สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2562

อสังหาฯยังทรงตัว แนะรัฐกระตุ้นบ้านมือสอง

เน็กซัสฯ วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯไทยอยู่ในภาวะทรงตัว ปัจจัยลบตลาดจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ผสมโรงมาตรการ LTV ผู้ประกอบการเร่งปรับตัวครึ่งปีหลัง แนะรัฐลดค่าธรรมเนียมการโอน-ภาษีธุรกิจเฉพาะ พร้อมเปิดโอกาสบ้านมือสอง กระตุ้นตลาดช่วงที่เหลือของปี

นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาคาดว่า ในช่วงที่เหลือของปีตลาดยังคงเผชิญภาวะความไม่แน่นอน ซึ่งหากดูในภาพรวมของเศรษฐกิจโลก เรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้จีนต้องลดค่าเงินหยวน และกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจีนในตลาดต่างชาติ รวมถึงประเทศไทยด้วย  อีกทั้งความไม่สงบทางการเมืองในฮ่องกงทำให้เกิดภาวะชะงักงันในการลงทุนในไทยด้วยเช่นกัน  ประกอบกับค่าเงินบาทของไทยที่แข็งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อสังหาริมทรัพย์ไทยมีราคาสูงขึ้น แต่ด้วยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย มีกลุ่มผู้บริโภคหลักคือผู้บริโภคภายในประเทศ ทำให้ประเมินได้ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอาจมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่เกิน 10-15% ของตลาดที่อยู่อาศัยรวมเท่านั้น แม้จะไม่ส่งผลต่อภาพรวมตลาดแต่มีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยแน่นอน

นอกจากปัจจัยลบภายนอกประเทศแล้ว ปัจจัยภายในประเทศอย่างมาตราการ LTV และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นก็ยังเป็นปัจจัยลบที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการใช้มาตราการ LTV เพื่อมาสกัดการเก็งกำไรในกลุ่มนักลงทุน (โดยมีผลบังคับใช้ 1 เมษายนที่ผ่านมา) ผู้บริโภคต่างก็เร่งก่อหนี้ เพื่อให้ทันก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้เกิดการหดตัวลงของการอนุมัติสินเชื่อนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่มีการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีตลาดอสังหาริมทรัพย์จะไม่สามารถเติบโตได้เหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อมาพิจารณาในส่วนของมาตรการ LTV พบว่า นับตั้งแต่มาตราการมีผลบังคับใช้ตลาดมีการชะลอตัวลงในทุก Sector ไม่ว่าจะเป็น บ้านหรือคอนโดมิเนียมในทุกระดับราคาเนื่องจากผู้ซื้อต้องพิจารณาถึงความสามารถในการกู้ของตนมากขึ้น  ซึ่งก็เป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการรายใหญ่-รายกลาง ต่างออกมาประกาศผลกระทบจากมาตรการที่มีต่อธุรกิจ และเรียกร้องให้มีการผ่อนปรนนโยบายดังกล่าว หลายโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 2/2562 มีการปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดและมุ่งหวังยอดขายจากตลาดผู้ซื้อจริงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ยังคงมีปัจจัยบวกมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยตรงกล่าวคือ สามารถยื่นขอสินเชื่อโดยมีต้นทุนที่ต่ำลง ในขณะที่ผู้กู้รายย่อยก็สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเช่นกัน อีกทั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังเป็นรัฐบาลขั้วเดิม ทำให้เกิดความต่อเนื่องในการสานต่อนโยบายต่างๆ ทั้งทางด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ระบบขนส่งมวลชน โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

แม้ว่าตลาดจะมีปัจจัยบวก แต่ก็ยังส่งผลดีกับตลาดอสังหาฯในสัดส่วนที่น้อยกว่าปัจจัยลบ ดังนั้นจึงอยากร้องขอรัฐบาลชุดนี้ให้ช่วยกำหนดมาตรการช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี เช่น การพิจารณาลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะให้กับอสังหาฯที่พร้อมโอนในปีนี้ เป็นการช่วยกระตุ้นให้ผู้มีกำลังซื้อที่ผ่านเงื่อนไข LTV สามารถมีต้นทุนการซื้อที่ต่ำลง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสินค้าที่เสร็จแล้วได้ โดยกำหนดให้สามารถลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวในอสังหาฯทุกระดับราคา ตลอดจนการให้สิทธิพิเศษกับอสังหาริมทรัพย์มือสองบ้าง เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองของไทย ยังคงไม่เติบโตมากทั้งๆ ที่เป็นโอกาสให้ผู้ซื้อได้ซื้ออสังหาฯคุณภาพดี ที่มีขนาดใหญ่กว่าสินค้าใหม่ในปัจจุบัน ในราคาใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน                 บนทำเลที่มีศักยภาพ ก็น่าจะช่วยให้ตลาดมีการขยายตัวได้ดีขึ้น” นางนลินรัตน์ กล่าว

สำหรับทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีคาดว่า หลายๆ บริษัทต้องเร่งระบายสินค้าที่มีอยู่                 โดยวิเคราะห์จากความต้องการที่แท้จริง เพราะการพึ่งตลาดต่างชาติอาจไม่ได้หวือหวาเหมือนเมื่อ 2-3 ปี ที่ผ่านมาโดยเฉพาะตลาดจีนและฮ่องกง และการหันไปปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ระยะยาวมากขึ้น เช่น การลงทุนในธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน หรือลงทุนในต่างประเทศ การขายที่ดินบางแปลงที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกจากบริษัท หรือแม้แต่ในที่ดินที่ซื้อมาแล้วก็อาจปรับแผนพัฒนาโครงการจากตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการขายเป็นตลาดเพื่อการลงทุนระยะยาวมากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บัตรเดียวจบ…  ครบทุกเรื่องช่าง

คอลัมน์ผ่ามุมคิด

ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมต้นนํ้าที่สำคัญของภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในไทย โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากข้อมูลของศูนย์วิจัยทางเศรษฐกิจหลากหลายสำนักพูดไปในทิศทางเดียวกันว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้างจะเติบโตไปในทิศทางที่ดี ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการในการใช้วัสดุก่อสร้างภายในประเทศ ไม่เพียงแต่เมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐแต่ยังรวมไปถึงโครงการบ้านและที่อยู่อาศัย ทำให้การเกิดขึ้นของผู้รับเหมาก่อสร้างเติบโตตามขึ้นมาด้วย ดังนั้นหลายบริษัทจึงคิดช่องทางส่งเสริมธุรกิจก่อสร้างตอบโจทย์เงินทุน เติมเต็มโดยเฉพาะผู้รับเหมา

จากการพูดคุย นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจจัดจำหน่ายและช่องทางการค้าปลีก บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่าในปีนี้รวมถึงปีหน้าคาดว่าการเติบโตของกลุ่มช่างและผู้รับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายย่อยจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำให้ธุรกิจก่อสร้างเกิดปัญหาคือสภาพคล่องของเงินทุนในการซื้อวัสดุก่อสร้าง ดังนั้นแกนหลักในการจัดการคือจะทำอย่างไรให้กลุ่มช่างเหล่านี้มีแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมาย

ด้วยความสำคัญดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการจับมือระหว่าง 2 พันธมิตร คือ “เอสซีจี” ผู้นำในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ “เคทีซี” ผู้นำธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อจัดทำและนำเสนอ บัตรเครดิต “KTC-SCG VISA Purchasing” โดยชูแนวคิด “บัตรเดียวจบ ครบทุกเรื่องช่าง” กล่าวได้ว่าเป็นบัตรแรกและบัตรเดียวของไทยที่เจาะกลุ่มตลาดช่างและผู้รับเหมาก่อสร้าง

นายวิโรจน์ สะท้อนว่าความร่วมมือนอกจากมิติของการสร้างแหล่งทุนที่ถูกกฎหมาย เพิ่มสภาพคล่องแล้ว ยังจัดการกับปัญหาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินและร้านวัสดุก่อสร้าง ที่สำคัญได้ทำให้กลุ่มช่างรายย่อยหลีกหนีจากการใช้เงินทุนนอกระบบ อันนำมาสู่การเพิ่มภาระต้นทุน และเข้าสู่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด คือ การทิ้งงานนั่นเอง อย่างไรก็ดีบัตรเครดิตร่วมดังกล่าวสามารถใช้บริการผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายของเอสซีจีได้ทั่วประเทศกว่า 130 ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าย่อย 100,000 ราย มองดูแล้วยังมีโอกาสที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งกลุ่มช่างรายย่อยรายใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดธุรกิจก่อสร้างในอนาคต

ดังนั้นการจัดการด้านต้นทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการก่อสร้าง ฉะนั้นความร่วมมือครั้งนี้นอกจากแสดงออกถึงการตอบโจทย์การเพิ่มแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กับกลุ่มช่างและผู้รับเหมารายย่อยแล้ว ยังถือเป็นการช่วยสนับสนุนให้ผู้รับเหมาไทยมีโอกาสพัฒนาวงการก่อสร้างในอนาคตไม่ได้จบอยู่แค่เรื่องบ้านแต่ยังควบรวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ

ขณะ KTC เอง ได้ระบุว่ายินดีให้ความร่วมมือเพราะต้องการช่วยให้เกิดความคล่องตัว โดยครึ่งแรกของปี 2562 มีกลุ่มช่างรายย่อยถือบัตรดังกล่าวแล้วกว่า 1,000 ราย มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่อนุมัติแล้วเป็นจำนวนสูงถึง 100 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อบัตรมียอดใช้ประมาณ 500,000 บาทต่อใบซึ่งผู้ที่ได้รับการอนุมัติส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าถึงการเงินในรูปแบบบัตรเครดิตมาก่อน ถือว่าตอบโจทย์ในเรื่องของแหล่งเงินทุนและเพิ่มสภาพคล่อง โดยในช่วงไตรมาส 3 และปลายปี 2562จากนี้ตั้งเป้าเพิ่มกลุ่มช่างรายย่อยอีก 500 ราย โดยวางยอดใช้จ่ายรวมไว้ที่ 200 ล้านบาท

ด้านวงเงินที่อนุมัติสูงสุดถึง 1 ล้านบาทต่อราย มีจุดเด่นในด้านระยะเวลาในการปลอดดอกเบี้ยที่นานสูงสุดถึง 45 วัน อีกทั้งยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น คะแนนสะสม บริการผ่อนชำระเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้การสั่งซื้อเกิดความสะดวกสบายและมีความทันสมัยสอดรับกับยุคดิจิทัล กลุ่มช่างรายย่อยสามารถโทร.สั่งสินค้าและชำระเงินผ่านฟังก์ชัน KTC QR Pay ผ่านแอพพลิเคชัน“KTC Mobile” โดยไม่ต้องไปชำระค่าสินค้าด้วยตนเองที่ร้านค้า ในขณะที่ร้านค้าเองก็มั่นใจได้ว่าสินค้าที่สั่งซื้อดังกล่าวได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว โดยตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชัน “KTC Tap Merchant”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทิสโก้หั่นเศรษฐกิจโต2.9%คาดกระตุ้นช่วยไม่ได้

ทิสโก้หั่นเศรษฐกิจโต2.9%คาดกระตุ้นช่วยไม่ได้

ทิสโก้ปรับเป้าเศรษฐกิจปี 2562 จาก 3.5% เหลือ 2.9% ชี้ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า-มาตรการกระตุ้นภาครัฐฯช่วยได้ไม่มาก

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงินรวม 3.16 แสนล้านบาท เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2562 นั้น TISCO ESU ประเมินว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวอาจช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้ไม่เต็มที่นัก เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ 2.07 แสนล้านบาท เป็นการพึ่งพิงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินของรัฐฯ ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงในการเบิกใช้วงเงิน

ในขณะที่เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรงอย่างการให้เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ และเม็ดเงินกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนในประเทศ รวมกันจำนวนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีราว 0.2% เท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะหนุนให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้เกิน 3% ตามเป้าหมายของภาครัฐฯ ได้

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ ผ่านบัตรสวัสดิการรัฐขยายระยะเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้าน 2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยช่วยลดดอกเบี้ยรวมถึงขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย, มาตรการปล่อยสินเชื่อ และโครงการช่วยเหลือเงินต้นทุนเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี และ 3. มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ โดยสนับสนุนการบริโภคผ่านเงินช่วยเหลือการท่องเที่ยวในประเทศ, ส่งเสริมการลงทุนผ่านการลดภาษีใช้จ่ายซื้อเครื่องจักร, สนับสนุน SMEs ผ่านการให้สินเชื่อจากกองทุน และสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อบ้าน

“จะสังเกตได้ว่ามาตรการส่วนใหญ่จะใช้เม็ดเงินมาจากสถาบันการเงินของรัฐฯซึ่งแน่นอนว่าขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อ และการลดดอกเบี้ยนั้น สถาบันการเงินต่างๆ จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบต่อธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น อาจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าเงินจะเข้าสู่ระบบ และมีความไม่แน่นอนสูงในการเบิกใช้วงเงิน” นายคมศรกล่าว

ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี TISCO ESU คาดว่า GDP ของไทยจะขยายตัว 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ซึ่งแม้จะดูดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.6% YOY แต่การขยายตัวที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงปลายปีที่แล้ว ประกอบกับโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจยังนับว่าอ่อนแอลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถูกกดดันจากสงครามการค้า รวมทั้งความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง การอนุมัติงบประมาณล่าช้า และการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว TISCO ESU จึงประเมินว่า GDP ทั้งปี 2562 จะโตได้เพียง 2.9% YOY ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 3.5% YOY ส่วนในปี 2563 มองเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำต่อเนื่องที่ 3.1% YOY

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


ดื่มปัสสาวะรักษาโรค ไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยัน

ดื่มปัสสาวะรักษาโรค ไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยัน  thaihealth

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเตือนการดื่มปัสสาวะนอกจากจะไม่สามารถรักษาโรคได้แล้วอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆในร่างกาย แนะยาที่สามารถรักษาโรคได้ดีที่สุด คือการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยเน้นโภชนาการที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหากพบความผิดปกติของร่างกายให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า หลังจากที่มีกลุ่มบุคคลเปิดเผยตนเอง ว่า ดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำแล้วรู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้น จึงเกิดกระแสตื่นตัวทางโลกออนไลน์ขึ้น ว่าการดื่มน้ำปัสสาวะ เสมือนยาอายุวัฒนะ บำบัดโรคร้ายได้นั้น แต่สำหรับความจริงแล้วการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์และคลินิกที่น่าเชื่อถือรองรับ ซึ่งหากนำมาใช้โดยไม่ระวังอาจเกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งปัจจุบันวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงมีทางเลือกในการรักษาโรคหลากหลายช่องทาง ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก ดังนั้นจึงควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพการรักษาเป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายมุ่งเน้นทางด้านการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูภาวะความเจ็บป่วย โดยมีโรงพยาบาลที่ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทางแก่ประชาชนอยู่ทั่วประเทศ จึงอยากให้ประชาชนเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยหรือปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในโรงพยาบาลในพื้นที่ เพราะการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นวิธีการรักษาโรคที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากกว่าทางเลือกอื่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเน้นย้ำต่อไปว่า สำหรับวิธีรักษาโรคที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ คือ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด ไขมันสูง กินผักและผลไม้ให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ตรวจสุขภาพประจำปี ในกรณีหากพบความผิดปกติของร่างกาย ต้องรีบพบแพทย์ใกล้บ้านและรักษาและปฏิบัติตัวภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากน้ำปัสสาวะเป็นของเสียหรือสารที่เป็นส่วนเกินของร่างกายที่ไตขับออกมา แม้ว่าจะมีสารต่าง ๆ อยู่มาก ทั้งยูเรีย เกลือแร่ แคลเซียม และโซเดียมคลอไรด์ รวมถึงสารอื่น ๆ แต่สารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกินความต้องการของร่างกาย หากสะสมไว้มากเกินไปกลับจะเป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นเกิดภาวะความดันโลหิตสูง น้ำท่วมปอด หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นต้น ร่างกายจึงขับทิ้งตามระบบ ดังนั้นหากดื่มกลับเข้าไปซ้ำอีก จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย นอกจากนี้น้ำปัสสาวะที่ขับออกมายังอาจปนเปื้อน  อุจจาระ  ทำให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ อย่างเชื้อบิด อาจติดต่อไปยังผู้อื่นที่นำน้ำปัสสาวะนั้นมาดื่ม นอกจากนี้ไตซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองของเสียออกจากร่างกาย ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพราะต้องขับของเสียออกซ้ำและอาจเกิดการคั่งค้างของสารต่าง ๆในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำ แร่ธาตุ และสารอาหารให้เหมาะสม อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


บูลลี่ bully คืออะไร? ทำความเข้าใจคำว่า “บูลลี่”

#จรพ bully bully คือ การกลั่นแกล้ง การบูลลี่ บูลลี่ บูลลี่ คือ ปัญหาคบเพื่อน ปัญหาวัยรุ่น ปัญหาวัยเรียนปัญหา เพื่อนกลั่นแกล้ง เพื่อนรังแก แพท ภัทราพร ฉวีศักดิ์

เคยได้ยินคำว่า “บูลลี่” กันไหมคะ บางคนอาจเคยและไม่เคยได้ยิน และเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าคำว่า บูลลี่ bully คืออะไร?  วันนี้ทีนเอ็มไทยจะพาไปรู้จักความหมายของคำคำนี้กันบูลลี่ bully คืออะไร?

คำว่า “บูลลี่” คือ พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่าและมักเกิดขึ้นในโรงเรียนเกือบทั่วโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศไทยการถูก บูลลี่ ไม่ใช่เรื่องปกติ

ประโยคที่ว่า “แค่เด็กแกล้งกันเล่น” คำนี้ฟังดูเบาสำหรับผู้ใหญ่ แต่ในสังคมของเด็กนั้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาได้เลยนะคะเพราะนั่นหมายความว่าเด็กคนหนึ่งกำลังถูกทอดทิ้ง และจะโดนกลั่นแกล้งแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นปมในวัยเด็ก

กลุ่มเด็กที่มักถูก เพื่อนบูลลี่ เป็นประจำ

เด็กที่ชอบกลั่นแกล้งเพื่อน มักมุ่งเป้าไปที่เด็กย้ายเข้ามาใหม่ หรือเด็กที่มีข้อบกพร่องอื่นๆ เช่น หน้าตารูปลักษณ์ไม่ดี ผลการเรียนไม่ดี รวมไปถึงฐานะครอบครัว จนเด็กเกิดคำถามว่า แกล้งฉันทำไม? ฉันไปทำอะไรให้เธอ? และยิ่งหากไม่มีผู้ใหญ่เข้าใจ ยื่นมือมาปกป้อง เด็กกลุ่มนี้ก็จะถูกรักแกอยู่แบบนี้

วิธีแก้ปัญหาการถูกเพื่อนบูลลี่

หนึ่งในวิธีสำคัญต้องไม่ใช่ แค่การลงโทษ แต่คือ “การพูดคุย” ผู้ใหญ่คือตัวอย่างของเด็กๆ เสมอ ไม่ว่าจะดีและไม่ดี ดังนั้นจึงควรเข้ามาช่วยเด็กๆ ปรับความเข้าใจ ใช้ความอ่อนโยนพูดคุยให้พวกเขาเห็นว่าพฤติกรรมบูลลี่นี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคม และให้เวลาพวกเขาในการปรับปรุงตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com


 ทีโอที เปิดสนามเยาวชน TDYT เสนอนวัตกรรมตอบโจทย์อุตสาหกรรม

ทีโอที เปิดสนามเยาวชน TDYT  เสนอแนวคิดและผลงานนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการ ของภาคอุตสาหกรรม

ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดกิจกรรมนำเสนอโครงการโดยนักศึกษาภายใต้โครงการ”Thailand Digital Young Talent Development Project”(TDYT) รุ่นที่ 1 โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(depa) และสถาบันวิชาการ ทีโอที เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านดิจิทัลให้มีความพร้อมก่อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ 89 คน โดยได้ร่วมฝึกงานและพัฒนาโครงการของสถานประกอบการรวม 28 โครงการ ทั้งนี้ ได้มีการนำข้อเสนอโครงการต่อทีมคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อรับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์และนำไปพัฒนาโครงการร่วมกับสถานประกอบการต่อไป

ทั้งนี้ โครงการ Thailand Digital Young Talent Development Project  เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ บริษัท  ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยมี 10 สถาบันการศึกษา และ 14 สถานประกอบการ  ร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์สู่ยุค Digital Thailand โดยมุ่งเน้นพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านดิจิทัลให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ/ปริมณฑล  และพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยในระยะแรกตั้งเป้าหมายพัฒนานักศึกษา 200 คน เพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลด้วยการเรียนรู้จากอุตสาหกรรมจริงจากผู้ประกอบการในพื้นที่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 22,150.00 22,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,435.00 21,754.60 22,750.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,291.50 19,579.14 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,148.00 17,403.68 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 646.00 9,793.36 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 502.00 7,610.32 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,487.00 22,542.92 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/08/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35 27.35
แก๊สโซฮอล์ 91 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08 27.08
แก๊สโซฮอล์ E20 24.34 24.34 24.34 24.34 24.34 24.34 24.34 24.34 24.34
แก๊สโซฮอล์ E85 19.89 19.89 19.89
เบนซิน 95 34.76 35.21 35.26 35.06 35.06
ดีเซล 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79 25.79
ดีเซลพรีเมี่ยม 24.79 24.79
แก๊ส NGV 15.66 15.66
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า