กลุ่มเออเบิ้ลฯปรับแผนรุกอสังหาฯกทม.-ปริมณฑล 2ปีผุด10โครงการรวมมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท
กลุ่มเออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ฯหนีการแข่งขันอสังหาฯพัทยา เริ่มโอเวอร์ซัพพลายบางเซกเมนต์ ปรับแผนธุรกิจ รุกตลาดกทม.-ปริมณฑลหวังขยายฐานลูกค้า-สร้างการรับรู้แบรนด์ ปี61 ลุยเปิด 4 โครงการรวมมูลค่า 2,700 ล้านบาท ปี62 รุกต่อเนื่อง 6 โครงการ ทั้งพัฒนาเองและร่วมทุน รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายปีนี้ตามเป้า 1,600 ล้านบาท และยอดโอนเกือบ 2,000 ล้านบาท
นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯในทำเลย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯและพัทยา เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ว่า มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตามภาวะเศรษฐกิจแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก ส่วนกรณีซัพพลายมีจำนวนมากในบางทำเล ผู้ประกอบการหลายรายได้เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทำการตลาดกับลูกค้าชาวต่างชาติซึ่งเห็นผลได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของบริษัทฯนั้นหลังจากที่พัฒนาโครงการในพัทยาและแหลมฉบังมา8-9 โครงการ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และมองว่าที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปทำตลาดในพัทยามากขึ้น ดังนั้นหากต้องการให้บริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ จะต้องขยายฐานเข้ามาในตลาดกทม.-ปริมณฑลมากขึ้น เพราะกทม.เป็นตลาดที่ใหญ่ ผลตอบแทนการลงทุนดีกว่าพัทยา ประกอบกับพัทยาก็เริ่มเกิดโอเวอร์ซัพพลายในบางเซกเมนต์ แต่ซัพพลายรวมก็ยังเพียงพอกับดีมานด์ ซึ่งปัจจุบันซัพพลายในพัทยามีอยู่ที่ประมาณ 16,000-17,000 ยูนิต โดยหลังจากที่รัฐบาลให้ความสำคัญด้านการลงทุนในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC)ปรากฏว่าราคาที่ดินปรับสูงขึ้นมา 20% แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับในกทม. โดยที่ดินติดชายหาดราคาอยู่ที่ประมาณ 300,000-800,000 บาท/ตารางวา
ดังนั้นในปีนี้บริษัทจึงรุกพัฒนาโครงการในกทม.-ปริมณฑล มากขึ้นในสัดส่วน 70% และอีก 30% จะเป็นการลงทุนที่พัทยา เน้นพัฒนาในประเภทคอนโดมิเนียม low riseโดยเป็นสัดส่วนกลุ่มระดับ Luxury boutique residence โดยเป้าหมายจะเน้นพัฒนาประมาณปีละ 3-4โครงการ รวมมูลค่าประมาณกว่า 2,500 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี2561 ตั้งเป้าเปิดตัวทั้งสิ้น 4 โครงการรวมมูลค่า 2,700 ล้านบาท คือ
1.Attitude BU บริเวณตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 8ชั้น ขนาด 23.5-34.5 ตารางเมตร ราคา72,000 บาท/ตารางเมตรหรือ 1.78 ล้านบาท/ยูนิตขึ้นไป จำนวน 544 ยูนิต มูลค่าโครงการ1,100 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมาขณะนี้มียอดขายแล้ว 60% ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้ และก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส1/2563
2.โครงการ“แซฟวี่ อารีย์4” (Savvi ari4) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 188 ตารางวา เป็นคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 35-125 ตารางเมตรราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 160,000บาท/ตารางเมตร หรือราคาประมาณ 5.5 ล้านบาท/ยูนิต จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ350 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในวันที่ 8 กันยายน 2561นี้
“การที่บริษัทฯเลือกพัฒนาโครงการในย่านอารีย์ เพราะมองว่าทำเลเป็นทำเลศักยภาพ มีความสงบ มีStory ขณะเดียวกันก็มีความท้าทายในการพัฒนาโครงการ ในขณะที่ภาพรวมซัพพลายในย่านดังกล่าวยังมีไม่มาก โดยอัตราดูดซับอยู่ในระดับดี เนื่องจากในทำเลมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง โดยดีมานด์ส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นกลุ่มReal demand ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง และเป็นบ้านหลังที่2”นายสมภพ กล่าว
3.โครงการ“แซฟวี่ พหล2” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ในซอนพหลโยธิน2เป็นคอนโดมิเนียม สูง 7 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 29-144 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 140,000 บาท/ตารางเมตรหรือตั้งแต่ 3.9 ล้านบาท จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายนนี้
4.โครงการเออเบิ้ล เอสเคป พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ พื้นที่ระหว่างพัทยากลางและพัทยาใต้ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 25-35 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท จำนวน 420 ยูนิต มูลค่าโครงการ 850ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในเดือนธันวาคมนี้
ส่วนปี 2562 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่พัฒนาเอง 4 โครงการ ได้แก่
1.โครงการแซฟวี่ เสนา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 298 ตารางวา เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 25-45 ตารางเมตร ราคา 90,000-100,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 2.3 ล้านบาทขึ้นไป/ยูนิต จำนวน 148 ยูนิต มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส1/2562
2.โครงการ Attitude ลาซาล12 ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 300 ตารางวา เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 25-34 ตารางเมตร ราคา 72,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป/ยูนิต มูลค่าโครงการ 320 ล้านบาท
3.โรงแรมระดับ 3 ดาวครึ่ง บริเวณห้าแยกลาดพร้าว หน้าโรงเรียนเซนต์จอห์น บนพื้นที่กว่า 200 ตารางวา ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ แต่ด้วยทำเลที่ตั้งนับวันจะมีศักยภาพมากประกอบกับทำเลดังกล่าวมีการแข่งขันพัฒนาคอนโดฯที่สูงมาก จึงได้ปรับแผนเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวแทน โดยจะมีทั้งหมด 110 ห้อง ราคาประมาณ 2,000 บาท/คืน มูลค่าการลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2564 ขณะนี้อยู่ในการพิจารณา 2 แนวทางเลือกว่าจะใช้เชน “ยูโฮเทล”หรืออาจจะสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมาบริหาร คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วๆนี้
4.โครงการทาวน์เฮาส์ ย่านรังสิต คลอง7 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 18-19 ไร่ ซึ่งอาจจะพัฒนาเป็นเฟส รวมจำนวนทั้งสิ้น 140-150 ยูนิต ราคาปรมาณ 1-1.6 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ
ส่วนอีก 2 โครงการเป็นการร่วมทุนร่วมทุนประมาณ 2 โครงการ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร 2 รายคือ กลุ่มนายเฉลิมพล โขนแจ่ม บริษัท เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ปและกลุ่มบ้านสิริศา โดยกลุ่มนายเฉลิมพล ถือหุ้นสัดส่วน 60% ส่วนตนและกลุ่มบ้านสิริศา ถือหุ้นกลุ่มละ 20% ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาก่อตั้งชื่อบริษัทร่วมทุน โดยขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วทั้ง 2 โครงการ คือ ที่ดินบริเวณหาดวงศ์อมาตย์ บนพื้นที่ 8 ไร่ มีแผนพัฒนาเป็นคอนโดฯ 1 อาคาร สูง 50 ชั้น และอีก 1 อาคารจะเป็นโรงแรม ส่วนอีก 1 แปลงอยู่บริเวณจอมเทียน พื้นที่ 2 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ ซึ่งทั้ง 2 โครงการอยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะมีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในปี2561 นี้บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ 1,600 ล้านบาทตามเป้า และยอดโอนที่เกือบ 2,000 ล้านบาท
ที่มา : http://prop2morrow.com
DIGI ล้างบ้านเคลียร์ธุรกิจอสังหาฯ ปรับแผนงานครั้งใหญ่รุก e-Business สรุปก.ย.หวังพลิกเป็นกำไรในปี 62
นายอมฤต ศุขะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต (DIGI) เปิดเผยกับ “สำนักข่าวอินโฟเควสท์”ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาธุรกิจหลังจากถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นเครื่องหมาย C ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำเงินไปใช้แก้ปัญหาหนี้ระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เริ่มเป็นผลขาดทุนลดลงตั้งแต่ไตรมาส 3/61 พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจ e-Business เต็มตัว โดยอยู่ระหว่างปรับแผนงานครั้งใหญ่ที่น่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ย.นี้ หวังพลิกฟื้นผลประกอบการเป็นกำไรในปีหน้า
ซีอีโอ DIGI กล่าวว่า หลังเข้ามาบริหารงานตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด โดยขายโครงการ ABOVE 39 ที่บริษัทเข้าไปลงทุนไปด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขายดังกล่าวมาชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) มูลค่าราว 450 ล้านบาท และบางส่วนจะไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คงค้างอยู่ หลังจากดำเนินการต่างๆ แล้วเสร็จจะส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดราว 200 ล้านบาท
สำหรับการดำเนินงานต่อไปจากนี้ ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเหลืออยู่เพียงอาคารออฟฟิศเพื่อเช่า ABC WORLD เพียงแห่งเดียว ซึ่งเหลือระยะเวลาเช่าอยู่ 27 ปี ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ต้องการเช่าพื้นที่ทั้งรายใหญ่ รายกลางและรายเล็ก แต่ยังติดประเด็นที่ทำเลที่ตั้งของอาคารเป็นแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ปี ลูกค้าจึงอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะเข้ามาเช่าพื้นที่ทันที หรือเข้ามาเช่าเมื่อโครงการรถไฟฟ้าใกล้แล้วเสร็จ โดยปัจจุบันมีอัตราการเช่าราว 30%
“ตอนนี้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เราจะเหลือเพียงอาคารออฟฟิศเพื่อเช่า ABC WORLD ซึ่งตอนนี้เราก็มีการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ๆเข้ามา โดยลูกค้ารายใหญ่ก็จะมาในรูปแบบของการเป็นพาร์ทเนอร์กัน เนื่องจากปัจจุบันตึกค่อนข้างเก่าแล้ว ซึ่งเข้ามาก็ต้องมีการคุยกันว่าจะทำยังไงตกแต่งยังไงและธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นยังไง ก็คุยอยู่หลายเจ้าเพราะส่วนใหญ่ก็ติดเงื่นไขของเวลา เพราะพึ่งจะเริ่มสร้างรถไฟใต้ดิน หลายๆ คนบอกว่าอีก 5 ปี ตึกนี้ดีเลย แต่เขาก็ต้องดูว่าจะเข้าตอนนี้หรือตอนไหน ซึ่งก็เป็นอะไรที่เราต้องคุย แต่เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจหลักแต่เป็นธุรกิจที่ทำกันมาอยู่แล้วเราต้องแก้ไขมันต่อไป” นายอมฤต กล่าว
สำหรับธุรกิจ e-Business จะเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในระยะต่อไป ปัจจุบันบริษัทมีบริการที่พึ่งพิงระบบเครือข่าย แบ่งเป็น WeChatPay ที่เริ่มดำเนินการมาราว 2-3 ปี ขณะที่ Alipay เริ่มในปีนี้ ปัจจุบันบริษัทฯต้องกลับมาปรับแผนใหม่ทั้งหมดเพื่อแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ที่เข้ามารุกตลาดนี้เช่นกัน โดยบริษัทฯจะเน้นการเจรจากับร้านค้าต่างๆที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 ราย ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อที่จะหรับแผนใหม่ทั้งหมด ในส่วนของร้านค้ารายใหม่นั้นบริษัทฯก็จะเน้นลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ หรือผู้ที่มีการขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากๆ โดยบริษัทฯจะมองหาการเข้าถึงกลุ่มร้านค้าที่ทางธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้เข้าไปถึงในจุดนั้น
“ธุรกิจนี้ก็คือผูกกับคนจีนเป็นหลัก พอนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาก็จ่ายเงินผ่านบริการนี้เราก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้เข้ามา ก็ดูว่าเหมือนเป็นธุรกิจที่ดีแต่ความเป็นจริงก็ยังมีความท้าทายอยู่เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เข้ามาเล่นด้วย ซึ่งเราก็ต้องหาจุดที่เราแข็งแรงและเราก็มีการเจรจากับพันธมิตรให้จับมือกันเหนียวแน่น โดยในส่วนของธุรกิจนี้ยังถือว่าสามารถทำเงินได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลขาดทุนจริงๆจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า ขณะที่ธุรกิจ e-Business ก็ยังไม่ได้ใหญ่มากด้วย”นายอมฤต กล่าว
นายอมฤต กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานได้ทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับแผนภายในทั้งหมด และคาดว่าแผนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าผลประกอบการจะเริ่มมีผลขาดทุนที่น้อยลงตั้งแต่ไตรมาส 3/61 หลังจากที่บริษัทฯจัดการปัญหาเรื่องหนี้ระยะสั้นและค่าใช้จ่ายต่างๆเสร็จ
สำหรับแผนการดำเนินงานใหม่นั้นจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ทิศทางการประกอบธุรกิจจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่าจะไปในทิศทางได และเชื่อว่าด้วยการปรับปรุงภายในใหม่ แผนการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ แต่ยังเน้นในกลุ่มธุรกิจ e-Business จะเห็นผลได้ในปี 62 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับเป็นกำไรได้ ซึ่งการเติบโตในธุรกิจ e-Business จะต้องหาพันธมิตรเข้ามาช่วยพัฒนาและร่วมลงทุน เพื่อให้มีการเติบโตได้ทันกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของผู้บริโภค
“ในปี 62 จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และยังไงผลประกอบการจะต้องกลับมาเป็นบวก ซึ่งการเติบโตจะมาจาก E-Business เหมือนกันแต่เราจะเปลี่ยนมัน ตอนนี้เราก็มีการคุยกับพันธมิตรต่างๆ ร่วมลงทุนเพราะสิ่งพวกนี้สร้างจากศูนย์เนี่ยยากมาก ซึ่งตอนนี้เราก็หาโอกาสอยู่ โดยตอนนี้ในตลาดมีทั้งเจ้ากลางเจ้าเล็กที่ทำอยู่ มีคนที่มีความรู้มีประสบการแต่ขาดเงินทุน แบบนี้เราก็สามารถเข้าไปจับมือกับเค้าได้ อันนี้ก็เป็นหลักที่เราจะพยายามทำ”นายอมฤต กล่าว
ที่มา : https://www.ryt9.com
ธอส.เคาะวงเงิน 60,000 ล้านบาท เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง ปล่อยกู้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% นาน 5 ปีแรก ผ่อน 3,800 บาท/เดือน
คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อนุมัติกรอบวงเงิน 60,000 ล้านบาท จัดทำโครงการบ้านล้านหลัง แบ่งเป็น 1) สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จัดทำที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อหน่วย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ ดอกเบี้ยเริ่มต้น MLR – 1.25% ต่อปี 2) สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ให้กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก 3.00% ต่อปี ผ่อนชำระเพียง 3,800 บาท/เดือน พ่วงค่าธรรมเนียม 4 ฟรี!! เริ่มรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในเดือนธันวาคม 2561 ประเดิม เฟสแรก รวบรวมที่อยู่อาศัยร่วมโครงการได้แล้วกว่า 270,000 หน่วย พร้อมเข้าอยู่ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 133,307 หน่วย
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ในวันที่ 24 สิงหาคม 2561 ซึ่งมีนายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการเข้าร่วมประชุมได้มีมติอนุมัติให้ ธอส. จัดทำ “โครงการบ้านล้านหลัง”ภายใต้กรอบวงเงินรวม 60,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการช่วยเหลือให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ แบ่งเป็น
1.สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณสมบัติพร้อมกับปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดนำไปจัดทำที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ อัตราดอกเบี้ย MLR – 1.25% ต่อปี เฉพาะกรณีสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนกรณีก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายเกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR – 0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.25% ต่อปี)
2.สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง วัตถุประสงค์การให้กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือปลูกสร้าง และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี อัตราดอกเบี้ย ดังนี้
2.1 กรณีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน (กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – ปีที่ 5 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กรณีสวัสดิการ MRR – 1% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR – 0.75% กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระ 5 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3,800 บาทเท่านั้น ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ 1.ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม) 2.ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900-2,300 บาท) 3.ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ 4.ฟรีค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง 1% ของวงเงินจำนอง
กรณีผู้ประกอบอาชีพประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท หากเอกสารแสดงรายได้เพื่อคำนวณความสามารถในการกู้ไม่เพียงพอต่อเงินงวดผ่อนชำระรายเดือน ให้สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่า หรือ ผ่อนชำระเงินดาวน์ไม่น้อยกว่า 12 เดือนมาประกอบการพิจารณาเพื่อคำนวณรายได้เพิ่มเติมได้ หรือหากไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มาของรายได้ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน โดยทำการออมอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าเงินงวดผ่อนชำระเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน ซึ่งสามารถออมลดลงได้โดยการนำค่าเช่าหรือวงเงินที่ผ่อนชำระเงินดาวน์ที่อยู่อาศัยมาหักยอดเงินออมลง
2.2 กรณีรายได้เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1- ปีที่ 3 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีสวัสดิการ MRR – 1% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR – 0.50% กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ย MRR ตั้งแต่ปีที่ 1 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระ 3 ปีแรกเริ่มต้นเพียง 3,800 บาท เช่นกัน
สำหรับการดำเนินงานในเฟสที่ 1 ธนาคารได้รวบรวมที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งมีความพร้อมให้ผู้ซื้อเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 และมีแผนการก่อสร้างที่ชัดเจนจนถึงปี 2565 เข้าร่วมโครงการจำนวนรวม 270,000 หน่วย พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 133,307 หน่วย แบ่งเป็น 1. โครงการของผู้ประกอบการประมาณ 45,000 หน่วย (พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 5,530 หน่วย) 2.ทรัพย์ NPA ของ ธอส. 21,000 หน่วย (พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 4,874 หน่วย) ทรัพย์ NPA ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 1,005 หน่วย ทรัพย์ NPA ของบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด(BAM) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด(SAM) พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 จำนวน 7,544 หน่วย ทรัพย์ขายทอดตลาดของ ธอส. 44,000 หน่วย (พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 14,155 หน่วย) ทรัพย์ขายทอดตลาด-เจ้าหนี้อื่นๆ(กรมบังคับคดี) พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 จำนวน 77,981 หน่วย และโครงการของการเคหะแห่งชาติประมาณ 74,000 หน่วย (พร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 จำนวน 22,218 หน่วย)
เฟสที่ 2 จะจัดทำความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สร้างภาคีเครือข่ายเพื่อให้มีการทำข้อตกลงร่วมกัน เช่น การนำโครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติที่ยังว่างอยู่มาจำหน่ายให้กับหน่วยงานภาครัฐเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับข้าราชการ และเฟสที่ 3 รูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนโดยส่งเสริมให้มีการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการจัดทำโครงการนำร่องกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น จ.ขอนแก่น จ.นครราชสีมา จ.อุดรธานี จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ปทุมธานี เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเมืองในแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ ธอส.จะเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาขอรับการส่งเสริมการลงทุน(BOI) จากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดราคาหลักประกันสูงสุด 1,000,000 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จากปัจจุบันการส่งเสริมการลงทุนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกำหนดราคาหลักประกันสูงสุด 1,000,000 บาท และส่งเสริมการลงทุนในเขตภูมิภาค กำหนดราคาหลักประกันสูงสุดที่ 600,000 บาท ซึ่งถือเป็นข้อเสนอของผู้ประกอบการเพื่อให้วงเงินสอดคล้องกับราคาที่อยู่อาศัยของโครงการบ้านล้านหลังต่อไป
ทั้งนี้ ธอส.จะเปิดให้จองที่อยู่อาศัยในโครงการภายในเดือนธันวาคม 2561 ทั้งในกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา : https://www.ryt9.com
“เพลินจิต-วิทยุ”เดือด! 10 ปีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นกว่า 100 %
“เพลินจิต–วิทยุ” ได้ชื่อว่าเป็นย่านที่อยู่อาศัยชั้นดี ของคนในสังคมชั้นสูง และโปรไฟล์ดี อีกทำเลหนึ่ง ว่ากันว่าแถวๆนี้ราคาที่ดินแพงมาตั้งแต่สมัยที่กรุงเทพฯยังไม่มีรถไฟฟ้าเสียด้วยซ้ำ และที่นี่ “เพลินจิต-วิทยุ” เป็นถนนอีกเส้นสำคัญของย่านศูนย์กลางธุรกิจ ( CBD : Central Business District)กรุงเทพฯ ชั้นในที่เต็มไปด้วยโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม อาคารออฟฟิศระดับไฮเอนด์ เป็นแหล่งที่ตั้งของบริษัทชั้นนำของโลกมากมายที่เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน รวมถึงยังเป็นสถานที่ตั้งของสถานฑูตต่างๆ มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเพลินจิต , MRT ลุมพินี และยังอยู่ใกล้ทางด่วน ทำให้เดินทางไปไหนมาไหนไม่ว่าจะเข้าหรือจะออกนอกเมืองก็สะดวกสบาย
ความโดดเด่นของทำเล 4 แยกเพลินจิต-วิทยุที่เห็นชัดปัจจุบันเกิดจากการลงทุนของกลุ่มทุนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ของตระกูล “จิราธิวัฒน์”ซึ่งซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษเมื่อปี 2549 ราคาตารางวาละกว่า 900,000 บาท ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของที่มาที่ดินตารางวาละ 1 ล้านบาท ส่วนฝั่งตรงข้ามแบงก์กรุงศรีอยุธยาที่ได้ทุบอาคารเก่าทิ้งแล้วสร้างใหม่ก็คือของ “กฤตย์ รัตนรักษ์” ส่วนอีกฝั่งก็มีโครงการ ปาร์คเวนเซอร์ ของ “เจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี” ตรงกันข้ามเป็นห้างโฮมโปรของเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กลุ่ม“อัศวโภคิน”ทำเลเดียวกันก็มีโครงการโนเบิล เพลินจิต คอนโดฯของกลุ่ม “ธนากิจอำนวย”
โนเบิล-ปราสาททองโอสถ-ไรมอนแลนด์ -ปาร์คนายเลิศ…จ่อผุดบิ๊กโปรเจ็กต์
ด้วยเหตุนี้ “เพลินจิต-วิทยุ” จึงเป็นอีกทำเลที่มีความเคลื่อนไหวในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่ายังมีที่ดินที่รอพัฒนาในย่านดังกล่าวอยู่หลายแปลง ทีมงาน prop2morrow.com สำรวจทำเลดังกล่าวพบที่ดินแปลงว่างเปล่าล้อมรั้วรอการพัฒนา ดังนี้
- บมจ.บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ Noble Wireless มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท
- กลุ่ม “ปราสาททองโอสถ” พัฒนาโครงการ Bangkok Sky เพลินจิต คอนโดซูเปอร์ลักชัวรี่
- บมจ.ไรมอนแลนด์ พัฒนาอาคารสำนักงานเกรด A มูลค่าประมาณ 10.000 ล้านบาท
- กลุ่ม “ปาร์คนายเลิศ” พัฒนาพื้นที่ที่เหลือประมาณ 20 ไร่ ลงทุนราว 1,500 ล้านบาท(ไม่รวมที่ดิน)
โดยที่ดินแปลงงามของ บมจ.บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ที่มีการล้อมรั้ว (โฆษณาโครงการคอนโดฯ Noble AROUND สุขุมวิท 33 ) รอการพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับบนมูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทคาดน่าจะเปิดตัวในปี 2562 ทิ่ดินแปลงนี้อยู่ในซอยวิทยุ ตรงข้ามสถานทูตอังกฤษ(เดิม) อยู่ใกล้กับโครงการ Life One Wireless ของ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)
ส่วนอีกแปลงก็ล้อมรั้วรอการพัฒนาอยู่เช่นเดียวกันนั่นคือ ที่ดินแปลงว่างเนื้อที่ประมาณ 2-3 ไร่ตั้งอยู่บริเวณซอยนายเลิศ ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ทีดินแปลงนี้พัฒนาในนามบริษัท กรุงเทพ สกาย เอสเตท จำกัดเป็นของกลุ่ม “ปราสาททองโอสถ” ตามแผนจะพัฒนาเป็นโครงการ Bangkok Sky (บางกอกสกาย) เพลินจิต คอนโดซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่คาดราคาขายเริ่มต้น 300,000-400,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าด้านการก่อสร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้โครงการดังกล่าวนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ อดีต กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน) และอดีตผู้บริหารบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นบริษัทในเครือแสนสิริฯเคยเล่าว่าเขาได้เข้าไปร่วมทุนในการพัฒนาโครงการ Bangkok Sky ด้วย แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างแต่อย่างใด กระทั่งล่าสุด นายยงยุทธ ได้เข้าไปร่วมกับทางบมจ.เอสซี ฯภายใต้ชื่อบริษัท สโคป จำกัด นั่งบริหารงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อพัฒนาที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ซอยหลังสวน ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี เนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา (ตร.ว.)แพงสุดปี2561 ซึ่งโครงการที่จะพัฒนามีมูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาทปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนพัฒนาและคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงต้นปี 2562
นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาอาคารสำนักงานเกรด A ของบมจ.ไรมอนแลนด์ หรือ RML ที่อยู่ย่านเพลินจิต ตรงข้ามห้างฯเซ็นทรัล เอ็มบาสซี บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ(เป็นการเช่า 30 ปี ) พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 100,000-110,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) โดยสัดส่วน 90% จะเป็นพื้นที่อาคารสำนักงาน และที่เหลืออีก 10% จะเป็นพื้นที่ค้าปลีก รวมมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมมีแผนจะเปิดตัวในปี 2561 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากมีการปรับแบบ และผู้บริหารของไรมอน แลนด์ ต้องการที่จะโฟกัสไปที่คอนโดมิเนียมก่อน
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าปัจจุบัน 4 แยกเพลินจิตแวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานเกรด A รวมพื้นที่กว่า 279,986 ตร.ม. และจะมี คอนโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายอีกกว่า 2,950 ยูนิต เป็นระดับบนที่ราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 200,000 บาทต่อ ตร.ม. และมีบางโครงการมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 580,000 บาท ต่อ ตร.ม. และในอนาคตยังมีซัพพลายคอนโดฯออกมาสู่ตลาดอีกจากของ ของตระกูลปราสาททองโอสถ ที่เตรียมจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรูกว่า 237 ยูนิต และมีที่ดินขนาดใหญ่อีกแปลงตรงข้ามสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ ของโนเบิล ดีเวลอปเม้นท์ที่เตรียมที่จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับบนมูลค่าโครงการกว่า 11,000 ล้านบาท
นอกจากนี่ ทายาทรุ่น 4 ของกลุ่ม “ปาร์คนายเลิศ” เตรียมวางแผนพัฒนาพื้นที่ที่เหลือประมาณ 20 ไร่ เป็นโรงแรม “นายเลิศ ปาร์ค โฮเทลแอนด์เรสซิเดนซ์ กรุงเทพ” ลงทุนราว 1,500 ล้านบาท(ไม่รวมที่ดิน) สร้างเป็นอาคารสูง 30 ชั้น บนที่ดินส่วนที่เหลืออยู่ราว 20 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ้านปาร์คนายเลิศ” เป็น ลักชัวรี บูติก โฮเตล ขนาด 60 ห้อง เน้นความหรูหราแต่เรียบง่ายนอกจากนี่ยังมีแผนจะพัฒนาเป็น คอนโดมิเนียมจำนวนอีกประมาณ 100 ห้อง ที่จะเปิดขายในแบบ Lease Hold ระยะเวลา 30 ปี ซึ่งห้องเล็กที่สุดจะมีพื้นที่ราว 100 ตารางเมตร ซึ่งด้วยทำเลที่ตั้งของพื้นที่คาดว่าจะขายห้องพักในราคาสูงสุด ในกลุ่มของคอนโดมิเนียมแบบ Lease Hold ซึ่งในพื้นที่ย่าน CBD ไม่ตํ่ากว่า 3 แสนบาทต่อตร.ม.
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ APกล่าวให้ความเห็นว่า สำหรับภาพตลาดคอนโดในย่านพื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างวิทยุ-หลังสวน-เพลินจิต-ชิดลม ส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ด้วยข้อจำกัดในการครอบครองและต้นทุนที่ดินที่ดีดตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี ทำให้การพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะทำเลที่มีทางเข้า-ออกติดถนนเส้นหลักเป็นไปได้ยาก จากการสำรวจในย่านพื้นที่เชื่อมต่อดังกล่าว พบซัพพลายคงเหลือเพียง 998 ยูนิต หรือคิดเป็น 30 % ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด ซึ่งคอนโดในกลุ่มไฮเอ็นด์ระดับราคาต่อตารางเมตรประมาณ 150,000-200,000 แสนบาท คงเหลือเพียงแค่ 330 ยูนิตเท่านั้น
10 ปีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นกว่า 100 %
พร้อมกันนี้ ผู้จัดการอาวุโสแผนกวิจัย บริษัท คอลลิเออร์สฯยังให้ความเห็นถึงความเคลื่อนไหวของราคาที่ดินบริเวณย่านเพลินจิตถือว่าเป็นทำเลที่มีการปรับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นกว่า 100% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านซึ่งพบว่าปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้มีการซื้อขายกันสูงกว่า ตารางวาละ 1.80 ล้านบาท สำหรับแปลงที่ดินขนาดใหญ่ และมากกว่า 2.4 ล้านบาทสำหรับแปลงที่ดินขนาดเล็กซึ่งการปรับตัวของราคาที่ดินดังกล่าว สืบเนื่องจากโครงการการพัฒนาของภาคเอกชนต่างๆที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการจำนวนมากบนย่านนี่ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากกลุ่มเซ็นทรัล และทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ย่านเพลินจิตเป็นทำเลทองที่โดดเป็นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับราคาที่ดินบริเวณย่านนี่ที่มีการซื้อขายกันเริ่มตั้งแต่ ในปี 2549 สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรขายที่ดินจำนวน 9 ไร่ ส่วนที่ติดกับถนนเพลินจิต ผู้ที่ชนะการประมูลคือ กลุ่มเซ็นทรัล ได้พัฒนาพื้นที่นี้เป็นศูนย์การค้า Central Embassy และโรงแรม โดยกลุ่มเซ็นทรัลที่ได้ที่ดินไปในราคารวมประมาณ 3,420,000,000 บาท หรือราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 900,000 กว่าบาทต่อตร.ว.
ในปีพ.ศ.2559 และในรอบหลายปีที่ผ่านมาคือการที่บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) BDMS เข้าซื้อขายที่ดิน15 ไร่และสิ่งปลูกสร้างของสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศและอาคารสำนักงาน Promenade บนถนนวิทยุด้วยมูลค่าสูงถึง 10,800 ล้านบาทในวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเป็นโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic ซึ่งการเข้าซื้อที่ดินและโรงแรมดังกล่าวเพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการ Wellness Center ของกลุ่ม BDMS ในครั้งนี้ถือว่ามีส่วนช่วยให้ทำเลเพลินจิต – วิทยุ – ชิดลมมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีกในอนาคต อีกทั้งทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ทำเลที่ออกจากพื้นที่อาคารสำนักงานไประยะหนึ่งประกอบกับสภาพภายในโรงแรมเดิมที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่เยอะมากทำให้มีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นโครงการ Wellness Center ตามที่กลุ่ม BDMS ตั้งใจ
มาถึงในปี พ.ศ. 2560 การซื้อขายที่ดินครั้งประวัติศาสตร์ที่ดินสถานทูตอังกฤษบนเนื้อที่ 25 ไร่ คิดเป็นตารางวาละ 1.86 ล้านบาท ให้กับเซ็นทรัล กรุ๊ป ที่ร่วมทุนกับ “ฮ่องกง แลนด์” บริษัทด้านการบริหารจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือจาร์ดีน แมธทีสัน มูลค่ากว่า 420 ล้านปอนด์ หรือ 1.86 หมื่นล้านบาท ที่เตรียมที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่ค้าปลีกเกรด A และ อาคารสำนักงานพรีเมี่ยมให้เช่า บนพื้นที่รวมกว่า 440,000 ตร.ม. คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 คือมูลค่าการซื้อขายที่ดินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
การซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษและที่ดินพร้อมอาคารของสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศและอาคารสำนักงาน Promenade บนถนนวิทยุในช่วงที่ผ่านมาทำให้โครงการต่างๆ ที่อยู่รอบๆ พื้นที่นี้ทั้งอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม โรงแรมมีความน่าสนใจมากขึ้นแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีใครทราบว่าโครงการ Wellness Center ของกลุ่ม BDMS นี้จะออกมาในรูปแบบใดแต่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยยกระดับความน่าสนใจของพื้นที่นี้ให้มากขึ้นในอนาคต เพราะกลุ่ม BDMS ซึ่งเป็นเจ้าของเครือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มีทั้ง โรงพยาบาลกรุงเทพ พญาไท สมิติเวช เปาโล และบีเอ็นเอช รวมทั้งเครือรอยัล กรุ๊ปในต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพและความสามารถเพียงพอในการพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ อีกทั้งการเข้าซื้อที่ดินในย่านนี่นี้ทำให้ราคาที่ดินในบริวณนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจอีกครั้งเพราะว่าราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ทาง BDMS เซ็นทรัล กรุ๊ป ที่ร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ ซื้อในครั้งนี้เฉลี่ยตารางวาละ 1.8 ล้านบาท
ในขณะที่ก่อนหน้านี้ในปีพ.ศ.2549 ทางกลุ่มเซ็นทรัลได้ที่ดินจากสถานฑูตอังกฤษมาในราคาตารางวาละ 900,000 บาทต่อตร.ว.ราคาขึ้นมา 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่ใช่แปลงที่ดินที่มีราคาสูงที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ในปีพ.ศ.2560 เอสซี แอสเสทซื้อที่ดินขนาด 2.5 ไร่บนถนนชิดลมในราตารางวาละ 3.1 ล้านบาท แต่ก็ช่วยให้ราคาที่ดินในทำเลนี้มีการซื้อขายกันในราคาสูงต่อเนื่องมาตลอดในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมา เพราะปีพ.ศ.2553 บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการโนเบิล เพลินจิตมาในราคาตารางวา1.5 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการโนเบิล เพลินจิตโดยมูลค่าโครงการขยับขึ้นมาเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท จากช่วงเปิดโครงการ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าทำเลยทานเพลินจิตเป็นทำเลที่มีศักยภาพและราคาที่ดินค่อยๆทยอยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่บมจ.แสนสิริซื้อที่ดินบนถนนวิทยุก่อนจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการ 98 ไวร์เลส มูลค่ารวมโครงการ 8,700 ล้านบาทในราคา 1.5 ล้านบาทต่อตร.ว.เช่นกัน
จากปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้บริเวณ 4 แยกเพลินจิตยิ่งเป็นทำเลที่น่าจับตามองและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้ เป็นทำเลศักยภาพที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ให้ความสนใจเข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพในบริเวณย่านนี้อีกเป็นจำนวนมากในอนาคต
ที่มา : http://prop2morrow.com
“น้ำมันมะพร้าว” ดีต่อสุขภาพ หรืออันตรายเสี่ยงโรค?
Karin Michels นักระบาดวิทยาจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health ระบุว่า น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณของไขมันอิ่มตัวสูงมาก หากทานเข้าไปมากๆ จะเป็นการเพิ่มระดับไขมันเลวในเลือกของเรามากขึ้น จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรคอันตรายที่เกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือดมากมาย และในน้ำมันมะพร้าวยังมีปริมาณไขมันอิ่มตัวมากถึง 80% ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของปริมาณไขมันอิ่มตัวที่พบในไขมันหมู และมากกว่า 60% ของปริมาณไขมันที่พบในมันเนื้อ
นอกจากนี้ ในปี 2017 สถาบันโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาพบว่ามีน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมของอาหารอื่นๆ มากมายในประเทศ และประชากรราว 3 ใน 4 จากทั้งหมดคิดว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่จากการสำรวจความเห็นจากนักโภชนาการ กลับมีเพียง 37% เท่านั้นที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวดีต่อสุขภาพจริง และทางสถาบันยังกล่าวอีกว่า การที่คนส่วนมากเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวดีต่อสุขภาพ มาจากการโฆษณาจากทางผู้ผลิตมากกว่า ซ้ำยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “น้ำมันมะพร้าวเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และไม่ได้มีผลดีต่อร่างกายที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าอย่าทานน้ำมันมะพร้าวจะดีกว่า” อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สถาบันโภชนาการของสหราชอนาจักร กล่าวว่า “เรายังสามารถทานน้ำมันมะพร้าวได้ แต่เพราะน้ำมันมะพร้าวมีปริมารไขมันอิ่มตัวสูงมาก ดังนั้นจึงควรทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อให้สารอาหารในแต่ละมื้อมีความสมดุลที่ดี แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า ยังไม่มีข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าการทานน้ำมันมะพร้าวส่งผลดีอย่างไรต่อร่างกาย”
นอกจากนี้ Victoria Taylor นักกำหนดอาหารชั้นอาวุโสของสถาบันโรคหัวใจของสหราชอนาจักรกล่าวว่า “น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงถึง 86% ซึ่งสูงกว่าไขมันที่พบอยู่ในเนยถึง 1 ใน 3 ส่วน และเราทุกคนก็ทราบกันดีว่าไขมันอิ่มตัว เพิ่มความเสี่ยงของภาวะไขมันเลวในเลือดสูงขึ้น และปริมาณคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกายที่สูงขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง แม้ว่าจะมีการพูดต่อๆ กันมาว่าไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวยังดีกว่าไขมันอิ่มตัวที่พบจากแหล่งอาหารอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ระบุเลยว่าเป็นเช่นนั้น และสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนั่นคือ การลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวด้วยการหันไปทานน้ำมันพืช น้ำมันมะกอก และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน จะช่วยลดปริมาณไขมันเลวในเลือด และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าแน่นอน”
แต่ใครก็ตามที่หลงรักในรสชาติของน้ำมันมะพร้าวจนถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว มีคำแนะนำว่าสามารถทานได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่าทานมากจนเกินไป และอย่าทานทุกวัน ควรเลือกทานน้ำมันที่ไม่มีไขมันอิ่มตัวในทุกๆ วันจะดีกว่า
ที่มา : https://www.sanook.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,650.00 | 18,550.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,150.00 | 18,222.32 | 1,202.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,889.36 | 1,246.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,400.09 | 1,081.80 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,577.86 | 961.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,201.56 | 541.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,382.36 | 421.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.15 | 30.15 | 30.25 | 30.15 | 30.15 | 30.15 | 30.15 | 30.15 | 30.15 | 30.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 29.88 | 29.88 | 29.98 | 29.88 | 29.88 | 29.88 | 29.88 | 29.88 | 29.88 | 29.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.14 | 27.14 | 27.14 | 27.14 | 27.14 | – | 27.14 | 27.14 | 27.14 | 27.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.39 | 21.39 | – | – | – | – | – | 21.39 | 21.39 | – |
เบนซิน 95 | 37.26 | – | – | – | 37.71 | – | 37.76 | 37.56 | 37.36 | 37.56 |
ดีเซล | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.59 | 33.46 | 33.46 | 33.46 | 33.46 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 14.58 | 14.58 | – | – | – | – | – | – | – | – |