อสังหาฯ ยกล็อต กลุ่มซื้อลงทุนคึก
กลุ่มทุนต่างชาติยังนิยมซื้ออสังหาฯ ในเมืองไทย เพื่อการลงทุน เพราะราคายังถูกและผลตอบแทนดี โดยจะซื้อแบบยกล็อตราคาต่ำ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความนิยมจากนักลงทุน ต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนและสิงคโปร์ ที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนทำกำไรระยะสั้น ซื้อเป็นสินทรัพย์ รวมไปถึงเพื่อการอยู่อาศัยมากขึ้นแม้จะมี ข้อจำกัดด้านกฎหมายอยู่มากก็ตาม
ธานี โทจรัญ กรรมการฝ่าย การตลาดต่างประเทศ สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า การที่คนต่างชาติ หันมาลงทุนในอสังหาฯ ไทย เนื่องจากมองศักยภาพเมืองไทยเป็นอันดับ 1 ใน อาเซียนเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนสูงโดยเฉลี่ยที่ 7% ขณะที่สิงคโปร์ผลตอบแทนอยู่แค่ 2%
อีกทั้งมีดีมานด์และซัพพลาย ในตลาดมีมากและราคาถูกเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นในสิงคโปร์ ห้องขนาด 20 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาสูงกว่าไทยถึง 10 เท่า หรือราคาอาคารชุดโดยเฉลี่ยต่อ ตารางเมตรในทำเลพื้นที่เศรษฐกิจ ชั้นในของไทยมีราคาต่ำกว่าฮ่องกง 5 เท่า จึงทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไปได้อีกมาก เมื่อพิจารณาในแง่การลงทุน ประเทศไทยจึงให้ความ คุ้มค่ามากกว่า
นอกจากนี้ การซื้ออสังหาฯ เปลี่ยนไปโดยนักลงทุนจีนจะซื้อยกล็อตหรือซื้อเต็มสิทธิ 49% มากขึ้น ส่วนการซื้อรายย่อย 1-2 ห้องมีไม่มากและ จะซื้อผ่านเอเยนต์เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การที่รัฐได้ผลักดันออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนให้เกิด การลงทุนในภาคอสังหาฯ เช่น ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. … เห็นว่าเป็นผลดีและหากระยะเวลาการเช่ายาวมากกว่า 30 ปีจะแก้ปัญหานอมินีการถือครองสิทธิไปได้มากและเป็นการกระตุ้นการลงทุนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ยังเห็นว่าไทยมีข้อจำกัด ด้านกฎหมายอยู่มาก ซึ่งการที่คน ต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีการใช้จ่ายทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น จึงไม่ควรไปจำกัดการถืออสังหาฯ อย่างคอนโดที่กำหนดเพียง 49% ของเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมด เพราะมีการแยกกรรมสิทธิ์ตึกกับที่ดินอยู่แล้ว ส่วนแนวราบควรมีการเพิ่มระยะเวลาการเช่าหรือผ่อนปรนเงินลงทุนลดลง
การถือครองที่ดินของคนต่างด้าวตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 96 ทวิ (เพื่อการอยู่อาศัย) ซึ่งให้ถือครองได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ดำรงการลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี และพื้นที่ต้องอยู่ในเขตกรุงเทพฯ พัทยา หรือเขตเทศบาล นั้นควรมีการขยายไปในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษต่างๆ
พร้อมกับการสนับสนุนด้าน บีโอไอ ทั้งนี้การถือครองที่ดินของคนต่างด้าวย่อมอยู่ภายใต้การตัดสินใจของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งอาจถือกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินได้เกินกว่าส่วนที่ประมวลกฎหมายที่ดินได้ กำหนดไว้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ทั้งนี้รัฐต้องเด็ดขาดชัดเจนและให้มองถึงผลประโยชน์ของประเทศอย่าตามกระแส
สำหรับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2560 คาดการณ์ว่าตลาดทรงตัวมีการซื้อขายแต่ไม่หวือหวา และยังมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นให้เห็นอยู่บ้าง สำหรับระดับราคาอสังหาฯ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าพบว่าราคาคอนโดปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5% สูงที่สุดในบรรดาประเภทอสังหาฯ ทั้งหมด
โดยระดับราคา 8 หมื่น-1.2 แสนบาท/ตร.ม. มีการปรับเพิ่มถึง 5.9% รองลงมาคือ ระดับราคาที่มากกว่า 1.2 แสนบาท/ตร.ม. มีการปรับเพิ่มขึ้น 4.7% ขณะที่ราคาระดับ 5 หมื่นบาท/ตร.ม. มีการปรับต่ำสุดเพียง 2.9% ส่วนระดับราคาที่ขายดีของตลาดบ้านมือสองคือกลุ่มไม่เกิน 4 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มตลาดอาคารชุดตลอดปี 2560 คาดว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาคารชุดในบริเวณรอบๆ กรุงเทพฯ ชั้นในและชั้นนอก ความต้องการห้องชุดจะเติบโตขึ้นในอัตราใกล้เคียงกับอุปทาน โดยกรุงเทพฯ ชั้นนอกน่าจะมีโอกาสเติบโตได้ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต้นทุนในการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาขายและความสามารถในการซื้อที่มีอยู่จำกัด
ด้านอุปสงค์มีแนวโนมสูงขึ้นทุกเซ็กเมนต์ โดยตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มิดมาร์เก็ต และกลุ่มตลาดซิตี้ คอนโด สูงขึ้นมากกว่าตลาดลักซ์ชัวรี่และ ไฮเอนด์ซึ่งมีเท่าเดิมหรืออาจสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนอุปทานมีแนวโนมสูง ทุกขึ้นทุกเซ็กเมนต์เช่นกัน อย่างไรก็ดีตลาดซิตี้คอนโดน่าจะมีการเปิดตัวมากกว่าเซ็กเมนต์อื่น โดยราคาขายใกล้เคียงกับปีที่แล้วหรืออาจสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นระดับราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึง
ธุรกิจอสังหาฯ เป็นตลาดที่ใหญ่มีมูลค่าสูงซึ่งการซื้อขายนอกจาก ขายโดยดีเวลอปเปอร์เองแล้ว ยังมีโปรกเกอร์และนายหน้าทั้งที่มีสังกัดและไม่มีสังกัด ดังนั้นควรมีกฎหมายควบคุมนายหน้า ซึ่งนอกจากเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพแล้ว ยังเป็นการกลั่นกรองมิให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ อีกทั้งเป็นการแก้ปัญหาเลี่ยงภาษีอีกด้วยรงการก็อยู่ในช่วงเริ่มพูดคุยเท่านั้น
ที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
รถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดพื้นที่พัฒนาเมืองกทม.โซนเหนือ
โครงการดังกล่าวนี้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ล่าสุดเซ็นสัญญาก่อสร้างอย่างเป็นทางการกับบริษัทรับเหมาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าปลายปีนี้คงจะได้เห็นการเปิดพื้นที่เริ่มก่อสร้างมากขึ้นจากที่ปัจจุบันมีการสำรวจพื้นที่บางจุดเพื่อตรวจสอบระบบสาธารณูปโภคก่อนจะมีการรื้อย้ายครั้งใหญ่เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู
รถไฟฟ้าเส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่มีส่วนช่วยกระจายความเจริญของเมืองโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครโซนเหนือ คาบเกี่ยวกลุ่มจังหวัดนนทบุรีบางส่วน ผ่านถนนแจ้งวัฒนะ รามอินทรา ก่อนเข้าสู่พื้นที่เขตมีนบุรีแน่นอนว่าแจ้งวัฒนะ รามอินทรา และมีนบุรีจะเห็นความเจริญเกิดขึ้นแน่หากเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการซึ่งตามแผนคาดว่าประมาณปี 2563
รถไฟฟ้าสายสีชมพู ถูกออกแบบให้เป็นระบบรองโดยคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ได้มีมติให้รฟม.ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว(Monorail) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา งานระบบรถไฟฟ้า-ขบวนรถไฟฟ้าและค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถ-ซ่อมบำรุง โดยเอกชนร่วมลงทุนเป็นระยะเวลา 33 ปี 3 เดือน(รวมระยะเวลาการก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน และระยะเวลาการเดินรถ 30 ปี) โดยรฟม.ดำเนินการตามขั้นตอนของพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพ.ศ.2556
เมื่อเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะสามารถรองรับการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลด้านเหนือในแนวตะวันตก-ตะวันออก ที่จะเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับกรุงเทพตามแนวถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ และรามอินทราไปจนถึงมีนบุรี ที่ปัจจุบันจัดเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยและแหล่งพาณิชยกรรม ได้รับอานิสงส์ในการช่วยกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ชานเมือง
ประการสำคัญสายสีชมพูจัดว่าเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนอื่นทั้งในพื้นที่นนทบุรีที่จะเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ถนนแจ้งวัฒนะจะเชื่อมกับทางด่วน โดยจะเชื่อมไปยังพื้นที่เมืองทองแหล่งธุรกิจขนาดใหญ่ในโซนดังกล่าว เชื่อมกับรถไฟสายสีแดงที่ถนนวิภาวดีรังสิต เชื่อมบีทีเอสหรือสายสีเขียวที่วงเวียนหลักสี่ ต่อไปจะเชื่อมกับทางด่วนอาจณรงค์-รามอินทรา และรถไฟฟ้าสายสีเทาที่ย่านวัชรพล ก่อนที่จะไปสิ้นสุดที่มีนบุรีที่จะเชื่อมกับสายสีส้ม
โดยรถไฟฟ้าสายสีชมพูสามารถรองรับผู้โดย สารได้ถึง 1-4.4 หมื่นคน/ชั่วโมง/ทิศทาง ซึ่งบีทีเอสได้เลือกบริษัท บอมบาดิเอร์ ทรานสปอร์เทชั่น ซิกแนล(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการทั้งระบบอาณัติ สัญญาณ ขบวนรถ ระบบขายตั๋วและจัดเก็บค่าโดยสาร ใช้ขบวนรถ 288 ตู้ หรือ 72 ขบวนขบวน ละ 4 ตู้ ตัวรถมีความกว้าง 3 เมตร ยาวราว 11 เมตร วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงเรียกได้ว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเอื้อต่อการเดินทางอย่างเป็นระบบและครบวงจรได้อีกไม่กี่ปีนี้
ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
จับตา…เทรนด์ผู้บริโภคไทยในยุค 4.0
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นภาพของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในประเทศไทยอย่างรวดเร็วและในหลายมิติ อาทิ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายจากสินค้าจำเป็นมาสู่สินค้าไม่จำเป็น และใช้จ่ายในภาคบริการมากขึ้น รวมถึงเทรนด์การใช้จ่ายด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรืออีไอซี ได้ศึกษาและวิเคราะห์ผู้บริโภคในยุค 4.0 ในประเทศไทย ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจหลายด้าน ดังนี้
ไลฟ์สไตล์คนไทยไม่ชอบอยู่บ้านมากขึ้น
เมื่อเทียบกับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคราว 60-70% เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไปทำกิจกรรมนอกบ้านบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง และยังมีการใช้จ่ายนอกบ้านสูงขึ้นด้วย โดยกิจกรรมส่วนใหญ่ คือ รับประทานอาหารและช้อปปิ้ง เนื่องจากต้องการการผ่อนคลายจากการทำงานหนัก มีเวลาน้อย และต้องการความสะดวกสบาย
คนมีรายได้สูงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้น
ผู้บริโภคไทยมีการใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 7% ในระหว่างปี 2009-2015 โดยสัดส่วนของกลุ่มคนมีรายได้ปานกลางยังเพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 14% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของกลุ่มรายได้ปานกลางระดับล่าง (รายได้ต่อเดือน 15,001-30,000 บาท) ในขณะที่สัดส่วนกลุ่มคนมีรายได้น้อยลดลง บ่งบอกว่าผู้บริโภคไทยมีรายได้และกำลังซื้อสูงขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของกลุ่มชนชั้นกลางในประเทศ
กลุ่มคนมีรายได้สูงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ส่วนตัว เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นว่าในปี 2015 กลุ่มคนมีรายได้น้อย-ปานกลาง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่กลุ่มคนมีรายได้สูงมีการใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นสูงขึ้นมากจากสัดส่วนราว 50% ในปี 2009 เป็น 56% ในปี 2015 โดยเฉพาะกลุ่มคนมีรายได้สูงในวัยทำงาน (อายุ 21-40 ปี) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับพาหนะส่วนตัว เช่น รถยนต์ และการบำรุงรักษา
ผู้บริโภคไทยสนใจสุขภาพมากขึ้น
ผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นเมื่อมีรายได้สูงขึ้น ระหว่างปี 2009-2015 กลุ่มคนมีรายได้สูงใช้จ่ายในหมวดเวชภัณฑ์และการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นมากจาก 4% เป็น 17% โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้จ่ายในหมวดนี้เป็นสัดส่วนสูงถึง 20% ของรายจ่ายทั้งเดือน โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายสำหรับการตรวจสุขภาพและการใช้บริการทางการแพทย์แบบคนไข้นอก บ่งบอกว่าสุขภาพเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญและยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อตรวจรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์แข็งแรง
ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา
ผู้บริโภคกว่า 90% ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นหากได้สินค้าที่มีคุณภาพสูง ขณะที่ 80% ต้องการสินค้าที่สามารถปรับแต่งตามความต้องการได้ (personalization) สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ช่างเลือกและให้ความสำคัญกับตัวสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะต่างจากในอดีตที่สนใจแต่ราคาเป็นหลักเพียงอย่างเดียว
แหล่งจับจ่ายต้องตอบโจทย์มากกว่าเดิม
ศูนย์การค้าต้องเป็นมากกว่า one-stop shopping โดยจากผลสำรวจพบว่า วัตถุประสงค์หลักของการเข้าไปใช้บริการศูนย์การค้านอกจากเพื่อซื้อสินค้าถึงราว 80% แล้ว ผู้บริโภคยังไปเพื่อใช้บริการด้านอื่นๆ อาทิ ร้านอาหาร ธนาคาร และบริการโทรศัพท์มือถือ ส่วนรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์อาจยังไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยมากนัก พบว่า 52% ของผู้บริโภคแทบไม่ได้ไปใช้บริการคอมมูนิตี้มอลล์เลย เนื่องจากอาจยังไม่ตอบโจทย์ one-stop shopping และผู้บริโภคไทยนิยมไปใช้บริการศูนย์การค้าแบบปิดที่มีเครื่องปรับอากาศมากกว่า
ส่วนร้านสะดวกซื้อครองใจผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยผู้บริโภคถึงราว 65% มีการซื้อของจากร้านสะดวกซื้อมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน นอกจากนี้ ผู้บริโภคที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปราวครึ่งหนึ่งชอบซื้อสินค้าจำนวนน้อยแต่ไปบ่อยๆ ซึ่งร้านสะดวกซื้อตอบโจทย์เป็นอย่างมาก
ผู้บริโภคไทยกล้าช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น
มูลค่าตลาด e-Commerce ในไทยเติบโตราว 13% ต่อปี ในช่วงปี 2014-2016 และมีมูลค่าตลาดราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1-2% ของมูลค่าค้าปลีกรวม ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า 85% ของผู้บริโภคเคยซื้อสินค้าผ่านช่องทาง e-Commerce โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี มีสัดส่วนสูงถึงราว 90% ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนสูงถึงราว 42% โดยสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับความนิยมสูงสุดบนช่องทางออนไลน์ จากผลสำรวจพบว่ากลุ่มผู้หญิงกว่าครึ่งนิยมซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า รวมถึงสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ในขณะที่ผู้ชายนิยมซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าแฟชั่น
แม้ผู้บริโภคไทยกล้าซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นแต่ยังคงซื้อไม่บ่อยนัก โดยผู้บริโภคกว่า 69% ยังคงใช้ร้านค้าเป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าบางประเภท เช่น เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน ที่ผู้บริโภคนิยมซื้อจากที่ร้าน เนื่องจากผู้บริโภคต้องการไปเห็นสินค้าจริงจากที่ร้านมากกว่า รวมถึงสินค้าที่มีราคาสูง อย่าง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแบรนด์เนม และเครื่องประดับ
จากทิศทางของผู้บริโภคยุค 4.0 ซึ่งผู้ประกอบการกลายเป็นผู้ถูกเลือก จึงเป็นภารกิจใหญ่ที่ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องตามให้ทัน และแน่นอนว่าจากการพัฒนาดังกล่าวผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์มากขึ้นอย่างแน่นอน
ที่มา ddproperty.com
เรียนรู้นาฬิกาชีวภาพ ไขลานเวลาและอายุขัยให้ยาวยืน
การมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ นั่นหมายถึงการมีร่างกายที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังเข้มแข็ง ขณะที่ระบบเซลล์ในร่างกายต้องมีระบบรักษาตัวเองที่สมบูรณ์ด้วย จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกาย (ในระบบเซลล์) มีการตอบสนองต่อสารอาหารที่ดี ที่สำคัญคือการกินอาหารที่สอดประสานกับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ดร.ทอม วู นักโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา เล่าว่า ในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) ซึ่งถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่หลั่งจากสมอง เมื่อร่างกายต้องการอาหาร สมองก็จะส่งสัญญาณความหิวออกมา ทำให้รู้สึกอยากกินอาหาร และเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย สมองก็จะหลั่งซีโรโทนิน ทำให้รู้สึกง่วง
“ถ้าการทำงานและการพักผ่อนในชีวิตของเรา ยึดถือตามการหมุนของนาฬิกาชีวภาพอย่างสมบูรณ์ เราย่อมมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วย แต่ถ้าไม่ทำตามนาฬิกาชีวภาพ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายจะค่อยๆ เสียสมดุล ของเสียและสารพิษที่สะสมในร่างกายไม่ถูกขจัดออกไป ในไม่ช้าก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย” ดร.ทอม เล่า
นาฬิกาชีวภาพ 3 ระยะ
– 04.00-12.00 น. ช่วงการขับถ่าย
ช่วงเวลาตีสี่ถึงเที่ยงวัน ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายขับถ่ายของเสีย ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาอาหารเช้า ขอแนะนำให้กินผักและผลไม้สดให้มาก เพื่อให้เส้นใยอาหารในผักผลไม้ช่วยอวัยวะย่อยอาหาร รวมทั้งช่วยเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ขจัดสารพิษออกไปจากร่างกาย
– 12.00-20.00 น. ช่วงดูดซึมอาหาร
ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันถึงสองทุ่ม เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายดูดซึมสารอาหาร ขณะเดียวกันก็เป็นเวลากินมื้อเที่ยงและมื้อเย็น คนจำนวนมากคิดว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน ทรรศนะนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เมื่อพิจารณาจากหลักนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย เพราะช่วงเวลามื้อเที่ยงเป็นเวลาที่ร่างกายดูดซึมสารอาหาร ดังนั้น มื้อเที่ยงจึงเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน
แนะนำให้กินผักและผลไม้มากๆ รวมทั้งผักชีและเครื่องเทศสดต่างๆ ขณะเดียวกันก็เพิ่มอาหารทะเลด้วย ในส่วนของโปรตีนนี้ อาจเพิ่มปลาซาร์ดีน 1-2 ตัว (30 กรัม) ปลาแซลมอนนึ่งหรือดิบหั่นเป็นแผ่น หรือไข่ต้มสุก 1 ฟอง
– 20.00-04.00 น. ช่วงแจกจ่ายสารอาหาร
ดร.ทอม อธิบายว่า จากเวลาสี่ทุ่มถึงตี 2 เป็นเวลาที่เมลาโทนิน (Meloatonin) ควบคุมระบบรักษาตัวเอง เพื่อซ่อมแซมร่างกาย ตับซึ่งผ่านการดูดซึมและสะสมอาหารไว้ จะเริ่มแจกจ่ายสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ พร้อม กับส่งมอบพลังงานแก่อวัยวะในร่างกาย เพื่อทดแทนส่วนที่ใช้ไปแล้วในหนึ่งวัน โดยเฉพาะช่วง 22.00-02.00 น. ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองทำงาน ถือเป็นเวลาทองของการนอนหลับ ทั้งยังเป็นช่วงที่เมลาโทนิน จะควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวได้ดีที่สุดด้วย
ในมื้อเย็นนี้ เราสามารถกินอาหารให้สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพได้โดยงดกินเนื้อสัตว์ เนื่องจากกรดอะมิโนในเนื้อสัตว์จะรบกวนการนอนหลับ ขณะที่ธัญพืชที่อุดมไปด้วยทริปโตแฟน (Tryptophan) จะช่วยให้นอนหลับง่าย ทางที่ดีควรกินให้เสร็จก่อนหกโมงเย็น การปรุงอาหารหลีกเลี่ยงการทอด ผัดและย่างในมื้อเย็น
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หากอาหารที่เรากินทั้ง 3 มื้อมีอินทรียสารจากพืชเพียงพอ จะสามารถส่งต่อสารอาหารให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่ ทำให้พร้อมสู้รบในแต่ละวันได้ ขณะเดียวกันก็ส่งต่อให้ระบบรักษาตนเองให้ซ่อมแซมตนเองได้ในทุกวัน อินทรียสารจากพืชผักเป็นกุญแจการขับพิษของเซลล์ ทำให้กระบวนการเมตาโบลิซึมภายในเซลล์ทำงานได้เป็นปกติ รักษาการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งสมบูรณ์ และคงความหนุ่มสาว
สรุปสั้น ๆ คือ
มื้อเช้า – กินผักผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง
มื้อกลางวัน – กินอาหารที่มีสารอาหารสูง
มื้อเย็น – งดเนื้อสัตว์ ควรกินแต่เนิ่นๆ และไม่ควรกินอิ่มเกินไป โดยเฉพาะมื้อดึก ไม่ควรกินเลยเพราะไม่ดีอย่างยิ่งต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ทุกมื้อที่กิน ต้องมีหรือประกอบด้วย อินทรียสารจากพืชผักผลไม้อย่างเพียงพอ
นี่คือหลักการกินที่ถูกต้องและสอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน เมื่อกินได้สอดประสานกันแล้ว ก็จะช่วยให้อายุขัยยืนยาว แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูล “ธรรมชาติช่วยชีวิต” สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
Food Idioms สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาหาร มีอะไรบ้างมาดูกัน
เรามักจะพบสำนวนเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้สอดแทรกอยู่ในบทสนทนาเวลาพูดคุยกับฝรั่ง หลายๆครั้งก็ทำเอาพวกเราคนไทยงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่เข้าใจว่าเค้าหมายถึงอะไร
วันนี้เราลองมาดูกันซิว่า Food Idioms ที่ฝรั่งชอบใช้กันเป็นประจำมีอะไรบ้าง..
สำนวนภาษาอังกฤษ : หมวดหมู่อาหาร
Apples and Oranges
หมายถึง สองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น
“These two people are apples and oranges.”
Apple of one’s eye
หมายถึง คนที่รัก / แก้วตาดวงใจ
ตัวอย่างเช่น
“You are the apple of my eye.”
An apple polisher
หมายถึง คนที่ชอบประจบสอพลอ
ตัวอย่างเช่น
“Jack isn’t going to get anywhere because he’s not an apple polisher.”
An apple a day keeps the doctor away
หมายถึง กินผลไม้วันละลูกจะช่วยให้สุขภาพดี
ตัวอย่างเช่น
“The doctor told me to eat more fresh fruit, after all an apple a day keeps the doctor away.”
Bring home the bacon
หมายถึง หาเลี้ยงครอบครัว / หารายได้เข้าบ้าน
ตัวอย่างเช่น
“Find a job so you can bring home the bacon!”
Bean counter
หมายถึง พนักงานบัญชี
ตัวอย่างเช่น
“I have asked the bean-counters to look over the annual budget of this year.”
Full of beans
หมายถึง กระปรี้กระเปร่า, คึกคัก
ตัวอย่างเช่น
“Drinking coffee makes people full of beans.”
Spill the beans
หมายถึง เปิดเผยความลับ
ตัวอย่างเช่น
“Please don’t spill the beans about our relationship.”
Brownie points
หมายถึง สิ่งที่ทำให้คนอื่นชื่นชอบเรามากขึ้น
ตัวอย่างเช่น
“Jessica scored brownie points with her teacher by bringing her a cup of coffee.”
Bread and butter
หมายถึง รายได้หลัก, รายได้เลี้ยงชีพ
ตัวอย่างเช่น
“The man’s business is his bread and butter and he works very hard to make it successful.”
Earn the bread
หมายถึง หารายได้
ตัวอย่างเช่น
“My wife has had to earn the bread ever since I broke my leg.”
Take the bread out of someone’s mouth
หมายถึง การทำลายวิธีหาเลี้ยงชีพ, ทำให้หมดอาชีพ, การเอาเงินไปใช้จ่ายหาความสนุกสนานใส่ตัวด้วยความเห็นแก่ตัว
ตัวอย่างเช่น
“She accused her husband of drinking and gambling – taking bread out of his children’s mouths.”
Butter up
หมายถึง ประจบประแจง, เลียแข้งเลียขา
ตัวอย่างเช่น
“He is trying too hard to butter up a new boss.”
Butter wouldn’t melt in one’s mouth
หมายถึง ตีหน้าซื่อ
ตัวอย่างเช่น
“No one ever thought Megan was naughty, she always looked as if butter wouldn’t melt in her mouth.”
To be a butterfingers
หมายถึง คนงุ่มง่าม, คนที่ทำของตกหล่นบ่อยๆ
ตัวอย่างเช่น
“Ronaldo had the ball, but he dropped it! What a butterfingers!”
To have a bun in the oven
หมายถึง ตั้งท้อง
ตัวอย่างเช่น
“I didn’t know whether Susan had a bun in the oven, or she had just put on weight.”
Carrot top
หมายถึง คนที่มีผมสีส้มแดง
ตัวอย่างเช่น
“Simon is the first carrot top I have ever gone out with.”
As nutty as a fruitcake
หมายถึง บ้ามากๆ
ตัวอย่างเช่น
“The man in the supermarket was as nutty as a fruitcake.”
Have one’s cake and eat it too
หมายถึง จะเอาให้ได้ทั้งสองอย่าง ไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น
“He refuses to compromise, he always want to have his cake and eat it too.”
Icing on the cake
หมายถึง โชคสองชั้น, สิ่งดีๆบางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามา
ตัวอย่างเช่น
“She is such a beautiful woman. She also has a good heart. That’s icing on the cake.”
Piece of cake
หมายถึง ง่ายมากๆ, เรื่องจิ๊บๆ
ตัวอย่างเช่น
“The test was a piece of cake, I finished it early.”
Selling like hot cakes
หมายถึง ขายดิบขายดี, ขายของได้เยอะและหมดในเวลาอันรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น
“The delicious fried chicken was selling like hot cakes.”
Big cheese
หมายถึง คนสำคัญ
ตัวอย่างเช่น
“I thought I was just going to interview the secretary, but they let me talk to the big cheese himself.”
Chalk and cheese
หมายถึง ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น
“Peter and Steve are like chalk and cheese. But they have been running a successful business together for ten years.”
Cheesy
หมายถึง กะโหลกกะลา, ง่ายๆไม่ซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น
“I love reading cheesy romance novels because I don’t have to think.”
To cherry-pick
หมายถึง เรื่องมาก, คิดเอาแต่ได้ประโยชน์เข้าตัวโดยไม่ยุติธรรมกับคนอื่น (คำติเตียน)
ตัวอย่างเช่น
“Schools should not cherry-pick students according to their grade only.”
Another bite at the cherry
หมายถึง โอกาสดีที่จะทำสิ่งหนึ่งหรือสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จอีกครั้ง, โอกาสที่จะได้รับสิ่งหนึ่งอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น
“Ryan got another bite at the cherry when he reset his exams.”
One smart cookie
หมายถึง คนเก่ง, ฉลาดมาก
ตัวอย่างเช่น
“She is one smart cookie for marrying that stockbroker.”
Cool as a cucumber
หมายถึง ใจเย็น/ สุขุมเยือกเย็น
ตัวอย่างเช่น
“When everything seems to be going wrong, she stays as cool as a cucumber.”
Cream of the crop
หมายถึง คนหรือกลุ่มคนที่เก่งหรือดีที่สุด/ หัวกะทิ
ตัวอย่างเช่น
“These students are very wise. They are the cream of the crop in their class.”
Bad egg
หมายถึง ตัวปัญหา
ตัวอย่างเช่น
“That guy is a bad egg, stay away from him.”
Egg someone on
หมายถึง ยุยง
ตัวอย่างเช่น
“The gang tried to egg us on but we didn’t want to fight.”
To walk on eggshells
หมายถึง ระมัดระวังอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น
“Everyone in the family had to walk on eggshells when Simon was in a bad mood.”
Bitter fruits
หมายถึง ผลลัพธ์ที่ไม่ดี
ตัวอย่างเช่น
“Disease and malnutrition are the bitter fruits of an inefficient social health care policy.”
Sour grapes
หมายถึง อยากได้อะไรแต่ไม่สามารถที่จะได้ในสิ่งนั้น จึงต้องแกล้งบอกว่า สิ่งนั้นไม่ดี ไม่มีค่า เพื่อเป็นการรักษาหน้าตนเอง
ตัวอย่างเช่น
“His disappointing attitude toward Smart TV is simply sour grapes; he fact is that he would like to have a set but can’t afford to buy one.”
On the gravy train
หมายถึง เงินที่ได้มาอย่างคาดไม่ถึง, ลาภลอย
ตัวอย่างเช่น
“Ornella won lottery, she is on the gravy train.”
Buy a lemon
หมายถึง ซื้อของที่ไม่ดี
ตัวอย่างเช่น
“All those people who bought a second hand car have bought a lemon.”
As keen as mustard
หมายถึง กระตือรือร้นสุดขีด, มีเชาวน์ปัญญา
ตัวอย่างเช่น
“He was as keen as mustard because he really wanted to win the competition.”
To cry over spilled milk
หมายถึง คร่ำครวญถึงสิ่งที่เสียไป, เสียใจกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
ตัวอย่างเช่น
“Don’t cry over spilled milk, you can’t change the mark of your test, so forget about it.”
A hard nut to crack
หมายถึง งานที่ยาก, ปัญหาที่ยากจะจัดการ, เข้าใจยาก
ตัวอย่างเช่น
“This problem is getting me down. It’s a hard nut to crack.”
To be off one’s nut
หมายถึง สติวิปลาส
ตัวอย่างเช่น
“I heard the news about a man who shot his wife. He must have been off his nut.”
In a nutshell
หมายถึง สรุปแบบคร่าวๆ, ง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น
“Just tell me the story in a nutshell.”
Nuts about something or someone
หมายถึง ชอบมากๆ
ตัวอย่างเช่น
“I’m nuts about classic music these days.”
Know your onions
หมายถึง รู้ลึกรู้จริงในเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น
“I love learning from this institution as they are many people here who know their onions.”
Pie in the sky
หมายถึง วาดฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้, วิมานในอากาศ
ตัวอย่างเช่น
“My cousin’s plans are usually pie in the sky and will never happen.”
Have one’s finger in the pie
หมายถึง มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น
“Jills has her finger in the pie of many projects.”
Couch potato
หมายถึง คนขี้เกียจ (นอนขึ้นอืดบนโซฟา)
ตัวอย่างเช่น
“Shane is a real couch potato, just sits around watching TV and staying indoors all day.”
Hot potato
หมายถึง สิ่งที่กำลังเป็นประเด็นร้อน สถานการณ์หรือประเด็นที่ยากต่อการจัดการ
ตัวอย่างเช่น
“The issue of bombing in Bangkok has become a hot potato for the government.”
A knuckle sandwich
หมายถึง ต่อยปาก
ตัวอย่างเช่น
“Shut up or I will give you a knuckle sandwich.”
In the soup
หมายถึง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก, มีปัญหาร้ายแรง
ตัวอย่างเช่น
“Michael is in the soup because he has fought with his boss.”
Spice things up
หมายถึง ทำให้สดใสซาบซ่าขึ้น
ตัวอย่างเช่น
“I spiced up my kitchen by painting it turquoise blue.”
Stew in one’s own juice
หมายถึง ถูกทิ้งให้ทุรนทุราย (จากความโกรธ, แค้นใจ, ผิดหวัง) อยู่ตามลำพัง
ตัวอย่างเช่น
“Jana has such a terrible temper. When she got mad at us, we just let her go away and stew in her own juice.”
In a stew over
หมายถึง กังวล, เศร้า
ตัวอย่างเช่น
“My brother is in a stew over the fact that his printer ink has not arrived.”
Cup of tea
หมายถึง สิ่งที่ชอบทำ
ตัวอย่างเช่น
“I like skiing, but snow boarding is not my cup of tea.”
Use your noodle
หมายถึง ใช้ความคิด
ตัวอย่างเช่น
“You’re going to have to really use your noodle on this crossword puzzle. It’s an extra difficult one.”
ยิ่งเขียนต่อมน้ำย่อยยิ่งทำงานดีขนาดนี้ คงต้องขอตัวไปหาอะไรอร่อยๆทานซะแล้ว และอย่าลืมทบทวนสำนวนต่างๆ เป็นประจำนะคะ จะช่วยให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น
ครั้งหน้าจะเป็นสำนวนเกี่ยวกับอะไรคอยติดตามนะคะ
ที่มา dailyenglish.in.th
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 26/06/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,100.00 | 20,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,302.00 | 19,738.32 | 20,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,171.80 | 17,764.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 586.00 | 8,883.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 456.00 | 6,912.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,349.00 | 20,450.84 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 26/06/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.05 | 25.05 | – | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | – | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 18.94 | 18.94 | – | – | – | – | – | 18.94 | 18.94 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 |
เบนซิน 95 | 32.16 | – | – | 32.61 | 32.61 | – | 32.66 | 32.16 | 32.16 | 32.16 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 26.49 | 27.17 | 27.17 | 27.17 | 27.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 |