สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2561

ส่องผลประกอบการครึ่งปีแรก “แนวราบ” พยุงพอร์ตรายได้บิ๊กแบรนด์

 

 

ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2561 บ่งบอกอะไรได้บ้าง ? วันนี้ประมวลข้อมูล 9 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯมาเรียงดูเป็นน้ำจิ้ม สัญญาณแรงมาก ประการหนึ่งที่เห็น คือ หลายบริษัทดูเหมือนคอนโดมิเนียมขายดิบขายดี แต่ผลประกอบการรวมที่ออกมา รายได้จากโครงการแนวราบต่างหากที่เป็นเนื้อเป็นหนัง โดยส่วนใหญ่มีสัดส่วนรายได้ 50% จนถึงเกือบ 100%
ศุภาลัย-เอพีแนวราบเกินครึ่ง
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจการแจ้งผลประกอบการรอบครึ่งปีแรก 2561 ของ 9 บริษัท (ดูตารางประกอบ) พบว่า พอร์ตรับรู้รายได้ของค่ายเอพี (ไทยแลนด์) กับศุภาลัยมีสัดส่วนเกินครึ่งของรายได้รวมที่มาจากโครงการแนวราบ โดย “ศุภาลัย” มีการโอนแนวราบ 56% คอนโดมิเนียม 44% จากยอดรับรู้รายได้รวม 11,158 ล้านบาท และวางแผนเปิดตัวเพิ่มครึ่งปีหลังอีก 9 โครงการ เป็นพอร์ตแนวราบมากสุด 7 โครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล กับ 2 คอนโดฯ ก่อนหน้านี้ช่วงครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 10 โครงการ มูลค่ารวม 7,600 ล้านบาท มีทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยแนวราบมีถึง 9 โครงการ และคอนโดฯเพียง 1 โครงการ
ส่วน “ค่ายเอพี (ไทยแลนด์)” เป้าทั้งปีวางแผนเปิด 38 โครงการ เพิ่งเปิดในครึ่งปีแรก 8 โครงการ รอเปิดเพิ่มครึ่งปีหลัง 30 โครงการ มูลค่ารวม 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาส 3/61 จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 17,980 ล้านบาท ไตรมาส 4/61 จำนวน 18 โครงการ รวม 31,230 ล้านบาทไฮไลต์ครึ่งปีหลังมี 2 โครงการระดับซูเปอร์ลักเซอรี่ ได้แก่ คอนโดฯดิ แอดเดรส สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้านบาท กับบ้านหรูเดอะ พาลาซโซ่ ศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/61
แสนสิริปลั๊กอิน “สิริเพลส”
“ค่ายแสนสิริ” จั่วหัวเร้าใจจากการรวบรวมยอดขายอัพเดตจนถึงต้นเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 32,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 72% จากเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 45,000 ล้านบาท ถือว่ามาตามแผนไม่ได้ล้ำหน้าหรือถอยหลังจากแผนเกมบุกที่โดดเด่นต้องถือว่าเป็นบริษัทหนึ่งในจำนวนน้อยรายที่ยังคงเดินหน้าเปิดตัวคอนโดฯใหม่ในตลาดต่างจังหวัด โดยปิดการขายในวันแรกที่เดอะเบส เซ็นทรัล-ภูเก็ต กับดีคอนโด แคมปัส โดม-รังสิต นอกจากนี้ ขายดีเทน้ำเทท่าอย่างลา กาซิตา หัวหิน ขายแป๊บเดียวยอดขาย 95%, เอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา 96%, ดีคอนโด หาดใหญ่ ยอดขาย 60%
ขณะเดียวกัน อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลาดบ้านซูเปอร์ลักเซอรี่อย่าง “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ 30” มียอดขาย 53% หลังจากเปิดขาย 3 เดือนแรก เพราะมีโครงการแฟลกชิปอย่าง “98 ไวร์เลส” เป็นตัวส่งต่อให้อยู่แล้ว
แต่การปลั๊กอินตลาดทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาท เป็นสิ่งที่ต้องจับตา เนื่องจากแบรนด์ “สิริเพลส” ทำรายได้ไตรมาส 2/61 เติบโต 672% เทียบกับช่วงไตรมาส 1/61 กลายเป็นสะพานเชื่อมให้วางแผนเปิดตัวเพิ่มต่อเนื่องในไตรมาส 4/61
เอสซีฯบุกแนวราบ 2-60 ล้าน
เอสซี แอสเสทฯรายได้หลักมาจากโครงการแนวราบ 70% คอนโดมิเนียม 30% แผนครึ่งปีหลังเปิดเพิ่ม 15 โครงการ ยังเป็นเวย์ของแนวราบถึง 14 โครงการ 13,300 ล้านบาท มาจาก 3 เซ็กเมนต์ คือ กลุ่มราคาเกิน 20 ล้านบาท เติบโต 67%, ราคา 8-20 ล้านบาท โต 512% และต่ำ 5 ล้าน โต 132%มีคอนโดฯเพียง 1 โครงการ “แชมเบอร์ส อ่อนนุชสเตชั่น” 1,700 ล้านบาท ห้องละ 3-5 ล้านบาทโดยโครงการแนวราบที่เป็นตัวบุกครึ่งปีหลัง 2561 แบ่งเป็นบ้านราคา 3-60 ล้าน 10 โครงการ ได้แก่ 1.เดอะเจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว 2.แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 3.บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา 4.บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-2 5.บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 6.เวนิว ติวานนท์-รังสิต 7.เวนิว เวสต์เกต 8.เวนิว พระราม 9 9.เพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา 10.เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทราทาวน์โฮม 2 โครงการ ได้แก่ เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต กับเวิร์ฟ พระราม 9
นอกจากนี้ มีโฮมออฟฟิศ 1 โครงการ แบรนด์เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2 และบ้านกับทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ “คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า”
โกลด์-ลลิลฯ-มั่นคงฯนอนมา
ดีเวลอปเปอร์ที่สปอตไลต์ฉายส่องในตลาดทาวน์เฮาส์เพราะมาแรงมากเหลือเกินในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่พ้น “โกลเด้นแลนด์” พลิกสถานการณ์รายได้ดีวันดีคืน ล่าสุดครึ่งปีแรกทำกำไรใกล้แตะ 1,000 ล้านบาท
โดยช่วงครึ่งปีแรก 2560 มียอดขาย 11,084 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,971 ล้านบาท กำไรสุทธิ 594 ล้านบาท ล่าสุดครึ่งปีแรก 2561 ยอดขายเพิ่มเป็น 13,585 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 6,434 ล้านบาท กำไรสุทธิ 963 ล้านบาท
“ค่ายลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เลือกที่จะโปรยข้อมูลออกมาว่าหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 โดยสิ้นไตรมาส 2/61 มีหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) 0.76 เท่า ปรับลดลงจากไตรมาส 1/61 ซึ่งอยู่ที่ 0.82 เท่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ถือว่าเป็นตัวเลขแผนธุรกิจปกติเพราะพอร์ตพัฒนาโครงการมาจากแนวราบเป็นหลัก สามารถสร้าง-ขาย-โอนจบในปีเดียวกันอยู่แล้ว
และ “มั่นคงเคหะการ” แจกแจงผลประกอบการครึ่งปีแรก 2561 รายได้ 2,646 ล้านบาท เติบโต 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิดตัวใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยมี 1 โครงการเจาะเซ็กเมนต์ทาวน์เฮาส์พรีเมี่ยมแบรนด์ “ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์-345” ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท ทำเลใกล้กับเซ็นทรัล เวสต์เกต
“ออริจิ้นฯ-อนันดาฯ” โตพุ่ง
ดาวรุ่งในวงการที่สร้างแรงบันดาลใจให้ดีเวลอปเปอร์อยากตบเท้าเข้าตลาดหุ้น “ค่ายออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ยังคงเป็นสตอรี่ภาพความสำเร็จต่อเนื่อง พอร์ตรายได้หลักแม้ไม่ได้ส่งข่าวแจกแต่ฟันธงมาจากคอนโดมิเนียมเป็นหลัก
แผนลงทุนครึ่งปีหลัง ประกาศล่วงหน้ามาแล้วว่าเตรียมเปิดตัวมีมูลค่ารวมกัน 21,000 ล้านบาท มาพร้อมกับเปิดตัวมิกซ์ยูส “พาร์ค ออริจิ้น” พร้อมกัน 3 ทำเล รวมทั้งเบ่งพอร์ตแนวราบเพิ่มอีก 3 ทำเล
สุดท้าย “ค่ายอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” เป็นหนึ่งในดีเวลอปเปอร์ท็อปแบรนด์ที่มีผลประกอบการขาขึ้น โดยครึ่งปีแรก 2561 มียอดโอน 10,599 ล้านบาท (รวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง) เติบโต 113% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดโอน 4,979 ล้านบาท
ในด้านยอดขายก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยครึ่งปีแรก 2561 จำนวน 17,303 ล้านบาท เติบโต 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 15,487 ล้านบาท
สำหรับครึ่งปีหลังอนันดาฯยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ประเมินจากแบ็กล็อก (ยอดขายรอโอน) 54,600 ล้านบาท เป็นคอนโดฯทยอยสร้างเสร็จที่จะแบ่งมาโอนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ 23,300 ล้านบาท ที่เหลือทยอยสร้างและโอนภายในปี 2562-2564

 

ที่มา : http://www.bkkcitismart.com


 

“เซ็นทรัล”ทิ้ง”โฮมเวิร์ค”ทุ่มงบ200ล้าน รีแบรนด์ดิ้งเป็น“บ้านแอนด์บียอนด์”

 

กลุ่มเซ็นทรัลประกาศทิ้งแบรนด์ “โฮมเวิร์ค”หลังสินค้าไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ปรับกลยุทธ์ทุ่มงบ 200 ล้านบาท Re-Brandingเป็น “บ้านแอนด์บียอนด์”สู้ศึกคู่แข่ง รวมสินค้าตกแต่งซ่อมแซมบ้านแนวใหม่ ให้ทุกอย่างมากกว่าเรื่องบ้าน คาดปลายปีมี สาขาครอบคลุมทุกภาค ตั้งเป้า ปียอดขายแตะ 50,000 ล้านบาท

 

 

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในกลุ่มเซ็นทรัล ผู้ดำเนินธุรกิจ “บ้านแอนด์บียอนด์” เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านในปัจจุบันมีแนวโน้มขยายตัวได้ในทิศทางที่ดี ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3.6% คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมกว่า 200,000 ล้านบาท ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลโฮมกรุ๊ปมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 14%โดยการเติบโตนั้นมีปัจจัยมาจากเศรษฐกิจของประเทศที่มีการฟื้นตัวได้ดี ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 4.8% ที่ได้รับแรงหนุนจากโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆของทางภาครัฐ การขยายตัวของสังคมเมือง ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ต่อครัวเรือน และจำนวนที่อยู่อาศัยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมีอายุน้อยลง และมีขนาดครอบครัวที่เล็กลง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมืองธุรกิจ เมืองท่องเที่ยว และเมืองอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ  โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) รวมทั้งปัจจัยด้านพฤติกรรมการซื้อของตกแต่งบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคมีความความต้องการที่หลากหลายเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้า บริการ และข้อมูลที่รวดเร็ว ตอบสนองได้อย่างฉับไว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีช่องทางของ Social Media ที่เป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้า

ทั้งนี้จากการที่บริษัทเปิดให้บริการร้านค้าโมเดิร์นเทรด “โฮมเวิร์ค”เมื่อปี 2544 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าสินค้าไม่ค่อยตอบโจทย์ผู้บริโภค ขณะเดียวกันการแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวก็ค่อนข้างมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ต้องปิด “โฮมเวิร์ค” ไปหลายสาขา  ดังนั้นในปี2561 นี้ บริษัทจึงได้ทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาทในการรีแบรนด์ดิ้ง (Re-Branding) ใหม่เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์เป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านแนวใหม่ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าเรื่องบ้าน คือ ฟังก์ชันการใช้งาน ราคาคุ้มค่าจับต้องได้ มีโซลูชั่นช่วยแก้ทุกปัญหาที่ลูกค้าไม่สามารถทำเองได้ และบริการที่ครบทุกความต้องการ

 

 

โดยได้เริ่มทดลองเปิด “บ้านแอนด์บียอนด์” ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านรูปแบบใหม่ จำนวน 3 สาขา ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และพัทยา ก่อนเป็นลำดับแรก ปรากฏว่าสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ส่งผลให้บริษัทฯ มั่นใจทำรีแบรนด์ดิ้ง (Re-Branding) “โฮมเวิร์ค” เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” โดยตั้งเป้าปรับเปลี่ยนหน้าร้านอีก 3 แห่ง ที่สาขาราชพฤกษ์ สาขารัตนาธิเบศร์ และสาขาภูเก็ต ให้เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” ซึ่งจะทำให้จนถึงปลายปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 6 สาขา ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ครบทุกภาคทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ในปีนี้กลุ่มเซ็นทรัล โฮม มียอดขาย 25,000 ล้านบาท เติบโต 15%

ซึ่งการรีแบรนด์ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่มูลค่าตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เป็นโอกาสที่ดีหากบริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดได้ โดยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสรีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” เป็น“บ้านแอนด์บียอนด์” Home Improvement Store ที่เป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านเทรนด์ใหม่ โดยวางตำแหน่งของแบรนด์ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าแค่เรื่องบ้าน “BEYOND EXPECTATION” ด้วย 4 หัวใจหลัก คือ สินค้าที่มีสไตล์พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ราคาคุ้มค่าจับต้องได้ มีโซลูชั่นที่ช่วยแก้ทุกปัญหา ทั้งการซ่อมแซมหรือปรับปรุงบ้าน และบริการที่ครบทุกความต้องการ ตอบโจทย์ลูกค้าในยุค 4.0 ด้วยพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร/สาขา พร้อมด้วยสินค้าคุณภาพกว่า 20,000 รายการ โดยมีรูปแบบการจัดเรียงสินค้าที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งมีสินค้าที่แตกต่างจากเดิมถึง 30% ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น

 

 

“ภายในระยะ ปีข้างหน้ากลุ่มเซ็นทรัล โฮม คาดว่าจะมี 100 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น บ้านแอนด์บียอนด์ 20 สาขา และไทวัสดุ 80 สาขา เพิ่มจากปัจจุบันที่มี 45 สาขา และตั้งเป้ายอดขายรวมของกลุ่มเซ็มทรัลโฮม กรุ๊ป ที่50,000 ล้านบาท”นายสุทธิสาร กล่าว

นายสุทธิสารกล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งใน Pain point ของลูกค้า คือ เรื่องการซ่อมแซมบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ “บ้านแอนด์บียอนด์” จึงเปิดบริการ vFIX บริการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน ติดตั้ง เปลี่ยนหรือย้ายจุดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน จากช่างผู้เชี่ยวชาญผ่านการทดสอบตามมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมรับประกันผลงานนานสูงสุด 180 วัน ในราคาที่จับต้องได้ ผ่านContact Center 1308 เพื่อบริการลูกค้าฉับไว โดยจะเริ่มให้บริการ vFIX ภายใน 31 สิงหาคม2561 และ vFIX Application ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.baanandbeyond.com เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไร้รอยต่อด้วยการเชื่อมโยงช่องทางหน้าร้าน กับออนไลน์ ตามแนวคิด OMNI Channel ภายในเดือนกันยายน 2561

 

 

“เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์และเป็นการฉลองเปิดตัว“บ้านแอนด์บียอนด์” อย่างเป็นทางการ บริษัทฯ กำหนดจัดงาน baan & BEYOND Expo 2018งานมหกรรมสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี พร้อมสินค้าราคาลดสูงสุด 80% จากกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำ รวมทั้งกิจกรรมและรายการส่งเสริมการขายพิเศษมากมายภายในงาน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน -7 ตุลาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา Hall 101-104”นายสุทธิสาร กล่าวในที่สุด

 

ที่มา : http://prop2morrow.com


 

ข่าวดีคนกรุง ได้ใช้แน่ โมโนเรล 2สายแรกของไทย เปิดให้บริการ ปี64

 

นายกรัฐมนตรี ได้ฤกษ์กดปุ่มสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรล สายสีชมพู แคราย–มีนบุรี และสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง บรรเทาปัญหาการจราจรเร่งด่วน เปิดให้บริการปี 2564
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ส.ค. 61 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรลสองสายแรกของประเทศไทย (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง)
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีนโยบายผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ซึ่งได้กำหนดให้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่ง เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้ทั่วถึงกัน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เป็นโครงการที่รัฐบาลให้ความสนใจ เร่งรัด ติดตามความก้าวหน้า เพื่อให้ทั้งสองโครงการเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อหวังบรรเทาปัญหาการจราจรอย่างเร่งด่วน

 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีกดปุ่ม เพื่อเทคอนกรีตลงสู่ฐานราก ถือเป็นสัญลักษณ์เริ่มการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสองสายแรกของประเทศไทย (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย- มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ รถไฟฟ้าทั้งสองสาย เป็นโครงการนำร่องภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานโครงการฯ ให้มีความรวดเร็ว รวมทั้งเปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ ร่วมกับภาครัฐ เพื่อลดภาระด้านงบประมาณและหนี้สาธารณะของประเทศ โดย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ กับ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ กับ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) ซึ่งกำหนดให้ภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา 33 ปี 3 เดือน และแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 งานออกแบบและก่อสร้างงานโยธา พร้อมติดตั้งระบบและขบวนรถไฟฟ้า ระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน และ ระยะที่ 2 งานให้บริการเดินรถและบำรุงรักษา ระยะเวลา 30 ปี โดยให้เอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันการดำเนินงานระยะที่ 1 ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ มีความก้าวหน้าการก่อสร้างงานโยธา 3.10 %(ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561) ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ มีความก้าวหน้าการก่อสร้างงานโยธา 5.07 %(ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561) โดย รฟม. มั่นใจว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จ และทดลองระบบต่างๆ พร้อมเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าแบบ Heavy Rail หรือ ระบบขนส่งมวลชนหลัก ที่ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่น้อยกว่า 6 ปี ทั้งนี้ รถไฟฟ้าโมโนเรลทั้งสองสายจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

ที่มา : http://www.bkkcitismart.com


 

ดีเดย์ 1 ก.ย.ปรับขึ้นราคาทางด่วน 2 เส้น

 

 

รายงานข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2561 เป็นต้นไป กทพ. จะปรับขึ้นค่าผ่านอีก 5 บาท สำหรับทางพิเศษ 2 สายทาง คือทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) โดยจะปรับขึ้นเฉพาะในบางด่าน รวมทั้งสิ้น 14 ด่าน ซึ่งจะมีการปรับขึ้นค่าผ่านทางทั้ง 2 ทิศทาง ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก

แบ่งออกเป็นทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์)จะปรับขึ้นคาผ่านทางรวม 3 ด่าน ประกอบด้วย 1.ด่านบางครุ-บางเมือง เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 95 บาท 2.ด่านบางครุ-เทพารักษ์ เฉพาะรถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 75 บาท และ3.ด่านบางครุ-บางแก้ว เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 125 บาท

 

 

ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ปรับขึ้นค่าผ่านทางรวมทั้งสิ้น 11 ด่าน ประกอบด้วย 1.ด่านบางนา กม.6-บางเสาธง เฉพาะรถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 65 บาท 2.ด่านบางนา-กม.6-บางสมัคร รถ 4 ล้อ ปรับเป็น 50 บาท, รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 100 บาท และมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 150 บาท 3.ด่านบางนา กม.6-บางปะกง 1 เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 185 บาท

4.ด่านบางนา กม.6-ชลบุรี เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 220 บาท 5.ด่านวงแหวนรอบนอก (บางแก้ว)-บางสมัคร รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 85 บาท ,รถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 125 บาท 6.ด่านวงแหวนรอบนอก (บางแก้ว)-บางปะกง 1 รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 105 บาท ,รถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 160 บาท 7.ด่านวงแหวนรอบนอก (บางแก้ว)-ชลบุรี รถ 4 ล้อ ปรับเป็น 65 บาท ,รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 130 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 195 บาท

 

 

8.ด่านบางพลี 2-บางพลีน้อย รถ 4 ล้อ ปรับเป็น 30 บาท, รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 60 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 90 บาท 9.ด่านบางพลี 2-บางปะกง 1 เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 140 บาท 10.ด่านสุวรรณภูมิ 2-บางสมัคร รถ 4 ล้อ ปรับเป็น 35 บาท, รถ 6-10 ล้อ ปรับเป็น 70 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 105 บาท และ11.ด่านสุวรรณภูมิ 2-ชลบุรี เฉพาะรถมากกว่า 10 ล้อ ปรับเป็น 175 บาท

รายงานข่าวจาก กทพ.แจ้งว่า การปรับขึ้นค่าผ่านทางครั้งนี้ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากบอร์ด กทพ.ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เป็นการปรับขึ้นตามราคาดัชนีผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตามสัญญาสัมปทานกำหนดให้พิจาณราทบทวนการจัดเก็บค่าผ่านทางทุก 5 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญา โดยขณะนี้ กทพ. ส่งรายละเอียดเรื่องการปรับขึ้นค่าผ่านทางเสนอให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาเพื่อออกประกาศอัตราค่าผ่านทางพิเศษและลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2561 เป็นต้นไป

 

ไพรินทร์ ชูโชติถาวร

 

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม กล่าวว่า กรณีที่กทพ.จะปรับราคาค่าผ่านทางนั้น หากเป็นไปตามสัญญาที่ภาครัฐทำกับเอกชน ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสัญญา ไม่สามารถไปดำเนินการอะไรได้ เพราะในอนาคตภาครัฐต้องทำสัญญากับเอกชนอีกในหลายๆ โครงการ หากไม่ดำเนินการตามสัญญาจะส่งผลให้การดำเนินการในอนาคตอาจมีปัญหาได้

นอกจากการดำเนินการตามสัญญาที่ กทพ.ทำไว้กับเอกชนแล้ว ทางภาครัฐไม่นิ่งนอนใจมีนโยบายที่กระตุ้นให้ประชาชนที่เดินทางโดยทางด่วนหันมาใช้บัตรเก็บเงินอัตโนมัติ(อีซี่พาส)มากขึ้น ล่าสุดบอร์ด กทพ.มีมติให้ลดค่าผ่านทางกับผู้ที่ใช้บัตรอีซีพาส 5 บาท กับผู้ใช้บัตรผ่านด่านอโศก ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 กันยายน เป็นต้นไป และภายใน 1 เดือนทาง กทพ.จะสรุปและประเมินว่าประชาชนหันมาใช้บริการจ่ายค่าผ่านทางผ่านบัตรอีซี่พาส มากขึ้นหรือไม่ หากมากขึ้นจะเพิ่มจุดการใช้บัตรอีซีพาส และลด 5 บาท เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มั่นใจว่าการลดราคาผ่านการใช้บัตรจะช่วยกระตุ้นให้คนหันมาใช้มากขึ้นและลดจุดคอขวดหน้าด่านลง

 

ที่มา : https://www.khaosod.co.th


 

ใช้ชีวิตที่ชอบ ทำงานที่ใช่ ไร้กังวลกับการเงิน

 

วางแผนการใช้เงินเดือน

 

          คนทำงานทุกคนย่อมต้องการมีอิสระในการเลือกสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของเรา ทำงานที่รักไปด้วย ใช้ชีวิตได้อย่างที่ชอบ ไปเที่ยวได้ ช็อปปิ้งได้ โดยไร้ปัญหาหรือกังวลเรื่องการเงิน jobsDB มีเคล็ดลับมาบอก … รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถ หากอยากก้าวสู่ความมั่งคั่งและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างที่ทุกคนปรารถนา

ทำอย่างไรให้เงินออมของเราเติบโต

          1. ปลดหนี้ระยะสั้น : ก่อนจะคิดทำการใหญ่ อันดับแรกต้องหาทางปลดฤทธิ์หนี้สั้นให้ได้ หนี้สั้นที่ว่านี้ก็คือหนี้ที่ต้องรีบใช้คืนภายในระยะเวลา 1 ปี หรือน้อยกว่า เช่น หนี้จากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดทั้งหลาย หรือผ่อนสินค้า 0% 10 เดือน 12 เดือน ฯลฯ ซึ่งหนี้เหล่านี้ต้องมีการชำระทุกเดือน และวิธีที่ดีที่สุดในการปลดหนี้ก็คือการชำระเงินให้เต็มจำนวน จำไว้ว่ายิ่งปล่อยไว้นาน ดอกเบี้ยยิ่งมาก และพยายามอย่าก่อหนี้เพิ่มเติม เพื่อเริ่มขยับ step ต่อไป

          2. ขยันเก็บเงิน : มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา หากไม่มีแผนลาออกจากงาน หรืออยู่ในภาวะเสี่ยงตกงาน ย่อมมีรายได้ที่แน่นอนเข้ามาทุกเดือน หลังจากหักค่าใช้จ่ายประจำ รวมถึงหนี้สินต่าง ๆ ก็ยังอยู่ได้สบาย ๆ จนอาจเผลอใช้ชีวิตแบบเลื่อนลอย เดือนไหนค่าใช้จ่ายน้อย เหลือเงินเยอะ ก็หมดไปกับการใช้จ่ายสิ่งฟุ่มเฟือย ส่งผลให้ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่มีเงินเก็บสักที สำหรับมือใหม่หัดออม แนะนำคาถาประจำตัวง่าย ๆ นั่นก็คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = เงินออม

          3. ควบคุมการใช้จ่าย สร้างวินัยทางการเงิน : ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้เหมาะสมกับ lifestyle ของตัวเรา แน่นอนว่าเงินเก็บยิ่งเยอะ ก็ยิ่งดีกับตัวเรา แต่การประหยัดอดออมมากเกินไปจนใช้ชีวิตลำบาก อาจทำให้ไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต ส่งผลให้ท้อแท้และล้มเลิกความตั้งใจที่จะออมเงินไปได้ในที่สุด เงินออมที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 10 – 20% ของรายได้ เมื่อเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายเต็มรูปแบบ เราก็จะเริ่มเห็น list รายการการใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน จากนั้นให้ปรับแต่งรายการในเดือนต่อ ๆ มา ตั้งธงให้ตัวเองว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เงินออมเพิ่มมากขึ้น เช่น ลดค่าใช้จ่ายบางรายการ หรือรับ job หารายได้เสริม ก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อเริ่มปรับ lifestyle ได้ สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือ การมีวินัย ทุกครั้งที่ได้รับเงินเดือนหรือรายได้พิเศษต้องหักเก็บเป็นเงินออมทันที เหลือเท่าไหร่ค่อยนำไปใช้จ่าย

          4. ลดความเสี่ยง อุดรอยรั่วทางการเงิน : ความเสี่ยงที่ว่าก็คือเหตุการณ์ไม่แน่นอนใด ๆ ก็ตาม ที่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเงิน เช่น ตกงาน อุบัติเหตุ การเจ็บป่วยต่าง ๆ ทางแก้ก็คือ ต้องเตรียมเงินฉุกเฉิน โดยเตรียมเงินในส่วนนี้ไว้ 3 – 6 เท่าของรายได้ในแต่ละเดือน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ จะได้มีเงินไว้พร้อมแก้ปัญหา อีกวิธีหนึ่งที่เป็นตัวช่วยที่ดีก็คือ การทำประกันภัย โอนความเสี่ยงเหล่านี้ไปให้กับบริษัทประกันภัยต่าง ๆ เป็นผู้ดูแลเราเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

          5. ลงทุนเพื่อเป้าหมายที่สำคัญ แล้วยกระดับผลตอบแทน : เป้าหมายที่สำคัญในชีวิต จะมีทั้งระยะยาว กลาง และสั้น ควรให้ความสำคัญจากเป้าหมายระยะยาวไปสู่ระยะสั้น เช่น วางแผนเตรียมเงินเพื่อใช้หลังเกษียณ ก่อนการวางแผนเพื่อซื้อรถยนต์ การท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ หรือช็อปปิ้งให้รางวัลกับตัวเอง เพราะเงินหลังเกษียณนั้นมีความสำคัญมาก ส่วนใหญ่เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะไม่มีรายรับเป็นกอบเป็นกำอีกต่อไป ขณะที่รายจ่ายนั้นมีอยู่ตลอดเวลา การกู้ยืมเงินเพื่อใช้จ่ายนั้นเป็นอันว่าอย่าหวัง และการหารายได้เพิ่มเติมอื่น ๆ ก็ยิ่งลำบาก คิดดูให้ดีว่า หากตอนนี้เรายังไม่มีเงินซื้อรถ ไปเที่ยว หรือช็อปปิ้ง ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่เทียบกันไม่ได้เลยกับความลำบากจากการไม่มีเงินใช้ในวัยเกษียณ

ลงทุนเพื่อเป้าหมายสำคัญในชีวิตกันไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือการลงทุนเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดผลตอบแทนที่มากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้น้อย ก็อาจลงทุนกับหุ้นกู้ที่มีผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ หรือกองทุนต่าง ๆ แต่หากรับความเสี่ยงได้มากก็อาจจะลงทุนในหุ้น หรืออนุพันธ์ เป็นต้น

          6. สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี  เพื่อตัวเองและคนที่เรารัก : การวางแผนการเงินนอกจากช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิต ช่วยให้เราสามารถเอาเวลาไปใช้กับกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์และเกิดความสุขได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองมากนัก หรือต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินจนแทบไม่มีเวลาใช้ชีวิต ความมั่งคั่งทางการเงินที่เราได้สร้างขึ้นมายังส่งผลถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรอบข้าง ครอบครัว คนที่เรารัก อีกทั้งยังสามารถส่งต่อเป็นมรดกได้จากรุ่นสู่รุ่น

การวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ท้ายที่สุดผลดีก็ย่อมตกอยู่กับตัวเราเอง นอกจากมีเงินเหลือเก็บแต่ละเดือน ยังสามารถเพิ่มพูนรายได้โดยไม่ต้องเหนื่อยหลายทาง ต่อยอดลงทุนให้เงินทำงานแทนเรา ลงมือทำแล้วจะรู้ว่าการออมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยหัวใจที่มุ่งมั่นและความมีวินัยอย่างสูง เพิ่มเติมอีกนิดสำหรับคนที่มองหาโอกาสสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงิน คือการเลือกทำงานที่ใช่ รายได้ดี มีสวัสดิการที่มั่นคง เพียงแค่อัปเดตโปรไฟล์กับ jobsDB ให้โอกาสงานใหม่ที่ดีกว่าเดิมตามหาตัวเรา แล้วชีวิตที่ดีก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป

 

ที่มา : https://th.jobsdb.com


 

ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2561

 

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,700.00 18,600.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,200.00 18,267.80 1,205.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 18,934.84 1,249.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,441.02 1,084.50
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,614.24 964.00
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,216.72 542.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,397.52 422.00

 

ราคาน้ำมันพฤหัสบดี 30 สิงหาคม 2561

 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.15 30.15 30.25 30.15 30.15 30.15 30.15 30.15 30.15 30.15
แก๊สโซฮอล์ 91 29.88 29.88 29.98 29.88 29.88 29.88 29.88 29.88 29.88 29.88
แก๊สโซฮอล์ E20 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14
แก๊สโซฮอล์ E85 21.39 21.39 21.39 21.39
เบนซิน 95 37.26 37.71 37.76 37.56 37.36 37.56
ดีเซล 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.59 33.46 33.46 33.46 33.46
แก๊ส NGV 14.58 14.58

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า