แสนสิริโกยยอดแคมเปญโค้งสุดท้าย 9พันล้าน
แสนสิริปลื้มแคมเปญโค้งสุดท้าย“ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” โกยยอดเกินเป้าพุ่งกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการจัดแคมเปญใหญ่ประจำปี “แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” (Sansiri Life Comes Home 2017) ช่วงโค้งสุดท้าย วันที่ 24-26 พ.ย.ที่ผ่านมา สร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ รวม 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท
โดย 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ โอกะ เฮาส์ และคาวะ เฮาส์ ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้สามารถปิดการขายคอนโดพร้อมอยู่โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71
สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของกลุ่มแสนสิริเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ผลงานปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร จำนวน 327 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดโครงการล่าสุดภายใต้ความร่วมมือระหว่างบีทีเอสและแสนสิริ หลังเปิดขายแบบออนไลน์ บุ๊คกิ้งวันแรก ที่ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 2.7 แสนบาทต่อตร.ม. มีสัดส่วนลูกค้าไทย 70% และต่างชาติ 30% สร้างยอดขายในตลาดต่างชาติได้ถึง 1,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังปิดการขายโครงการในตลาดต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ มูลค่า 1,100 ล้านบาท โครงการดีคอนโด นครระยอง จำนวน 575 ยูนิต ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าไทยทั้งด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนปล่อยเช่า โดยปิดการขายโครงการมูลค่ากว่า 830 ล้านบาท
ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทขณะนี้ (1 ม.ค.-27 พ.ย.2560) มูลค่ารวมกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 85% จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มจาก 36,000 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้บริษัททุบสถิติก้าวเข้าสู่การบันทึกยอดขายสูงที่สุดของแสนสิริในปีนี้
นายเศรษฐา กล่าวว่าแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มแสนสิริในช่วงที่เหลือของปีนี้ เตรียมเดินหน้าตามแผนการลงทุนมูลค่า 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ของโลก ซึ่งเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้ง 6 จากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ
“แนวโน้มไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการที่โดดเด่นและดีที่สุดทั้งในด้านยอดขายพรีเซล รายได้ และกำไร” นายเศรษฐา กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com
11 ยักษ์อสังหาฯยึดตลาด ฟันธงปี’61 ซัพพลายไม่ล้น
ส่องอสังหาฯปี”61 – งานสัมมนา “ส่องอสังหาฯ 2018” ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ร่วมกับพันธมิตรเมกะดีลเลอร์วัสดุก่อสร้างกลุ่มแกรนด์โฮม ณ สกาย ฮอลล์ ชั้น 3 แกรนด์โฮม บางนา กม.10 ขาออก ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาคับคั่ง
เวทีสัมมนา “ส่องอสังหาฯ 2018” ชี้ปีหน้าบิ๊กดีเวลอปเปอร์ 11 รายฮุบตลาด เหตุได้เปรียบทั้งฐานเงินทุน-แบรนด์ ทำเลคอนโดฯเปลี่ยน แต่ยังร้อนแรง จับรายเล็กดอดแย่งแชร์เค้ก ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ฟันธงแนวโน้มสดใส ซัพพลายไม่ล้น
งานสัมมนาในหัวข้อ “ส่องอสังหาริมทรัพย์ 2018” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ร่วมกับพันธมิตรเมกะดีลเลอร์วัสดุก่อสร้างกลุ่มแกรนด์โฮม เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ณ แฟลกชิปสโตร์ แกรนด์โฮม บางนา กม.10 มีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาคับคั่ง ขณะที่วิทยากรซึ่งมีทั้งกูรูในแวดวงอสังหาฯ นักวิชาการนักการเงิน ให้มุมมองและฉายภาพตลาดอสังหาฯในปี 2561
ตลาดเป็นของรายใหญ่
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดอสังหาฯในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา มีเทรนด์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น เช่น นักลงทุนต่างชาติมาซื้ออสังหาฯ และร่วมทุนกับนักลงทุนไทยมากขึ้น ทำให้รายใหญ่กินตลาดมากขึ้นต่อเนื่อง ส่วนทำเลการพัฒนายังเป็นแนวรถไฟฟ้า ขณะที่รูปแบบห้องจะมีดีไซต์เล็กลง
ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดเป็นของรายใหญ่ 11 รายแรก ใน 2 ปีที่ผ่านมาเห็นการเติบโตของรายใหญ่ชัดเจน เนื่องจากมีความพร้อมมากกว่า ทั้งเงินทุน แบรนด์ และการทำตลาดโดยเฉพาะตลาดแนวราบ
ส่วนตลาดคอนโดฯจะหวือหวามากกว่า เมื่อมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง และหดตัวเมื่อเกิดน้ำท่วม แต่คอนโดฯขายได้แม้จะยังไม่มีใบอนุญาต แม้แต่รายเล็กก็เข้ามาทำตลาดได้ มีตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ที่มีไซซ์เล็กกว่าขายได้ เช่น อนันดา ออริจิ้น จะเห็นว่าส่วนแบ่งตลาดไม่ใช่มาจากรายใหญ่อย่างเดียว มีทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ซึ่งปีนี้ครึ่งปีแรกรายใหญ่กินส่วนแบ่งตลาดแล้ว 70%
ขณะที่ตลาดคอนโดฯใน กทม. มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมทำเลรถไฟฟ้าเป็นหลัก เพราะเข้าไปพัฒนากันมาก ราคาที่ดินสูง ทำให้ตลาดลักเซอรี่ขยายตัวขึ้นมีการพัฒนายูนิตเล็กลงเพราะต้นทุนสูงขึ้น และให้ขายราคาที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ เฉลี่ยยูนิตละ 2-4 ล้านบาท
“ทิศทางตลาดอสังหาฯปีหน้า ตลาดยังเป็นของรายใหญ่ 11 รายแรกที่แข็งแรงมาก ๆ จะแข็งแรงไปอีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย ตราบใดที่แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อให้รายกลาง ส่วนตลาดต่างจังหวัดจะให้ดีเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ แต่มีช่องว่างให้ดึเวลอปเปอร์เข้าไป”
แบรนด์ต้องสตรอง
นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ปัจจุบันอสังหาฯแข่งขันสูงมาก ในส่วนของบริษัทโฟกัสธุรกิจแนวราบก่อน เพราะเป็นพื้นฐานของอสังหาฯ คอนโดฯมาเสริมในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดจะต้องเลือกทำเลก่อนเป็นลำดับแรก ส่วนใหญ่จะเลือกทำเลในเมืองเป็นหลัก มองว่าตลาดทาวน์เฮาส์ต้องสู้ด้วยราคาที่สามารถทำให้ปิดการขายเร็ว ส่วนนวัตกรรมและฟังก์ชั่นก็ต้องตอบโจทย์ลูกค้าด้วย
REIC ชี้อสังหาฯสดใสไม่ล้น
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC กล่าวว่าประเมินปี 2561 อสังหาฯจะเติบโตไปตามจีดีพีประเทศ คือเติบโตเกิน 4% ดัชนีชี้วัดอสังหาฯ จากที่ ธอส.เก็บข้อมูลชุดแรกหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งฐานข้อมูลที่สำคัญอย่างมากจะสะท้อนตลาดอย่างแท้จริง จากตัวเลขถึงไตรมาส 3 ปี 2559-2560 จะเห็นว่าช่วงท้ายปี 2559 ซึมถึงไตรมาสแรกปี 2560 ในปี 2560 มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่าปีที่แล้วหแต่ยังเติบโต 6.1% ปีหน้าจะดีขึ้น
ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในปี 2561 จะเติบโตถึง 12% ขณะเดียวกันถ้าดูเรื่องสินเชื่อปล่อยใหม่ที่เกิดขึ้น ในปี 2559 อยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท ในปี 2560 ถึงไตรมาส 3 อยู่ที่ 4.3 แสนล้านบาท ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะเป็น 6.2 แสนล้านบาท คาดว่าถึงสิ้นปี 2561 จะทะลุ 6 แสนล้านบาท
ด้านซัพพลายและดีมานด์ทั้งประเทศโตกว่า 6% เติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าปี 2561 จะมีการจดทะเบียนจะเติบโตถึง 17% เพราะมีบ้านและคอนโดฯพร้อมโอนมากขึ้น โดยพื้นที่เขต กทม.และปริมณฑล จะเห็นการเติบโต 8.6% ใน กทม.จะมีการเติบโตของอสังหาฯดีกว่าในภูมิภาค มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะเติบโต 15% สินเชื่อเติบโต 3.9% ส่วนภูมิภาคปีหน้าโตต่ำ โตแค่ 2.1%
“ปีหน้าซัพพลายในตลาดทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่เกิดโอเวอร์ซัพพลาย ถึงสิ้นปีคาดว่าจะอยู่ 276,100 หน่วย กทม.และปริมณฑล แนวราบและคอนโดฯใกล้เคียงกัน ภูมิภาคจะมีคอนโดฯในเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขณะที่แนวราบจะมากกว่า การขายคอนโดฯจะเร็วอยู่ที่ 8 เดือน แนวราบอยู่ที่ 10-13 เดือน ดูแล้วภาคอสังหาฯจะสดใสในปีหน้า”
แสนสิริชี้ต้องเปลี่ยนตามโลก
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า พฤติกรรมผู้บริโภคของโลกเปลี่ยนไปมาก คำว่าลักเซอรี่ก็เปลี่ยนไปเยอะ ผู้บริโภคสมัยก่อนเป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงและมีความคุ้นเคยคำว่าลักเซอรี่ในลักษณะหนึ่ง เรียกว่าเป็นโอลด์ลักเซอรี่ ส่วนนิวลักเซอรี่ คือ คนมีรายได้สูง กำลังซื้อสูง แต่ยังไม่มีทรัพย์สินเยอะ จะระมัดระวังในการจ่าย พร้อมจ่ายในสิ่งที่เหมาะสม มองเรื่องสุขภาพเป็นหลักในการอยู่อาศัย ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
การพัฒนาอสังหาฯในโลกใหม่ ทุกคนจะได้ของดีหมด แต่ราคาต้องเอื้อมถึงเปล่า ฟังก์ชั่นต้องลงตัว ในอนาคตที่อยู่อาศัยต้องเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ต้องเป็นโคเวิร์กกิ้ง ห้องเล็กลง บางกิจกรรมที่ร่วมกันกับครอบครัวจะเปลี่ยนไป สังคมการอยู่ร่วมกันจะเปลี่ยนไป เทรนด์จะเปลี่ยนไม่ว่าสุขภาพ เรื่องกรีน แบรนดิ้งกับประสบการณ์ต้องไปด้วยกัน ปีหน้าสิ่งแปลกใหม่ของแสนสิริคือไม่เฉไฉออกนอกไลน์ธุรกิจ และร่วมกับพันธมิตรมากขึ้น นอกจากปีนี้ 6 พันธมิตรแล้ว ปีหน้าไตรมาสแรกเราจะลงทุนร่วมกับพันธมิตรอีก 5-6 อย่าง
“เราขยายตลาดต่างประเทศเพราะตลาดไทยค่อนข้างเล็ก จีดีพีโตปีหนึ่ง 2-3% ปีนี้คาดจะโต 4% ธุรกิจอสังหาฯโต 1.5 เท่าของจีดีพี คาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ 6% ที่เราต้องหาตลาดต่างประเทศมา ปัจจุบันมีลูกค้า 25% จากฮ่องกง จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และเรามีสำนักงานที่นั่นด้วย เริ่มคิดมา 4-5 ปีที่จะไปลงทุน ตปท”
http://www.bkkcitismart.com
นิด้าโพลเผย เกินครึ่งเมินช้อปช่วยชาติ มองเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น
จากมาตรการลดหย่อนภาษีในการซื้อสินค้าและบริการ หรือ “ช้อปช่วยชาติ” โดยให้นำรายจ่าย จากการซื้อสินค้าและบริการในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2560 มาหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นนโยบาย “ขาประจำ” ที่มีต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว แน่นอนว่าเป็นนโยบายที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ด้านหนึ่งโดยเฉพาะทางฝั่งรัฐบาลมองเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านนักวิชาการกลับมองว่าเป็นนโยบายฉาบฉวย ไฟไหม้ฟาง และเอื้อประโยชน์คนรวยเท่านั้น สำหรับทางฝั่งประชาชนก็มีมุมมองของตนเองเช่นกันโดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ช้อปช่วยชาติ” จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยแต่ไม่สนใจจะเข้าร่วม
ส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ไม่ใช้เพราะรายจ่ายเยอะ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช้อปช่วยชาติ 3 อันดับแรก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 30.64% ระบุว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสม เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 2560 รองลงมา 26.08% ระบุว่า เป็นมาตรการที่ใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่มั่นคง ไม่มั่งคั่ง และไม่ยั่งยืน 15.76% ระบุว่า เป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพราะคนที่ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น
เมื่อถามถึงการไปช้อปช่วยชาติพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 45.36% ระบุว่า ไม่ไป เพราะมีรายจ่ายประจำเดือนอยู่แล้ว คิดว่าไม่มีความสำคัญเท่าไหร่ คิดว่าไม่ได้เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น รายได้กับรายจ่ายไม่สมดุล ลดหย่อนภาษีได้ไม่มากพอ ไม่ได้เกิดผลอะไรเท่าที่ควร ระยะเวลาช้อปช่วยชาติน้อยเกินไป เป็นมาตรการที่ทำให้ประชาชนเกิดกิเลสกับสินค้าที่ลดราคาในช่วงนั้น ไม่มีเวลาว่าง ไม่มีเงินไปซื้อ ไม่ได้อยู่ในคุณสมบัติที่ต้องจ่ายภาษี ห่างไกลจากบ้านมาก ไม่สะดวก ส่วนใหญ่ซื้อของในหมู่บ้านมากกว่า รองลงมา 41.12% ระบุว่า ไป เพราะต้องไปใช้สิทธิของตนเอง เป็นสิ่งของที่จำเป็นต้องซื้ออยู่แล้ว และได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย เป็นโครงการที่ช่วยชาติดีมากจะได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น สินค้าราคาถูก มีการลดราคาสินค้าช่วยลดภาษีได้เยอะ และ 13.52% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ห้างสรรพสินค้า รองรับมาตรการช้อปช่วยชาติ ลดหย่อนภาษี
ผลสำรวจเกินครึ่งมองเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น
จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยปัจจุบันว่าดีขึ้นหรือยัง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 พบว่า ประชาชน 1.76% ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก 24.96% ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยค่อนข้างดีขึ้น 19.36% ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีขึ้น 28.40% ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยไม่ดีขึ้นเลย 19.68% ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยแย่กว่าปีที่แล้ว 4.32% สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยเหมือนเดิมไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว และ 1.52% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/เฉย ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นมาตรการที่รัฐบาลกล่าวว่า “ไม่ได้เอื้อคนรวยแต่ช่วยเศรษฐกิจทั้งระบบ” โดยในด้านของช่วยลดหย่อนภาษีพบว่า ผู้ที่มีรายได้น้อยได้ลดหย่อนภาษีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วสูงที่สุดคือ ผู้ที่มีรายได้สุทธิ 150,001-300,000 บาท/ปี เสียภาษี 5% มีภาระภาษี 7,500 บาท จะได้คืนภาษี 750 บาท คิดเป็น 10% ส่วนผู้ที่มีรายได้สุทธิ 4 ล้านบาทขึ้นไป/ปี เสียภาษี 35% มีภาระภาษี 2,715,000 บาท ได้รับเงินคืนเพียง 5,250 บาท หรือ 0.19% เท่านั้น แต่ในด้านการเอื้อต่อนายทุนใหญ่ หากภาครัฐไม่เปิดให้วิสาหกิจชุมชม และพ่อค้าแม่ค้าได้มีโอกาสเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวมากขึ้นก็คงหนีไม่พ้นคำครหานี้อย่างแน่นอน
https://www.ddproperty.com
กินปิ้ง-ย่าง เสี่ยงได้รับ “สารพีเอเอช”
ในขณะนี้หลาย ๆ พื้นที่ในประเทศไทยเริ่มหนาวเย็นลง ซึ่งนอกจากการใส่เสื้อผ้าที่หนา เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว ในส่วนของการกินอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพราะในช่วงนี้ประชาชนส่วนใหญ่มักเลือกอาหารประเภทปิ้งย่าง เป็นเมนูสำหรับคลายหนาว ทั้ง ๆ ที่อาหารประเภทนี้จะเสี่ยงต่อการได้รับ”สารพีเอเอช” ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ควันธูป ควันบุหรี่ ควันโรงงาน และควันอื่น ๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
คำแนะนำจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า สารกลุ่มนี้ถูกพิสูจน์ชัดว่า บางชนิดกล่าวได้ว่าก่อให้เกิดมะเร็งได้ในคน โดยสารนี้เกิดจากไขมันในเนื้อสัตว์ที่หยดลงบนถ่านขณะที่ให้ความร้อนต่ำ และเมื่ออากาศมีจำกัดทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดควันที่มี”สารพีเอเอช” ลอยขึ้นมาเกาะที่ผิวอาหาร โดยสารนี้จะมีมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่าง
ก่อนปิ้งย่างควรตัดส่วนที่เป็นมันออกไปก่อน เพื่อลดไขมันที่จะไปหยดลงบนถ่าน ถ้าต้องปิ้งย่างบนเตาถ่านธรรมดา ควรใช้ถ่านที่อัดเป็นก้อน ไม่ควรใช้ถ่านป่นละเอียด หรืออาจใช้ฟืนที่เป็นไม้เนื้อแข็ง เพราะการเผาไหม้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และหลังปิ้งย่างควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ชื่นชอบไปร้านหมูกระทะ ควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะในการปิ้งย่าง แบบลดหรือป้องกันน้ำมันหยดลงบนเตาไฟได้ เข่น เตาไฟฟ้าหรือเตาไร้ควัน เพราะสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน หรือเลือกร้านที่ได้รับป้าย”อาหารสะอาด รสชาติอร่อย” (Clean Food Good Taste) และใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน รวมทั้งล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องส้วมหรือจับสิ่งสกปรก ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยได้
การกินอาหารในช่วงหน้าหนาวควรกินให้ครบ 5 หมู่ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ นม และถั่วเมล็ดแห้ง ผัก ผลไม้ และไขมัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และต้องนำไปอุ่นร้อน เพราะความเย็นทำให้อาหารจับตัวเป็นไขไวขึ้น และด้วยอากาศที่เย็นจึงทำให้ผักสดมีความสดและกรอบ ประชาชนจึงควรกินผักสดและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม เป็นต้น เพื่อช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงของอากาศและสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ
ประชาชนในพื้นที่ชนบทที่ใช้การก่อฟืนสุมไฟเพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายนั้น ควรต้องระมัดระวังการเกิดไฟไหม้ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะหากร่างกายปรับตัวไม่ทันอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะผู้ที่นิยมพักแรมตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วยการกางเต็นท์ ควรให้มีช่องระบายอากาศเพื่อให้ถ่ายเทได้สะดวก ไม่ควรปิดมิดชิด เพราะการปิดมิดชิดจะทำให้ขาดออกซิเจนและอาจเสียชีวิตได้ และขอเน้นย้ำสำหรับบางรายที่ก่อไฟใช้ในเต็นท์ จะยิ่งทำให้ขาดอากาศออกซิเจนและเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงไม่ควรก่อไฟใช้ในเต็นท์โดยเด็ดขาด
http://www.thaihealth.or.th
นิทานเซน : ความกังวลของหญิงชรา
ในระหว่างที่อาจารย์เซนออกจาริกธรรม ได้รับนิมนต์ไปพำนักยังบ้านของหญิงชราผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อไปถึงพบว่าหญิงชราหน้าตาอมทุกข์ ทั้งยังร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์เซนจึงกล่าวกับนางว่า “ท่านมีความทุกข์ใจอันใดจึงร้องไห้ติดต่อกันไม่หยุดเช่นนี้?”
หญิงชราตอบว่า “ข้ามีบุตรสาวอยู่สองคน คนโตแต่งออกไปให้กับพ่อค้าขายรองเท้าผ้า ส่วนคนเล็กแต่งให้กับพ่อค้าขายร่ม วันใดท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ข้าก็เฝ้าแต่กังวลว่าร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กต้องขายไม่ได้เป็นแน่ จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์เศร้าแทนนาง แต่หากวันใดฟ้าครื้ม ฝนพรำ ข้าก็กังวลว่ากิจการร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตย่อมไม่ดีเป็นแน่ เพราะผู้คนไม่อยากใส่รองเท้าที่เปียกน้ำแฉะชื้น เมื่อทุกวันผ่านไปในลักษณะนี้ ข้าจึงได้แต่กังวลจนหลั่งน้ำตาออกมา”
เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังจึงกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องแล้ว”
หญิงชราสงสัยจึงถามว่า “มารดาวิตกกังวลแทนบุตร มีอันใดไม่ถูกต้อง? ข้ารู้ว่ากังวลไปก็แก้ไขอะไรมิได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงพวกนาง”
ยามนี้ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า “มารดาวิตกกังวลเพราะบุตรมิใช่เรื่องผิด แต่มารดาเบิกบานใจเพราะบุตรย่อมดีกว่า ท่านลองคิดดู เมื่อวันแดดจ้าฟ้าใส ร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตของท่านย่อมขายดิบขายดีเป็นพิเศษ และเมื่อถึงวันฝนตก กิจการร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กก็ย่อมไปได้สวยเช่นกัน หากคิดเช่นนี้ท่านก็สามารถเบิกบานใจไปกับบุตรสาวทั้งสองได้ในทุกๆ วัน ไม่ต้องทุกข์เศร้าแล้ว”
เมื่อหญิงชราได้ฟังคำแนะนำของอาจารย์เซน ก็กระจ่างแจ้ง จากนั้นเมื่อคิดได้จึงรู้สึกสบายใจ ทุกครั้งที่นึกถึงบุตรสาวทั้งสอง นางล้วนมีรอบยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ
ปัญญาเซน : ไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ได้เท่ากับตัวของตัวเอง สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ เมื่อเปลี่ยนมุมมองความคิดก็เปลี่ยนได้แม้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะอีกด้านของความทุกข์ก็คือความสุข ไม่ว่าเรื่องใด เมื่อมองให้ทุกข์ย่อมทุกข์ได้ มองให้สุขย่อมสุขได้ ดังนั้นจงหยุดสร้างทุกข์ให้กับตนเอง
https://sites.google.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 28/11/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
19,950.00 |
20,050.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,292.00 |
19,586.72 |
20,550.0 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,162.80 |
17,628.05 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
581.00 |
8,807.96 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
452.0 |
6,852.32 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,339.00 |
20,299.24 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 28/11/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
28.25 |
28.25 |
– |
27.65 |
28.25 |
27.65 |
28.25
|
28.25
|
28.25
|
28.25
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
25.74
|
25.74
|
25.74
|
25.14
|
25.74
|
– |
25.74
|
25.74
|
25.74
|
25.74
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
20.84 |
20.84 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.84 |
20.84 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
27.38 |
27.98 |
27.38 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
เบนซิน 95 |
35.36 |
– |
– |
– |
35.81 |
– |
35.86 |
35.36 |
35.36 |
35.36 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
29.79 |
30.47 |
30.47 |
30.47 |
30.47 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |