อสังหาฯชูนวัตกรรมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า
การแข่งขันในธุรกิจที่อยู่อาศัย ในยุคศรษฐกิจ 4.0 ดีเวลลอปเปอร์ต่างหันมาใช้กลยุทธ์การแข่งขัน การเปิดตัวโครงการใหม่พร้อมนำเสนอ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย หวังเพิ่มความสะดวกสบาย และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด
ธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าได้นำนวัตกรรม Smart Mirror หรือ กระจกอัจฉริยะ ที่แสดงข้อมูลต่าง ๆ ได้เหมือนกับจอภาพ เช่น พยากรณ์อากาศ, อุณหภูมิปัจจุบัน, วัน-เวลา, กำหนดการ และนัดหมายต่าง ๆ ซึ่งจะอัพเดทข้อมูลอัตโนมัติจากอินเทอร์เน็ต โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องสั่งการใดๆ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคที่โลกออนไลน์มีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวัน โดยจะเริ่มนำมาใช้กับคอนโดมิเนียมแบรนด์“ไรส์”โครงการแรก ก่อนที่จะนำมาพัฒนากับโครงการอื่นๆ ในอนาคต
นวัตกรรมดังกล่าว เป็นความร่วมมือกับ บริษัท ไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี จำกัด และ Estudio Technologies เป็นผู้นำในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) และระบบการจัดการโรงแรมระดับไฮเอนด์ จากสิงคโปร์ ให้แก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น การบริหารจัดการอาคาร, การแจ้งซ่อมบำรุง, การจองใช้งานพื้นที่และบริการส่วนกลาง รวมถึงระบบโฮม ออโตเมชั่น ควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ภายใต้แบรนด์ Life Connect
สำหรับลูกบ้านโครงการที่อยู่อาศัยของ ออลล์ อินสไปร์ จะได้รับบริการต่างๆ ผ่านแอพ รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์บลูทูธ เช่น ลำโพงไร้สาย รวมไปถึงอุปกรณ์ด้านสุขภาพ (smart health devices) ไม่ว่าจะเป็น เครื่องชั่งน้ำหนัก, อุปกรณ์วัดความดัน ,อุปกรณ์ตรวจสอบสุขภาพผิว โดยสามารถเก็บบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ติดตามแนวโน้มของสุขภาพ เช่น ค่าดัชนีมวลกาย ด้วยการแสดงผลในรูปกราฟข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย รองรับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวได้ถึง 8 คนผ่านบัญชีเฟซบุ๊ค
ไฮไลท์สำคัญกระจกอัจฉริยะรุ่นนี้ สามารถทำงานร่วมกับโฮม ออโตเมชั่น แบรนด์ Life Connect ด้วยเทคโนโลยีสื่อสาร Bluetooth 5.0 เป็นรายแรกของประเทศไทย ที่ได้นำเทคโนโลยีเครือข่าย Mesh Network มาช่วยให้การสื่อสารข้อมูลมีความรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วทั้งบริเวณของบ้าน มีความเร็วในสื่อสารและระยะทำการที่มากกว่าเทคโนโลยี Z-wave และ ZigBee
นอกจากนั้นสามารถสั่งงานเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และทีวี ผ่านแอพบนสมาร์ทโฟน แม้อยู่นอกบ้าน มีระบบส่งการแจ้งเตือนต่างๆ รองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย เช่น การเปิด-ปิดไฟ เปลี่ยนช่องทีวี เปลี่ยนอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ลำโพงอัจฉริยะ สามารถใช้งานได้ทั้งบนระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์
“กระจกอัจฉริยะ เป็นอีกนวัตกรรมเพื่ออนาคตของการใช้ชีวิตที่ง่ายและรวดเร็ว โดยนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ งานดีไซน์หรือโมเดลธุรกิจใหม่ๆ รวมไปถึงเทคโนโลยี ถือเป็นการเสริมประสิทธิภาพการทำธุรกิจที่อยู่อาศัยให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น”
เสนาฯชูแอพ‘360 เซอร์วิส’
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ในยุค 4.0 ทำให้ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่หันมาใช้กลยุทธ์การแข่งขัน การเปิดตัวโครงการใหม่พร้อมนำด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย หวังเพิ่มความสะดวกสบายและตอบสนองความต้องการลูกค้าให้มากที่สุด
กลยุทธ์การแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯของเสนาฯ จึงให้ความสำคัญกับ“บริการหลังการขาย”มากที่สุด ด้วยบริการผ่านแอพพลิเคชั่นSENA 360ํ Serviceหรือ“เสนา 360 องศา เซอร์วิส” นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างจุดต่างและจุดขาย เพื่อจับกลุ่มลูกค้าใหม่ในอนาคต
นวัตกรรม “แอพ”SENA 360 ํ Service มุ่งบริการหลังการขายที่ครบวงจร ตอบโจทย์สร้างความสะดวก ประหยัด และปลอดภัยให้กับลูกบ้าน ด้วย3 ฟังก์ชั่น การใช้งาน คือWE Careการบริการแจ้งซ่อม ออนไลน์ 24 ชั่วโมง ,Victory“พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์” การดูแลโครงการที่อยู่อาศัย ติดต่องานนิติบุคคล และ360 ํ Living Agentการบริการรับฝากขายและเช่าที่อยู่อาศัย
เซอร์วิสหลังการขายที่แตกต่าง คือ Living Agent บริการรับฝากขายและเช่า ด้วยแนวคิด“ขายชนขาย”คือการ “พบกับลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่ขายสินค้าและจะอยู่กับลูกค้าจนวันที่ขายใหม่อีกรอบ”
เรียกว่าเป็นเซอร์วิสที่เสนาฯ อยู่กับลูกค้าตลอดชีวิต
ดังนั้นบริการ“ลิฟวิ่ง เอเยนต์” จึงเข้ามาตอบโจทย์ดังกล่าว เมื่อต้องการ“ขายหรือปล่อยเช่า” ซึ่งเป็นบริการที่ลูกค้าอาจไม่ต้องการใช้ในวันแรก แต่เป็นฟังก์ชั่นที่พร้อมใช้งานได้ทันทีใน“แอพ เสนา 360” ร่วมกับบริการอื่นๆ ซึ่งมีฐานข้อมูลของลูกค้าพร้อมอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้บริการเอเยนต์อื่น และเสนาฯ เป็นรายเดียวในขณะนี้ที่ให้บริการ“ขายชนขาย”ภายในแอพเดียว
ต้นปี 2561 จะเห็นการพัฒนานวัตกรรม โซลูชั่น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่เสนาจะนำมาตอบโจทย์ ความสะดวก ประหยัด และปลอดภัยให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้าน โมบิลิตี้ ที่จะทำให้การเดินทางของระบบขนส่งในโครงการเชื่อมโยง“จุดต่อจุด” ให้สะดวก รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น
แสนสิรินำร่อง‘สังคมไร้เงินสด’
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว Cashless Town หรือ สังคมไร้เงินสด เพื่อสร้างประสบการณ์ทางการเงินให้แก่ลูกค้าเป็น“เรื่องง่าย” ด้วยการชำระผ่าน QR Codeตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาฯ ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมารองรับการชำระเงินและชอปปิงแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ
“ในยุคดิจิทัล ลูกค้าต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย บริการ Cashless Town จะช่วยให้การใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลด้านการเงินของลูกค้าสมบูรณ์แบบ”
โครงการ Cashless Town ได้นำระบบชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ด มาให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัย เริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ฮาบิโตะคอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ โดยการชำระเงินด้วยการสแกนคิวอาร์ โค้ดผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ช่วงไตรมาสแรกปี 2561 Cashless Town จะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ตั้งอยู่บน ถ.สุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส อ่อนนุช ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ จำนวน 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และ คาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep)
http://www.bangkokbiznews.com
ส่องทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุน ‘7ทำเล’รอบกรุงเทพฯ
จากการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) ของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบ “7 ทำเลเด่น” คุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน
อนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยเทียบค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) มี 7 ทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน ได้แก่ 1.กระทุ่มแบน-สามพราน 2.ทุ่งครุ-พระประแดง 3.ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ 4.ลาดหลุมแก้ว 5.ดอนเมือง-สายไหม 6.อ่อนนุช-บางนา และ 7.สุวรรณภูมิ-บางเสาธง ทั้ง 7 ทำเลเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้สะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ทุกทำเลมีราคาเสนอขายไม่สูงมากระหว่าง 1.2 -2.99 ล้านบาท ยกเว้น กระทุ่มแบน-สามพราน ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท
โดยทำเล “กระทุ่มแบน-สามพราน” เป็นเขตปริมณฑลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้เดินทางเข้าสู่ตัวเมือง ด้วย ถ.พระราม 2 และ ถ.เพชรเกษม ได้ง่าย ราคาทาวน์เฮ้าส์เสนอขายต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท “ทุ่งครุ-พระประแดง” อยู่ใกล้ทางพิเศษเฉลิมมหานครและถ.กาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำลังซื้อเพราะเดินทางเข้ากลางเมืองเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้สะดวกและอยู่ไม่ไกลรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ก่อสร้างปลายปี 2561 ช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อเพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ
“ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ” แวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ก่อสร้างปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ก่อสร้าง 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้หลายเส้นทาง “ลาดหลุมแก้ว” เดินทางเข้าเมืองด้วยทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านวงแวนรอบนอก และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ก่อสร้าง 60% เปิดบริการอีก 3 ปีข้างหน้า ในอนาคตมีส่วนต่อขยายจากสถานีรังสิตไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต เอื้อการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการ
“ดอนเมือง-สายไหม” มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่าน ทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการ 3 ปีข้างหน้า การเข้าสู่ตัวเมืองสะดวกผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการ “อ่อนนุช-บางนา” เข้าสู่ตัวเมืองผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ สะดวก ทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนา ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง
“สุวรรณภูมิ-บางเสาธง” เดินทางเข้าเมืองและเชื่อมต่อด้วยทางพิเศษบูรพาวิถี มอเตอร์เวย์ วงแหวนรอบนอก รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง จึงมีความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ี
ทิศทางในปี 2561ตลาดทาวน์เฮ้าส์ยังเติบโตต่อเนื่อง จากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก เหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่
http://www.bangkokbiznews.com
“ยักษ์ทุนไทย” ปิดดีลปี 60กว่า 3.8 แสนล้าน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และกฎกติกาทางการค้าระหว่างประเทศที่เปิดเสรีมากขึ้น ส่งผลให้โลกการค้าแคบลง ไร้พรมแดน ผลักดันให้การแข่งขันสูงขึ้น ปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ของไทยต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ ไปจนถึงการซื้อกิจการ และการผนึกกำลังกับพันธมิตรในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
ในรอบปี 2560 กองบรรณาธิการ“กรุงเทพธุรกิจ” ประมวล 5 ดีลใหญ่แห่งปี ของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย พบว่ายังคงมีมูลค่าดีลรวมกันสูงถึง 381,800 ล้านบาท โดย 4 ใน 5 เป็นการผนึกกำลังทางธุรกิจอีก 1 ดีลเป็นการซื้อกิจการ
“เอสซีจี-ทุนเวียดนาม”รุกปิโตรฯ“แสนล.”
เจรจากันมาราธอนเป็นเวลานานถึง 9 ปีนับจากปี 2551 ทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น สัดส่วนหุ้น ในที่สุดบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี ยักษ์ธุรกิจในไทย ก็บรรลุข้อตกลงในการร่วมทุนกับบริษัทVietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ของรัฐบาลเวียดนาม เมื่อกลางปี2560ผุดโครงการของ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP)ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรกในเวียดนาม มูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 172,800 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อดอลลาร์)
โดยดีลนี้เอสซีจีถือหุ้นทางอ้อม 71%ผ่านบริษัทวีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด 53% และบริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 18% ขณะที่บริษัทVietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam)ถือหุ้น 29%
โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria – Vung Tau ทางตอนใต้ของเวียดนาม ห่างจากนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นตลาดหลักและเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามเพียง 100 กิโลเมตร
จุดเด่นของโครงการ เป็นโรงงานผลิตเอทิลีน ขนาดกำลังการผลิตสูงถึง 1 ล้านตันต่อปีและยังผลิตโพลิโอเลฟินส์ในขั้นปลายซึประกอบด้วยโรงงาน High Density Polyethylene (HDPE), Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) และ Polypropylene (PP) โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ในปี 2558 ประเทศเวียดนามนำเข้าผลิตภัณฑ์โพลิโอเลฟินส์ประมาณ 2.3 ล้านตันและคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนตามวิสัยทัศน์ของเอสซีจีในการเป็นผู้นำธุรกิจอาเซียนอย่างยั่งยืน
เวียดนาม ยังถือเป็นฐานการลงทุนใหญ่ในอาเซียน ของเอสซีจี ใกล้เคียงกับฐานการผลิตในอินโดนีเซีย การบรรลุดีลการร่วมทุนใหญ่ครั้งนี้ทำให้เอสซีจีได้ลงทุนในเวียดนามครบทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง ธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี
“ธ.กรุงเทพ-เอไอเอ”ลุยแบงก์แอสชัวรันส์
อีกหนึ่ง“ดีลใหญ่”ที่สร้างปรากฎการณ์ให้คนในวงการแบงก์พาณิชย์และประกันชีวิตต้องหันมาจับตาดูเป็นพิเศษ คือ บิ๊กดีลที่เกิดขึ้นในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง“ธนาคารกรุงเทพ” แบงก์พาณิชย์ที่มีมาร์เก็ตแชร์กลุ่มลูกค้ารายย่อยอันดับหนึ่ง ประกาศความร่วมมือกับ“กลุ่มบริษัทเอไอเอ” เบอร์หนึ่งของค่ายประกันชีวิตร่วมมือกันทำธุรกิจ “แบงก์แอสชัวรันส์” หรือขายประกันผ่านสาขาธนาคารกรุงเทพ เป็นเวลา 15 ปี เริ่มในปี 2561 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในข้อตกลง ธนาคารกรุงเทพ จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของ เอไอเอ ประเทศไทย ทั้งผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองระยะยาว (Long term protection) ผลิตภัณฑ์ประเภทการสะสมทรัพย์ระยะยาว (Long term saving) ให้กับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจของธนาคาร กว่า 17 ล้านบัญชี
โดยเฉพาะฐานลูกค้ามั่งคั่ง ผ่านเครือข่ายสาขาประมาณ 1,200 สาขาทั่วประเทศและช่องทางบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ นับเป็นจุดแข็งของธนาคารกรุงเทพ ที่เอไอเอต้องการเข้าถึงน้ำบ่อใหม่ มาช่วยเติมมาร์เก็ตแชร์แบงก์แอสชัวรันส์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะที่แบรนด์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกัน รวมถึงความเชี่ยวชาญฝึกอบรมฝ่ายขายของเอไอเอ นับเป็นจุดแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ทำให้ธนาคารกรุงเทพยอมเปิดทางให้กับประกันนอกเครืออย่างเอไอเอ เข้ามาช่วยหนุนรายได้ค่าฟีให้กับธนาคารอีกแรงหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงต้องจับตา“ยุทธวิธีเดินเกมปล่อยหมัดเด็ด”ของทั้งคู่ คาดว่าน่าจะชัดเจนช่วงต้นปี 2561จากที่ผ่านมายังคงสุ่มเงียบไม่ยอมเผยกลยุทธ์ให้หลุดรอดถึงคู่แข่งเจ้าตลาดได้ไหวตัวทัน ซึ่งปัจจุบันตลาดแบงก์แอสชัวรันส์เบอร์หนึ่งและสองมีมาร์เก็ตแชร์ร่วมกันกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดเข้าไปแล้ว
เชื่อว่าในปี 2561 ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ คงกลับมาคึกคักอีกรอบ ผู้เล่นในตลาดหลายราย อาจเตรียมปรับแผนรับมือกับการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ตลาดแบงก์แอสชัวรันส์ปี 2561 จึงไม่อาจละสายตา
“ดุสิตจับมือซีพีเอ็น”พลิกโฉมสีลม
ดีลใหญ่ของธุรกิจโรงแรมในปี 2560 ที่ต้องจับตาความเคลื่อนไหวต่อเนื่องถึงปี 2561 คือ การจับมือระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็นยึดทำเลเดิมบนหัวมุมถนนสีลมตัดพระราม 4 ที่ตั้งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ อายุกว่า 48 ปี พลิกโฉมเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 3.67 หมื่นล้านบาทบนที่ดินเกือบ 24 ไร่ มีจุดมุ่่งหมายใหญ่เพื่อฟื้นความคึกคักให้ “สีลม” กลับมาเป็นศูนย์กลางทั้งด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวของเมืองหลวงอีกครั้ง โดยพร้อมจะเชื่อมต่อโครงสร้างด้านการเดินทางทั้งทางรถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟใต้ดินเอ็มอาร์ที และถนนรายรอบเข้าสู่โครงการอย่างสะดวกมากขึ้น
ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน 3 บริษัท และซีพีเอ็นจะจัดตั้งอีก 1. บริษัทย่อย ประกอบด้วย 1.บริษัท วิมานสุริยา เป็นบริษัทร่วมทุนโครงการโรงแรม เรสซิเดนซ์ และโครงสร้างอาคารศูนย์การค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเช่าช่วงที่ดินจากดุสิตธานีมาพัฒนาโรงแรมและเรสซิเดนซ์ รวมถึงก่อสร้างโครงสร้างอาคารของศูนย์การค้า โดยซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้น 40:60
2.บริษัท สวนลุม พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทร่วมทุนโครงการพัฒนาศูนย์การค้า โดยซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้นฝ่ายละ 85:15 เพื่อเช่าโครงสร้างอาคารศูนย์การค้าจาก บริษัท วิมานสุริยา และ3.บริษัท พระราม 4 เดเวลลอปเม้นท์ ซีพีเอ็นและดุสิตธานี ถือหุ้นฝั่งละ 90:10 เพื่อเช่าที่ดินตามสัญญาเช่าหลักกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการ
ขณะเดียวกัน ซีพีเอ็น ตั้ง 1 บริษัทย่อยได้แก่บริษัทบริษัทศาลาแดง พร็อพเพอร์ตี้ แมนเนจเม้นท์ จำกัดเพื่อเช่าช่วงที่ดินจาก บริษัท พระราม4 เดเวลลอปเม้นท์ เพื่อดำเนินการพัฒนาก่อสร้าง และประกอบธุรกิจสำนักงาน โดยซีพีเอ็นถือหุ้น 100%
“เจดี-เซ็นทรัล”เสริมแกร่งออนไลน์
กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศการร่วมทุนครั้งใหญ่กับJD.comยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน และผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอันดับ 3 ของโลกมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาทมุ่งสร้างประสบการณ์“ชอปปิงออนไลน์”ที่แตกต่างให้ลูกค้าชาวไทย ปลุกการแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซ-ชอปปิงออนไลน์ ในไทยร้อนระอุข้นทันที
JD.com เป็นผู้นำเทคโนโลยี ด้านอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ ฟินเทค รวมถึงการใช้บิ๊กดาต้าและ AI ในประเทศไทย จะสร้างอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มใหม่ในชื่อ JD.co.th ภายใต้เทรดมาร์ก เจดี เซ็นทรัล (JD Central) กำหนดเปิดให้บริการในปี 2561 มุ่งหวังให้เป็นดิจิทัล อีโคซิสเต็มครบวงจรครั้งแรก ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้เป็นออมนิแชนแนล ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งส่งเสริมให้กลุ่ม เซ็นทรัลสามารถเติบโตก้าวกระโดด และมียอดขายในธุรกิจออนไลน์ของทั้งกลุ่มมากกว่า 15% ภายใน 5 ปี
การร่วมมือกันครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ชอปปิงไร้รอยต่อให้กับลูกค้า แต่ยังสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0ของภาครัฐ ที่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าทันโลกดิจิทัล เพิ่มอัตราการจ้างงาน และส่งเสริมการส่งออกของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ไทยเบฟ” ทุ่มแสนล.ฮุบ“ซาเบโก”
ดีลใหญ่อีกดีลคือบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ผู้ผลิตเบียร์ช้างของไทย ชนะการประมูลหลังทุ่มเงิน 4.84 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 154,880 ล้านบาทซื้อหุ้น 54% ของเบียร์ซาเบโก
(Sabeco)บริษัทเบียร์เวียดนาม บริษัทไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ ของรัฐบาลเวียดนาม ถือเป็นการประมูลครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ธุรกิจเบียร์เวียดนาม
โดยไทยเบฟ เป็นผู้ซื้อรายเดียว ที่ชนะการประมูลซื้อกิจการเบียร์ซาเบโก ด้วยการประมูลซื้อผ่านทางบริษัทลูกที่อยู่ในเวียดนามคือบริษัทเวียดนาม เบฟเวอเรจ โค ลิมิตเท็ด
รัฐบาลโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเบียร์ซาเบโก กำหนดราคาขายขั้นต่ำไว้ที่ 320,000 ด่อง หรือประมาณหุ้นละ 14.1 ดอลลาร์ แต่พบว่าราคาหุ้นของบริษัทไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ เมื่อวันที่ 18ธ.ค.2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8 เท่า เป็นอยู่ที่หุ้นละ 317,900 ด่อง
สำหรับในเวียดนามนั้น ก่อนหน้านี้ไทยเบฟ ถือหุ้นเกือบ 20 %ในบริษัท วีนามิลค์ หรือ เวียดนาม แดรี่ โปรดักส์ เจ.เอส.ซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามการขายหุ้นในโรงเบียร์ของรัฐให้แก่เอกชนต่างประเทศครั้งนี้ ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่เผชิญปัญหาหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปอยู่ที่เกือบ 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และการซื้อเบียร์เวียดนามครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนต.ค. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของบริษัทไทยเบฟ ได้ลงทุนเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นส่วนใหญของกลุ่มบริษัทโรงกลั่นสุราเมียนมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตสุรารายใหญ่ที่สุดของเมียนมา
อย่างไรก็ตามไทยเบฟ มีเป้าหมายยุทธศาสตร์ในการควบรวมซาเบโกมานานแล้ว เพื่อขยายฐานกิจการจากไทยไปยังต่างประเทศ และบริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 50% จากธุรกิจนอกประเทศให้ได้ภายในสิ้นปี 2563
http://www.bangkokbiznews.com
5 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญเกิด ‘โรคมะเร็งในเด็ก’
มะเร็งในเด็กพบได้ 1 ใน 10 ของโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงความผิดปกติทางพันธุกรรม-มารดาติดเชื้อเอชไอวี-บริโภคสารก่อมะเร็งระหว่างตั้งครรภ์
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งในเด็ก เป็นโรคมะเร็งที่เกิดกับเด็กแรกเกิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา จนถึงเด็กที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกช่วงอายุ ทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยมีอัตราเกิดโรคน้อยกว่าผู้ใหญ่ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 10 ของโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ ปัจจุบันประเทศไทย พบอุบัติการณ์ของเด็กป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่ประมาณ 1,000 รายต่อปี โดยมะเร็งเม็ดเลือดขาวพบได้มากกว่าร้อยละ 50 ของโรคมะเร็งทั้งหมดในเด็ก รองลงมา ได้แก่ โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งต่อมหมวกไต
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในเด็ก เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ 1.ความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งจอตา เป็นต้น 2.เกิดจากการได้รับรังสีบางชนิดปริมาณสูงขณะอยู่ในครรภ์ เช่น รังสีเอกซ์ (รังสีในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค) รังสีแกมม่า เป็นต้น อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 3.การทานผักและผลไม้ที่มีสารปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลง เชื้อราในถั่วลิสง ข้าวโพด อาหารตากแห้งที่มีความชื้นมาก เช่น หอม กระเทียม พริกแห้ง การบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร ใส่สารกันบูด สารปรุงแต่งรส สีสันต่างๆ หรือรมควัน 4.เกิดจากการติดเชื้อของมารดาในขณะตั้งครรภ์ เช่น การติดเชื้อไวรัส เอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี ซี และ5.การขาดสารบางชนิดของมารดาขณะที่ตั้งครรภ์ เช่น วิตามินบี 9
นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า การวินิจฉัยโรคมะเร็งในเด็กมีขั้นตอนและวิธีการเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือด สำหรับวิธีที่ได้ผลดีและแน่นอนที่สุด คือ การเจาะ ดูด หรือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบทางเซลล์วิทยาหรือพยาธิวิทยา สำหรับอาการของโรคมะเร็งในเด็กโดยปกติมักจะไม่มีอาการเฉพาะ หรือสามารถระบุอาการต่างๆ ได้ชัดเจนเหมือนผู้ใหญ่ ต้องอาศัยความเอาใจใส่ และการสังเกต ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย คือ คลำพบก้อนเนื้อผิดปกติในร่างกายมีอาการไข้สูง โดยจะเป็นๆ หายๆ มีจุด จ้ำ เป็นห้อเลือดง่าย มีจุดเลือดตามลำตัว แขน หรือขา อาการจะคล้าย คนเป็นไข้เลือดออก และอ่อนเพลียง่าย
ทั้งนี้ ระยะของโรคมะเร็งในเด็กแต่ละชนิดมีรายละเอียดแตกต่างกันไป โดยทั่วไป สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ดังนี้ ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ ยังไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่นๆ
ที่อยู่ใกล้เคียง ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น และเริ่มลุกลามมากขึ้น ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งโตมากขึ้น และลุกลามเข้าเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง ระยะที่ 4 ก้อนเนื้อมะเร็งลุกลามรุนแรง แพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
โรคมะเร็งในเด็กส่วนใหญ่มีความรุนแรงของโรคสูง แต่มีโอกาสรักษาให้หายได้ ขึ้นอยู่กับระยะของโรคชนิดของเซลล์มะเร็ง ความสามารถในการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออก การตอบสนองต่อเคมีบำบัด อายุ และสุขภาพของเด็ก วิธีการรักษา ได้แก่ การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด และวิธีรังสีรักษา ซึ่งจะใช้ในกรณีที่พบว่ามีความรุนแรงของโรคสูงเกิดการแพร่กระจาย ไม่สามารถผ่าตัด และมีอาการดื้อต่อเคมีบำบัด
สำหรับวิธีป้องกันโรคมะเร็งในเด็ก คือ หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หรือสารก่อมะเร็ง จากอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว โดยเฉพาะแม่ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น อาหารสำเร็จรูป บุหรี่ และแอลกอฮอล์ และคอยหมั่นสังเกตเด็กหากพบความผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
http://www.bangkokbiznews.com
“ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ… ความสำเร็จคือทางเลือก คนที่จะชนะ”
สำเร็จแค่ 5%, ล้มเหลว 95%
ลองพิจารณาข้อมูลสถิติ จากธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วน่าตกใจอยู่เหมือนกัน คนทั่วไปเป็นอย่างไร ถึงเมื่อวัยเกษียณ?
1% = ร่ำรวย เป็นเศรษฐี
4% = มีเงินใช้สุขสบาย
7% = พอช่วยเหลือตัวเองได้
40% = ต้องพึ่งพาลูกหลาน สถานสงเคราะห์
48% = ยังคงต้องดิ้นรน ทำงานหนัก
สรุป สำเร็จแค่ 5% ที่เหลือ ล้มเหลวถึง 95%
สิ่งสำคัญที่จะประสบความสำเร็จหลังเกษียณ นั่นคือ เราต้องวางแผนในระยะยาวไว้ด้วยนะครับ ถ้าหากเราเกษียณตอนอายุ 60 ปี แล้วยังอยู่ต่ออีกสัก 20 ปี เราต้องมีเงินเก็บอีกเท่าไรเพื่อไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน คิดง่ายๆ ถ้าเราคิดว่าเราต้องใช้เดือนละ 10,000 บาท ใช้ไปอีก 20 ปีโดยไม่ต้องหาเพิ่ม เราต้องมีเงินเก็บสัก 2,400,000 บาท นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจหลงเข้ามา เช่น รถเสีย ซ่อมบ้าน เจ็บไข้ได้ป่วย และค่าใช้จ่ายอีกจำนวนมาก
คนรุ่นหลังจากนี้ ต้องฝึกการวางแผน การเก็บออมให้เป็นนิสัย จะใช้จ่ายต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปสนใจ แคร์คนอื่นว่าเขาจะคิดยังไง ใช้จ่ายยังไง เราต้องยึดมั่นในหลักการของเรา
อีกตัวอย่างหนึ่ง อย่างเมื่อเดือนที่แล้วมีการโปรโมทของรัฐบาล ให้มีการช็อปช่วยชาติ ถ้าเรายังไม่แข็งแรง ก็ไม่ต้องไปช่วยชาติ ให้คนที่แข็งแรงเขาช่วยกันไปดีกว่าไหม หรือการที่ประเทศเราส่งเสริมให้มีวันหยุดยาวบ่อยๆ ถ้าเรายังไม่แข็งแรงพอ เราก็ไม่ต้องเห่อตามคนอื่นไปเที่ยวทุกครั้งที่มีวันหยุด
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนที่สำเร็จจะมีแค่ 5% แล้วล้มเหลว 95%
“ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสำเร็จคือทางเลือก คนที่จะชนะคือเขาต้องเลือก ที่จะสร้างวินัยที่ดีจนเป็นนิสัย”
ประโยคนี้คือความจริงที่สุด เป็นคำพูดที่ได้ยินมาแล้วมันโดนมากจริงๆ เป็นรูปธรรมชัดเจนเหมือนวิทยาศาสตร์ มันไม่มีความบังเอิญ ไม่มีการดลบันดาล เราต้องทำด้วยตัวเราเอง เหมือนกับคำกล่าวของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ว่า “ผมไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนไหน ที่อยู่ดีๆ ก็อัจฉริยะขึ้นมา ทุกคนล้วนต้องผ่านการฝึกฝน ถึงแม้ว่าคุณจะมีพรสวรรค์แต่ขาดการฝึกฝน มันก็ไม่มีความหมายอะไร”
ทุกๆ อาชีพยังไงก็ต้องใช้ประสบการณ์ ถ้าหากคุณเรียนหมอมา กว่าคุณจะเก่งเป็นแพทย์เฉพาะทางได้ยังต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี
นักกีฬาชั้นนำของโลก กว่าจะได้เป็นแชมป์เขาเหล่านั้นใช้เวลาฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 10 ปีแน่ๆ
ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่เก่งให้ได้ ประสบการณ์นั่นแหละครับ จะเป็นวิชาที่ดีที่สุดของคุณ เช่นเดียวกับประสบการณ์ต่างๆ มันจำเป็นมาก มันช่วยให้เรามีความชำนาญต่อไปในภายภาคหน้า
เราต้องผลักตัวเองให้ถึงขีดสุดกับความฝันเราทุกเรื่อง ออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง ไปอยู่ในจุดที่เราลำบาก แล้วฝึกให้เคยชิน จนความลำบากนั้นมันกลายมาเป็นเรื่องง่ายๆ อีกครั้ง นั่นแหละ… เราถึงเรียกว่าเราฝึกสร้างวินัยที่ดีให้มันเป็นนิสัยแล้ว
ในช่วงปีใหม่แบบนี้ ลองถามตัวเองว่าสิ่งที่เราตั้งใจไว้ในปีที่แล้ว เราทำมันสำเร็จหรือไม่ เราเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ ไม่ใช่พร่ำพูดแต่ว่า ‘อยากเปลี่ยนชีวิต แต่พอตื่นขึ้นมา ก็ทำเหมือนเดิม’
สิ่งที่อยากฝากเป็นครั้งสุดท้าย ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสำเร็จคือทางเลือก คนที่จะชนะคือเขาต้องเลือก…..เลือกที่จะสร้างวินัยที่ดีจนเป็นนิสัย
https://money.sanook.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 3/1/2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
20,150.00 |
20,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,305.00 |
19,783.80 |
20,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,174.50 |
17,805.42 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
587.00 |
8,898.92 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
457.00 |
6,928.12 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,352.00 |
20,496.32 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 3/1/2561
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
27.95 |
27.95 |
– |
27.95 |
27.95 |
27.95 |
27.95
|
27.95
|
27.95
|
27.95
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
25.44
|
25.44
|
25.44
|
25.44
|
25.44
|
– |
25.44
|
25.44
|
25.44
|
25.44
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
20.64 |
20.64 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.64 |
20.64 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
27.68 |
เบนซิน 95 |
35.06 |
– |
– |
– |
35.51 |
– |
35.56 |
35.06 |
35.06 |
35.06 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
27.19 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
30.19 |
30.19 |
30.19 |
30.19 |
30.19 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |
30 Dec 05:00 |