงินไหม อันนี้ ไม่แน่ใจว่า บ้านเขามีหลักแบบบ้านเราไหม ที่ต้องถือสินทรัพย์ด้วย มันน่าจะไม่เหมือนตอนปี 40 ตอนนั้นหลาย ๆ ที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ มันเลยโจมตีง่าย”
จับตาต่างชาติเก็งกำไรค่าบาท
หากดูตัวเลขกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทย จะเห็นว่า นับตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย. นักลงทุนขายหุ้นจำนวน 171,897 ล้านบาท ซื้อพันธบัตรสุทธิ 116,858 ล้านบาท ยอดไหลออกสุทธิ 55,139 ล้านบาท ขณะที่ ตัวเลขไตรมาส 2 ต่างชาติขายหุ้น 113,780 ล้านบาท ขายพันธบัตร 4,020 ล้านบาท ทิศทางยังคงขายออกสุทธิ 117,801 ล้านบาท และหากดูเฉพาะเดือน มิ.ย. จะเห็นต่างชาติขายหุ้นจำนวน 40,471 ล้านบาท และซื้อพันธบัตรอยู่ที่ 13,752 ล้านบาท ยังคงมีแรงเทขายสุทธิ 26,719 ล้านบาท
“ช่วงนี้ค่าเงินยังคงมีทิศทางอ่อนค่าและผันผวน อย่างไรก็ดี ในช่วงที่บาทอ่อนค่าเยอะ นอกจากผู้ส่งออกและนำเข้าควรป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สัญญาณการเก็งกำไรค่าเงินของต่างชาติ ซึ่งจะเห็นชัดหากต่างชาติเข้ามาซื้อบอนด์ระยะสั้นเกิน 1,000 ล้านบาท ติดต่อกันเกิน 4-5 วัน”
คาดปลายปีบาทแข็ง
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว มองว่า ค่าเงินบาทยังมีโอกาสที่จะกลับไปแข็งค่าได้ต่อ จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงดีขึ้น การท่องเที่ยวยังคงสดใสและแนวโน้มเงินทุนต่างชาติไหลเข้าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง คาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 จะเห็นแนวโน้มเงินบาทกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และในช่วงปลายปีจะอยู่ที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าหนัก อาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินของฝั่งผู้ส่งออก และในจังหวะที่ค่าเงินยังมีทิศทางไม่แน่ชัด การเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น FX Option ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของทั้งฝั่งผู้ส่งออกและนำเข้า เพราะผู้ประกอบการสามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิตามสัญญา Option ได้ หากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตรงข้ามกับสิ่งที่มองไว้
วิรไท สันติประภพ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ไทยเราระมัดระวังต่อเนื่องและมีกันชนที่ดี เช่น ทุนสำรองฯ เรามากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ประมาณ 35 เท่า และมากกว่าหนี้ต่างประเทศ โดยไม่พึ่งเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่า จะเกินดุลประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8-9% ของจีดีพี จึงทำให้เราทำนโยบายการเงินเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจในประเทศได้ ต่างจากบางประเทศที่มีฐานะประเทศไม่มั่นคง
คู่ค้าเบี้ยวจ่ายค่าสินค้าเพิ่ม
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธสน. กล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น เนื่องจากประเทศอุตสาหกรรมหลักและสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย จูงใจเงินทุนไหลออก กดดันเงินบาทอ่อนค่า แม้จะมีผลเชิงบวก ผู้ส่งออกต้องระวังความผันผวน โดยป้องกันความเสี่ยงบางส่วน เพื่อทราบผลกำไรแน่นอน อย่าเก็งกำไรค่าเงิน เพราะหากคาดผิดข้าง หรือ เกิดเหตุไม่คาดการณ์จะทำให้กำไรหาย และแนะนำให้ผู้ส่งออกป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระค่าสินค้าด้วย เพราะ 5 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ผู้ซื้อเบี้ยวจ่ายค่าสินค้า 10 ราย มูลค่า 83 ล้านบาท ถือว่ารุนแรงกว่า ทั้งที่ปีก่อนมีเพียง 12 ราย มูลค่า 78 ล้านบาท แต่เริ่มเห็นผู้ส่งออกซื้อประกันความเสี่ยงเพิ่ม ส่วนหนึ่งไม่มั่นใจคู่ค้าในตลาดเกิดใหม่ ไม่ว่าตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐฯ รวมทั้งการซื้อประกันภัยเสี่ยงทางการเมือง
เงินเปโซอ่อนสุดรอบ 12 ปี
สำหรับปัญหาของฟิลิปปินส์ กลางเดือน ก.พ. 2561 ค่าเงินเปโซ ฟิลิปปินส์ อ่อนลงมากที่สุดในรอบ 11 ปี ที่อัตราแลกเปลี่ยน 52.12 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมอยู่ที่ระดับ 51.98 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2561 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทำให้เกิดการนำเข้าสูงขึ้นมาก จนการขาดดุลการค้าขยายตัวสูงขึ้นตาม ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4% ของจีดีพี ต่อมาวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ค่าเงินเปโซอ่อนค่าทุบสถิติอีกครั้ง คือ อ่อนที่สุดในรอบ 12 ปี ที่อัตราแลกเปลี่ยน 53.3 เปโซต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เชื่อว่าแนวโน้มในอนาคต ค่าเงินเปโซยังจะอ่อนตัวต่อไปได้อีก และขณะนี้ก็ถือว่า เงินเปโซของฟิลิปปินส์เป็นสกุลเงินที่อ่อนแอ และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าประเทศอื่น
http://www.thansettakij.com
กวีวุฒิ ‘ความล้มเหลวไม่น่ากลัว’
ไปเรียนอเมริกา แรกๆ ก็เอาแต่เรียน มาคิดได้ภายหลังว่า ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คนเราต้องลงมือทำก่อน ผิดพลาดก็จะเป็นบทเรียน และได้คิดใหม่ ทำใหม่ นี่คือ นวัตกรรมทางความคิด
แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิศวกรรม กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ก็สนใจด้าน MBA เมื่อทำงานด้านแผนกลยุทธ์ในปตท.มาเกือบ 10 ปี จึงมีโอกาสไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Stanford และได้รู้จักวิธีทำงานใน Silicon Valley รวมถึงเรียนเรื่อง Design Thinking ที่ Stanford d.School และที่นั่นได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้เขา
ปัจจุบันเขาเป็น หัวหน้าทีม Express Solutions กลุ่มปตท.ดูแลเรื่อง Innovation ที่เกี่ยวข้องกับธูรกิจใหม่ของปตท. และยังเป็นอาจารย์พิเศษวิชา Design Thinking ที่คณะวิศวะ จุฬาฯ รวมถึงเป็นวิทยากรรับเชิญ และคอลัมนิสต์ที่เขียนเรื่อง นวัตกรรมทางความคิด เขาเปิดเพจ 8 บรรทัดครึ่ง มีผลงานหนังสือหลายเล่ม อาทิ 8 บรรทัดครึ่ง,ธุรกิจพอดีคำ ,คิดใหญ่ เริ่มให้เล็ก และเห็นได้ก่อนใครใน 1 ย่อหน้า
เขากล้าที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยทำในชีวิต เพราะอาจารย์ที่นั่น สอนเขาว่า
“อย่ากลัวความล้มเหลว แต่จงกลัวเสียโอกาส”
เรื่องใดที่เปิดโลกทัศน์คุณ ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ใช่คนคิดสร้างสรรค์อะไรมากมาย ผมจบด้านวิศวะ จนผมมีโอกาสไปเรียน MBA ได้เรียน Design Thinking เพราะเห็นว่า น่าสนใจ (คศ. 2011-2013 ) อาจารย์ที่นั่นจะเน้นเรื่องการลงมือทำมากกว่าการพูดคุย ให้ลองทำสิ่งที่เราไม่รู้ก่อน แล้วจะรู้เอง แม้จะทำผิดพลาดแต่นำไปสู่สิ่งที่สำเร็จได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนที่นั่นคุยกันเยอะ และทั้งมหาวิทยาลัยก็เป็นอย่างนั้น
ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการลงมือทำ ?
นั่นทำให้ผมหันมาทบทวนตัวเอง ตอนนั้นผมไม่ค่อยทำอะไร นอกจากเรียนหนังสือ ซึ่งตรงข้ามกับคนที่โน้น พวกเขาจะให้ความสำคัญกับคนที่ลงมือทำ แม้จะล้มเหลวก็ยังลงมือทำ
การเรียนที่นั่น ทำให้ทัศนคติคุณเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด
เปลี่ยนเยอะเลย และตอนนี้ Design Thinking ค่อนข้างบูมในเมืองไทย สิ่งที่ผมได้คือ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และลงมือทำ หมายถึงลองใช้ทักษะใหม่ๆ คิดนอกกรอบ ทำต้นแบบง่ายๆ ด้วยมือ ทดลองคุยกับคน แล้วทำให้เราเข้าใจลูกค้าจริงๆ ไม่เหมือนวิธีการตลาดที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะไม่ใช่ความรู้ ทักษะเป็นสิ่งที่ต้องฝึก ถึงจะทำได้ จึงเป็นเรื่องยาก ต่างจากความรู้เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟังก็เข้าใจ แต่ลงมือทำไม่ได้ เพราะเราแค่เข้าใจ
อยากให้ยกตัวอย่างการใช้ Design Thinking เป็นรูปธรรมสักนิด ?
ผมเป็นอาจารย์สอนด้านนี้ที่จุฬาฯ ผมก็ทำเหมือนที่ผมเรียนที่นั่นคือ สอนวิชานี้โดยไม่สังกัดคณะ ทำเป็นสหวิชา สอนมาสองเทอม นักศึกษาสมัครเข้ามา ก็จะคัดเลือกจาก 200 คนเหลือ 30 คน มี 13 คณะ เรียนรวมกัน
นวัตกรรมแบบนี้ต้องการความแตกต่างของคนเรียน ไม่ว่าปี 1 หรือปี 4 ก็เรียนรวมกัน ไม่มีการให้เกรด จะให้ทำงาน ซึ่งนักศึกษาชอบมาก เพราะเปลี่ยนความคิดพวกเขาได้เยอะ เราก็ใช้วิธีการที่เรียนในอเมริกามาสอน เป็นการเรียนรู้แบบใหม่ มีผลกระทบต่อคนเรียนอย่างแน่นอน
นำ Design Thinking มาแก้ปัญหาในองค์กรอย่างไร
ผมเองก็ทำงานในองค์กรปตท. ทำให้เข้าใจองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน รู้ว่าปัญหาอะไร องค์กรในเมืองไทยส่วนใหญ่คิดเยอะ ทำน้อย พรีเซ็นต์ดูดี แต่สุดท้ายไม่กล้าลงมือทำ ผมเป็นวิทยากรในนามตัวแทนปตท. อยู่หลายแห่ง
ส่วนงานที่ปตท. เราทำทีมงานใหม่ขึ้นมา โดยคุณเทวินทร์ วงศ์วานิชผู้บริหารเป็นคนริเริ่ม เรียกว่า Express Solutions เป็นทีมที่ทำเรื่องใหม่ๆ โดยเอา Design Thinkingมาใช้ ซึ่งไม่ใช่การคิดอย่างเดียว ยังหมายถึงการปรับทัศนคติด้วย
ถ้าอย่างนั้นคนไทย ต้องปรับตัวให้ทันกับโลกยุคใหม่อย่างไร
โลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงตลอด ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะฉะนั้นการวางแผน ณ ตอนนี้ อาจไม่ตอบโจทย์ในอนาคตได้ว่าถูกหรือผิด จึงต้องมีวิธีการทำงานแบบใหม่ การที่เราอยู่กับสิ่งที่เราไม่รู้และทำงานต่อไปเรื่อยๆ มันก็คือ Design Thinking เน้นเรื่องการคิดนอกกรอบ คิดให้ใหญ่แต่ลงมือทำเล็กๆ โดยไม่ต้องประชุมภายในองค์กรเยอะๆ เพราะคนที่ไม่รู้อนาคต คือ คนในองค์กร แต่คนที่รู้อนาคตคือ ลูกค้า ต้องคุยกับลูกค้าเยอะๆ ซึ่งต่างจากการทำแผนใหญ่ๆ 20 ปี
ยกตัวอย่างกรณีศึกษาเรื่องการลงมือทำสักนิด ?
บริษัทใน Silicon Valley เป็นแบบนี้ทั้งหมด เฟซบุ๊คมีวัฒนธรรมองค์กร ที่เชื่อว่า ถ้าคุณเคลื่อนที่รวดเร็ว มันจะมีของที่ไม่ Perfect (สมบูรณ์แบบ) แต่องค์กรในเมืองไทยจะมีเรื่องสวยหรู คือ “เคลื่อนที่รวดเร็ว แต่ต้องรอบคอบ” กลายเป็นแค่คำประชาสัมพันธ์ เหมือน Thailand 4.0
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจมนุษย์ก่อน เหมือนปรัชญาการทำงานของเฟซบุ๊คที่ว่า“เคลื่อนที่รวดเร็วนะ ของพังไม่เป็นไร” ถ้าเน้นการลงมือเยอะๆ ก็จะความผิดพลาดอยู่เยอะ พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไร เพราะโลกยุคนี้จะ Perfect ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตามไม่ทัน เขาเลือกความไม่ Perfect และความเร็ว
เมื่อโลกเปลี่ยน วิธีการต้องเปลี่ยน ?
พวกเขาก็เลยทำผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อทำออกมาแล้ว ก็ให้ลูกค้าสะท้อนความคิดให้รู้ว่าดีหรือไม่ดี โดยมีทัศนคติว่า ความล้มเหลวคือ การเรียนรู้ แต่ถ้าเป็นคนไทยก็จะไม่ชอบเห็นอะไรที่ไม่ Perfect
แสดงว่า องค์กรในเมืองไทย ยังติดอยู่กับกรอบเดิมๆ ?
ทำไมคนไทยเล่นเฟซบุ๊คเยอะ เพราะเป็นประเทศที่ชอบออกความเห็น แต่ไม่ลงมือทำ คนที่คิดริเริ่มเพื่อลงมือทำ มีน้อย ขณะที่ชาติอื่นลงมือทำ การลงมือทำสิ่งใหม่เป็นคนละเรื่องกับการออกความเห็น
ยกตัวอย่างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทีมงานคุณคิดให้องค์กรสักนิด?
ปตท.มีทีมงานที่ทำเรื่องใหม่ๆ โดยพนักงานรุ่นใหม่อย่างพวกผม ตอนนี้ผมอายุ 34 เยอะสุดในทีมน้องๆ พวกเราคิดว่าลองสร้างของใหม่ดีกว่าแก้ปัญหาเรื่องเก่า เราตั้งทีมใหม่บริหารแบบใหม่ มีงบประมาณอิสระในการคิดและทำ ปีสองปีที่ผ่านมา ก็สร้างสิ่งใหม่ๆ หลายอย่าง
ใช้เวลาในการเปลี่ยนองค์กรนานไหม
ถ้าถามว่า ประสบความสำเร็จหรือยัง ต้องรอ ผมมองว่า สิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดทำระหว่างทาง
ถ้าจะเปลี่ยนประเทศไทย ต้องทำอย่างไร
ต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาก่อน ไม่เฉพาะการศึกษาไทย การศึกษาทั่วโลกก็ทำลายความคิดสร้างสรรค์ ผลิตคนเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน เหมือนป้อนของเข้าโรงงาน ตอนนี้โลกเปลี่ยน เราต้องมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
มนุษย์เรามีทักษะในเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ชอบลงมือทำและคิดนอกกรอบ แต่เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาก็เหมือนกันหมด ชอบคิด แต่ไม่กล้าทำ บ้าเรื่องคะแนน ตอนนี้องค์กรใหญ่ต้องการคนอีกแบบ อย่างผมไปสอนเรื่องนี้ในมหาวิทยาลัย สามสี่เดือนนักศึกษาเปลี่ยนได้ จากไม่กล้าทำก็ลงมือทำมากขึ้น ถ้าทำแล้วล้มเหลว ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้
แม้อนาคตจะคาดการณ์ยาก ก็อยากให้คุณลองคาดการณ์สักนิด?
ตอบยาก สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือ ความไม่แน่นอน ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมโยงถึงกัน ในเรื่องบิ๊กดาต้า ใครที่จัดการข้อมูลและสังเคราะห์ข้อมูลได้ดี ก็จะสร้างโมเดลธุรกิจแบบใหม่ได้ นี่คือ โมเดลธุรกิจที่จะเปลี่ยนในอนาคต
ถ้าจะรับมือให้ทัน ต้องหาความรู้ให้ตัวเอง มีความรู้เรื่อง Design Thinking สตาร์ทอัพ คำเหล่านี้ต้องรู้ จะรอให้ใครมาสอน มีอยู่ในยูทูบ ความรู้มีอยู่เยอะ ฟรีด้วย เราไม่กระหายความรู้ มีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน เราต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเสิร์ชหาข้อมูล การศึกษาทำให้เราคิดเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน ไม่สงสัยอะไร ทั้งๆ ที่โลกยุคใหม่ต้องการคนขี้สงสัย ทักษะแบบนี้ต้องดึงกลับมา ถ้าเราขี้สงสัย เราก็จะเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ
http://www.judprakai.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 26/06/2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
119,700.00 |
19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,276.00 |
19,344.16 |
20,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,148.40 |
17,409.74 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
574.00 |
8,701.84 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
447.00 |
6,776.52 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,322.00 |
20,041.52 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 26/06/2561
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
29.25
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
|
26.74
|
26.74
|
26.74
|
26.74
|
– |
26.74
|
26.74
|
26.74
|
26.74
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
21.14 |
21.14 |
– |
– |
– |
– |
– |
21.14 |
21.14 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
28.98 |
เบนซิน 95 |
36.36 |
– |
– |
– |
36.81
|
– |
36.86 |
36.86 |
36.86 |
36.86 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
28.79
|
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
31.79 |
31.79 |
31.79 |
31.79 |
31.79 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
14 Jun 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |
29 May 05:00 |