ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยกับ อัตราการเพิ่มของสินเชื่อ
ศูนย์วิจัยศุภาลัย โดยดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรมเกี่ยวกับภาวะตลาดที่อยู่อาศัยกับอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
ศูนย์วิจัยศุภาลัย เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับภาวะตลาดที่อยู่อาศัยกับอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดย ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการที่ปรึกษา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูล ดังนี้
เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มในอัตราประมาณ 4-5% ปีต่อปีหรือยังคงขยายตัวได้ ซึ่งแสดงว่าภาวะตลาดที่อยู่อาศัยยังดีอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิกมาตรการ LTV
กราฟที่แสดงในที่นี้ มี ① กราฟแสดงอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปีต่อปีหรือเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (เส้นล่างสุด) ② กราฟแสดง%ของที่อยู่อาศัยที่ขายได้จากจำนวนสต็อค ที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่พร้อมขายในแต่ละปี และ ③ กราฟแสดงจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ขายได้ในแต่ละปี
ก่อนอื่นต้องทราบว่าภาวะที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าดีคืออะไร ตัวอย่างได้แก่ปี 2012-2013 ที่อัตราการขายสูงกว่า 40% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแล้วจะเห็นว่าอยู่ที่ประมาณ 10% ตลอดช่วงปี 2013-2014 ซึ่งแสดงว่าความสัมพันธ์นี้มี time lag โดยที่การขายจะมาก่อนการขอสินเชื่อและจะเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในกรณีอาคารชุด
ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยกับข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่แถลงว่า อัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ 4-5% ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยยังดีอยู่ เพราะว่าอัตราการขายในปี 2020 ลดลงมาอย่างรุนแรงจาก 31% ในปี 2019 เหลือเพียงสูงกว่า 20% เล็กน้อยเท่านั้น
ประเด็นที่เกี่ยวข้องในที่นี้ก็คือ มาตรการ LTV ที่ประกาศใช้อย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนมกราคม 2019 ได้ทำให้อัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลงโดยตลอด เราจึงอาจกล่าวได้ว่า มาตรการ LTV เป็นตัวทำลายตลาดที่อยู่อาศัยอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2019
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับอัตราการขายหรือภาวะที่อยู่อาศัย จึงถือได้ว่ามีอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถเห็นได้จากระหว่างปี 2017-2018 และ ปี 2016-2018 ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
The Next ไรมอนแลนด์ เมื่อลักชัวรี คือ DNA
คอลัมน์ ผ่ามุมคิด การปรับทัพ เปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัท ท่าม กลางวิกฤติ -โควิด โจทย์หินในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML
การปรับทัพ เปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัท ท่าม กลางวิกฤติ โจทย์หินในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่น่าจับตาไม่น้อย โดยเฉพาะกับบริษัทที่ถือว่าเป็นผู้เล่นดาวเด่นในตลาดลักชัวรีคอนโดมิเนียม อย่าง บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ที่กำลังถูกต่างชาติซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญ ท้าทาย ทั้งในแง่การซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ และแม้ที่ผ่านมา จะมีการปรับเปลี่ยนในเชิงกลุ่มผู้ลงทุนถือหุ้นเรื่อยมา แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ผ่านการกลับเข้ามาในตลาดอสังหาฯ อย่างเต็มตัวอีกครั้ง ของ ตระกูล “ณรงค์เดช” ในฐานะผู้กุมบังเหียนใหม่ พร้อมกลุ่มทุนสิงคโปร์รายใหญ่ จึงมีอะไรให้น่าติดตาม…โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ การรักษาตำแหน่งความเป็นผู้นำในกลุ่มคอนโดฯลักชัวรี ที่ดำเนินมาได้ต่อเนื่อง 30 ปี
โดยมีแฟนคลับเหนียวแน่นเป็นแรงผลัก ซึ่งตลาดนี้ บ้างถูกมองว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง เสี่ยงกับราคาที่ดินโหด ขณะอีกส่วน มองเป็นโอกาสสำคัญ ที่จะจับกลุ่มต่างชาติได้มากขึ้นหลังโควิด “ฐานเศรษฐกิจ” ร่วมพูดคุยผ่ามุมมองเรื่องนี้ กับประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ไรมอนแลนด์คนใหม่ “นายกรณ์ ณรงค์เดช” ผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการสานต่อธุรกิจนับหลังจากนี้ ผ่านแผนพอร์ตการลงทุนใหม่ ระบุเตรียมใช้ดีเอ็นอี “ความลักชัวรี” บวกทำเล ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทตีทุกตลาดโอกาสต่างชาติ หลังมีความเชื่อมั่น “เมืองไทย เข้าชิง Second Home หลังวิกฤติ” ขณะโครงการที่อยู่อาศัยทำเลทอง มูลค่าไม่มีลดมีแต่จะเพิ่ม ตั้งเป้ารายได้ 2.5 – 3 พันล้านบาท
โครงสร้าง-ยุทธศาสตร์ใหม่
บริษัทเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารใหม่ หลังมีการปรับสัดส่วนผู้ถือหุ้น และผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ Mesa Thaiจากสิงคโปร์ เข้ามา โดยปัจจุบัน “กลุ่มณรงค์เดช” เป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ซึ่งกลยุทธ์ และแนวทางการบริหารงานนั้น จะมีความชัดเจนช่วงต้นปี 2564 หลังขณะนี้อยู่ระหว่างทาบทามบุคคลที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์ มาดำรงตำแหน่ง CEO ที่ว่างลง พร้อมมั่นใจในการสานต่อธุรกิจ หลังอสังหาฯไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับตนและตระกูล ซึ่งคุ้นชินจากการอยู่เบื้องหลัง กลุ่มเคพีเอ็นแลนด์ อย่างไรก็ตาม แม้โปรเจ็กต์เพื่อขายทุกแบรนด์ของ RML เช่น The Estelle,The Lofts, The Diplomat มีผลงานดี แต่โควิดก่อให้เกิดหลุมอากาศในการรับรู้รายได้ เพราะฐานหลัก
คือ ลูกค้าต่างชาติ ขณะปัจจุบันมีสต๊อก ทั้งแล้วเสร็จและก่อสร้าง มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนยอด Backlog มีราว 8.4 พันล้านบาท โดยกว่า 2 พันล้านบาทรอทยอยโอนฯ ทำให้มองเห็นความเสี่ยงในอนาคตจึงต้องการเพิ่มสัดส่วนด้านธุรกิจ Recurring Income เพื่อสร้างสมดุลทางรายได้ ซึ่งวางไว้เบื้องต้น รายได้จากการขาย และรายได้ประจำ ที่ 80:20 โดยโครงการสำนักงานเกรดเอ One City Centre บนทำเลทองเพลินจิต ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง พร้อมเปิดช่วงปลายปี 2565 นั้นจะเป็นตัวนำร่องรายได้ดังกล่าว วางเป้า 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5-7 ปี ขณะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อยู่ระหว่างพิจารณาขายหุ้นออกไป เพราะไม่ใช่โมเดลธุรกิจที่สนใจ
โอกาสทองตลาดโรงแรม
สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่เดิมมีแผนเปิด 2 แห่ง ขณะนี้แม้ชะลอไว้ แต่มองในระยะยาวเป็นโอกาสอย่างมาก โดยเฉพาะจังหวะที่ผู้ประกอบการบางรายอาจไปต่อไม่ไหวจากโควิด และอยากขายออกมือ ทั้งที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง หรือโรงแรมใหม่ไม่เกิน 3- 5ปี บริษัทเล็งทั้งรูปแบบเทคโอเวอร์ หรือควบรวมกิจการ ซึ่งขณะนี้มีหลายรายติดต่อเข้ามา โดยจะใช้ความเชี่ยวชาญของพาร์ทเนอร์ใหม่ที่ถนัดในธุรกิจโรงแรมมาเป็นแรงผลัก เจาะตลาด ระดับ 4 ดาว ราคา 4,000 – 4,500 บาทต่อคืน ทั้งในทำเล กรุงเทพฯ และรีสอร์ตเดสซิเนชั่น เช่น หัวหิน พัทยา ภูเก็ต และพังงา หลังเชื่อมั่นจุดแข็งไทยด้านการท่องเที่ยว ซึ่งหลังโควิดคงกลับมาคึกคัก
เศรษฐีไม่มีวันหมด
สำหรับแนวโน้มโครงการคอนโดฯ นายกรณ์ ระบุ บริษัทยังเชื่อ ว่าจะมีโอกาสเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในตลาดระดับลักชัวรี-ซูเปอร์ลักชัวรี ใจกลางเมือง ราคา 2.5 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งนับเป็น Core Business ที่เรามีความเชี่ยวชาญถนัดที่สุด ขณะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ พบกำลังซื้อคนไทยระดับบนดีไม่ขาด และจะกลับมาซื้อ หลังภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว เนื่องด้วยมองหาโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุน แม้กระทั่งกลุ่มเศรษฐีต่างจังหวัด ก็ซื้อหาอสังหาฯ ประเภทนี้มากขึ้น และอีกแรงผลักสำคัญ คือ ฐานลูกค้าที่ผูกพันธ์เหนียวแน่น บางไล่ช็อปครบทุกโครงการ เราเรียกกลุ่มนี้ว่า “Top 50 Spender” ก่อให้เกิดการ ซื้อซ้ำ-บอกต่อ นับ 30%
เนื่องจากโปรดักต์ที่เคยถือครองมูลค่าไม่ตก มีแต่จะเพิ่มเป็นตัวการันตี ส่วนลูกค้าต่างชาติยอมรับ ขณะเป็นช่วงยากลำบาก แต่อนาคตจากการที่ไทยบริหารจัดการไวรัสได้เด็ดขาด ปลอดภัยสุด ถ้าเทียบกับเมืองอสังหาฯ อื่นๆ ต่างชาติมองไทยเป็นเบอร์ต้น โดยเฉพาะตลาดหรู เพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 (Second Home) คาดจะมีการกลับมาทันทีที่เปิดประเทศ ฉะนั้นไม่ทิ้งอย่างแน่นอน
ไรมอนแลนด์ภาพใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินภาวะการแข่งขัน พบค่อนข้างรุนแรง หลังหลายรายหันมาขยายฐานลูกค้ากลุ่มบนมากขึ้น เลี่ยงเสี่ยงตลาดระดับกลาง-ล่าง ขณะราคาหดตัวไม่มาก ยังทำกำไรได้ ไม่นับรวมโครงการที่กำลังก่อสร้างและเตรียมเปิดใหม่ ที่ล้วนแต่มีดีไซน์-เทคโนโลยีทันสมัย ออกมาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า บริษัทจึงเตรียมนำความได้เปรียบเรื่องแบรนด์ ที่สะสมมานาน 30 ปีมาต่อยอด พ่วงกับจุดแข็งเรื่องไพร์มโลเคชั่น และคุณภาพ มาเป็นปัจจัยดึงดูด ซึ่งโครงการในอนาคต จะมีภาพความลักชัวรีที่ต่างออกไป ในเชิงหรูหราแต่ทันสมัย ดีไซน์คงเอกลักษณ์ สวยงามเทียบชั้นนานาประเทศ พร้อมการบริการลูกค้าที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ตอบรับกับกลุ่มผู้ซื้อใหม่ๆ ซึ่งพบกลุ่มคนวัยทำงาน ประสบความสำเร็จในชีวิต ขณะอายุยังน้อย เช่น สตาร์ทอัพ มีเข้ามาในตลาดลักชัวรีมากขึ้น
“ภาพเปลี่ยนไรมอนแลนด์ ยังจะเกิดขึ้นในแง่รูปลักษณ์ของแบรนด์ ที่เฟรชขึ้น เป็นลักชัวรีทันสมัย เพราะนอกจากต้องการรักษาลูกค้าเดิมแล้ว เทรนด์ลูกค้าใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อ ก็เป็นโอกาส โดยตลาดนี้จะแข่งขันกันในแง่ คุณภาพ ควบคู่กับการสร้างความพึ่งพอใจให้ลูกค้า เปรียบการซื้อรถหรู ถ้าใครดีก็ไปต่อ แต่ที่หักล้างไม่ได้จริงๆ คือ ปัจจัยเรื่องโลเคชั่น ซึ่งมั่นใจว่าเราได้เปรียบ”
นอกจากนี้ บริษัท ยังมองหาโอกาสในตลาดแนวราบกลุ่มลักชัวรี ที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการได้มาของที่ดิน รวมถึงเทรนด์ Branded Residence (โครงการที่พักอาศัยหรูภายใต้แบรนด์ชั้นนำ) เพื่อเจาะกลุ่มเศรษฐีไทยและต่างชาติ เพราะมั่นใจความพร้อมของตลาดกรุงเทพฯ ในการเปิดบ้านหรูหลังที่ 2 นำร่องแลนด์แบงค์ย่านซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งซื้อที่ดินมาในราคาสูง 1.8 ล้านบาทต่อตารางวา มูลค่าโครงการอย่างต่ำ 8 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ออมสินสางหนี้เสียดันกำไร1.3หมื่นล้านบาท
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า สิ้นเดือน ส.ค. 2563 ธนาคารมีกำไรสุทธิกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2563 จะมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเทียบกับลูกค้าของธนาคารได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และธนาคารต้องออกมาตรการพักหนี้ ปล่อยสินเชื่้อดอกเบี้ยตำเป็นการช่วยเหลือ
“กำไรสุทธิของธนาคารออมสินจะเป็นเท่าไรอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการธนาคารในเดือนนี้ ว่าต้องการให้ธนาคารสำรองหนี้ด้อยคุณภาพตามที่ฝ่ายบริหารเสนอหรือไม่ เพราะฝ่ายบริหารเห็นว่า การสำรองหนี้ด้อยคุณภาพในระดับที่มากพอ ทำให้ธนาคารมีความมั่นคงในระยาว สามารถเป็นธนาคารที่จะสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของนรัฐบาลในภาวะวิกฤตโควิด-19” ได้อย่างต่อเนื่อง
นายวิทัย กล่าวว่า ในปี 2563 ธนาคารออมสินจะมีกำไรประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยธนาคารต้องการกันเงินส่วนหนึ่งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพให้มีกำไรไม่น้อยกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท เงินสำรองดังกล่าวไม่ได้สูญเปล่า เพราะธนาคารออมสินได้มีการเร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้ที่ด้อยคุณภาพ และไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นการเร่งด่วนต่อเนื่อง เมื่อลูกหนี้กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติ ส่วนของเงินที่นำไปสำรองก็จะกลับมาเป็นรายได้และกำไรของธนาคารในปีหน้าต่อไป
“เป้าหมายของธนาคารออมสิน ชัดเจนว่า จะเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ โซเชียลแบงก์ ดังนั้นธนาคารจะไม่หวังต้องทำกำไรมากสุด แต่ต้องช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารให้เข้าถึงสินเชื่อต้นทุนต่ำให้มากที่สุด ซึ่งส่วนหนึ่งธนาคารก็ได้ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และสำรองหนี้ให้ธนาคารมีความเข้มแข็งในระยาว” นายวิทัย กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลายปีที่ผ่านมาธนาคารออมสินมีการสำรองหนี้ด้อยคุณภาพต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อต้องการให้ธนาคารมีกำไรมาก ส่งผลให้จ่ายเงินโบนัสพนักงานได้ในระดับสูง และมีการใช้งบประชาสัมพันธ์ธนาคารด้านต่างๆ จำนวนมาก ส่งผลให้งบการเงินของธนาคารออมสินในไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานตรวจเงิน (สตง.) มีผลขาดทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพราะต้องการมีการตั้งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพจำนวนมากชดเชยในอดีตที่ไม่ได้สำรองมาด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนายวิทัย เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เมื่อกลางปี 2563 ได้เร่งแก้ไขปรับโครงสร้างหนี้เป็นการด่วน ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี ธนาคารออมสินกลับมามีกำไร 5,700 ล้านบาท และเดือน ส.ค. 2563 มีกำไรกว่า 1 หมื่นล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีจะมีกำไรสุทธิจริงๆ ได้ไม่น้อยกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ยังสามารถจ่ายโบนัสพนักงานในระดับที่เหมาะสมแม้ว่าจะไม่สูงเหมือนในอดีตก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
โคตรอึด ปอดเหล็กรัสเซีย ผงาดแชมป์ “กระบี่ ฮาล์ฟ มาราธอน 2020”
“เซอร์เกย์ ซีเรียนอฟ” ปอดเหล็กหนุ่มชาวรัสเซียผงาดคว้าแชมป์ “กระบี่ ฮาล์ฟ มาราธอน 2020” ในระยะทาง 21.1 กม. ประเภททีมชาย ขณะที่แชมป์ฝ่ายหญิงคือ “อรอนงค์ วงศร”
วันที่ 28 ก.ย.63 การแข่งขัน “กระบี่ ฮาล์ฟ มาราธอน 2020” ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดกระบี่ และสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกระบี่ โดยใช้จุดออกสตาร์ต ณ สนามกีฬากลางจังหวัดกระบี่ (อ่าวนาง) และเข้าเส้นชัยที่ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่
ผลการแข่งขันปรากฏว่า ไฮไลต์ของงานในประเภทฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. แชมป์ฝ่ายชาย ตกเป็นของ เซอร์เกย์ ซีเรียนอฟ ปอดเหล็กชาวรัสเซีย ที่เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 01.10.20 ชม. เฉือนชนะอันดับ 2 ณัฐวุฒิ อินนุ่ม นักวิ่งขวัญใจชาวไทย ที่ทำเวลาได้ 01.11.04 ชม. และอันดับ 3 สุพิศ จันทรัตน์ 01.16.52 ชม. ส่วนฝ่ายหญิง แชมป์คือ อรอนงค์ วงศร โดยทำเวลาได้ 01.29.33 ชม. ตามด้วยอันดับ 2 ดอร์คัส เจโบติป ทารัส จากเคนยา เวลา 01.33.32 ชม. และอันดับ 3 รุ่งอรุณ ช่อมณี 01.39.04 ชม.
ขณะที่ในประเภทมินิมาราธอน 10.55 กม. แชมป์ฝ่ายชาย คือ คริสตอฟ ฮาดาส นักไตรกีฬาจากโปแลนด์ ทำเวลาได้ 33.54 น. ตามด้วยอันดับ 2 เอกลักษณ์ จันทร์แก้ว เวลา 35.31 น. และอันดับ 3 อาทิตย์ธา วีระธรรมวาทิน เวลา 36.42 น. ส่วนฝ่ายหญิง แชมป์คือ สุรกาญจน์ วรรณะ เวลา 45.58 น. ตามดัวยอันดับ 2 สุทธิดา อุดมชัย เวลา 46.09 น. และอันดับ 3 กานต์ธิดา จิตหลัง เวลา 48.52 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
เรื่องเล่าของ “หัวใจ” วันหัวใจโลก
ท่ามกลางอุบัติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทั่วโลกต่างก็กำลังวิตกกังวลถึงปัญหาสุขภาวะอนามัยในสังคม ยังมีอีกหนึ่งภัยเงียบใกล้ตัวที่อาจกำลังคุกคามชีวิตพวกเราทุกคนโดยไม่รู้ตัว อย่าง “โรคหัวใจ” โรคไม่ติดต่อที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในทุกขณะเวลา ซึ่งจากสถิติล่าสุดขององค์กรอนามัยโลก พบว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงถึง 17.9 ล้านรายต่อปี เป็นอันดับหนึ่งสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรโลก ขณะที่ประเทศไทยเอง พบว่ามีอัตราตัวเลขการเสียชีวิตสูงกว่า 20,000 รายต่อปี หรือในทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิต 2 คน
29 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันหัวใจโลก โดยสมาพันธ์หัวใจโลก เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงอันตรายของโรคหัวใจและหลอดเลือด มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์กรการกุศลผู้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน จะมาเผยถึงแง่มุมการทำงานและอีกหลากหลายความหมายที่ยิ่งใหญ่ของ “หัวใจ” พร้อมเชิญชวนคนไทยทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการ “ให้… (กำลัง)ใจ” กันและกัน ในวันหัวใจโลกปีนี้
ดูแล ‘หัวใจ’ เพื่อร่างกายที่แข็งแรง
“โรคหัวใจ” เป็นคำจำกัดความที่ครอบคลุมถึงหลายภาวะและมีหลายชนิด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ โรคหัวใจขาดเลือด โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดเหล่านี้ มักมีความสัมพันธ์กับสาเหตุของการเกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง และอัมพฤกษ์ อัมพาต อย่าง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว 5-6 เท่า หลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง หากเกิดขึ้นกับหัวใจห้องล่าง คนไข้จะเสียชีวิตทันทีหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าไหลตาย แต่ถ้าหากเกิดกับหัวใจห้องบน จะส่งผลให้หัวใจเต้นไม่สัมพันธ์กัน หรือเรียกว่า “โรคหัวใจเต้นระริก” ที่ผ่านมาโรงพยาบาลรามาธิบดีได้มีส่วนในการรณรงค์และผลักดันให้เกิดความรู้ความเข้าใจในโรคหัวใจเต้นระริกในสังคมไทยมาโดยตลอด เพราะโรคนี้สามารถป้องกันได้ หรือหากผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเฉียบพลัน รวมถึงอัตราการพิการและเสียชีวิตได้
อาจารย์ นายแพทย์ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ หัวหน้างานศูนย์รักษาหัวใจ หลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และประธานองค์กรนานาชาติด้านโรคไฟฟ้าหัวใจ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปี 2020 หรือ APHRS ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า “หัวใจเต้นระริก หรือภาวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติของหัวใจห้องบน จะส่งผลให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งมีโอกาสที่จะหลุดออกจากหัวใจไปอุดกั้นหลอดเลือดสมอง นำมาซึ่งการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีอาการของโรคหัวใจเต้นระริก โรคประจำตัวบางชนิดหรือหลายพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ อย่าง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น รวมถึง การสูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป รับประทานอาหารที่มีไขมันและคลอเรสเตอรอลสูงเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งความเครียด เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหัวใจเต้นระริกและเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ปัจจุบันภาวะหัวใจเต้นระริกสามารถรักษาได้ด้วยกันหลายวิธี แต่ทว่าผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีสัญาณเตือนก่อน จึงมักจะมาพบแพทย์เมื่อช้าไป ดังนั้นควรหมั่นสังเกตุตนเอง เช่น การเช็คชีพจรอย่างสม่ำเสมอ เป็นการตรวจตัวเองได้เบื้องต้น หรือการตรวจสุขภาพประจำปี ก็เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้”
เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทุกคนหมั่นดูแลสุขภาพของตนเอง และเข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที สำหรับผู้ที่ต้องการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในเบื้องต้น สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Thai CV risk calculator บนระบบ iOs และ Andriod เพื่อให้ทราบถึงเปอร์เซนต์ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากโรคเส้น เลือดหัวใจตีบตัน และโรคเส้นเลือดสมองตีบตันในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าได้ด้วยตนเอง
ซึ่งแบบประเมินนี้ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างขึ้น เพื่อติดตามศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทย ภายใต้โครงการศึกษาพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปี เพื่อคนไทยทุกคน
หัวใจของผู้ให้ ส่งต่อกำลังใจสู่ผู้ป่วย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมชีวิตที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะกับตนเองหรือคนรอบข้าง ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ก็ต้องประสบพบเจอ นางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ หนึ่งในผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยและการแพทย์ไทยมากว่า 10 ปี กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้ หลายคนที่เคยมองข้ามหรือละเลยความสำคัญของงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ การป้องกัน ส่งเสริม และรักษาสุขภาพ เริ่มหันกลับมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองและสุขภาวะอนามัยในสังคมมากขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ในทุกนาที ความเจ็บป่วยและความเสี่ยงต่อโรคร้ายมีอยู่ตลอดเวลา นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ยังคงและจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
เชื่อว่า ความสุขของทุกคน คือการได้เห็นสมาชิกในครอบครัวของตนเองมีความสุขทั้งกายและใจ เช่นเดียวกันกับ ผู้ป่วยยากไร้จำนวนมาก ที่ไม่เพียงปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ปราศจากโรคร้าย แต่ยังปรารถนาให้ครอ บครัวและคนรักมีความสุขในหัวใจที่ได้เห็นพวกเขาพ้นจากความทุกทรมานทางร่างกายอีกด้วย “เนื่องในโอกาสวันหัวใจโลกปีนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ นอกจากอยากให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพกายใจของตนเองและคนรอบข้างให้แข็งแร็งแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนเช่นนี้ ดิฉันในฐานะตัวแทนของมูลนิธิ จึงอยากขอเชิญชวนทุกคนในสังคมร่วมสืบสานวัฒนธรรมแห่งการให้และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อ “กำลังใจ” หยิบยื่นพลังบวกให้กันและกัน ร่วมสร้างและส่งต่อกำลังใจนี้ไปยังผู้ป่วยยากไร้ที่กำลังเฝ้ารอความหวังในการรักษา ที่ไม่เพียงจะมอบคุณค่าทางจิตใจอย่างมหาศาลให้ผู้รับ หากแต่ยังช่วยเติมเต็มความอบอุ่นในหัวใจของผู้ให้ทุกๆท่านอีกด้วย ร่วมแบ่งปันความสุขที่ยิ่งใหญ่ สุขในการเป็นผู้ให้ชีวิต ต่อลมหายใจของผู้ป่วยและสร้างความหวังในหัวใจของพวกเขาและครอบครัวด้วยกันนะคะ” นางสาวพรรณสิรี กล่าวปิดท้าย
ตลอดระยะเวลากว่า 51 ปี ของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ในฐานะศูนย์กลางระดมทุนและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หัวใจหรือความหมายมั่นสำคัญขององค์กร คือ การสร้างสุขภาวะหรือความมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ รวมถึงผู้ป่วยจากโรคและภาวะหัวใจ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น กองทุนหัวใจเต้นผิดจังหวะ กองทุนเพื่อผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว และอีกหลากหลายโครงการ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วม ให้… (กำลัง)ใจ เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตผู้ป่วยยากไร้ ผ่านการร่วมสมทบทุนกับมูลนิธิรามาธิบดีฯ หรือสนับสนุนของที่ระลึกที่มีสัญลักษณ์หัวใจอินฟินิตี้ เส้นสายหัวใจสีแดงที่ต่อกันเป็นรูป ‘อินฟินิตี้’ ที่ใช้สื่อถึงความหมายของ ‘คำว่า ไม่สิ้นสุด (infinity)’ ทุกกำลังใจ ทุกกำลังทรัพย์ ที่ทุกท่านมอบให้ จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อใช้สร้างและพัฒนาให้เกิด
ความก้าวหน้าทางการแพทย์และความเท่าเทียมในการรักษาที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง เติมเต็มโอกาสและความหวังในการรักษาที่ดียิ่งขึ้นให้กับพี่น้องคนไทยทุกคนต่อไป ดังปณิธานที่ว่า คำว่าให้…ไม่สิ้นสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มีความหมายแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงในภาษาอื่นๆ
เรื่องน่าสนุกของภาษาที่ในแต่ละภาษาก็จะมีคำที่สะกดหรือออกเสียงคล้ายคลึงกับคำในภาษาอื่นๆ แต่อาจจะมีความหมายที่แตกต่างกัน หรือตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงจนเราคิดไม่ถึง!เช่นเดียวกับ 10 คำภาษาอังกฤษที่กำลังจะได้เห็นกันวันนี้ บอกเลยว่าเดาไม่ถูกแน่ๆ ว่าในภาษาอื่นจะมีความหมายแตกต่างไปมากแค่ไหน ว่าแล้วก็เลื่อนลงไปดูกัน 😀
#1 Brat
ในภาษาอังกฤษแปลว่า ‘คนเลว’ โดยมีต้นกำเนิดเกี่ยวกับขอทุน เด็กที่สวมเสื้อคลุมขาดๆ แต่ในภาษารัสเซีย คำนี้แปลว่า ‘พี่ชาย’ ซึ่งมาจากภาษาละตินที่ถูกใช้สำหรับพี่น้องและผองเพื่อน
#2 Fart
ในภาษาอังกฤษคำนี้แปลว่า ‘ผายลม’ แต่ในภาษานอร์เวย์, เดนมาร์ก และสวีเดน Fart เป็นคำที่แสดงถึง ‘ความเร็ว’ หรือ ‘วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่’ เช่น ในเดนมาร์ก ‘I Fart’ หมายถึงลิฟต์กำลังถูกใช้งาน เป็นต้น
#3 Gift
ภาษาอังกฤษแปลว่า ‘ของขวัญ’ แต่ในแถบสแกนดิเนเวีย คำนี้สามารถแปลได้สองความหมาย ความหมายแรกหมายถึง ‘การแต่งงาน’ และความหมายที่สองหมายถึง ‘การเฉลิมฉลองเล็กๆ น้อยๆ’ อย่างไรก็ตามในภาษาเยอรมัน, เดนมาร์ก, นอร์เวย์ และสวีเดน คำนี้กลับมีความหมายว่า ‘ยาพิษ’
#4 Crap
ในภาษาอังกฤษ คำนี้มีความหมายว่า ‘อุจจาระ’ แต่ในประเทศโรมาเนียหากพูดถึง Crap คุณอาจจะได้แซนวิชปลา! เนื่องจากโรมาเนียยังใช้การสะกดแบบ switcheroo จึงทำให้คำว่า Carp ที่แปลว่าปลาคาร์ป ในภาษาโรมาเนียถูกสะกดเป็น Crap นั่นเอง
#5 Pay day
ในภาษาอังกฤษ วัน Pay day ถือเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองพร้อมขนมอร่อยๆ ที่เงินเดือนออกสักที แต่หากคุณได้ยินคำศัพท์นี้ในภาษาโปรตุเกสที่ถูกสะกดว่า Peidei แต่ออกเสียงคล้ายกันนั้น คำๆ นี้จะแปลว่า ‘ฉันผายลม’
#6 Face
เป็นที่รู้กันดีว่าในภาษาอังกฤษ Face หมายถึง ‘ใบหน้า’ แต่ใครบ้างจะเดาถูกว่า Fesse คำภาษาฝรั่งเศสที่ออกเสียงคล้ายคลึงกับ Face นั้น กลับมีความหมายว่า ‘สะโพก/บั้นท้าย’
#7 Air
ภาษาอังกฤษ Air แปลว่า ‘อากาศ’ แต่หากคุณไปประเทศอินโดนีเซียแล้วดันหิวน้ำขึ้นมาแล้วล่ะก็ ต้องพูดว่าขอ a glass of air (ออกเสียงว่าอาเยร์) ถึงจะได้น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ทั้งนี้ Udara คำนี้จะแปลว่าอากาศในภาษาอินโดนีเซีย
#8 Peach
หากคุณกำลังเดินซื้อผักผลไม้ในประเทศตุรกี โปรดระวังหากเจอลูกพีช เพราะมันดันกลายเป็นคำพ้องเสียงของคำว่า Piç ที่ในภาษาตุรกีแปลว่า ‘เด็กนอกกฎหมาย’
#9 Bra
ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า ‘เสื้อชั้นใน’ ธรรมดาๆ เป็นคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศสอย่าง brassiere ทั้งนี้ชาวสวีเดนใช้คำว่า Bra ในความหมายว่า ‘ดี’
#10 Smoking
แปลว่า ‘สูบบุหรี่’ ในภาษาอังกฤษถือเป็นการกระทำ แต่ในภาษาฝรั่งเศส คำนี้จะเกี่ยวกับการสวมใส่ เพราะมันใช้สำหรับ ‘เท็กซิโด้’ เช่น smoking jackets เป็นต้น
เดาถูกกันบ้างหรือเปล่า? หาความเข้ากันของความหมายแต่ละคำได้หรือไม่? ในภาษาไทยเองก็มีหลายคำที่มีความหมายพ้องกับภาษาอื่นๆ นะ ถ้าใครรู้ว่ามีคำไหนบ้างก็บอกเราได้เลย ^^’
ขอบคุณข้อมูลจาก wegointer.com
พลาสม่าคลัสเตอร์ นวัตกรรมลดเชื้อโควิด
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นในสังคมหรือที่เรียกกันติดปากว่า New Normal ขณะที่อีกหนึ่งปรากฏการณ์ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แบรนด์ดังๆทั่วโลกต่างมั่งมั่นคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีออกมาตอบโจทย์ความต้องการของประชากรโลก ที่ว่ากันว่าเรื่องของนวัตกรรมด้านความสะอาด ปลอดภัย และเพื่อสุขภาพถูกหยิบยกมา
“ชาร์ป”แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ คืออีกหนึ่งองค์กรที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก ล่าสุดจึงได้จับมือศูนย์วิจัยแห่งชาติเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคติดเชื้อ สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน มหา วิทยาลัยนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยผลวิจัย “ประสิทธิผลในการลดเชื้อไวรัส โควิด -19 ที่ลอยอยู่ในอากาศ (SARS-CoV-2)” ซึ่งพบว่า เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ช่วยลดจำนวนไวรัสโควิด-19 ในอากาศได้ถึง 91.3% โดยการวิจัยนี้ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ค้นพบว่าพลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนสามารถช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสที่แพร่ผ่านละอองฝอยขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งถือว่าการวิจัยนวัตกรรมดังกล่าวประสบผลเร็จเป็นอย่างดีทั้งในแง่ของผลการทดลองและตอบโจทย์โลกยุคโควิด-19 ทำให้หลายฝ่ายในประเทศไทยต่างตั้งตารอว่า เจ้าเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้งานจริงพร้อมทั้งต่อยอดไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าในท้องตลาด
นายโรเบิร์ต อู๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 จนถึงปัจจุบัน มีประชากรมากกว่า 25 ล้านรายทั่วโลกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และกว่า 8.4 แสนรายเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อดังกล่าว การแพร่ระบาดนี้จึงถือเป็นภัยคุกคามสำคัญที่คนทั่วโลกเผชิญ ดังนั้นบริษัทจึงคาดหวังว่าเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์จะมีประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อในพื้นที่ที่มีการใช้งานจริง ซึ่งรวมถึงสำนักงาน บ้าน สถานพยาบาล และในยานพาหนะ ซึ่งมองว่างานวิจัยนี้จึงถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสได้ดียิ่งขึ้น
“นวัตกรรมดังกล่าวทำงานโดยการปล่อยประจุไอออน (Ion) ทั้ง ประจุไอออนบวก (H+) และประจุไอออนลบ (O2-) เพื่อทำลายผนังของเซลล์เชื้อรา (Mold) ไวรัส (Virus) แบคทีเรีย (Bacteria) สารก่อภูมิแพ้ (Allergy) และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งได้รับการทดสอบและรับรองประสิทธิผลการทำงานจากหลากหลายสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลก ทั้งนี้ ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น ยังมีแผนการทดสอบประสิทธิผลของเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์อย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งตอบโจทย์สังคมอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับแผนงานสเต็ปต่อไปของทางแบรนด์คือการต่อยอดงานวิจัยด้วยการนำมาทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของพลาสม่าคลัสเตอร์ในสภาพการทำงานนอกห้องทดลองเพื่อสร้างความมั่นใจในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงและมีผู้คนใช้งานร่วมกันจำนวนมาก อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว ความเป็นมงคล ประโยชน์ สรรพคุณ และการปลูกว่านเสน่ห์จันทร์ขาว
ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว (King of Hearts) จัดเป็นไม้ประดับมงคลที่มีความโดดเด่นที่ความสวยงามของใบ ส่วนความเป็นมงคลนั้นจัดให้เป็นว่านมงคลประเภทว่านเมตตามหานิยม และว่านเสริมโชคเสริมลาภ ตามความเชื่อที่ว่าจะทำให้ผู้คนรักใคร่ ผู้คนหลงใหล ช่วยเรียกเงินเรียกทอง เงินทองไหลมาเทมา การค้าการขายเจริญรุ่งเรือง
ลักษณะเด่นที่เรียกว่า ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว เนื่องจาก ความโดดเด่นของก้านใบ และก้านดอกมีสีขาว ซึ่งต่างกับว่านเสน่ห์จันทร์แดงที่มีก้านใบสีแดงเลือดหมู และจันทร์เขียวที่มีสีก้านใบสีเขียว
• วงศ์ : Araceae
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Homalomena lindenii
• ชื่อสามัญ : King of Hearts
• ชื่อท้องถิ่น :
ภาคกลาง และทั่วไป
– เสน่ห์จันทร์ขาว
– ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว
จำนวนโครโมโซม : 2n = 40 (เหมือนกับว่านเสน่ห์จันทร์แดง และจันทร์เขียว)
ที่มา : [1]
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว มีถิ่นกำเนิด และเป็นพืชท้องถิ่นในแถบเอเซีย พบมากในเอเชียตะวันนอกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยด้วย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ [1]
ราก และต้นเสน่ห์จันทร์ขาว
ต้นเสน่ห์จันทร์ขาวมีหัวเป็นลำต้นแท้จริงอยู่ใต้ดิน โดยสามารถแตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้เรื่อยๆ หัวมีลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร เปลือกหัวมีสีขาวอมเขียว และเนื้อหัวมีสีขาว มีกลิ่นฉุนเล็กน้อย ส่วนท้ายของหัวจะเป็นส่วนที่ก้านใบแทงโผล่ขึ้นมาเหนือดิน เรียกส่วนนี้ว่า ลำต้นเทียมโดยส่วนลำต้นเทียมจะมีความสูงประมาณ 40 – 60 เซนติเมตร
รากเสน่ห์จันทร์ขาวจะไม่มีรากแก้ว แต่จะประกอบด้วยเฉพาะรากแขนงหรือรากฝอยอย่างเดียว ตัวรากแขนงมีลักษณะกลม สีขาว ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของดิน โดยรากแขนงจะแตกออกจากส่วนล่างของหัวเป็นกระจุกจำนวนมาก
ใบเสน่ห์จันทร์ขาว
ใบเสน่ห์จันทร์ขาว ออกเป็นใบเดี่ยว แทงออกบริเวณปลายหัวเยื้องสลับตรงข้ามกัน ประกอบด้วยก้านใบที่มีลักษณะกลมยาวสีขาว ยาวประมาณ 25-50 เซนติเมตร โคนก้านใบใหญ่มีลักษณะเป็นกาบหุ้ม แล้วค่อยเรียวยาวมาที่ปลายก้าน ส่วนบริเวณปลายก้านใบจะเป็นแผ่นใบ
แผ่นใบมีรูปหัวใจขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม และเป็นมัน กว้างประมาณ 15-18 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร โคนใบเว้าลึกเชื่อมกับปลายก้านใบเป็นรูปหัวใจ กลางใบใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เส้นกลางใบมีขนาดใหญ่สีขาว ส่วนเส้นแขนงใบก็มีสีขาวเช่นกัน
ดอกเสน่ห์จันทร์ขาว
ดอกเสน่ห์จันทร์ขาว แทงช่อออกตรงจุดกลางต้น จำนวนหลายช่อ ก้านช่อดอกมีสีขาวอมเขียว ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ปลายก้านช่อดอกเป็นตัวดอกที่มีกาบหุ้มดอกสีเขียวอ่อน ตัวดอกมีลักษณะเป็นช่อทรงกระบอกสีขาว
ผลเสน่ห์จันทร์ขาว
ผลเสน่ห์จันทร์ขาว มีขนาดเล็ก ทรงกลม
ประโยชน์เสน่ห์จันทร์ขาว
1. ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากใบมีสีเขียวขนาดใหญ่ และเป็นรูปหัวใจ นอกจากนั้น มีเส้นกลางใบ และเส้นแขนงใบสีขาวตัดกับแผ่นใบสีเขียวทำให้แลดูสวยงาม และแปลกตา รวมถึงยังนิยมปลูกในกระถางตั้งประดับในห้องหรืออาคารสำหรับเป็นไม้ดูดสารพิษด้วยเช่นกัน
2. ว่านเสน่ห์จันทร์ขาวปลูกเป็นไม้มงคล โดยเกจิไม้มงคลจัดให้เป็นประเภทว่านเมตตามหานิยม และว่านเสริมโชคเสริมลาภ
3. เกจิอาจารย์มักใช้ว่านเสน่ห์จันทร์ขาวทุกส่วนทำหรือใช้เป็นส่วนผสมของพระเครื่อง และวัตถุมงคลต่างๆเพื่อให้เกิดความขลังในด้านเมตตามหานิยม
ความเป็นมงคลว่านเสน่ห์จันทร์ขาว
เสน่ห์จันทร์ขาว จัดเป็นว่านมงคลประเภทเมตตามหานิยม และเสริมโชคเสริมลาภ โดยมีความเชื่อว่า เป็นว่านที่ช่วยให้ผู้คนรักใคร่ ผู้คนหลงใหลชมชอบ อีกทั้งเป็นว่านที่ช่วยเรียกเงินเรียกทอง ช่วยให้มีโชคลาภ ช่วยให้การทำมาค้าขายมีกำไร มีความรุ่งเรืองในด้านทรัพย์สินเงินทอง
สรรพคุณเสน่ห์จันทร์ขาว
ทุกส่วนของว่านเสน่ห์จันทร์ขาวมีสารพิษ ใช้เป็นยาพิษเบื่อปลา หากรับประทานจะทำให้ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน
โดยทั่วไปจะใช้เฉพาะเป็นยาภายนอก ใช้ทารักษาแผลเปื่อย แผลติดเชื้อหรือมีน้ำหนอง
การปลูก และดูแลเสน่ห์จันทร์ขาว
เนื่องจากว่านเสน่ห์จันทร์ขาวเป็นไม้ที่ชอบ และเติบโตได้ดีในที่แสงรำไรหรือในที่ร่ม ไม่ชอบสภาพกลางแจ้งที่มีแดดร้อน จึงนิยมปลูกใต้ต้นไม้อื่นที่ให้ร่มได้หรือปลูกในกระถางตั้งในห้องหรืออาคารเป็นหลัก
การปลูกว่านเสน่ห์จันทร์ขาวจะใช้วิธีปลูกด้วยการแยกหน่อหรือต้นเล็กแยกออกปลูก หากแยกปลูกในกระถางให้ผสมดินร่วนกับแกลบดำ/ปุ๋ยคอก และขุ๋ยมะพร้าวในอัตราส่วน 2:1:1 คลุกผสมให้เข้ากันแล้วบรรจุในกระถาง เมื่อแยกปลูกแล้วค่อยนำไปตั้งไว้ในที่แสงรำไร ส่วนการรดน้ำนั้น ให้รดน้ำทุกๆ 3-5 วัน/ครั้ง อย่าปล่อยให้ในปลูกในกระถางแห้ง
คาถากำกับ
ใช้คาถากำกับจะใช้สำหรับท่องเวลาปลูก และรดน้ำ ประกอบด้วย 2 คาถา คือ คาถาเสริมโชคเสริมลาภ และคาเมตตามหานิยม แต่หากผู้ใดไม่ต้องการท่องคาถา ก็ให้ตั้งจิตระลึกถึงองค์พระพุทธองค์ และตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตนปรารถนาทั้งในตอนปลูก และรดน้ำ
คาถาเสริมโชคลาภ
ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่องคาถา 3 จบ
“มหาลาโภ โหตุ ภวันตุเม”
คาถาเมตตามหานิยม
ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่องคาถา 3 จบ
“นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู นะโมพุทธายะ นะมะอะอุ”
ขอบคุณข้อมูลจาก puechkaset.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 27,800.00 | 27,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,801.00 | 27,303.16 | 28,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,620.90 | 24,572.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,440.80 | 21,842.53 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 810.00 | 12,279.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 630.00 | 9,550.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,866.00 | 28,288.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/09/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | – | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.04 | 18.04 | – | – | – | – | – | – | – | 18.04 |
เบนซิน 95 | 29.16 | – | – | – | 29.61 | – | 29.66 | 29.16 | – | 29.16 |
ดีเซล | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 | 21.29 |
ดีเซล B10 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 | 18.29 |
ดีเซล B20 | 18.04 | 18.04 | 18.04 | 18.04 | 18.04 | – | 18.04 | 18.04 | – | 18.04 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 25.74 | 25.76 | 27.74 | 27.74 | – | – | – | – | – | 25.74 |
แก๊ส NGV | 14.17 | 14.17 | – | – | – | – | – | – | – | 14.17 |