รู้ก่อนดราม่า! ทำไมต้องสร้างหอชมเมืองกรุงเทพฯ
ข่าวที่ฮือฮาไม่น้อยเมื่อวานนี้ (27 มิถุนายน 2560) ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ครั้งที่ 1/2560 ได้มีมติเห็นชอบ “โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร” บนที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ และเป็นโครงการที่มีแนวทางสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลภายใต้ปรัชญา “ศาสตร์พระราชา” โดยความร่วมมือในรูปแบบแนวทางประชารัฐของรัฐบาล ซึ่งโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ให้ดำเนินโครงการก่อสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลข กท.3275 เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ที่สร้างความฮือฮาคงหนีไม่พ้นคำครหาที่รัฐนำเงินไปถลุง สร้างสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับปากท้องชาวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายแง่มุมที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้กัน
งบลงทุนมาจากภาคเอกชน 100%
โครงการหอชมเมืองกรุงเทพฯ จะดำเนินการก่อสร้างโดย “มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร” ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน มีมูลค่าโครงการประมาณ 4,621 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าการลงทุนก่อสร้างประมาณ 4,422 ล้านบาท และเป็นค่าที่ราชพัสดุประมาณ 198 ล้านบาท โดยงบลงทุนจะเป็นเงินตั้งต้นของมูลนิธิ 5 แสนบาท เงินกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท เงินบริจาคจากบริษัทเอกชนชั้นนำประมาณ 2,100 ล้านบาท แต่ที่ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) เนื่องจากโครงการนี้มีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท และเป็นการนำที่ดินของรัฐเข้าไปร่วมดำเนินการโดยตีราคาค่าเช่าระยะ 30 ปีเป็นเงินร่วม จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
โดยประมาณการว่าราคาบัตรเข้าชมจะอยู่ที่ประมาณ 750 บาท/คน รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมประมาณ 1,054 ล้านบาท/ปี โดยจะมีส่วนลดพิเศษให้กับคนไทย 50% คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 892 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยปีละ 38 ล้านบาท นอกจากนี้ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับองค์กรสาธารณะกุศล
รายละเอียดเบื้องต้นของหอชมเมืองกรุงเทพฯ
หอคอยชมเมืองกรุงเทพฯ มีเนื้อที่ 4-3-15.3 ไร่ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บน ซ.เจริญนคร 7 ถ.เจริญนคร เขตคลองสาน ติดกับโครงการ ICON SIAM เพื่อเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยจะมีความสูงรวมทั้งสิ้น 459 เมตร ซึ่งเป็นหอคอยชมวิวที่สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก อาคารถูกออกแบบให้มีลักษณะโครงสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทย มีจำนวน 24 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และส่วนฐานอาคาร (Podium) อีก 4 ชั้น
โดยชั้นบนสุดจะเป็นโถงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งมหาจักรีพระบรมราชวงศ์เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งมหาจักรีพระบรมราชวงศ์เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริยาธิราช ประดิษฐานรูปหล่อพระคลังมหาสมบัติ พร้อมแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสตร์พระราชาทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ยังจะพัฒนาให้เป็นจุดชมวิวของกรุงเทพฯ และศูนย์การเรียนรู้ โดยจัดให้นักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนรู้ขั้นตอนการก่อสร้าง เพื่อยกระดับพื้นฐานทางปัญญาเยาวชนไทย
หอชมเมืองในไทยมีที่ไหนบ้าง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีหอชมเมืองที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและสร้างเสร็จแล้ว จำนวน 9 แห่ง ประกอบด้วย
หอชมเมืองที่สร้างเสร็จแล้ว
1. หอคอยบรรหาร-แจ่มใส จ.สุพรรณบุรี ความสูง 123.25 เมตร จำนวน 4 ชั้น ใช้งบ 250 ล้านบาท โดยมาจากเงินบริจาคของชาว จ.สุพรรณบุรี โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ สร้างเสร็จเมื่อปี 2537
2. หอแก้วมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ความสูง 65.50 เมตร ใช้งบ 50 ล้านบาท สร้างเสร็จเมื่อปี 2539
3. หอคอยสุรนภา ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ความสูง 82 เมตร จำนวน 25 ชั้น สร้างเสร็จเมื่อปี 2539
4. หอชมเมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ความสูง 32 เมตร จำนวน 10 ชั้น ใช้งบ 35 ล้านบาท สร้างเสร็จเมื่อปี 2551
5. หอคอยเฉลิมพระเกียรติ จ.ศรีษะเกษ ความสูง 84 เมตร จำนวน 16 ชั้น ใช้งบ 65 ล้านบาท สร้างเสร็จเมื่อปี 2559
6. หอคอยโรงแรมพัทยาปาร์ค ทาวเวอร์ ความสูง 240 เมตร จำนวน 55 ชั้น
7. หอคอยสกายเดค ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ความสูง 110 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี 2559
หอชมเมืองที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
8. หอชมเมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ความสูง 179.5 เมตร ใช้งบจาก อบจ.สมุทรปราการ 593 ล้านบาท และเทศบาลนครสมุทรปราการ 54 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จสิ้นปี 2560
9. หอชมเมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด หอชมเมืองรูปทรงโหวด ความสูง 101 เมตร ใช้งบประมาณจังหวัดประมาณ 200 ล้านบาท
หอคอยในต่างประเทศสร้างมูลค่าด้านการท่องเที่ยว
หอคอยที่สูงที่สุดในโลก ปัจจุบันคือ Tokyo Skytree มีความสูงถึง 634 เมตร จำนวน 450 ชั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอกระจายคลื่น ภัตตาคาร และชมวิว ซึ่งเปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี 2555 โดยในแต่ละวันมีผู้เข้าชมประมาณ 15,000 คน หรือคิดเป็นปีละประมาณ 5.4 ล้านคน หากคำนวณจากราคาตั๋วเข้าชมถูกที่สุดคือ 1,030 เยน หอคอยแห่งนี้จะสร้างรายได้ให้ต่ำที่สุดมากกว่า 5.5 พันล้านเยน/ปี หรือ 1.6 พันล้านบาท/ปี
หากไล่เรียงความสูงหอคอยที่ติดอันดับโลก 1 ใน 5 ได้แก่
อันดับที่ 1 Tokyo Skytree กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สูง 634 เมตร
อันดับที่ 2 Canton Tower เมืองกวางโจว ประเทศจีน ความสูง 610 เมตร
อันดับที่ 3 CN Tower เมืองโตรอนโต้ ประเทศแคนาดา ความสูง 553 เมตร
อันดับที่ 4 Ostankino Tower กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ความสูง 540.1 เมตร
อันดับที่ 5 Oriental Pearl Tower เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ความสูง 467.9 เมตร
ส่วนหอคอยชมเมืองกรุงเทพฯ ของประเทศไทยเมื่อสร้างแล้วเสร็จจะอยู่อันดับที่ 6 ความสูง 459 เมตร
สรุปแล้วหอคอยชมเมืองกรุงเทพฯ คือการลงทุนของภาคเอกชนโดยใช้พื้นที่ภาครัฐ ไม่ใช่การนำเงินของภาครัฐไปละลายแม่น้ำอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ ต้องมาดูกันว่าหากโครงการนี้แล้วเสร็จจะดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทยได้มากน้อยแค่ไหน
ที่มา ddproperty.com
ทำเลรุ่งคอนโดมือสอง ราคาขายต่อสูงสุดถึง90% โซนกลางเมือง-แนวรถไฟฟ้า
กูรูอสังหาฯ เปิด 5 พื้นที่ทำเลทองคอนโดฯรีเซล เผยบางทำเลราคาขายต่อตร.ม.ต่ำกว่าโครงการใหม่มากกว่า 50% ชี้แนวถนนสุขุมวิทช่วงซอย 1-55 น่าสนใจสุด พบปัจจัยหนุนเพียบ ด้าน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินผลตอบแทนจากการขายต่อสูงสุด 80-90%
จากปัจจัยหลักในเรื่องของราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านใจกลางเมือง แนวรถไฟฟ้า ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สูงขึ้นตามราคาต้นทุนที่ดิน ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการพักอาศัยในเมืองมองหาคอนโดมิเนียมที่มีราคาถูกกว่าของใหม่ อยู่ทำเลเดียวกันและองค์ประกอบอื่นๆ ในโครงการก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เหตุนี้คอนโดมิเนียมมือสองจึงตอบโจทย์ความต้องการ
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความต้องการคอนโดฯ มือสองในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทำเลที่น่าสนใจควรเป็นทำเลที่มีโครงการเปิดการขายต่อเนื่อง และที่ดินมีเหลือน้อย ราคาที่ดินสูงขึ้น ทั้งนี้ทำเลที่จะแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดฯมือสองประกอบด้วย
ตามแนวถนนสุขุมวิทช่วงซอย 1-55 ปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลนี้ตอนนี้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อตารางวา โดยมีโครงการคอนโดฯเปิดขายใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีโครงการพาณิชย กรรมอื่นๆ อาทิ อาคารสำนักงาน โรงแรม และคอมมิวนิตีมอลล์ ทำให้ศักยภาพของที่ดินเพิ่มขึ้น พื้นที่ต่อไปคือรอบๆ สถานีรถไฟใต้ดินพระราม 9-สถานีรถไฟใต้ดินสุทธิสารตามแนวถนนรัชดาภิเษก ในพื้นที่นี้มีโครงการใหม่เปิดขายต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ราคาก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งพื้นที่รอบๆ แยกพระราม 9ยังเป็นทำเลที่มีศูนย์การค้าและยังคงมีการพัฒนาโครงการรูปแบบ อื่นๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาที่ดินจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อไป
พื้นที่ตามแนวถนนพหลโยธินตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า-หมอชิต บริเวณนี้เป็นอีกทำเลที่น่าสนใจในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมือสอง ทำเลนี้เป็นทำเลที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยังคงมีโครงการขนาดใหญ่อย่างสถานีกลางบางซื่อรวมไปถึงโครง การ Mixed use ของผู้ประกอบการเอกชนบางรายที่มีแผนจะพัฒนาโครงการในพื้นที่รอบๆ สถานีหมอชิตมาช่วยเสริมสร้างศักยภาพ
เส้นทางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีราชเทวีขึ้นไปถึงสถานีอนุสาวรีย์ชัยฯ แม้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะมีโครงการคอนโดฯเปิดขายใหม่ไม่มากนัก แต่ก็มีราคาสูงขึ้นกว่าโครงการเก่าที่ แม้จะเปิดขายก่อนหน้าเพียงไม่กี่เดือนก็ตาม อีกทั้งยังเป็นทำเลที่ไม่ไกลจากเมืองชั้นในมีอาคารสำนักงานหลายอาคารและยังมีโครงการอาคารสำนักงานใหม่ที่จะเริ่มก่อสร้างในอนาคตอีกด้วย และพื้นที่รอบสวนลุมพินี ทำเลนี้มีที่ดินแบบกรรมสิทธิ์ขายขาดไม่มากนัก ทำให้ความน่าสนใจของโครงการคอนโดมิเนียมบนที่ดินแบบนี้มีสูงมาก และเป็นทำเลที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ไม่แพ้พื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท
“คอนโดฯมือสองในหลายพื้นที่นอกเหนือจากพื้นที่ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นยังคงน่าสนใจอยู่ แม้แต่หลายๆ โครงการที่สร้างเสร็จมามากกว่า 10 ปีในทำเลเมืองชั้นในก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อบางกลุ่มที่ต้องการคอนโด มิเนียมขนาดใหญ่ที่มีระเบียงหรือว่าพื้นเป็นไม้จริง ซึ่งราคาขายต่อตารางเมตรต่ำกว่าโครงการในปัจจุบันมากกว่า 50% ก็มีเช่น อโศก” นายสุรเชษฐ กล่าว
ทั้งนี้ การเลือกซื้อคอนโดฯมือสองนั้นควรพิจารณาหลายๆ ด้านทั้งราคาขายที่ต้องต่ำกว่าโครงการที่เปิดขายทีหลังแบบชัดเจน รูปแบบโครงการต้องไม่ล้าสมัย ส่วนกลางยังคงมีสภาพดี โครงการมีการบำรุงรักษาแบบต่อเนื่อง หรือไม่มีเรื่องราวขัดแย้งภายในโครงการ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาข้อมูลเบื้องต้นต่างๆ ได้ทางสังคมออนไลน์ นอกจากนี้การซื้อต่อจากเจ้าของห้องที่ต้องการขายก่อนโอนกรรมสิทธิ์ก็เป็นอีกวิธีที่นักลงทุนหลายคนเลือกใช้ เพราะหลายคนได้ห้องมาในราคาเปิดขายช่วงพรีเซลหรืออาจจะแตกต่างไม่มากนัก เนื่องจากผู้ซื้อหลายคนไม้ต้องการโอนกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว
ด้าน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการจะเน้นพัฒนาในโครงการที่เจาะตลาดระดับบนมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ยังคงมีกำลังซื้อและไม่ได้รับผลกระทบจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินมากนัก รวมไปถึงราคาที่ดินในกรุงเทพฯ มีราคาที่แพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงมีส่วนทำให้ราคาโครงการเปิดใหม่ปรับตัวสูงขึ้น ตลาดรีเซลจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน
“หากพิจารณาในแง่ของผลตอบแทนการในการลงทุนในคอนโดฯพบว่า คอนโดฯ ไฮไรส์ ในกรุงเทพฯโดยภาพรวมผลตอบแทนจากการขายต่อในระยะการถือครองระยะเวลา 3-5 ปี มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20-50% และในบางโครงการที่ถือครองมากกว่า 7 ปีอาจได้ผลตอบแทนสูงถึง 80-90%อาทิ โครงการควอทโทรบาย แสนสิริ หรือโครงการริมน้ำ เดอะ ริเวอร์
นอกจากนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกจากการกำไรจากการขาย ยังสามารถปล่อยห้องให้เช่าได้ โดยอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับโดยเฉลี่ยของตลาดรีเซลอยู่ที่ 5-7% ซึ่งโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัยและโซนราชเทวี-พญาไทเป็นโซนยอดฮิตสำหรับปล่อยเช่าที่ได้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5% ส่วนโซนพระโขนง-อ่อนนุช ได้ผลตอบแทนสูงถึง 7%” นายอนุกูล กล่าว
ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
‘รอจนแก่’ รัฐจ่อขยายเวลารับเงินชราภาพเป็น 60 ปี
หนึ่งข่าวที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในช่วงนี้คือข่าวที่ทางกระทรวงแรงงานสั่งการให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมแก้กฎหมาย ขยายเวลาการรับเงินชราภาพของผู้ประกันตนจาก 55 ปี เป็น 60 ปี โดยอ้างว่าจะช่วยสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับแรงงาน พร้อมทั้งรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้นลูกจ้างตาดำๆ ที่โดนหัก 5% ของเงินเดือนเพื่อเข้ากองทุนประกันสังคม “ทำไมพวกเขาเหล่านี้จะต้องรอนานขึ้นอีก 5 ปี กว่าจะได้นำเงินที่สะสมมาใช้ชีวิตยามแก่” แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเหตุและผล ซึ่งทาง สปส. เองก็มีข่าวคราวแว่วมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าต้องการจะขยายเวลาดังกล่าว เพื่อเป็นการปฏิรูปการบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เงินชราภาพมาจากไหน
ผู้ประกันตนในมาตรา 33 คือลูกจ้างทั่วไปที่ถูกหัก 5% ของเงินเดือนไปสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยกำหนดฐานค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 1,650 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท โดยเงินที่ถูกหักเข้ากองทุนสูงสุดต่อเดือนจะอยู่ที่ 750 บาท
เงิน 750 บาทนี้ จะถูกกระจายไปสมทบเป็นสิทธิประโยชน์ในแต่ละกรณี แบ่งเป็น 1.5% หรือสูงสุด 225 บาท จะเก็บไว้เพื่อสมทบกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต 0.5% หรือสูงสุด 75 บาท จะเก็บไว้เพื่อสมทบกรณีว่างงาน ส่วนอีก 3% หรือสูงสุด 450 บาท จะเก็บไว้เพื่อสมทบกรณีชราภาพ สำหรับกรณีชราภาพนั้น สปส. กำหนดให้นายจ้างต้องช่วยสมทบให้อีกเท่าตัว ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2541 ทำให้ในแต่ละเดือนจะมีเงินเก็บไว้เพื่อสมทบกรณีชราภาพสูงสุด 900 บาท
กองทุนเสี่ยงล่มในอีก 38 ปี
จากข้อมูลการจ่ายเงินบำนาญชราภาพที่ผ่านมา พบว่า ตั้งแต่ปี 2557 มีผู้ประกันตนอายุครบ 55 ปีตามกำหนด ยื่นขอรับสิทธิ์จำนวน 20,000 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 370 ล้านบาท ในปี 2559 มีผู้ประกันตนที่ยื่นขอรับสิทธิ์เพิ่มเป็น 67,000 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,450 ล้านบาท ในปี 2560 คาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกันตนที่จะเข้ารับเงินชราภาพเพิ่มเป็น 200,000 ราย และภายในปี 2570 คาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกันตนที่ขอรับรับเงินชราภาพเพิ่มเป็น 1 ล้านคน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมากกว่า 246,524 ล้านบาท หากหลังจากปี 2559 เป็นต้นไป สปส. ไม่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารกองทุนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าในอีก 38 ปีข้างหน้า เงินในกองทุนนี้จะต้องหมดลงอย่างแน่นอน
สปส. เล็งใช้ 5 แนวทาง ปฏิรูปเงินชราภาพ
ทาง สปส. จึงได้กำหนดแนวทางปฏิรูประบบบำนาญชราภาพไว้ 5 แนวทาง คือ
1. ขยายอายุเกษียณจากปัจจุบันที่ 55 ปี เป็น 60 ปี เมื่อขยายอายุเกษียณออกไปแล้ว หากผู้ประกันตนคนใดถูกเลิกจ้างหรือลาออกหลัง 55 ปี จะได้รับเงินสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานด้วย
2. ปรับฐานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวณเงินชราภาพ จากปัจจุบันขั้นต่ำอยู่ที่ 1,650 และสูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท เป็นขั้นต่ำอยู่ที่ 3,600 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 20,000 บาท
3. ปรับสูตรคำนวณการจ่ายเงินบำนาญชราภาพ จากเดิมใช้คำนวณจากเงินเดือน 5 ปีสุดท้ายที่จ่ายเงินสมทบ ทำให้ผู้ประกันตนได้เงินบำนาญน้อยไม่เป็นธรรม เปลี่ยนเป็นคำนวณจากฐานเงินเดือนในช่วง 15 ปี หรือ 20 ปี
4. ปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบที่จัดเก็บเข้าสู่กองทุนชราภาพ จากปัจจุบันที่เก็บ 3% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และนายจ้างสมทบอีก 3% ของเงินเดือน เพิ่มเป็นฝ่ายละไม่เกินร้อยละ 5 ของเงินเดือน เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ
5. สปส. จะเร่งพัฒนาการลงทุนให้ได้ผลกำไรมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เงินในกองทุนงอกเงย
หากปฏิรูปได้ตามแนวทางที่วางไว้ จะช่วยยืดอายุกองทุนไปได้อีก 30 ปี คือนับตั้งแต่ปี 2597 เป็นต้นไป นอกจากนี้ทาง สปส. จะแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2558 และพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. 2533เพื่อให้สอดรับกับ 5 แนวทางข้างต้นทั้งเรื่องการขยายอายุเกษียณ เพิ่มอัตราเงินสมทบที่จัดเก็บเข้าสู่กองทุนชราภาพ ซึ่งจะกำหนดไว้ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขให้อยู่ในกฎกระทรวง และกำหนดให้หน่วยลงทุนเป็นองค์กรอิสระ ภายใต้กำกับของ สปส. สามารถจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหารการลงทุน เพื่อความคล่องตัวในการลงทุน โดยเมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขแล้ว ในอนาคตผู้ประกันตนจะสามารถอยู่ในระบบได้จนถึงอายุ 60 ปี ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานประกันสังคมจะดำเนินการศึกษารูปแบบความเป็นไปได้เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อไป
หากมองในแง่ดีคือการปฏิรูปการบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อไม่ให้เสี่ยงล่มทั้งระบบในอนาคต เป็นการวางแผนเพื่ออนาคต แต่สำหรับผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบในปัจจุบันนั้น ก็ต้องมาดูกันในรายละเอียดว่าทาง สปส. จะมีมาตรการอย่างไรต่อไป
ที่มา ddproperty.com
วิธีช่วยให้แบต iPhone ไม่หมดเร็ว
หลายคนชอบ iPhone ที่มีแอพพลิเคชันให้เล่นมากมาย แต่ประเด็นที่ผู้ใช้ยังคงรู้สึกมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ “แบตเตอรี่”ที่หมดเร็วเหลือเกิน ซึ่งความจริง iPhone ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันก็พยายามให้บริการกับผู้ใช้อย่างดีทีสุด ข้อเท็จจริงคือ ผู้ใช้สามารถจัดการการใช้พลังงานแบตฯของ iPhone ให้ได้นานขึ้น เหมือนกับที่เราคอนฟิกระบบจัดการพลังงานบนโน้ตบุ๊คยังไงยังงั้น
แนะนำวิธีเซตอัพให้ iPhone ของคุณใช้พลังงานแบตเตอรี่อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามกันดูเลยครับว่า 8 วิธีประหยัดแบตฯ iPhone ให้ใช้ได้นานขึ้นนั้น มีอะไรบ้าง?
ปิดคุณสมบัติการแจ้งเตือน ทราบไหมครับว่า ระบบแจ้งเตือน (push notification) ที่เปิดให้แอพฯ ต่างๆ ได้มีโอกาสอัพเดตข้อมูลไปจนถึงตัวโปรแกรมเอง Notification เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ใช้พลังงานแบตฯมิใช่น้อย หากไม่จำเป็นต้องใช้ก็ปิดไปก่อนดีกว่า ผู้พัฒนาแอพฯส่วนใหญ่จะเขียนโปรแกรมให้ใช้คุณสมบัตินี้ ซึ่งในกรณีทีมีแอพฯหลายตัวอยู่ใน notification แบตเตอรี่ก็จะถูกใช้มากตามไปด้วย เนื่องจากทุกครั้งทีมีกระตุ้นเตือน ระบบจะต้องมีการเชื่อมต่อไร้สาย (Wi-Fi, 3G, Edge, etc.) ไปยังเว็บไซต์ของแอพฯ เหล่านั้น
ปิด push e-mail หากคุณไม่ได้กำลังรออีเมล์ด่วนจากใคร แบบมาปุ๊บต้องเปิดอ่านทันที ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดการทำงานของ push e-mail เพราะเพียงแค่แตะไอคอน e-mail ที่ดีฟอลต์การทำงานของโปรแกรม มันก็จะตรวจเช็คทุกอินบ๊อกซ์ (All Inboxes) ให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว สะดวกง่ายดาย ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้
ปิดการใช้สัญญาณวิทยุทุกประเภทที่ไม่ได้ใช้ ผู้ใช้บางท่านไม่ทราบว่า เราสามารถปิด (disable) การทำงานของ 3G ได้ ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสำรองแบตเตอรี่ไว้ใช้ได้นานขึ้น และหากต้องการประหยัดพลังงานมากกว่านี้อีกก็ปิด Wi-Fi, Bluetooth และ GPS เนื่องจากการค้นหาสัญญาณวิทยุเหล่านี้จะเป็นการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของ iPhone มากทีเดียว หากคุณต้องการเล่นเกมส์ อ่านอีบุ๊ค ฟังเพลง หรือดูคลิปวิดีโอที่อยู่ในเครื่องได้นานขึ้นขณะเดินทางไกล ลองปิดการทำงานของคุณสมบัติเหล่านี้ดูนะครับ
ปิดการทำงานในแบคกราวด์ (background tasks) สำหรับผู้ใช้ iOS 4 ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ multitasking การเปิดแอพฯค้างไว้ในเครื่องหลายๆ ตัวโดยไม่ปิด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดเร็ว โดยเฉพาะแอพฯที่มีการติดต่อกับเน็ต อย่างเช่น Skype ซึ่งผู้ใช้จะต้องเสียพลังงานแบตฯมากมายหากต้องรอคอย ขั้นตอนการปิดก็แค่ดับเบิ้ลคลิกปุ่ม Home รายการแอพฯที่รันค้างจะปรากฎขึ้นด้านล่าง ใช้นิ้วจิ้มค้างไว้จนวงกลมสีแดงปรากฎขึ้นมาที่มุมบนซ้ายของไอคอน ให้ใช้นิ้วแตะเพื่อปิดพวกมันไปซะ แค่นี้ก็เรียบร้อย
ตั้งค่าความสว่างของหน้าจอเป็นแบบปรับอัตโนมัติ การลดความสว่างของหน้าจอช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากทีเดียว แต่มันก็ดูขัดกับความต้องการผู้ใช้ เพราะหลายคนชื่นชอบหน้าจอ iPhone ตรงที่มันสว่างสดใสนั่นเอง ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าก็คือ การปรับแสงสว่างโดยอัตโนมัติ ซึ่ง iPhone จะสามารถปรับความสว่างของหน้าจอเทียบกับแสงสว่างของสิ่งแวดล้อมให้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการใช้งานใน หรือนอกสถานที่ที่มีแสงสว่างแตกต่างกันพอสมควร เพราะมันไม่จำเป็นเลยที่จอ iPhone ของคุณต้องสว่างตลอดเวลา
ปิดการตอบสนองของเกมส์ที่ใช้ force feedback เกมส์แอคชั่นหลายๆ เกมส์จะใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติการสั่น (vibrate feature) ในการจำลองความรู้สึกโต้ตอบที่เกิดขึ้นในเกมส์ ซึ่งโดยกลไกการทำงานลักษณะดังกล่าว จะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มาก สำหรับการขับให้มอเตอร์ลูกเบี้ยวทำงานนั่นเอง
หาตัวช่วยอย่างปลอกสำรองแบตฯ (battery back-up case) แม้ปลอกใส่ iPhone พวกนี้จะทำให้มือถือของคุณหนาขึ้น แต่กับระยะเวลาในการใช้งานที่นานขึ้นเป็น 2 เท่ามันก็คุ้มค่าดีนะครับ ไม่เชื่อลองให้น้องผึ้งแนะนำอีกทีก็ได้ครับ ?
ซิงค์ iPhone อย่างสม่ำเสมอ แม้คุณจะไม่ค่อยเปลียนแปลง Playlists หรือติดตั้งแอพฯใหม่ๆ บ่อยนัก การซิงค์ iPhone กับ PC อย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณได้ใช้ OS และเฟิร์มแวร์รุ่นล่าสุด เนื่องจากอัพเดตของ Apple มักจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานของแบตเตอรี่ด้วย
หวังว่า ทิปเล็กๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานแบตฯ iPhone ให้ใช้ได้นานขึ้นนี้ จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ ?
ที่มา it24hrs.com
อาบน้ำชำระใจ
การอาบน้ำนอกจากจะช่วยชำระกายให้สะอาดแล้ว ยังสามารถชำระใจให้แจ่มใสได้ด้วย หากเรามีสติอยู่กับการอาบน้ำ กล่าวคือไม่ปล่อยใจลอย หรือหาเรื่องต่าง ๆ มาคิดครุ่นขณะอาบน้ำ จิตรับรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าถูสบู่ ขัดคราบไคล หรือเช็ดตัว ก็รับรู้อย่างต่อเนื่อง หากจะเผลอคิดไป ก็รู้เท่าทันความคิด และปล่อยวางได้
สำหรับคนส่วนใหญ่ การอาบน้ำเป็นช่วงที่ร่างกายและจิตใจกำลังผ่อนคลาย จึงมักปล่อยใจลอย จะไปไหนก็สุดแท้แต่ใจอยากจะไป แต่บ่อยครั้งใจกลับไปจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ในอดีตหรือความกังวลกับอนาคต หาไม่ก็คิดถึงการงานอันชวนให้เครียด ทำให้ไม่มีโอกาสได้ผ่อนคลายในช่วงเวลาที่น่าจะสบาย
ใช่แต่เวลาอาบน้ำเท่านั้น ใจที่ชอบฟุ้งซ่านยังหาเรื่องเครียดมาใส่ตัวตลอดทั้งวัน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็มี แม้แต่เที่ยวก็ยังเที่ยวไม่สนุก เพราะหาเรื่องต่าง ๆ มาครุ่นคิด
เป็นธรรมดาของใจที่ชอบฟุ้งซ่าน แต่ปัญหาจะไม่เกิดหากใจมีสติรู้เท่าทันความฟุ้งซ่าน สติยิ่งไวเท่าไร ใจก็ยิ่งฟุ้งซ่านน้อยลง และอยู่เป็นที่เป็นทางมากขึ้น แต่สติจะว่องไวได้ก็เพราะผ่านการฝึก
เราสามารถฝึกใจให้มีสติว่องไวได้ในทุกโอกาส ไม่จำต้องรอเข้าคอร์สกรรมฐาน ไม่ว่าจะทำอะไรในชีวิตประจำวันก็เป็นโอกาสฝึกสติได้ทั้งสิ้น
หลายคนบ่นว่าไม่มีเวลาทำสมาธิ เข้ากรรมฐาน แต่ลืมไปว่าช่วงเวลาที่อยู่ในห้องน้ำ เป็นโอกาสดีสำหรับการฝึกสติ วันหนึ่ง ๆ เราใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง นอกจากการอาบน้ำแล้ว ยังต้องถูฟันและขับถ่าย หากทำกิจวัตรเหล่านี้อย่างมีสติ (ช่วงขับถ่ายอาจใช้วิธีน้อมจิตอยู่กับลมหายใจ) ทั้งนี้โดยถือหลักง่าย ๆ ว่า “กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น” ปีหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับว่าได้ปฏิบัติธรรมถึง ๑๕ วันเต็ม (๓๖๕ ชั่วโมง)โดยยังไม่ได้เข้าคอร์สกรรมฐานด้วยซ้ำ
พระไพศาล วิสาโล
แหล่งที่มา facebook พระไพศาล วิสาโล
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 29/06/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,050.00 | 20,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,299.00 | 19,692.84 | 20,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,169.10 | 17,723.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 585.00 | 8,868.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 455.00 | 6,897.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,346.00 | 20,405.36 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 29/06/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.05 | 25.05 | – | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 | 25.05 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 | – | 22.54 | 22.54 | 22.54 | 22.54 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 18.94 | 18.94 | – | – | – | – | – | 18.94 | 18.94 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 | 24.78 |
เบนซิน 95 | 32.16 | – | – | 32.61 | 32.61 | – | 32.66 | 32.16 | 32.16 | 32.16 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 | 23.49 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 26.49 | 27.17 | 27.17 | 27.17 | 27.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 | 24 Jun 05:00 |