รับเหมาคอนโดฯซบ…จีนหาย กระอักเซ่นพิษสงครามการค้า
สงครามการค้า พ่นพิษหลังไร้ท่าทีสงบ ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้างโครมใหญ่-ลูกค้าจีนลด อสังหาฯแทบปรับตัว ลดปริมาณขึ้นโครงการ
แม้ปัจจุบันตลาดอสังหา ริมทรัพย์ไทยแทบไม่มีปัจจัยบวก โดยเฉพาะพบตลาดลูกค้าต่างชาติ และตลาดนักลงทุนลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากผลพวงสงครามการค้า หรือ ภาวะเศรษฐกิจโลกกลายเป็นปัญหาของทุกบริษัทในการปรับแผนและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือเช่นเดียวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง แรงงาน ต่างถูกกระทบเป็นโดมิโน จากปริมาณงานที่ลดลง อย่างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ แหล่งข่าวจากวงการรับเหมา สะท้อนว่า บริษัทผู้รับเหมาอาจได้รับผลกระทบจาก ปริมาณงานลดลง ผู้รับเหมาจีนเข้ามาแย่งงาน สร้างความปั่นป่วนอย่างมากในอุตสาหกรรม
ทั้งนี้แหล่งข่าวกล่าวต่อ ว่าสาเหตุใหญ่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงยืดเยื้อไร้จุดจบ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง รวมถึงประเทศไทยที่พึ่งพาภาคการส่งออกเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังลุกลามมายังอุตสาหกรรมก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการไทย สร้างขึ้นมารองรับลูกค้าจีน เนื่องจาก คนไทยกำลังซื้อไม่มาก อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดปัจจัยมากระทบทำให้สินค้าล้นตลาด กระทั้งต้องตัดสินใจพับแผนชะลอขึ้นโครงการออกไป
สำหรับทางออก ผู้รับเหมาต้องปรับตัวท่ามกลางปริมาณงานที่ลดลง เนื่องจากการแข่งขันสูงโดยทุกบริษัทต้องเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับนายปัฐวิน วงศ์เสถียร ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY กล่าวว่า ทุกวิกฤติยังอาจเป็นโอกาสของบริษัทที่มีความมั่นคง และสถานะการเงินแข็งแกร่งอย่างเรา จึงมีแผนมุ่งพัฒนาโครงการที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และต้องตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง เช่น กลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมีกำลังซื้อ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนระยะยาวด้วย โดยลดความเสี่ยงด้วยการเก็บดาวน์ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ 30% และตั้งเป้ายอดพรีเซลลดลงกว่าปกติที่เพียง 30-40% ต่อโครงการ จากอดีตที่ตั้งไว้มากกว่า 50% ในทุกโครงการ
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนประกอบธุรกิจที่ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 เป้าหมายเปิดโครงการใหม่ รวม 6 โครงการ มูลค่า 9.6 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทยอยเปิดไปแล้ว 2โครงการ และล่าสุดเพิ่งเปิดโครงการที่ 3 “อนิล สาทร” คอนโดมิเนียม ทำเลศักยภาพสาทร มูลค่า3.4 พันล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าระดับบน 11-200 ล้านบาท คาดจะได้รับการตอบรับสูงจากทั้งลูกค้าคนไทยและคนต่างชาติ โดยจะกระตุ้นยอดขายต่างชาติด้วยการนำสินค้าไปโรดโชว์ที่ประเทศฮ่องกงและไต้หวันด้วย ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเตรียมเปิดใหม่อีก 3 โครงการ คือ เซียล่า จรัญ 13,เซียล่า เจริญนคร และเดนิม จตุจักร ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog)แล้วมากกว่า 3 พันล้านบาท และมีสต๊อกสินค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์รวม 500 หน่วย ประมาณ 2พันล้านบาท เช่น ในกลุ่มโครงการ ยู ดีไลท์ คาดปีนี้ จะสามารถระบายสต๊อกออกได้ประมาณ 80%ผ่านกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ โปรโมชันที่ออกมาเพื่อดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรก เป็นต้น
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์คอนซัลแทนซี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาวิจัยและสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระบุแม้ ปัญหาสงครามการค้าจะยืดเยื้อ แต่สำหรับลูกค้าชาวจีน มองว่า ยังเป็นตลาดที่ไปได้เนื่องจาก กำลังซื้อในประเทศถดถอย คนสร้างครอบครัวลดลง อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่อง ดังนั้น จีนจึงเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักของตลาดคอนโดฯ หากผู้ประกอบการยังไม่สามารถหยุดพัฒนาโครงการใหม่ได้โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงอย่างฮ่องกง, สิงคโปร์ ไต้หวัน ซึ่งมักสนใจราคาระดับบน 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่แม้ว่าจะชื่นชอบคอนโดมิเนียมระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่เฉลี่ยกำลังซื้อส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3 ล้านบาทหรือไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหน่วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
KMLดึงมิตซู ผุดออฟฟิศหรู แข่ง‘เซ็นทรัล’
เพลินจิตเดือด ไรมอนแลนด์ ผนึกทุนยักษ์ญี่ปุ่นมิตซูฯขึ้นออฟฟิศเกรดเอ สูง 52 ชั้น ตรงข้ามเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ปาดหน้า ที่ดินสถานทูตอังกฤษเก่าของตระกูลจิราธิวัฒน์ หลังแย้มยังไม่พัฒนาช่วงนี้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ดินใจกลางเมืองทั้งเช่าและซื้อขายขาด ปัจจุบันตกอยู่ในมือนายทุนรายใหญ่แทบทั้งสิ้น ขณะแปลงที่ดินบ้านเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือ เจ้าของมักไม่ขาย ทำให้การหาที่ดินเพื่อแทรกตัวขึ้นโครงการในทำเลทองฝังเพชรย่านนี้ จึงยากเป็นทวีคูณ
ขณะความได้เปรียบของทุนใหญ่ เริ่มขยับ บิ๊กโปรเจ็กต์หรู มิกซ์ยูส ทั้งคอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน ไล่ตั้งแต่กลุ่มของ เจ้าสัวเจริญสิริวัฒนภักดี ยึดทำเลย่านพระราม 4 กลุ่มจิราธิวัฒน์ ผนึก โรงแรมดุสิตธานี พัฒนาทำเลหัวมุมสีลม และที่ดินสถานทูตอังกฤษ ย่านเพลินจิต ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ล่าสุด แยกเพลินจิตลุกร้อนระอุอีกระลอกเมื่อบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) (RML) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 สัญชาติ ได้แก่ สิงคโปร์ และฝั่งนักลงทุนไทย (เคพีเอ็นแลนด์) ประกาศร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ มิตชูบิชิ ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นโครงการ “One City Centre” อาคารสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ ร้านอาหารครบวงจรสูง 52 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 5-6 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ บริเวณ ด้านข้างธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ หรือฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งไรมอนแลนด์ เจรจาขอเช่าจากกลุ่มธนิยะ แหล่งข่าวจากไรมอนแลนด์กล่าวว่า โครงการวันซิตี้เซ็นเตอร์ คาดว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า หากแล้วเสร็จจะเป็นพื้นที่อาคารสำนักงานหรูขนาดใหญ่ใจกลางเมืองอีกแห่งซึ่งเชื่อว่าจะมีคนสนใจ เนื่องจาก เดินทางสะดวก ติดสถานีบีทีเอสเพลินจิต ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
ส่วนทำเลเดียวกันกลุ่มเซ็นทรัล มีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ทั้งออฟฟิตบิลดิ้ง รีเทล คอนโดมิเนียม ฯลฯ บริเวณ ด้านหลังเซ็นทรัลเอ็มบาสซี หลังประมูลที่ดินสถานทูตอังกฤษเมื่อปี 2560 มูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศร่วมลงทุนกับพันธมิตรฮ่องกงแลนด์ บนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ใช้งบลงทุนไม่ตํ่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ความคืบหน้าล่าสุด อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบ ,แผนการลงทุนพื้นที่ดังกล่าวจึงถูกล้อมรั้ว ยังไม่ได้ถูกพัฒนาใดๆ เชื่อว่า จะใช้เวลาอีกหลายปี จะลงมือพัฒนาหรือเปิดใช้พื้นที่ ทำให้ไรมอนแลนด์ได้เปรียบหากชิงขึ้นโครงการในช่วงนี้
มุมสะท้อนกรณี ไรมอนแลนด์ ประกาศปักธง อาคารสำนักงาน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ระบุว่าเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ซบเซา การแข่งขันสูง กรณีไรมอนแลนด์นำที่ดินเช่าออกพัฒนา เป็นอาคารสำนักงาน 5-6 หมื่นตารางเมตร ถือว่า เหมาะสมกับศักยภาพ ทำเล และตอบสนองคนทำงานในเมือง ขณะเดียวกันยังได้กำไรจากการเก็บกินค่าเช่าในระยะยาว เช่นเดียวกับโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในละแวกใกล้กัน ต่างยึดโมเดลธุรกิจ เหมือนค่ายแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่มีทั้งห้าง โรงแรม อาคารสำนักงาน เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
อย่างไรก็ตาม ที่ดินในย่านเพลินจิต แทบไม่มีที่ดินเหลือขายมีเพียง แปลงที่ดินของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 2-3 ไร่ติดสถานีเพลินจิต ปัจจุบันยังล้อมรั้ว จากเดิมเตรียมพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรู เดอะแบกคอกสกาย แต่อาจมีปัญหาเรื่องการร่วมทุน ทำให้ ต้องชะลอโครงการออกไป และมีความเป้นไปได้ว่า อาจพลิกที่ดิน ทำโรงแรม หรือไม่ก็ขาย ซึ่งราคา น่าจะอยู่ที่ 2.5ล้านบาทต่อตารางวา ขณะพื้นที่ใจกลางเมือง ที่อยู่ระหว่างพัฒนา จะมีกลุ่มนายณ์ ร่วมกับพันธมิตรซื้อตึกเก่าย่านนราธิวาสราชนคริทร์ พื้นที่ 3,000-4,000 ตารางเมตร นอกจากนี้กลุ่มนายณ์ยังร่วมกับ ค่ายแอล.พี.เอ็น. พัฒนา อาคารสำนักงาน ย่านพระราม 4 อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กรมบัญชีกลางลุยจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ5แสนบาท
สัมผัสกับสารเคมีรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีป้องกัน ปฏิบัติตัวหลังจากที่ได้สัมผัสสารเคมีที่รั่วไหลหรือสูดดมควันไฟ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดไฟไหม้ตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสารเคมีระเบิดบนเรือขนส่งสินค้าท่าเทียบเรือเอ 2 ท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 เวลาประมาณ 07.00 น. เกิดเหตุไฟไหม้บริเวณหัวเรือ KMTC LINE ที่จอด ณ ท่าเทียบเรือบริษัทไทยแหลมฉบัง เทอร์มินัล จํากัด ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้ มีสารเคมีรั่วไหล กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบท่าจอดเรือ พบมีผู้สัมผัสสารเคมีเบื้องต้น จำนวน 133 ราย และต้องนอนพักเพื่อติดตามอาการที่โรงพยาบาล จำนวน 37 ราย ที่เหลือสามารถกลับบ้านได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการแสบร้อนบริเวณผิวหนัง ระคายเคืองตา หายใจติดขัด และอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตาม ประชาชน โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ได้กลับบ้านไปแล้วควรพักผ่อน ดื่มหรือจิบน้ำเพิ่มขึ้น หากมีแผลผุพองที่ผิวหนัง ควรทำความสะอาด ระวังการติดเชื้อ ลดการใช้สายตา และสำคัญต้องประเมินสุขภาพของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก ไอ ระคายเคืองตา ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันที “ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้และมีสารเคมีรั่วไหลออกมา ประชาชนควรตั้งสติและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดดังนี้ 1) อพยพออกจากพื้นที่ทันที และอยู่เหนือลม 2) กรณีที่สัมผัสควันไฟหรือไอระเหยจากสารเคมี ให้รีบนำผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยไปยังที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ และถอดเสื้อผ้า รองเท้าที่เปื้อนออก หากผิวหนังหรือตาสัมผัสโดนไอระเหยของสารเคมี ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที และโทรเรียกรถพยาบาลหรือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669 3) เมื่อออกจากพื้นที่ได้แล้ว แต่พบว่า มีคนที่ยังติดอยู่ห้ามกลับเข้าไปเด็ดขาด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ 4) ติดตามข้อมูลสถานการณ์จากหน่วยงานภาครัฐ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และ 5) ถึงแม้เหตุการณ์ไฟไหม้จะสงบลงแล้ว ยังไม่ควรเข้าใกล้หรือสัมผัสสารเคมีในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทรัมป์ไม่พร้อมดีลจีน หัวเว่ยลั่นใครอยากจะดีลด้วย
โลกสงบยาก สองยักษ์ใหญ่ไม่มีท่าทียอมอ่อนข้อกัน ล่าสุดเจ้าสัวหัวเว่ยยังถึงกับแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐกล่าวระหว่างการเยือนญี่ปุ่นว่า สหรัฐไม่พร้อมที่จะทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน และยังขู่ว่าสหรัฐอาจจะเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนมากขึ้นกว่านี้และอย่างง่ายดายกว่านี้ด้วย โดยท่าทีของทรัมป์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสองประเทศพบกับทางตันเมื่อต้นเดือนนี้เพราะแต่ละฝ่ายกล่าวโทษกันเอง โดยทรัมป์ยังขู่ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีอีกเป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ“ผมคิดว่าพวกเขา (จีน) อาจหวังว่าจะได้ข้อตกลงที่เตรียมพร้อมไว้แล้วทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พยายามเจรจาใหม่ พวกเขาต้องการทำข้อตกลง แต่เราไม่พร้อมที่จะทำข้อตกลง” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่งานแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่กรุงโตเกียวทรัมป์กล่าวว่า นักธุรกิจต่างย้ายออกจากจีนไปยังประเทศที่ไม่ถูกขึ้นภาษี รวมถึงสหรัฐและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ถึงกระนั้นทรัมป์ก็ยังแย้มว่า ทั้งจีนและสหรัฐอาจจะลงรอยกันได้“ผมคิดว่าบางทีในอนาคต จีนและสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน และเราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะผมไม่เชื่อว่าจีนจะแบกรับภาษีนับร้อยล้านเหล่านี้ได้อีกต่อไป ผมไม่เชื่อว่าพวกเขาจะทำแบบนั้นได้” ทรัมป์กล่าวขณะเดียวกัน เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television โดยตอบประเด็นที่ทรัมป์เคยเสนอให้นำเอากรณีหัวเว่ยมาเป็นข้อต่อรองในการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งเหรินชี้ว่าเป็น “เรื่องโจ๊ก” และบอกว่าหัวเว่ยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐเหรินกล่าวว่า “สหรัฐไม่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ถึงสหรัฐต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของเราในอนาคต เราก็คงไม่ขายให้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเจรจา” และบอกว่า “ผมจะเมินทรัมป์ แล้วเขาจะเจรจากับใครล่ะ?”เหรินเจิ้งเฟยยังบอกว่า ถ้าหาทรัมป์โทรหาเขา เขาก็คงไม่รับสาย และทรัมป์ก็ไม่มีเบอร์ของเขาอยู่ดี อีกอย่าง เขาเห็นข้อความที่ทรัมป์โพสต์ในทวิตเตอร์แล้ว รู้สึกน่าหัวร่อเพราะเป็นข้อความที่ขัดแย้งกันเอง แล้วคนแบบทรัมป์จะเป็นนักต่อรองชั้นยอดได้อย่างไร?
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,300.00 | 19,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,250.00 | 18,950.00 | 19,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,125.00 | 17,055.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,000.00 | 15,160.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 563.00 | 8,535.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 438.00 | 6,640.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,295.00 | 19,632.20 | n/a |