SENA” กำไร โต 44% รีเซตธุรกิจ รับอสังหาฯยุคใหม่
“SENA” ฝ่าวิกฤตโควิด ปรับกลยุทธ์ ลดต้นทุน หนุนผลกำไรสุทธิ Q1/63 แตะ 230 ล้านบาท โต 44% พร้อมเดินกลยุทธ์ “SENA Zero COVID” รับมือทุกช่วงสถานการณ์มรสุมพายุ เปิด 7 โครงการ หวังรับ Next Normal
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการหมู่บ้านโซลาร์เซลล์เต็มรูปแบบรายแรกของไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของบริษัทและบริษัทย่อย ว่าในไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยรายได้จากโครงการของทางเสนา 565 ล้านบาท และรายได้จากโครงการของบริษัทร่วมทุนอีก 676 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาฯทั้งสิ้น 1,289 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากอสังหาฯ 997 ล้านบาท และยังมีรายได้จากธุรกิจเช่า บริการ เท่ากับ 356.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 95% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์ (EPC) เท่ากับ 6.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52%
ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมความสามารถการทำรายได้ของกลุ่มบริษัท จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,652 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 542 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 49% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,110 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 230 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นเท่ากับ 70 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 160 ล้านบาท (รายได้จากโครงการร่วมทุน 676 ล้านบาท) จะเป็นส่วนหนึ่งของรายการส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน) ในไตรมาสนี้เป็นผลกำไรรวม 34 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ Niche Mono สุขุมวิท – แบริ่ง ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และรายได้จากโซลาร์ฟาร์ม
ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าขายแล้วรอโอน (Backlog) จำนวน 11,809 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 6,443 ล้านบาท โดยมียอดรอโอนจากโครงการร่วมทุน 3 โครงการเป็นหลัก มูลค่าประมาณ 5,325 ล้านบาท ประกอบด้วย Niche Mono สุขุมวิท- แบริ่ง ,Niche Pride เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ Niche Mono เจริญนคร และยอดรอโอนจากโครงการ บมจ.เสนา อีกมูลค่าประมาณ 1,118 ล้านบาท ทั้งนี้มีสินค้าคงเหลือขาย 25,351 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563) ซึ่งจำนวนดังกล่าวมีสินค้าคงเหลือขายที่สามารถขายแล้วโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในปีนี้เป็นโครงการคอนโดมิเนียมราว 5,900 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,515 ล้านบาท ประกอบด้วย The Kith รังสิต-ติวานนท์ มูลค่าโครงการ 490 ล้านบาท , โครงการ The kith พุทธมณฑล สาย 7 มูลค่าโครงการ 192 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน Niche Mono อิสรภาพ มูลค่าโครงการ 833 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้มียอดขายมากกว่า 45% แล้ว
ทั้งนี้ ทางบริษัทปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ ปี 2563 เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปภายใต้มาตรการ “SENA ZERO COVID” จากเดิมจะเปิด 10 โครงการ มูลค่า 7,500 ล้านบาท เป็นเปิด 7 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 3 โครงการ ซึ่งจะเปิดอีก 4 โครงการ ดังนี้ 1.เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน – คูคต (เฟส 2) 2.เสนา วิลเลจ รังสิต –ติวานนท์ 3.เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ 4.เสนา คิทท์ เทพารักษ์ – บางบ่อ ส่วนอีก 3 โครงการ ประกอบด้วย PITI สมเด็จเจ้าพระยา , Niche Pride บางโพ , เสนา วีว่าเทพารักษ์นั้น ทางบริษัทขอพิจารณาอีกครั้งตามเหมาะสมและสภาพทางการตลาดหลังจากนี้ โดยปี 63 บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 11,500 ล้านบาท และ เป้าโอน 10,600 ล้านบาท
ล่าสุด ทางบริษัทเตรียมเปิดโปรดักส์ใหม่ “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” นับเป็นรายแรกของวงการอสังหาฯ เจาะคอนซูมเมอร์ระดับกลาง – ล่าง พร้อมติดตั้งโซลาร์ขนาด 1.28 กิโลวัตต์ ประเดิมทาวน์โฮม 2 ชั้นย่านลำลูกกา คลอง 6 ระดับราคา 2 ล้านกว่าบาทขึ้นไป กำหนดเปิดขายช่วงเดือนมิถุนายน 2563 นี้ สำหรับการติดตั้งโซลาร์จะช่วยตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป Next Normal หลังโควิดผ่านพ้นไปได้ เพราะการติดโซลาร์ช่วยประหยัด และ “ลดค่าใช้จ่าย” ระยะยาวนาน 25 ปี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำงานที่บ้าน (Work From Home) หรือคนมีรายได้จำกัด และกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องอยู่บ้านตลอดเวลา เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ตลาดอสังหาฯ ขายช้า สต๊อกเหลือขายทะลุแน่ 2 แสนหน่วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2563 ปัจจัยลบรุมเร้า ขายได้ใหม่ลดลง -21.7 % คาดการณ์มีหน่วยเหลือขายสะสมกว่า 2 แสนหน่วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล นับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย โดยภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนรวม 209,868 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกปี 2562 ประมาณร้อยละ 7.3 โดยมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ลดลงร้อยละ -21.7 ในขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 ในจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมดเป็นหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 40,792 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 157,140 ล้านบาท และคาดการณ์ปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมจำนวนประมาณ 212,750 หน่วย มีมูลค่าประมาณ 1,340,233 ล้านบาท
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจภาคสนามในช่วงครึ่งแรกปี 2562 พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 1,670 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจำนวน 151,993 หน่วย เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง ปี 2562 มีจำนวนอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 56,411 หน่วย ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 1,714 โครงการ รวมมีจำนวนหน่วยเสนอขาย 209,868 หน่วย และมีอุปทานเหลือขายจำนวน 175,754 หน่วย มูลค่ารวม 765,037 ล้านบาท
ในจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลทั้งหมด ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 1,177 โครงการ จำนวน 114,146 หน่วย ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 14,646 หน่วย และมีหน่วยเหลือขายจำนวน 99,500 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 459,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 15.7 และเป็นโครงการอาคารชุด 537 โครงการ จำนวน 95,722 หน่วย ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 19,468 หน่วย และมีหน่วยเหลือขายจำนวน 76,254 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 305,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 11.1
“ภาพรวมของตลาดครึ่งหลังปี 2562 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขายในตลาดหากเทียบกับครึ่งแรกของปี 2562 จะพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.3 ขณะที่หน่วยเหลือขายที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีจำนวน 175,754 หน่วย ซึ่งมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 หน่วย เทียบกับครึ่งแรกของปี 2562 ที่มีหน่วยเหลือขายรวม 151,993 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยเหลือขายสะสมส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากส่วนที่เหลือขายจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ในจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมดเป็นหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 40,792 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 157,140 ล้านบาท ”
ด้านการขายในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 หน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 34,114 หน่วย เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2562 ปรับลดลงประมาณร้อยละ -21.7 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 43,596 หน่วย และเมื่อวิเคราะห์ตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าอาคารชุดและทาวเฮาส์ มีจำนวนหน่วยเหลือขายในระดับที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยอาคารชุดมีหน่วยเหลือขายจำนวน 76,254 หน่วยและทาวน์เฮ้าส์มีหน่วยเหลือขายจำนวน 56,213 หน่วย ในขณะที่บ้านเดี่ยวมีหน่วยเหลือขายจำนวน 28,182 หน่วย
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากอัตราการดูดซับเป็นการสะท้อนภาวะความสมดุลระหว่างตัวอุปทานอยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาพรวมของอัตราการดูดซับในครึ่งหลังของปี 2562 ลดต่ำลงมาค่อนข้างมากซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวการณ์ขายไม่ดี อุปทานในระหว่างการขายมีจำนวนมากขึ้น แต่อัตราการขายได้ใหม่น้อยลง อัตราการดูดซับจึงลดต่ำลง โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2562 อัตราดูดซับต่อเดือนของตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลลดเหลือเพียงร้อยละ 2.7 ต่ำกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งมีอัตราดูดซับเฉลี่ยร้อยละ 4.2 โดยอัตราดูดซับต่อเดือนในกลุ่มราคาที่มีอัตราการลดต่ำลงมากที่สุดจะอยู่ในระดับราคาราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากอัตราดูดซับต่อเดือนสูงสุด และมีสัดส่วนการขายได้ใหม่สูงสุดโดยพบว่า 5 ลำดับแรกทำเลที่มียอดขายใหม่สูงสุด ประกอบด้วย 1.ทำเลพระโขนง-บางนา-ส่วนหลวง และประเวศอัตราการดูดซับร้อยละ 4.9 จำนวนขายได้ใหม่ 3,104 หน่วย 2.ทำเลธนบุรี- คลองสาม-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่ และบางพลัด การดูดซับร้อยละ 4.4 จำนวนขายขายได้ใหม่ 2,946 หน่วย 3.ทำเลห้วยขวาง-จัตุจักร-ดินแดง การดูดซับร้อยละ 3.5 จำนวนขายขายได้ใหม่ 2,764 หน่วย 4.ทำเลอำเภอเเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง และสมุทรเจดีย์ การดูดซับร้อยละ 2.7 จำนวนขายขายได้ใหม่ 2,527 หน่วย และ 5.ทำเลลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี การดูดซับร้อยละ 1.6 จำนวนขายขายได้ใหม่ 2,497 หน่วย โดยมีเพียง 3 ทำเลแรกเป็นทำเลที่มีศักยภาพ
ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯคาดการณ์ว่าในปี 2563 จะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่สะสมจำนวนประมาณ 79,408 หน่วย และมีหน่วยเหลือขายสะสม 212,750 หน่วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“อุตตม”แจงยิบ “พรก.กู้เงิน” เป็นแนวทางสากลเพื่อช่วยเหลือประชาชน
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.63 นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับการกู้เงินตามพระราชกำหนดระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า เรากู้เงิน 1 ล้านล้านบาทเท่านั้นไม่กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพราะส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้เงินกู้แต่เป็นสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำสภาพคล่องมาใช้แก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับประเทศเท่านั้น
สถานการณ์โควิด19เป็นวิกฤตทางสาธารณสุขที่ส่งผลมาถึงเศรษฐกิจ เป็นวิกฤตในระดับโลก หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงไม่ต่างกัน เราไม่ได้สบายใจ เพราะผลกระทบจะเกิดขึ้นรุนแรงแน่นอน ซึ่งเป็นผลกระทบที่เฉียบพลัน
ดังนั้น เป้าหมายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา คือ
1.การดูแลเยียวยาผลกระทบที่เกิดกับประชาชนและผู้ประกอบการในทันที เพื่อให้มีเงินในกระเป๋าเพียงพอที่จะยังชีพในภาวะเศรษฐกิจหดตัว เงินในกระเป๋าเป็นสิ่งจำเป็นต้องให้ทันที
2.การดูแลผู้ประกอบการในระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะรายเล็กหรือ sme เป็นผู้ที่จ้างงานร้อยละ 80 ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศก็กระทบต่อธุรกิจของเขาและกระทบมาที่เงินในกระเป๋าของประชาชน และจะเป็นวัฏจักรที่กลับไปกระทบต่อการทำธุรกิจต่อเศรษฐกิจโดยรวม
3.การพยายามปกป้องและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจทั้งตลาดการเงินและตลาดทุนของประเทศ ทุกภาคส่วนวันนี้มีความเชื่อมโยงถึงกันหมด
สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับสถานการณ์เมื่อปี 2540 ที่เป็นวิกฤตระดับภูมิภาคและไม่มีเรื่องความเป็นความตายของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องจากเป้าหมายที่มีรัฐบาลได้กำหนดแนวทางที่ใช้กันทั่วโลก โดยองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก ได้เสนอแนวทางเชิงนโยบายให้ประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่ให้มุ่งเน้นช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางก่อน และใช้มาตรการทางการคลังในวงกว้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งเป็นแนวทางสากลที่ช่วยเหลือประชาชน
การกู้เงินเรามีกรอบที่รัดกุมไม่ได้แตกต่างจากอดีตและการประเมินผลงานก็ใช้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้ามาดำเนินการ อย่างโครงการไทยเข้มแข็ง และ พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ และกรณีเราไม่ทิ้งกัน ก็มีวัตถุประสงค์ของการตราพระราชกำหนดไม่แตกต่างกัน
ถามว่าการกู้เงินครั้งนี้สมเหตุสมผลหรือไม่นั้นรัฐบาลได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ การเยียวยาและการเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบ การกู้เงินครั้งนี้คิดเป็นร้อยละ 6ต่อจีดีพี หรือร้อยละ 31ของงบประมาณประเทศ เรามีสัดส่วนการกู้เงินครั้งนี้ไม่ได้กระโดดจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เพราะเป็นการกู้เงินในภาวะวิกฤต
นายอุตตมกล่าวว่า การกู้เงินครั้งนี้เราอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและวินัยการเงินการคลัง ซึ่งในอดีตไม่มีกฎหมายดังกล่าว ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณากรอบการบริหารหนี้สาธารณะภายหลังมีการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทแล้ว ณ สิ้นเดือนก.ย.2564 ยังอยู่ในกรอบของกฎหมายแทบทั้งสิ้นผ่านตัวชี้วัดทั้ง 4 ตัว ได้แก่
1.สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ที่ร้อยละ 57.96 จากกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60
2.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ ร้อยละ21.2 จากกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 35
3.สัดส่วนหนี้สาธารณะเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 2.53 จากกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่เกิน ร้อยละ10
4.สัดส่วนหนี้สาธารณะต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ที่ร้อยละ 0.19จากกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 5
“ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉียบพลันจริงๆ ผมเชื่อว่าส.ส.ก็ไม่ใครคาดคิดได้ก่อนว่าจะมาแรงขนาดนี้ การดำเนินการเยียวยาก็ต้องดำเนินการให้เร็วเช่นกัน ความล่าช้ายอมรับว่าต้องใช้เวลาเพราะเรากำลังใช้งบประมาณแผ่นดินที่ต้องรัดกุม และข้อมูลที่ใช้นั้นข้อมูลประเทศไทยไม่ได้มีความพร้อมที่จะดำเนินการเยียวยาได้เร็วอย่างที่ควรจะเป็น อย่างผู้ประกอบอาชีพอิสระเราไม่ได้มีข้อมูลว่าเป็นใครที่ไหนบ้าง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องให้มีการลงทะเบียน ครั้นจะจ่ายแบบทุกคน ถ้าทำได้ก็ดี แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดในแง่งบประมาณเช่นกัน”
รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยสำหรับภาระที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราไม่ได้นิ่งนอนใจต่อตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ทุกหน่วยงานจะดูแลให้ความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจของเรายังคงอยู่และต้องเป็นไปตามกฎหมายของประเทศ เรายอมรับว่ามีปัญหาและล่าช้าบ้าง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยดำเนินการเรื่องนี้ ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เช่นอาชีพอิสระเราไม่ได้มีถังข้อมูลที่จะชี้ชัดว่าอาชีพอิสระอยู่ที่ไหนใครบ้างเป็นเหตุผลที่ทำไมต้องเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อให้ประชาชนเข้ามา ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดเรื่องงบประมาณเช่นกันและทรัพยากรที่มีอยู่ ต้องเน้นที่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงก่อน แต่เรามีการดูแลทุกประเภท เช่นแรงงานอิสระ เกษตรกร แรงงานในระบบ เจ้าหน้าที่ส่วนภาครัฐก็มีการดูแลอยู่ตามปกติอยู่แล้ว
“ยอมรับว่ามีความล่าช้า และมีปัญหาอยู่บ้างเพราะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยดำเนินการในเรื่องนี้ และรับฟังข้อชี้แนะนำทุกอย่าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ทำงานหนักจริง ๆ โดยมีการนำมาปรับปรุงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน
โดยรัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด แม้วิกฤตจะพ้นไป แต่ยังต้องดูแลต่อเนื่องทั้งการฟื้นฟู และคำนึงถึงข้อมูลที่ได้มาแเพื่อจะได้นำไปใช้ต เช่น อาชีพอิสระเป็นโอกาสให้เราได้เก็บข้อมูลจำนวนมากที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายบริหารประเทศในอนาคต”รมว.คลังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ลุ้นแชมป์เต็มตัว! บีจี ปทุมฯ จัดหนัก คว้า “ตูเญซ” เสริมแนวรับลุยไทยลีก 2020
สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เปิดตัว อันเดรส ตูเญซ กองหลังชาวเวเนซุเอลาเชื้อสายสเปน เข้ามาร่วมทัพอย่างเป็นทางการ โดยจะสวมเสื้อหมายเลข 30 ลงสนามให้กับทัพ “เดอะ แรบบิท” และนับเป็นนักเตะใหม่รายที่สองต่อจาก สารัช อยู่เย็น หลังจากที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อนุญาตให้แต่ละสโมสรสามารถลงทะเบียนผู้เล่นใหม่ได้ในฤดูกาล 2020
โดย อันเดรส ตูเญซ ได้กล่าวถึงการย้ายมาเล่นในถิ่น ลีโอ สเตเดี้ยม ว่า “ผมมาที่นี่เพื่อจะคว้าแชมป์ไทยลีก ก่อนหน้านี้ผมเคยเจอกับ บีจีพียู ในฐานะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามและรู้สึกว่าเป็นทีมที่ชนะยากทีมหนึ่ง รวมถึงเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก”
“แม้ว่า บีจี ปทุมฯ จะเป็นทีมเพิ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมา แต่สิ่งที่ผมเห็นคือสโมสรแห่งนี้สามารถคว้าแชมป์ได้ และผมจะพาทีมไปถึงจุดนั้นให้ได้ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักผ่อน หรือมาเพื่อโกยเงินในช่วงท้ายของอาชีพค้าแข้ง แต่ผมมองเห็นศักยภาพหลายอย่างของสโมสรแห่งนี้ ทั้งเรื่องของตัวผู้เล่น การบริหารงานภายในทีม นั่นคือเหตุผลที่ผมมาที่นี่”
“สุดท้ายผมก็อยากจะฝากถึงแฟนบอล บีจีพียู ว่าผมมาที่นี่เพื่อช่วยทีมให้ได้มากที่สุด และผมหวังว่าเมื่อโรคโควิด-19 หมดไป ทุกคนจะเข้ามาเชียร์ผมและเป็นกำลังใจให้กับทีมในสนาม และผมจะนำความสำเร็จมาสู่สโมสร บีจี ปทุมฯ ให้ได้”
สำหรับ อันเดรส ตูเญซ กองหลังชาวเวเนซุเอลาเชื้อสายสเปน จะใช้เบอร์ 30 ลงสนามรับใช้ทัพ “เดอะ แรบบิท” ในฤดูกาล 2020 โดยเจ้าตัวย้ายมาเล่นฟุตบอลในเมืองไทยครั้งแรกกับสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2014 นอกจากนี้ยังเคยติดทีมชาติเวเนซุเอลา ชุดใหญ่ 16 นัดอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 ทริคดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน – หากติดเชื้อ COVID-19 เสี่ยงอาการรุนแรง
ปัญหาของผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือโรคอ้วนส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ตามมา ในปัจจุบันที่ยังมีการระบาดของไวรัส COVID-19 ยังไม่มีข้อมูลสรุปแน่ชัดว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ได้มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ แต่ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ เมื่อติดเชื้อแล้วมีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงหรือมีผลข้างเคียงได้มากกว่าคนปกติ การรู้เท่าทันความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักอยู่เสมอ
เบาหวาน โรคอ้วน เสี่ยงอาการรุนแรง หากติดเชื้อ COVID-19
นพ.โองการ สาระสมบัติ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และเมตาบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วนที่มีโรคร่วม ยิ่งมีโรคร่วมมากเท่าใดก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะมีผลข้างเคียงหากติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้มากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่าง ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลได้ ซึ่งมักจะมีโรคร่วมอื่นๆ ด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน หรือมีโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากเบาหวานร่วมด้วย เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ ผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อได้รับเชื้อมีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรง
ระดับน้ำตาลที่สูงกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง
โดยผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เนื่องจากระดับน้ำตาลที่สูงกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ไม่ดี ไวรัสสามารถเติบโตและกระจายตัวได้ง่ายขึ้น ปฏิกิริยาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้การควบคุมเบาหวานทำได้แย่ลง ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านไวรัสและเกิดการอักเสบ ปฏิกิริยาการอักเสบจะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับ อายุ ระดับน้ำตาลในเลือด โรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยเป็น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2
ผู้ป่วยโรคอ้วนมักจะมีโรคร่วมหรือผลข้างเคียงจากโรคอ้วนร่วมด้วยเสมอ
ผู้ป่วยโรคอ้วนมักจะมีโรคร่วมหรือผลข้างเคียงจากโรคอ้วนร่วมด้วยเสมอ ซึ่งถ้ามีการติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงคล้ายคลึงกับโรคเบาหวาน คนที่มีโรคอ้วน โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) สูง อาจมีผลทำให้การขยายตัวของปอดทำได้จำกัด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสที่ปอด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้ป่วยโรคอ้วนมีอาการป่วยหนักและต้องเข้ารักษาในห้องภาวะวิกฤติ (ICU) อาจจะมีปัญหาในการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่อาจจำกัดขนาดและน้ำหนักของผู้ป่วยอีกด้วย
6 วิธีดูแลสุขภาพของ ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยโรคอ้วน
นอกจากการล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการจับใบหน้า หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และการพยายามเว้นระยะห่างทางสังคมแล้ว ควรหมั่นดูแลตัวเองดังนี้
1. คุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วัดระดับน้ำตาลปลายนิ้วอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล
2. ดูแลสุขภาพกายใจ ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกสุขอนามัย และลดความเครียด การมีสุขภาพกายและใจที่ดีจะเป็นส่วนช่วยในการป้องกันการติดเชื้อได้อีกทางหนึ่ง
3. ดื่มน้ำแต่ละวันให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานหากขาดน้ำจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้น
4. เตรียมอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) ให้เพียงพอที่บ้าน เนื่องจากในกรณีที่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำจะสามารถแก้ไขระดับน้ำตาลได้ทันที
5. เตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่จำเป็นต้องกักกัน (Quarantine) ตัวเองอยู่ที่บ้าน 2 – 3 สัปดาห์
6. บันทึกเบอร์โทรศัพท์สำคัญ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาล ของแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อให้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน และควรให้คนใกล้ชิดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย 7) หมั่นสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้ หายใจหอบเหนื่อย ไอ น้ำมูก เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้หากมีอาการที่เป็นผลจากระดับน้ำตาลที่ผิดปกติ เช่น หน้ามืด ใจสั่น มือสั่น มึนงง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน ความรู้สึกตัวลดลง หรือวัดระดับน้ำตาลที่บ้านแล้วค่าระดับน้ำตาลต่ำหรือสูงกว่าภาวะปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
ขอบคุณสาระความรู้จาก : รพ.กรุงเทพ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ โทร 0 2755 1129-30
ขอบคุณข้อมูลจาก health.mthai.com
ไปตลาด ภาษาอังกฤษ พูดอย่างไร ใช้อย่างไร
ตลาด นับได้ว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งในชีวิตประจำวันที่เราขาดไม่ได้! ไม่ว่าคุณจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ไปเดินเล่นตลาดในฐานะนักท่องเที่ยว หรือเดินๆ ตลาดอยู่ที่ไทยก็เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าให้เสียเอง แบบนี้จะเริ่มต้นใช้ภาษาอังกฤษยังไง หรือมีประโยคภาษาอังกฤษแบบไหนไหมนะ ที่ช่วยเราได้บ้าง ?
ไปตลาด ถามราคายังไงดี
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นชินกับประโยคการถามราคาเป็นแน่ กับประโยคว่า How much? (ราคาเท่าไหร่) , How much is it? (ราคาเท่าไหร่) หรือ What’s the price? (ราคาเท่าไหร่) และคุณอาจจะตามด้วยสิ่งที่คุณต้องการจะถามราคา เช่น How much is that shirt? (เสื้อเชิ้ตตัวนั้นราคาเท่าไหร่?)
หรือคุณอาจจะใช้ประโยคใหม่ๆ อย่าง Can you check the price? (ช่วยเช็คราคาให้หน่อยได้ไหม) แทนก็ได้เช่นกัน
รวมประโยคต่อราคา ต่อกันยังไงดีนะ
สำหรับใครที่อยากจะต่อรองราคา หรือขอลดราคาากพ่อค้าแม่ค้า คุณอาจจะลองใช้ประโยคที่ถามกันตรงๆ ว่า Can you give me a discount? (ลดให้หน่อยได้ไหม) หรือ Can you give me a little more discount? (ช่วยลดมากว่านี้หน่อยได้ไหม) ก็ได้
แต่ในกรณีที่อยากให้ประโยคดูสุภาพ เสียงหวาน เสียงสองกับคนขายเสียหน่อย ก็สามารถเพิ่ม Could เข้าไป เช่น Could you lower the price a little bit? (ช่วยลดราคาอีกนิดได้ไหม) / Could I have a … percent discount? (ลดให้ฉันสัก….เปอร์เซ็นต์ได้ไหม)
สำหรับใครที่อยากจะถามหาส่วนลด หรือโปรโมชั่นต่างๆ ก็สามารถใช้คำต่อไปนี้ได้ อย่าง How about a discount? (มีส่วนลดไหมครับ) หรือหากจะถามโปรโมชั่นอื่นๆ ก็ใช้คำว่า Do you have any promotions? (มีโปรโมชั่นอะไรบ้างไหม)
ในทางกลับกัน หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้าเสียเอง และไม่อยากจะลดราคาให้ลูกค้าแล้ว ก็สามารถตอบกลับไปได้ว่า I can’t give you more discount. (ฉันลดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว) หรือจะให้สุภาพขึ้นก็ใช้ประโยคว่า I’m sorry…baht is impssible. (เสียใจครับ/ค่ะ ราคา…บาท คงขายให้ไม่ได้)
รวมประโยคที่ใช้ หากต้องจ่ายเงิน ชำระเงิน
คุณสามารถใช้คำว่า The total amount is … หรือใช้ว่า The total is … (ทั้งหมดรวมเป็นเงิน … ) ในการบอกราคากับลูกค้าได้
แน่นอนว่าระหว่างการจ่ายเงิน ด้วยสภาพสังคมของเราที่อาจจะไม่ใช่สังคมเงินสด สามารถรรูดบัตรเครดิตได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกยอดรายจ่าย คุณอาจจะต้องบอกลูกค้าต่างชาติไปได้ว่า I’m sorry, we don’t accept credit card. (ขอโทษนะครับ/นะคะ เราไม่รับบัตรเครดิต) หรืออาจจะใช้แบบสั้น ๆ ว่า Sorry, only cash please. (ขอโทษนะครับ/นะคะ รับเฉพาะเงินสด) ก็ได้เช่นกัน
หรือสำหรับพ่อค้าแม่ค้า หากให้พิเศษขึ้นไปอีก ถ้าเกิดลูกค้ายื่นแบงก์ใหญ่มาให้ ก็อาจจะบอกอีกฝ่ายกลับไปได้เช่นกันว่า I’m sorry, I can’t change that. Do you have anything smaller? (ขอโทษนะครับ/นะคะ ฉันไม่มีเงินทอน คุณมีแบงก์ย่อยไหม) ได้ด้วยนะ
ว่าด้วยเรื่องตลาดที่น่าสนใจ จาก วอลล์สตรีทอิงลิช
ตลาด หรือ market นั่น เป็นคำเรียกแบบรวมๆ เท่านั้น แท้จริงแล้ว ตลาดยังมีประเภทที่แตกต่างกันไปอีก เช่น ตลาดสด กับ ตลาดคนเดิน เป็นต้น แน่นอนว่าตลาดเหล่านี้ในภาษาอังกฤษก็มีเรียกแยกประเภทไว้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น คำว่า
Walking street = ถนนคนเดิน
Night market = ตลาดตอนกลางคืน
Weekend market = ตลาดนัดเสาร์อาทิตย์
Second hand market = ตลาดขายของมือสอง
Floating market = ตลาดน้ำ
Local market = ตลาดท้องถิ่น เช่น ตลาดแถวบ้าน หรือตลาดที่เค้าขายของท้องถิ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ข้อมูล มะรุม ประโยชน์ โทษ รสชาติดี มีสรรพคุณ และข้อควรระวัง
สมุนไพรไทยมีมากหลากหลายชนิด ทั้งใช้เป็นพืชผักในการประกอบอาหาร และนำมาใช้เป็นยารักษาโรค เมื่อพูดถึงสมุนไพรไทยที่มีชื่อว่า มะรุม เชื่อว่าหลายคนคงไม่รู้จัก หรืออาจจะเคยได้ยินเพียงแค่ชื่ออาจไม่เคยเห็นลักษณะจริงของมะรุม มะรุมสมุนไพรที่นำมาประกอบอาหารเมนูต่างๆได้อย่างอร่อยแถมมีประโยชน์มากมาย เรามาทำความรู้จักมะรุม ดังนี้
มะรุมมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภาค ภาคเหนือเรียกว่า มะค้อนก้อม ภาคใต้เรียกว่า รุม
มะรุมมีลักษณะอย่างไร
ถิ่นกำเนิดของมะรุมอยู่ทั่วไปในทวีปเอเชีย มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นตั้งตรงสีน้ำตาล มีใบรูปไข่เรียงสลับกันคล้ายๆกับใบของต้นจามจุรี ดอกเป็นช่อสีขาวออกดอกในฤดูหนาว ผลของมะรุมเป็นฝักยาวสีเขียว ยาว 20-50 เซนติเมตร มีรสชาติหวาน มะรุมสามารถรับประทานได้ทุกส่วนทั้ง ฝัก ใบ ดอก เมล็ด และราก
วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญที่มีอยู่ในมะรุม
มะรุมมีแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายอย่างมากมาย คือ วิตามินซี ธาตุเหล็กที่มีอยู่ในมะรุมมีปริมาณที่สูงมาก มีแคลเซียมและโพแทสเซียมอีกด้วย จึงถือว่าเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
วิธีรับประทานมะรุมให้มีสรรพคุณทางยา
- นำดอกมะรุมมาต้ม แล้วกรองเอาน้ำมาดื่ม ช่วยขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
- ฝักมะรุม นำมารับประทานสามารถบรรเทาอาการไข้ตัวร้อนได้
- ใบมะรุม นำมาประกอบอาหารหรือนำมาต้มแล้วรับประทานช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟันได้
- นำรากมะรุมมาต้ม แล้วใช้ผ้าขาวกรองเอาน้ำมาดื่ม ช่วยในการบำรุงไฟธาตุได้
- นำเปลือกมะรุมมาต้มนำน้ำที่กรองแล้วรับประทาน สามารถขับลมในลำไส้
- การสกัดน้ำและเมทานอลของใบ ผลและฝักของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้
- การสกัดเมทานอลในดอกของมะรุม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
- การสกัดน้ำในเมล็ดมะรุม สามารถนำมาใช้ในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้
- ผงใบแห้งและเถ้าจากเปลือกต้นมะรุมนำมาผสมน้ำรับประทาน สามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
- นำใบแห้งมาทำเป็นชา ดื่ม สามารถยับยั้งอาการบวมต่างๆได้
ประโยชน์ในการรักษาโรคและบรรเทาอาการต่างๆของมะรุม
- รักษาอาการหวัด เพราะมะรุมมีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จึงเป็นตัวเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ต่อต้านอาการหวัดได้
- รักษาโรคเบาหวาน มะรุมมีสารที่เป็นตัวช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคหวาน
- บำรุงสายตา มะรุมมีวิตามินเอที่สูง จึงเป็นตัวช่วยในการบำรุงสายตาในผู้สูงอายุ และผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน
- ต่อต้านมะเร็ง ในมะรุมมีสารที่สามารถต่อต้านและยับยั้งการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี
- สามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานของผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่ให้ภูมิต้านทานลดลงได้
เมนูอาหารจากมะรุมที่น่ารับประทาน
- แกงอ่อมยอดมะรุม
- ต้มจืดมะรุม
- ไข่เจียวมะรุม
- แกงส้มมะรุม
- มะรุมลวกจิ้มกับน้ำพริก
นอกจากเมนูยอดนิยมเหล่านี้ เราสามารถดัดแปลงหรือประยุกต์มะรุมให้มีเมนูการรับประทานตามความชอบได้เลย เชื่อว่าคงจะทำให้ได้อรรถรสในการรับประทานมะรุมได้อร่อยอย่างแน่นอน
สิ่งที่ควรระวังในการรับประทานมะรุม
มะรุมนอกจากประโยชน์ที่มากมายแล้วก็ต้องคำนึงถึงโทษหรืออันตรายด้วยดังนี้
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ ควรหลีกเลี่ยงการทานมะรุม เพราะมะรุมจะส่งผลให้มีค่าเอนไซม์ของตับสูงขึ้น
- ผู้หญิงมีครรภ์ หากรับประทานมะรุมมากเกินไป จะมีสารบางอย่างสะสมในร่างกายจะทำให้เกิดพิษทำให้เกิดอาการแท้งได้
- ผู้ป่วยเป็นโรคเลือดไม่ควรรับประทานมะรุม เพราะจะทำให้เม็ดเลือดแตกได้ง่าย
- ไม่ควรรับประทานมะรุมติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลให้ค่าเอนไซม์ ในตับสูงขึ้น ทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับตับอาจส่งผลให้เป็นโรคตับได้
- ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้ได้รับโปรตีนที่สูงเกินไปทำให้เกิดอันตรายกับโรคเกาต์ที่เป็นอยู่
พืชสมุนไพรไทยที่มีชื่อว่า มะรุม นอกจากสามารถนำมาประกอบอาหารได้อย่างหลากหลายเมนูแล้วยังมีรสชาติที่อร่อย แถมยังให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกาย จึงเป็นพืชผักที่ควรรับประทานอย่างยิ่ง และควรเลือกรับประทานอย่างเหมาะสมไม่มากเกินไปจนให้เกิดโทษ มะรุมจึงเป็นพืชผักที่มีคุณค่าต่อร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม
ขอบคุณข้อมูลจาก atherbth.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,700.00 | 25,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,665.00 | 25,241.40 | 26,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,498.50 | 22,717.26 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,332.00 | 20,193.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 749.00 | 11,354.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 583.00 | 8,838.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,725.00 | 26,151.00 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/05/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 | 20.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 | 19.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 18.74 | 18.74 | 18.74 | 18.74 | 18.74 | – | 18.74 | 18.74 | 18.74 | 18.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 16.99 | 16.99 | – | – | – | – | – | 16.99 | – | – |
เบนซิน 95 | 27.66 | – | – | – | 28.11 | – | 28.16 | 27.66 | – | 27.66 |
ดีเซล | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 | 20.39 |
ดีเซล B10 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 |
ดีเซล B20 | 17.14 | 17.14 | 17.14 | 17.14 | 17.14 | – | 17.14 | 17.14 | – | 17.14 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.24 | 24.26 | 26.24 | 26.24 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |