5 เทรนด์อสังหาฯ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ส่งท้ายปี 2018
2) เทคโนโลยีการบริการในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอน และเพื่อความสะดวกสบายที่ควบคุมได้จนกลายเป็นเรื่องปกติของทุกคน (Automation Becoming The New Norm)
3) รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้า และการบริการ (Ultra – High – Net – Worth – Individuals meets Ultra Luxury real estate market)
4) การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living)
5) งานบริการหลังการขาย ที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales)ซึ่งเทรนด์สุดท้ายนี้จะเห็นชัดที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้บริโภคมีการใส่ใจในบริการหลังการขายที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มีขึ้นเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญ แต่ก็ยังคงชอบการใส่ใจจากนิติบุคคลและพนักงานที่ให้บริการหลังการขาย นอกจากนี้ ในเรื่องการรับประกันบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่งทั้งนี้ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เป็นผู้ประกอบการชั้นนำ ที่มีความพร้อมที่จะปรับตัวและก้าวให้ทันตามเทรนด์ของผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย โดยจะมีการเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มีมูลค่าการลงทุนรวม 7,275 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Village บางนา, โครงการ COMO PRIMO บางนา, โครงการ The Colors บางนา และบางบัวทอง, โครงการ Mandarina เอกมัย – รามอินทรา, โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ และ โครงการ Busaba บ้านเดี่ยวแห่งเดียวติดถนนเสรีไทยพร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อต้องการสื่อสารให้สอดรับกับความทันสมัยของผู้บริโภค รับกับรสนิยม และการใส่ใจสุขภาพกายและใจของสังคมเมือง ขณะเดียวกันก็ยังคงชูคอนเซ็ปต์เรื่อง Sustainable Happiness อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาผสานการใช้ชีวิตประจำวันไว้อย่างลงตัว
ขอขอบคุณที่มา ddproperty.com
ที่อยู่อาศัยผู้สูงวัยคึก รายใหญ่เปิดศึกชิงแชร์
โดย…โชคชัย สีนิลแท้
จากตัวเลขประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปี 2561 จำนวนประชากรผู้สูงอายุไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วน 20% ซึ่งมากกว่าประชากรเด็ก จึงทำให้เห็นถึงรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับกับกลุ่มดังกล่าวนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
จอห์น ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ ในเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงอายุมีถึง 1 ใน 5 ของประชากรคนไทย แต่โครงการที่พัฒนาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวนั้นยังมีไม่ถึง ซึ่งตลาดกลุ่มดังกล่าวจะใหญ่มากขึ้น คาดว่าภายในระยะเวลา 5-10 ปี จะมีสัดส่วน 20% จากปัจจุบันสัดส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลุ่มดังกล่าว ยังมีไม่ถึง 10%
ทั้งนี้ บริษัทได้ซื้อโครงการที่ก่อสร้างค้างตั้งแต่ปี 2535 จากบริษัท ซุปเปอร์ พี แอนด์ เอส ตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ในราคา 250 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการธนบุรี เฮลท์ วิลเลจ ประชาอุทิศ มูลค่าโครงการประมาณ 849 ล้านบาท เพื่อให้เป็นคอมมูนิตี้ที่พักอาศัยของคนรักสุขภาพที่ผนวกเข้ากับระบบการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแบบบูรณาการในรูปแบบ Active Wellness Society เป็นการนำแพทย์แผนปัจจุบันมาผสมผสานกับภูมิปัญญาและเทคโนโลยี เพื่อดูแลสุขภาพในระยะยาว รองรับกลุ่มคนทำงานไปจนถึงกลุ่มวัยเกษียณ
โครงการตั้งอยู่บนถนนประชาอุทิศ 60/1 ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) สถานีประชาอุทิศ และสถานีรถไฟฟ้าบางปะกอก สามารถเดินทางเข้าออกได้ทั้งถนนสุขสวัสดิ์ ถนนพระราม 2 และถนนพุทธบูชา ภายในโครงการด้วยคอนโดมิเนียม 11 ชั้น จำนวน 2 อาคาร อาคารละ 206 ยูนิต รวม 412 ยูนิต โดยมี 2 ขนาดห้อง คือ 32 ตารางเมตรและ 64 ตารางเมตร ราคา 2-4 ล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ในเดือน มี.ค. 2562 ตั้งอยู่บนเนื้อที่รวม 8 ไร่ โดยนำมาพัฒนาในเฟสแรก 4 ไร่ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการขายไว้ 50% ภายในช่วง 5 เดือนแรกหลังจากเปิด ขายโครงการ 12 ต.ค.นี้ โครงการดังกล่าวออกแบบภายใต้แนวคิดยูนิเวอร์ซัล ดีไซน์ ภายในโครงการยังมีศูนย์สุขภาพไว้บริการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อให้บริการทั้งลูกบ้านในโครงการและบุคคลภายนอก ก่อสร้างเป็นอาคารสูง 8 ชั้น นอกจากนี้ยังมีแผนจะก่อสร้างโรงพยาบาลธนบุรีบูรณา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เน้นการฟื้นฟูสุขภาพ ใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ บริเวณพหลโยธิน รังสิต คอนโดมิเนียมเพื่อจับกลุ่มผู้ซื้อสูงอายุ จำนวน 5 อาคาร 494 ยูนิต โดยมียอดขายแล้ว 50% ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการรูปแบบดังกล่าวในทำเลอื่นที่มีศักยภาพ
จักรพงศ์ ธรรมวิเศษศรี ประธานกรรมการ บริษัท ควินท์ เรล์ม ผู้พัฒนาโครงการควินทิลเลียนเบิร์ก สมาร์ทโฮมสำหรับผู้สูงอายุ จ.ราชบุรี กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการควินทิลเลียนเบิร์กขึ้นเพื่อสร้างเมืองให้คนเกษียณอายุ โครงการดังกล่าวมาจากการหาความต้องการของกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุชาวยุโรป ที่พบว่า ประเทศไทยสามารถสร้างโครงการเพื่อผู้สูงอายุดังกล่าวขึ้นมา กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อมาอยู่อาศัยในโครงการนี้เดือนละ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนบาท รวมค่าอยู่อาศัยและค่าอาหาร จึงเริ่มวางแนวคิดสมาร์ทซิตี้สำหรับผู้สูงอายุ บนที่ดินกว่า 3,000 ไร่ ใน จ.ราชบุรี
สำหรับแนวทางการพัฒนานั้นจะแบ่งออกเป็น 10 เฟส มูลค่าลงทุนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยจะก่อสร้างเป็นหมู่บ้าน เบื้องต้นในเฟสแรกจะก่อสร้างประมาณ 950 ยูนิต ใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี จึงจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยอาศัยความร่วมมือกับ บริษัท ไชน่า เรียลเวย์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น ที่ได้เซ็นสัญญาเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกันตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2561
สุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานกรรมการ บริษัท นายณ์ เอสเตท กล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อจับกลุ่มผู้สูงอายุมีมากขึ้น ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท แอล.พี.เอ็น. ชีวาทัย และ ช.การช่าง พัฒนาโครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จ.ภูเก็ต บนหาดกมลา เนื้อที่ 50 ไร่ ก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียม 200 ยูนิต และวิลล่า 30 ยูนิต จะเริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 2 ปี 2562
วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า บริษัทศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นแนวทางการพัฒนาคอนโดกลางเมืองในกรุงเทพฯ เพื่อผู้สูงอายุ เนื่องจากพิจารณาแล้วพบว่าผู้สูงอายุรุ่นใหม่ในอนาคตอาจไม่ต้องการอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุด้วยกันหรืออยู่อาศัยกับลูกหลาน บริษัทจึงมีแนวคิดจะเริ่มโครงการดังกล่าวได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการอสังหาฯ อย่างแสนสิริ ได้วางแผนเพื่อจะพัฒนาโครงการเพื่อจับกลุ่มผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยเจาะกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นที่น่าจับตามอง เพราะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเจาะตลาดกลุ่มนี้จะต้องเน้นบริการทั้งการแพทย์และหลังการขายที่ดี
ขอขอบคุณที่มา posttoday.com
ทย. ผุดสนามบินใหม่ ที่สตูล ทุ่ม 6 ล้าน ศึกษาความเหมาะสม คาดสรุป ก.ย. 62
รายงานข่าวจากกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ทย. ได้จัดงบประมาณปี 2562 วงเงิน 6 ล้านบาท เพื่อเตรียมจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูล เนื่องจากก่อนหน้านี้นักธุรกิจภาคเอกชนจากสภาหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมในท้องถิ่นและเรียกร้องให้มีการสร้าง เนื่องจากมีความต้องการในการเดินทางโดยเครื่องบินจำนวนมาก
นอกจากนี้ สตูล ยังเป็นจังหวัดมี่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เช่น เกาะหลีเป๊ะ และล่าสุดองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ยังได้ประกาศให้พื้นที่แหล่งธรณีวิทยาของ จ.สตูล เป็นอุทยานธรณีโลก ซึ่งจะเป็นอุทยานธรณีระดับโลกแห่งแรกในไทยอีกด้วย เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวสตูลมากขึ้นหากมีการเดินทางโดยเครื่องบินได้โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ
รายงานข่าวจาก ทย. ระบุว่าจะเริ่มทำการศึกษาความเป็นไปได้ในเดือนพ.ย. 2561 โดยขั้นตอนในการศึกษานั้น จะเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ จากนั้นจะศึกษาทางด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่ที่จะก่อสร้าง, งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง และความคุ้มค่าในการลงทุน เป็นต้น คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จประมาณเดือนก.ย. 2562 จากนั้นจะเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูลให้กระทรวงคมนาคม ก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป หากเห็นชอบจะเสนอให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) พิจารณาเห็นชอบให้มีการจัดตั้งสนามบินแห่งใหม่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสนามบินนครศรีธรรมราช และสนามบินตรัง นอกจากปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง ซึ่งรัฐบาลเตรียมผลักดันให้เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน กับอ่าวไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการ โดยจะเชื่อมโยงการค้า และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญบริเวณชายแดนภาคใต้ ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเอเชียตะวันออก กับเอเชียใต้ หรือประตูสู่สองฝั่งของเอเชีย รวมทั้งเป็นประตูส่งออกไปยังฝั่งตะวันตกภูมิภาคBIMSTEC ประกอบด้วยบังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย
รายงานข่าวจาก ทย. แจ้งว่า รัฐบาลต้องการให้เอสอีซี เชื่อมโยงกับ BIMSTEC ให้ได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ทย. ที่ต้องเดินสายประชาสัมพันธ์เพื่อทำตลาดในประเทศต่างๆ เพื่อแนะนำให้แต่ละประเทศทราบว่าประเทศไทยมีสนามบินอยู่ที่ใดบ้าง และแต่ละแห่งเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างไร เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และเชิญชวนให้สายการบินต่างๆ มาเปิดทำการบิน โดยขณะนี้เบื้องต้นเริ่มมีสายการบินจากประเทศอินเดีย ศรีลังกา และจีน สนใจที่จะมาเปิดทำการบินเพิ่มเติมหลายเส้นทาง อาทิ จากเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มายังท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
ขอขอบคุณที่มา prachachat.net
Exclusive “แจ็ก หม่า” ไขปริศนาคำพูดก้องโลก “ผมจะกลับไปเป็นครูอีกครั้งในวันหนึ่ง
ในการประชุม XIN Philanthropy ประจำปี 2018 ณ เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อไม่กี่วันผ่านมา “ประชาชาติธุรกิจ” เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับเดียวจากเมืองไทยที่มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ พร้อม ๆ กับสื่ออีกหลายประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ เพราะประเด็นของการพูดคุยไม่เพียงกล่าวถึงหัวข้อ “The Power of Small” หรือ “พลังจากสิ่งเล็ก ๆ” ที่มี “แจ็ก หม่า” ประธานกรรมการบริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป มาร่วมพูดคุยถึงเรื่อง “ความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนบนโลกใบนี้”
หากเขายังพูดถึงเรื่องมูลนิธิแจ็ก หม่า ในบทบาทของการผลักดัน “โครงการครูใหญ่ชนบท” ที่ไม่เพียงเกี่ยวโยงกับเรื่องการศึกษาของเยาวชน และครูในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ
“แจ็ก หม่า” ยังจุดประเด็นเรื่องการกลับไปเป็นครูอีกครั้งในวันหนึ่ง จนกลายเป็นเหตุให้สำนักข่าวต่างประเทศต่างประโคมข่าวว่า “แจ็ก หม่า” จะลาออกจากอาลีบาบา กรุ๊ป เพื่อหลีกทางให้ผู้บริหารรอง ๆ ลงมาเข้าบริหารอาลีบาบา กรุ๊ปแทน
ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะวันนั้น “แจ็ก หม่า” อภิปราย 2 ช่วง โดยช่วงแรกก่อนที่จะจบสัมมนาภาคเช้า เขาขยายความในหัวข้อ “The Power of Small” โดยเขาพูดถึงเรื่องบทบาทของพลังจากสิ่งเล็ก ๆ ในการขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคม โดยในส่วนนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ตัดลงข่าวออนไลน์ไปก่อนหน้าแล้ว ส่วนช่วงที่ 2 ก่อนปิดงานสัมมนาในตอนบ่าย เขาพูดถึงเรื่อง “โครงการครูใหญ่ในชนบท” ที่มีมูลนิธิแจ็ก หม่า เป็นผู้ขับเคลื่อน
“ผมทิ้งเส้นทางอาชีพครูมาหลายปี และกลายเป็นมือสมัครเล่นในสาขาการศึกษา แต่การฝึกอบรมวิชาชีพครูนั้นมีประโยชน์ต่อเส้นทางของผมกับอาลีบาบาเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงรู้สึกอยู่เสมอว่า ตัวผมนั้นยังเป็นมือสมัครเล่นในภาคธุรกิจ ผมแค่เลือกเส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยบังเอิญ และกลายเป็นนักธุรกิจมาตลอดช่วง 20 ปี ผมคิดว่าผมจะกลับไปเป็นครู
อีกครั้งในวันหนึ่ง เพราะการเป็นครูเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ ในอนาคตผมจะหวนคืนสู่สาขาการศึกษา พร้อมกับอุทิศความคิด และพลังงานของผมให้สาขานี้”
คำพูดดังกล่าวเป็นคำพูดฉบับเต็มที่ “แจ็ก หม่า” พูดบนเวทีสัมมนา “The Power of Small” จนทำให้สำนักข่าวต่างประเทศตีความ และนำไปถามเขาจนทำให้เกิดกระแสข่าวตามมามากมายว่า เขาจะลงจากตำแหน่งประธานอาลีบาบา กรุ๊ป เพื่อไปเป็นครูจริง ๆ หรือฉะนั้น คำพูดต่อจากนี้ไป คือ สิ่งที่ “แจ็ก หม่า” อภิปรายผ่านบนเวทีสัมมนาในตอนบ่ายที่ “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมมาแบบ “คำต่อคำ” เพื่อให้เห็นชุดความคิดของเขาทั้งหมดเกี่ยวกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาเยาวชน และครูชนบทต่อเรื่องการพัฒนาการศึกษาในอนาคตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
เบื้องต้น “แจ็ก หม่า” กล่าวว่า การที่เราสามารถโน้มน้าวใจคนคนหนึ่งด้วยคำพูด และความคิด เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ยิ่งถ้าคุณสามารถโน้มน้าวใจครูใหญ่ และครูใหญ่ท่านนี้สามารถโน้มน้าวใจครูอื่น ๆ ได้อีก 20-30 คน ครูแต่ละคนจะสามารถโน้มน้าวใจนักเรียนได้ อาจจะหลายสิบคน หรือหลายร้อยคน
“ผมทิ้งเส้นทางอาชีพครูมาหลายปี และกลายเป็นมือสมัครเล่นในสาขาการศึกษา แต่การฝึกอบรมวิชาชีพครูนั้นมีประโยชน์ต่อเส้นทางของผมกับอาลีบาบาเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงรู้สึกอยู่เสมอว่า ตัวผมนั้นยังเป็นมือสมัครเล่นในภาคธุรกิจ ผมแค่เลือกเส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยบังเอิญ และกลายเป็นนักธุรกิจมาตลอดช่วง 20 ปี ผมคิดว่าผมจะกลับไปเป็นครูอีกครั้งในวันหนึ่ง เพราะการเป็นครูเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ ในอนาคตผมจะหวนคืนสู่สาขาการศึกษา พร้อมกับอุทิศความคิด และพลังงานของผมให้สาขานี้”
“เพราะการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และยังมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก เพราะยุคแห่งการปฏิวัติทางเทคโนโลยีทำให้เกิดความกังวลว่า เทคโนโลยีและเครื่องจักรจะเข้ามาแทนที่ และถึงขั้นควบคุมมนุษย์ในวันหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความกังวลเช่นนั้นไม่สำคัญ เพราะมนุษย์จะกล้าแกร่งขึ้นไปตลอดกาล เครื่องจักรไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ เครื่องจักรมีชิป แต่มนุษย์มีหัวใจ หัวใจนี้คือที่มาของปัญญา มนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป”
“ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือ วิธีจัดการศึกษา ที่ดำเนินมาตลอด 200-300 ปีนั้น มีไว้เพื่อรองรับยุคอุตสาหกรรม แต่สำหรับยุคข้อมูล ข่าวสาร เราควรให้การศึกษาลูกหลานของเราในวิธีที่แตกต่างไป เยาวชนในอนาคตควรเรียนรู้ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ เปี่ยมล้ำนวัตกรรม และมีความคิดริเริ่ม ซึ่งต่างจากการศึกษาตามแบบแผนเดิม หากเครื่องจักรสามารถทำในสิ่งที่เราเรียนมาได้ดีกว่าแล้ว เราจะถูกผลักห่างออกไป”
นอกจากนั้น “แจ็ก หม่า” ยังยกตัวอย่างเรื่องการแข่งขันระหว่าง Alpha Go กับมนุษย์ อย่าเล่นเกมโกะ (หมากรุก) กับเครื่องจักร เพราะคุณจะแพ้แน่นอน เครื่องจักรมีความจำที่ยอดเยี่ยมมาก พวกมันสามารถคำนวณได้เร็วกว่าคุณ และพวกมันจะไม่รู้สึกขุ่นเคือง นับตั้งแต่วันแรกที่มีการคิดค้นรถยนต์ขึ้นมา คุณก็รู้อยู่แล้วว่าคุณจะไม่มีวันแซงรถยนต์ได้ การเล่นเกมโกะกับเครื่องจักรเองก็ไม่แตกต่างจากการทำให้ตัวเองขายหน้า
“แล้วมีสาขาไหนที่มนุษย์จะเป็นที่ชนะตลอด คำถามนั้นคือสิ่งที่ทำให้เราต้องพิจารณาถึงการศึกษาในอนาคต เราเคยพูดกันถึงเรื่องความฉลาดทางความรัก (love quotient-LQ) ที่เพิ่มเข้ามา นอกเหนือจาก IQ และ EQ คนที่มี LQ ที่ดีเท่านั้น ถึงจะดึงดูดคนและทรัพยากร”
ผลตรงนี้ จึงทำให้ “แจ็ก หม่า” มองว่า จีนไม่ใช่ประเทศที่กำลังประสบปัญหาด้านการศึกษาอยู่ประเทศเดียวทั่วโลกก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน อะไรคือทรัพยากรยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเรา ไม่ใช่ถ่านหิน ไม่ใช่น้ำมัน แต่เป็นมันสมองของเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละปี จำนวน 20 ล้านคนทุกปี ประเทศจีนมีเด็กเกิด 20 ล้านคน และอาจมีจำนวนเด็กทั่วโลกที่เกิดในแต่ละปีถึง 100-200 ล้านคน เราพัฒนามันสมองของเด็กเหล่านี้อย่างไร เราควรใช้แนวทางการศึกษาแบบใดเพื่อพัฒนา IQ, EQ และ LQ ของพวกเขา สิ่งนี้คือความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา และยังเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุด ณ ตอนนี้ด้วย
“ไม่มีใครสามารถพรากสิ่งที่อยู่ในสมองของเราไปได้ คนรวยอาจล้มละลาย อาจถูกหลอกเงิน แต่ไม่มีใครสามารถขโมยความรู้จากมันสมองของลูกหลานเราได้ ร่างกายที่ดี ควรมาพร้อมกับการศึกษาที่ดี ถ้าเช่นนั้นเราสามารถดูแลเด็ก 20 ล้านคน ที่เกิดขึ้นในจีนในแต่ละปีได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ เราลงทุนทรัพยากรจำนวนมากไปกับการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท”
“ซึ่งในความเห็นของผม นี่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เราควรลงทุนทรัพยากรไปกับอนุบาล, ประถม, มัธยมต้น และมัธยมปลายมากกว่า เพื่อพัฒนานิสัยการเรียนรู้ที่ดีของเด็กตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เมื่อมาถึงคำถามที่ว่าเราควรจะลงทุนทรัพยากรด้านการศึกษาในเมือง หรือในพื้นที่ด้อยโอกาส ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าระดับการศึกษา และการพัฒนาของประเทศนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนชั้นนำ แต่อยู่ที่คนระดับล่าง สิ่งที่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นระดับการพัฒนาของประเทศหนึ่ง ๆ คือ เราพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาในหมู่บ้านห่างไกลได้ดีเท่าใด และขึ้นอยู่กับว่ามีทรัพยากรการศึกษาที่เพียงพอในพื้นที่ด้อยโอกาสหรือไม่”
“การศึกษาในชนบทจะต้องพัฒนา ประเทศจึงจะก้าวหน้าไปได้ดี เป้าหมายที่แท้จริงของการบรรเทาความยากจน คือ สนับสนุนการพัฒนาผู้คน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีความมั่นใจ และมีความสามารถ ผมไม่ดูฟุตบอล แต่ผมสนใจในสปิริตของความเป็นทีม เหตุผลที่ให้เด็ก ๆ เล่นกีฬาก็เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสกับความผิดพลาด ไม่มีใครชนะไปได้ตลอด กีฬาที่แท้จริงเป็นเรื่องของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งหมายถึงการขจัดความเป็นปัจเจกออกไป”
“เราจะช่วยเด็กที่เกิดในแต่ละปีจำนวน 20 ล้านคน ให้เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุดได้อย่างไร เราควรให้พวกเขาพัฒนาในด้านที่แต่ละคนทำได้ดี เพราะปัญหาการศึกษาของจีน และของโลก ทุกคนนั้นแตกต่างกัน ทุกคนมีพรสวรรค์แตกต่างกันออกไป การศึกษาควรคำนึงถึงวิธีช่วยให้แต่ละคนสามารถปลดปล่อยความสามารถของตนเอง และได้รับการยอมรับ”
“แจ็ก หม่า” จึงมองว่า ผมไม่คิดว่าการนั่งทำการบ้าน 3 ชั่วโมง จะทำให้การเรียนของเด็กสมบูรณ์ ถ้าเขา, เธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หลังจากใช้เวลา 6 ชั่วโมง ในแต่ละวันที่โรงเรียน เด็กไม่เหมือนกันก็ควรทำกิจกรรมที่แตกต่างกันไปหลังเลิกเรียน พวกเขาควรเล่นกีฬา พวกเขาควรลองเข้าสู่โลกของศิลปะผู้ปกครองชาวจีนบางคนคิดว่าการเล่นกีฬาส่งผลต่อการเรียน จริง ๆ แล้วกีฬามีประโยชน์ต่อการเรียน
“ผมทราบมาว่า หลักวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่า กีฬาสามารถเพิ่มระดับออกซิเจนในสมอง และพัฒนาความจำ รวมถึงความสามารถในการตั้งสมาธิการเรียน และกีฬาไม่ขัดกันและกัน สิ่งที่เรากำลังหาในแวดวงการศึกษาจริง ๆ แล้ว คือ คนที่เก่งทั้งด้านการเรียนและกีฬา เมื่อไม่นานมานี้ ผมเสนอการรื้อถอนและการบูรณาการโรงเรียนชนบท แล้วก็พบกับกระแสคัดค้าน แต่ครั้งหนึ่งผมไปเยี่ยมหมู่บ้านในชนบทที่เกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในมณฑลเสฉวน เมื่อปี 2008 และพบว่าไม่มีอะไรเหลือในหมู่บ้านเลย ทางการท้องถิ่นให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบพักอยู่ในพื้นที่ต่อ”
“ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ชาวบ้านอาจตั้งรกรากที่นั่นเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพราะมีวิกฤต และเมื่อก่อนมีเพียงสองครัวเรือนเท่านั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หมู่บ้านอาจจะขยายตัวออกเป็นหลายร้อยครัวเรือน และก็มีทรัพยากรท้องถิ่นไม่พอต่อการเลี้ยงดูครัวเรือนเหล่านี้อีกต่อไป ผู้คนจึงควรย้าย เมื่อมีเหตุผลให้ย้าย เมื่อเด็กย้าย ผู้ใหญ่จึงจะย้ายตามมา”
“มีปัญหาในการศึกษาชนบทของเราเป็นจำนวนมาก แต่สาขานี้ก็เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ตอนที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรก 23 จาก 24 คนในชั้นเรียนของผมมาจากหมู่บ้านในชนบท แต่ปัจจุบันมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เป็นชาวบ้านชนบทแท้ ๆ น้อยลงเรื่อย ๆ เราต้องหาสาเหตุให้พบ เด็กในชนบทมีพรสวรรค์หลายประการ ทั้งด้านดนตรี, ศิลปะ, กีฬา ดังนั้น ในด้านการศึกษามูลนิธิแจ็ก หม่า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาของเด็กในด้านดนตรี, ศิลปะ และกีฬา นักเรียนควรเริ่มพัฒนาทั้ง 3 ด้านนี้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล”
“เพราะคำว่าการศึกษาในภาษาจีน ประกอบด้วย ตัวอักษรที่แปลว่าสอน และอบรมเลี้ยงดู โรงเรียนของเราสมัยนี้ให้ความสำคัญกับการสอนมากเกินไป และไม่ได้สนใจการอบรมเลี้ยงดู ผมมองว่าการอบรมเลี้ยงดูเป็นเรื่องของศีลธรรม และลักษณะ เสน่ห์ของคนคนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่า เขา, เธอได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างไร คนที่ฉลาดอาจจะขาดการอบรมเลี้ยงดู”
ผลตรงนี้จึงทำให้ “แจ็ก หม่า” เชื่อว่า เด็ก ๆ ของเราต้องการกีฬาเพื่อที่พวกเขาจะได้พัฒนาความชื่นชอบในการทำงานเป็นทีม ถ้าพวกเขาไม่รู้จักการทำงานเป็นทีม พวกเขาจะสามารถทำงานร่วมกับผู้คนจากที่ต่าง ๆ ของโลกได้อย่างไร พวกเขาจะเป็นที่ยอมรับของคนอื่นได้เช่นไร ไม่มีประโยชน์ในการอบรมเลี้ยงดูคนที่คนอื่น ๆ ไม่ชอบ เราต้องให้ความสนใจกับส่วนการอบรมเลี้ยงดู ในการศึกษาของจีน การศึกษาไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบของโรงเรียนเท่านั้น ครอบครัว และสังคม ยังมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องการศึกษาด้วย
“ด้านพัฒนาการศึกษาชนบท โรงเรียนประถมหลายแห่งในพื้นที่ยากไร้ของจีนนั้นว่างเปล่า ใครกันจะเต็มใจไปสอนในโรงเรียนที่มีนักเรียนแค่ 6-7 คน ในชั้นที่แตกต่างกัน 4 ชั้น เราต้องการให้ครูชนบทได้รับการนับถือ เราไม่สามารถให้พวกเขาเดินทางไปหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเพื่อไปสอนนักเรียนแค่ 4-5 คน โดยไม่มีเงินเดือนให้ ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมที่ขัดสนของการสอนในชนบทเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมต่อครูชนบทเลย”
“ด้วยจำนวนนักเรียนที่น้อย และการขาดครูที่เต็มใจจะไปสอนในหมู่บ้านเหล่านั้น ผมสนับสนุนการบูรณาการโรงเรียนชนบทเพื่อรวมทรัพยากรการสอน กระทั่งทรัพยากรทางสังคม แม้จะมีเสียงคัดค้าน เราจะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องต่อไป เหมือนกับที่อาลีบาบาพัฒนามาตลอด 19 ปี ผมจึงขอให้พวกท่านทุกคนให้ความสำคัญแก่ครูชนบท การปฏิรูปครูชนบทจะแสดงถึงความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ของประเทศเรา”
“คุณสามารถบอกได้ทันทีว่า ใครขาดสารอาหาร แต่ถ้าคุณสามารถบอกได้ว่า ใครกันที่ขาดการศึกษา คุณจะประหลาดใจทันทีที่เห็นว่าประเทศของเรากำลังประสบปัญหาการขาดไร้ประสิทธิภาพด้านการศึกษา การขาดไร้ประสิทธิภาพเช่นนั้นจะนำมาซึ่งปัญหาแก่สังคมอย่างแน่นอน การดูแลลูกของคุณให้ดีนั้นยังไม่พอ ในอนาคตในหมู่เด็กรุ่นเดียวกันจะมีกลุ่มคนจำนวนมากที่ขาดการศึกษา เพื่อลูกของคุณ และอนาคตของเรา กรุณาให้ความสำคัญกับครูชนบท”
ดังนั้น “แจ็ก หม่า” จึงมองว่าการแก้ปัญหาของโรงเรียนในชนบทเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างแท้จริง เราต้องการใครสักคนที่อย่างน้อยก็พยายามทำผิดพลาด และช่วยรับมือกับปัญหานั้น เพราะครูคือวิศวกรทางจิตวิญญาณ แต่มีกี่คนกันที่รับเงินเดือนเท่ากับวิศวกร มีกี่คนกันที่รู้สึกว่าพวกเขากำลังทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่ มูลนิธิแจ็ก หม่าจึงบอกว่าการศึกษาคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่เราเคารพ เราจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากคุณจะมีส่วนร่วมในการกระทำครั้งนี้
“ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ด้วยการฟัง, สังเกต และให้ความสำคัญแก่เด็กที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และครูชนบท จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถมีส่วนร่วมในการศึกษาของจีนได้”
อันเป็นคำตอบของ “แจ็ก หม่า” ที่มองโลกการศึกษาของสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่น่าจะนำมาเชื่อมโยงกับโลกการศึกษาของประเทศอื่น ๆ ในโลกได้อย่างน่าสนใจจริง ๆ
ขอขอบคุณที่มา prachachat.net
สารพัดโรคตาที่มากับวัย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก หากตาบอด ก็ส่งผลให้เราใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น และเมื่ออายุยิ่งมากขึ้น อวัยวะหลาย ๆ อย่างในร่างกายเริ่มเสื่อมสมรรถภาพลง รวมถึงดวงตาด้วย ส่วนจะมีโรคอะไรบ้าง เป็นแล้วมีอาการอย่างไร รักษาได้หรือไม่ และเราควรดูแลตัวเองอย่างไรนั้น
นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร มีข้อมูลและคำแนะนำดี ๆ มาฝาก เริ่มด้วยโรคฮอตฮิตที่มาพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น ที่คุณหมอพรเทพบอกว่า เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
สิ่งแรกที่มีโอกาสเกิดคือ ภาวะสายตาสูงอายุ ซึ่งเป็นคนละโรคกับสายตายาว โดยภาวะสายตาสูงอายุจะมีอาการคือ เมื่ออ่านหนังสือ ต้องเขยิบหนังสือออกไปจากตัวมากขึ้น หรือต้องการแสงสว่างในการอ่านหนังสือมากขึ้น วิธีแก้ปัญหาคือต้องใส่แว่นสายตาสูงอายุ และควรเปลี่ยนแว่นทุก 2-4 ปี เพราะสายตามีการเปลี่ยนแปลง
ส่วนโรคที่ 2 ที่มักเจอในผู้สูงวัย คือ โรคตาแห้ง มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในวัยทอง ที่ฮิร์โมนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และฮอร์โมนบางอย่างอาจะส่งผลกระทบต่อดวงตาได้ ซึ่งวิธีแก้ไขนั้น คุณหมอแนะนำว่า ง่ายสุดคือใช้น้ำตาเทียมหยอดตา แต่หากจะให้ดีให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นมาประคบเปลือกตาสัก 10 นาที ทำวันละ 3 ครั้ง หรืออาจจะใช้ไข่ต้มมาประคบก็ได้ เพราะสำคัญคือต้องการใช้ความร้อนมากระตุ้นไขมันที่ตาให้มาเคลือบกระจกตา นอกจากนี้ ควรใส่แว่นกันแดดใหญ่ ๆ เพื่อกันแดด กันลม และกันรังสี UV ด้วย
ขณะที่โรคที่ 3 เป็นโรคที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนตาบอด และเป็นโรคที่มาพร้อมกับคำว่าสูงวัยจริง ๆ โรคนั้นคือ โรคต้อกระจก นั่นเอง ที่คุณหมอพรเทพบอกว่า เหตุที่ทำให้โรคต้อกระจกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนตาบอดก็เพราะว่าโรคนี้ทุกคนต้องเป็น เนื่องจากเป็นความเสื่อมของเลนส์ตาที่พอเราแก่ตัวลง เลนส์ตาก็จะเริ่มขุ่นขึ้น จนทึบ เมื่อทิ้งไว้นานขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้มองไม่เห็นในที่สุด โดยวิธีการรักษานั้นจะใช้การผ่าตัดสลายต้อกระจก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียม ที่มีอายุการใช้งานถึง 50 ปี
โรคถัดมาที่เมื่อก่อนอาจยังพบไม่มากเท่าไหร่นักในประเทศไทย แต่ปัจจุบันเริ่มพบได้มากขึ้น โรคนั้นก็คือ โรคต้อหิน ที่เกิดจากการทำลายเยื่อประสาทตาอย่างถาวร ทำให้เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ น่ากลัวไปกว่านั้นคือ หากเป็นในระเริ่มต้นจะไม่มีอาการ จะพบอาการตามัวเมื่อเป็นระยะท้าย ๆ แล้ว ทำให้การรักษาอายจทำได้ไม่ค่อยดีนัก ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้ คุณหมอบอกว่า ให้ดูประวัติครอบครัวว่าเคยมีใครในครอบครัวเป็นต้อหินหรือไม่ ซึ่งอาจจะตรวจสอบได้ยากพอสมควร คำแนะนำคือเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจวินิจฉัยต้อหินทุกปี หากพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะรักษาง่าย ด้วยการหยอดตาตลอดชีวิต
ขณะที่ในไทย สาเหตุที่ทำให้ตาบอดนั้นมาจากโรคต้อกระจก แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา สาเหตุที่ทำให้ตาบอดมากที่สุดนั้นมาจากโรคจุดศูนย์กลางของจอประสาทตาเสื่อม พบในคนอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเกิดขึ้นในบางคน แต่ระยะหลังมา ในประเทศไทยเริ่มพบมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ปัจจัยหนึ่งมาจากการสูบบุหรี่ ปัจจัยที่ 2 คือแสงแดด แสง UV ส่วนปัจจัยอื่นที่มีพูดถึงกันมากคือแสงสีฟ้า (blue light) แต่ยังไม่มีการทดลองในคน พบเพียงงานวิจัยในสัตว์ทดลองเท่านั้น
โดยโรคจุดศูนย์กลางของจอประสาทตาเสื่อมนั้น ผลการวิจัยบอกว่าหากเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถป้องกันได้ถึง 94.6% แต่คนไข้ก็มักจะไปหาหมอก็ตอนที่สายตามองไม่เห็นแล้ว ทำให้รักษาได้ไม่ทันท่วงที ส่วนวิธีเช็คง่าย ๆ ว่าเราเป็นหรือไม่ คุณหมอพรเทพแนะว่า ให้ใช้มือปิดตาข้างหนึ่ง แล้วมองไปที่เส้นตรงในบ้าน เช่น ขอบประตู แล้วดูว่าขอบเส้นตรงนั้นเบี้ยวหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเริ่มเบี้ยว ให้รีบไปพบจักษุแพทย์ทันที
นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น โดยเฉพาะวัยสูงวัยที่นิยมเล่นไลน์ หรือเฟซบุ๊ก ทำให้ต้องใช้สายตาเยอะ คุณหมอจึงแนะนำ ดังนี้
1.เวลาเล่นโซเชียลมีเดีย จะเป็นการอ่านอะไรในระยะใกล้ เพราะต้องโฟกัสในภาพเล็ก ๆ จึงควรใช้แว่นผู้สูงอายุขณะใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
2.เมื่อจ้องมาก ๆ เราจะลืมกะพริบตา ทำให้ตาแห้งได้ จึงควรกะพริบตาบ่อย ๆ
3.เมื่อมองใกล้นาน ๆ ตาเราจะยึดโฟกัสแค่ที่เดียวเป็นเวลานาน จึงควรพักสายตาบ้าง โดยอาจเล่นโซเชียล 2 ชั่วโมง พักสายตา 15 นาที ด้วยการมองไปที่ไกล ๆ ให้ดวงตาเลิกจากการมองใกล้ เพื่อให้เลนส์ตาได้ผ่อนคลาย ส่วนแสงสีฟ้าที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น มีงานวิจัยพบว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เราล้าสายตาได้ง่าย จึงควรติดฟิล์มบางอย่างที่สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อกรองแสง แต่หากจะให้ดีที่สุดคือ อย่าใช้อะไรนานเกินไป ควรใช้แต่พอดีก็พอ
คุณหมอทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันคนเราอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากขึ้น จึงอยากให้ตระหนัก และอย่ามองว่าตาเป็นเรื่องเล็ก ๆ อย่าคิดว่าตามัวเป็นแค่ความชราที่มาเยือน แนะนำให้ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ไปตรวจตาปีละครั้ง แต่คนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน อาจจะต้องตรวจบ่อยกว่า เพื่อให้รู้ทันโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาได้อย่างทันท่วงที
ขอขอบคุณที่มา 2.thaihealth.or.th
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,500.00 | 18,400.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,000.00 | 18,070.72 | 1,192.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,722.60 | 1,235.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,263.65 | 1,072.80 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,456.58 | 953.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,125.76 | 536.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,321.72 | 417.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 | 31.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 | 31.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 28.54 | 28.54 | 28.54 | 28.54 | 28.54 | – | 28.54 | 28.54 | 28.54 | 28.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 22.14 | 22.14 | – | – | – | – | – | 22.14 | 22.14 | – |
เบนซิน 95 | 38.66 | – | – | – | 39.11 | – | 39.16 | 38.96 | 38.76 | 38.96 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.13 | 15.13 | – | – | – | – | – | – | – | – |