เน็กซัสจัด”รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน”9 พ.ค.
เน็กซัส จัดแคมเปญใหญ่”รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน”9 พ.ค. นี้ ที่ แฟนเพจ “Nexus Property Thailand”
บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ จัดงาน “รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน รวมทำเล TOP ราคากระชากใจ” ครั้งแรกของการรวบรวมคอนโดมิเนียมจากดีเวลลอปเปอร์ชื่อดังกว่า 30 บริษัท อาทิ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, แสนสิริ, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, เอพี (ไทยแลนด์), เอสซีแอสเสท ฯลฯ ที่พร้อมใจนำโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move in) ซึ่งโดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นและดีไซน์อย่างลงตัวกว่า 100 โครงการ มากกว่า 1,500 หน่วย บนทำเลคุณภาพ ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 – 20 ล้านบาท ที่ “เน็กซัส” ตั้งใจคัดสรร มาไว้ให้เลือกเป็นเจ้าของ และดีลดีที่สุด อย่างที่ไม่เคยให้ที่ไหนมาก่อน มาแบบไม่ต้องต่อราคา กับส่วนลดสูงสุด 40% และของสมนาคุณอื่นๆ อีกมากมาย
พลาดไม่ได้กับการรวบรวบรวมสต๊อกครั้งมโหฬาร มาอยู่บนโลกออนไลน์ในที่เดียวจาก “เน็กซัส” ที่จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินหาคอนโดฯ จากแต่ละที่ ไม่ต้องเข้าเว็บแต่ละบริษัทให้เสียเวลา มาที่เดียวจบ ครบ ทุกความต้องการ เตรียมรับชมโครงการต่างๆ ทุกแบรนด์ ทุกทำเลกันสดๆ แบบเกาะติดชิดหน้าจอ กับงาน”รวมพลคอนโด หั่นราคาต่ำกว่าทุน รวมทำเล TOP ราคากระชากใจ” ในวันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ผ่านทาง Live ที่ www.facebook/NexusPropertyThailand สอบถามเพิ่มเติมที่ช่องทาง Line : @nexusproperty
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เอสซีจี ยึดกลยุทธ์”รุก-รวดเร็ว” ฝ่าวิกฤติโควิด
เอสซีจี รุกกลยุทธ์เชิงรุก รวดเร็ว เร่งธุรกิจเดินหน้าพาสังคม-คู่ค้า-พนักงานก้าวผ่าน ฝ่าความท้าทายในอนาคต
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 เอสซีจีก็เป็นหนึ่งองค์กรซึ่งใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษาผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ให้ใกล้เคียงไตรมาสก่อนเพื่อให้สังคม คู่ค้า พนักงาน และธุรกิจ ร่วมก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ด้วยความทุ่มเทเชิงรุกและรวดเร็วในการบริหารจัดการความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ (Business Continuity Management) เสริมกับการเตรียมความพร้อมด้วยการปรับกลยุทธ์สู้ศึกดิสรัปชันในช่วงที่ผ่านมาอย่างเข้มข้น ภายใต้การขานรับมาตรการภาครัฐเพื่อรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด โดยนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้พนักงานที่สำนักงานกว่าร้อยละ 90 สามารถทำงานได้จากที่บ้าน (Work from home)
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งมอบโซลูชันสินค้าและบริการต่าง ๆ ไปยังลูกค้าทุกกลุ่มมีความสะดวกและปลอดภัย ควบคู่กับการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปได้ เช่น การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือการผลักดันการใช้ Blockchain ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง-วางบิล-ชำระเงินกับคู่ธุรกิจได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยังรักษาสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งพร้อมเตรียมปรับตัวอย่างเต็มที่ในการรับความท้าทายหากสถานการณ์ยาวนานต่อไป
สำหรับธุรกิจแพคเกจจิ้ง สามารถขายสินค้าและบริการด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรได้ตอบโจทย์และทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะจากพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรี่และการซื้อสินค้าออนไลน์ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยในการผลิตและการขนส่งบรรจุภัณฑ์ ซึ่งลูกค้าให้ความใส่ใจอย่างมากในสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการบริหารจัดการโรงงานในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ให้สามารถดำเนินการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย อีกทั้งยังมีการวางแผนการขายร่วมกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกระบวนการส่งมอบสินค้าและบริการให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ยังคงเสถียรภาพไว้ รวมทั้งการลดข้อจำกัดและอุปสรรคในการดำเนินงาน เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เร่งพัฒนาช่องทางค้าปลีกออนไลน์ของ SCG HOME ทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ให้เชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพ พร้อมบริการจัดส่งทั่วประเทศและบริการให้คำปรึกษาเรื่องบ้านผ่านออนไลน์ ลูกค้าจึงเลือกซื้อสินค้าและรับบริการได้สะดวกโดยไม่ต้องออกจากบ้าน ทำให้ช่องทางนี้มียอดขายเติบโตจากไตรมาสก่อนหลายเท่าตัว ควบคู่กับการเพิ่มมาตรการเชิงรุกด้านสุขอนามัยในการให้บริการติดตั้งและอื่น ๆ รวมทั้งในธุรกิจขนส่งสินค้า ซึ่งเอสซีจี โลจิสติกส์ และเอสซีจี เอ็กซ์เพรส ก็มีมาตรการที่เข้มงวด ตั้งแต่การรับสินค้า การจัดการคลังสินค้า และการจัดส่งสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยพร้อมให้บริการจัดส่งของสด เช่น ผัก และผลไม้ ทั่วประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ธุรกิจฯยังได้เผยแพร่องค์ความรู้และมาตรการช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 ให้พาร์ทเนอร์ในวงการก่อสร้าง ทั้งผู้พัฒนาโครงการ ผู้รับเหมาและช่าง ตลอดจนร้านผู้แทนจำหน่าย เพื่อให้ทุกฝ่ายรอดพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
ส่วนธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ผันผวนและท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกให้สอดคล้องกับตลาดที่เปลี่ยนไป ด้วยจุดแข็งในการมีเครือข่ายลูกค้าในหลายประเทศทั่วโลก จึงสามารถเพิ่มโอกาสทางการขายโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ความต้องการใช้งานไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร และบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการเชิงรุกด้านการป้องกันการระบาดของโควิด-19 เพื่อรักษามาตรฐานในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต เช่น การเพิ่มมาตรการที่รัดกุมในการดูแลสุขภาพของพนักงานและคู่ธุรกิจเพื่อให้โรงงานในจังหวัดระยองเป็น ZERO COVID-19 ZONE การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าเพื่อให้การส่งมอบสินค้าและบริการแก่ลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ตลอดจนการเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ธุรกิจฯ ยังตระหนักถึงสถานการณ์น้ำแล้งในจังหวัดระยองและให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยให้ความสำคัญกับการลดการใช้น้ำและการจัดการการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจยังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีที่สุด ทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต
ขณะที่การช่วยเหลือสังคมนั้น เอสซีจีได้นำความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีอยู่ไปร่วมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการเร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ และทันต่อความต้องการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการดูแลประชาชน อาทิ นวัตกรรมห้องตรวจและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening & Swab Unit) โดยเทคโนโลยีของ SCG HEIM และ Living Solution รวมทั้งนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ (Mobile Isolation Unit) โดยธุรกิจเคมิคอลส์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากมูลนิธิเอสซีจีจะได้สนับสนุนงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อนำนวัตกรรมเหล่านี้ไปทยอยส่งมอบให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลนแล้ว ยังมีพลังน้ำใจจากผู้ร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิต่าง ๆ ที่ช่วยให้ประเทศของเราก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุดอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แนวโน้มและพอร์ตการลงทุนหลังวิกฤติไวรัส
ในบางครั้ง วิกฤติก็พอที่จะส่งสัญญาณล่วงหน้าระยะหนึ่ง โดยเฉพาะภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยมีเสถียรภาพซึ่งมักจะมาพร้อมกับการกู้ที่มากเกินไป อย่างที่เกิดในแถบเอเซียปี 2540 และที่เกิดในสหรัฐอเมริกาปี 2551 แต่ในบางครั้งก็ไม่ได้มีสัญญาณล่วงหน้า เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น วิกฤติมหาอุทกภัยปี 2554 หรืออย่างวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีนี้ เป็นต้น
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ถือว่าแพร่กระจายเป็นวงกว้างทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว มาตรการรับมือที่ดีที่สุดคือการ “ปิดประเทศ” (Lockdown/Shutdown) ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคบริการซึ่งมีการจ้างงานจำนวน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานใหม่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างน่าใจหาย จากเดิมที่ 2.8 แสนคน มาสู่ระดับ 3.3 ล้านคน และ 6 ล้านกว่าคนอีกสองสัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งที่แม้ในช่วงวิกฤติ “แฮมเบอร์เกอร์” ตัวเลขสูงสุดที่ 6.5 แสนคน เท่านั้น
จากกระแสพายุที่ถาโถมเข้ามาสู่เศรษฐกิจรุนแรงเช่นนี้ การตอบรับในเชิงนโยบายเศรษฐกิจก็ต้องดุเดือดไม่แพ้กัน อย่างสหรัฐฯ ก็ตั้งงบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นถึง 10% ของ GDP ขณะที่บางประเทศอื่นใช้มาตรการกระตุ้น 15-20% ของ GDP เลยทีเดียว ในด้านธนาคารกลางก็ “งัด” แทบทุกมาตรการออกมาใช้ อาจเป็นความโชคดีในความโชคร้ายคือ มาตรการเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากวิกฤติครั้งก่อน ทำให้การตอบสนองนั้นมากและทันท่วงที และหวังว่าจะ “เพียงพอ” ที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดไม่ “ถลำลึก” ลงไปจน “กลับตัว” ไม่เป็น
ในด้านสถานการณ์ไวรัส เราเฝ้าติดตามว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกจะ “พีค” เมื่อใด และนักวิจัยจะสามารถพัฒนา “วัคซีน” ได้เมื่อไร เป็นสำคัญ รวมถึงการแพร่ระบาดจะมี “ระลอกสอง” หรือไม่
แต่สำหรับในด้านเศรษฐกิจ ประเด็นที่เราเฝ้าระวังต่อเนื่องได้แก่ “การผิดนัดชำระหนี้” แม้ว่ามาตรการ “ปิดประเทศ” จะเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัส ช่วยรักษาชีวิตคนได้จำนวนมาก แต่มาตรการดังกล่าวก็มีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ กิจกรรมเศรษฐกิจที่หยุดชะงักไปหมายถึงรายได้ที่หายไป และที่สำคัญกว่าคือ “กระแสเงินสด” ที่หายไป เสมือนว่า “รอยแผล” ได้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจแล้ว ส่วนว่ารอยแผลนั้นจะรุนแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าแผลนั้นจะเปิดอีกนานไหม แต่ละเศรษฐกิจมีความทนทานต่อบาดแผลมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เราก็อาจจะยังเห็น “รอยแผลเป็น” เกิดขึ้น คำถามสำคัญคือ “รอยแผลเป็น” นั้นจะเกิดอยู่ที่ใด เกิดกับระบบธนาคาร หรือรัฐบาล หรือแม้กระทั่งธนาคารกลาง
นอกจากนี้ หลังจากมาตรการกระตุ้นรอบนี้หมดลง หนี้สาธารณะน่าจะพุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ ดังนั้น ความสามารถในการใช้จ่ายของรัฐบาลก็จะถูกจำกัดมากขึ้นในอนาคต อีกทั้ง สถานการณ์ในปัจจุบันก็บั่นทอน “ความมั่งคั่ง” ของผู้บริโภค และ “ฐานะทางการเงิน” ของบริษัทไปในระดับหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งประเด็นเหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะบั่นทอนอัตราการเติบโตในอนาคตไปอีกระยะหนึ่ง
อีกทั้ง จากปัญหาที่แพร่กระจายในหลายประเทศ ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศก็น่าเป็นที่จับตาม ทางเลือกหนึ่ง คือ นานาประเทศเห็นถึงความเปราะบางของระบบสาธารณสุข และหันมาร่วมมือกันพัฒนาระบบให้ดีขึ้นไปอีกและมีศักยภาพมากขึ้น แต่อีกทางเลือกหนึ่ง คือ ประเทศต่างๆ หันมาชี้นิ้วกล่าวโทษกัน (Blame game) กลายเป็นกระแส “อโลกาภิวัฒน์” (De-globalization) ที่รุนแรงขึ้น เพิ่มเติมจากที่ ปธน. ทรัมป์ ได้สร้างไว้ในช่วง “สงครามการค้า” ที่ผ่านมาแล้ว คงต้องคอยติดตามดูว่าจะออกหัวหรือก้อย
สำหรับภาพระยะยาว เราเชื่อว่าวิกฤติไวรัสครั้งนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมหลายด้านซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจในอนาคตก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน (WFH) หรือการเรียนการสอนออนไลน์ นอกจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้แล้ว ผู้คนก็ถูก “บังคับ” ให้เรียนรู้เทคโนโลยีมากขึ้น ด้วยความเร็วที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยามปรกติ กระแสการรับเอาเทคโนโลยี (Technology adoption) ที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาทางการเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น เป็นการเร่งการเติบโตของผลิตภาพ (Productivity) ตามที่นักเศรษฐกิจส่วนใหญ่ร้องขอไว้ก่อนหน้านี้
อีกประเด็นที่ต้องมีการพิจารณาอย่างหนัก คือ ความเพียงพอในการดูแลด้านสาธารณสุข สำหรับประเทศไทย จำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังต่ำอยู่ก็สะท้อนได้ถึงความสามารถของบุคลากรด้านสาธารณสุขของไทย แต่ในหลายประเทศอื่นที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่สูงก็อาจต้องมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งหมายถึงการลงทุนในอุปกรณ์ และการเสริมสร้างผลิตภาพของบุคลากรอีกจำนวนมาก
สำหรับพอร์ตการลงทุน เราคุยกันอยู่เสมอว่า การลงทุนต้องมองทั้งด้าน “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” พอร์ตการลงทุนที่ดีคือพอร์ตที่มีการ “กระจายความเสี่ยง” มี “ผลตอบแทนคาดหวัง” ที่เพียงพอสำหรับเป้าหมาย และ “ความเสี่ยง” ที่ยอมรับได้ (ซึ่งเป้าหมายก็ต้องสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้)
แต่สำหรับวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นอาจทำให้นักลงทุนหันมาให้น้ำหนักกับ “ความเสี่ยง” มากขึ้น จริงอยู่ว่าเหตุการณ์นี้อาจเตือนสติให้เราประเมินการยอมรับความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนกันใหม่ ที่ผ่านมาเรารับความเสี่ยง “มากไป” หรือไม่ ถ้าเรา “รู้” ว่าวิกฤติจะเกิดขึ้นรุนแรงขนาดนี้ เราคงไม่ได้ถือสินทรัพย์เสี่ยงเลย แต่เมื่อเรา “ไม่รู้” และเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ก็อาจต้องระวังว่าเราจะ “กังวล” มากเกินไป และหันไปลดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งมีผลตอบแทนที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมาลง แทนที่จะมองว่าสินทรัพย์เหล่านั้นมีราคาที่ “ถูก” และเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว กล่าวคือ การจัดพอร์ตที่เหมาะสมน่าจะต้องมองภาพระยะยาว ความต้องการ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป็นหลัก
สุดท้ายนี้ ก็ต้องขอขอบคุณและเอาใจช่วยบุคลากรทางด้านสาธารณสุขทุกท่านมา ณ ที่นี้ แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ #กินร้อนช้อนกลางล้างมือ #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“หมิว พรปวีณ์” ซ้อมเข้มที่บ้าน ฝึกทำขนมคลายเครียดช่วงโควิด
“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันสาวทีมชาติไทย ชวนทำขนมไทยเพื่อคลายเครียดและฝึกสมาธิช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันที่ 30 เม.ย. “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักกีฬาแบดมินตันสาวทีมชาติไทย เจ้าของแชมป์แบดมินตันบาร์เซโลนา สเปน มาสเตอร์ส 2020 เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อมอยู่ที่บ้านเช่นกันในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหลังจากซ้อมเสร็จ พรปวีณ์ยังมีวิธีผ่อนคลายและเสริมสร้างสมาธิด้วยการทำขนมไทยนั่นเอง
“หมิว” พรปวีณ์ บอกว่า โชคดีที่บ้านของเธออยู่ติดกับบ้านขนมไทยคุณแต๋ว ซึ่งสนิทกันดี เลยได้มีโอกาสไปฝึกทำขนมไทยอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะลูกชุบที่หมิวบอกว่าทำง่ายที่สุด ซึ่งนอกจากจะได้ช่วยป้าแต๋วแล้ว หมิวยังรู้สึกผ่อนคลายช่วงโควิด-19 แล้ว ยังรู้สึกมีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุดของพรปวีณ์นั้น มีรายงานข่าวจาก Reddentes Sports ซึ่งเป็น sports agency รายใหญ่ ว่าได้เข้าสนับสนุนรับเป็นสปอนเซอร์ให้กับ ”หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันหญิงเดี่ยวมือ 13 ของโลก ในฐานะนักกีฬาอิสระเป็นเวลา 2 ปี โดยมีผลตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2565
สำหรับเป้าหมายสำคัญของ ”หมิว” คือการได้รับสิทธิ์เป็นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวคนที่ 2 ของไทย ที่ได้โควตาไปแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่เลื่อนการแข่งขันไปเป็นเดือนกรกฎาคมปีหน้านั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
5 อันดับ ผลไม้มีวิตามินเอมากที่สุด ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการปวดล้าจากจอมือถือ!!
วิตามินเอช่วยในการมองเห็นและบำรุงสายตาให้มีสุขภาพดี เพิ่มความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย รักษาตาพร่ามัว ตาฝ้าฟาง อีกทั้งลดอาการปวดล้าดวงตาจากการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือเป็นเวลานานๆ และนี่คือ 5 อันดับ ผลไม้มีวิตามินเอมากที่สุด ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการปวดล้าจากจอมือถือ!!
อันดับที่ 5 ฝรั่งสีชมพู
ฝรั่งสีชมพู 100 กรัม มีวิตามินเอ 642 IU ฝรั่งสีชมพู หรือ ฝรั่งขี้นกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะช่วยในการมองเห็นทำให้ดวงตามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก และป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
อันดับที่ 4 เคพกูสเบอร์รี
เคพกูสเบอร์รี หรือโทงเทงฝรั่ง เป็นเบอร์รี่ชนิดหนึ่งมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เคพกูสเบอร์รี 100 กรัม มีวิตามินเอ 720 IU ซึ่งวิตามินเอสูงจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาบอดในที่มืด ช่วยป้องกันภาวะตาบอดในที่มืดได้ดี ทำให้สายตาดีขึ้น
อันดับที่ 3 มะม่วงสุก
มะม่วงสุก 100 กรัม มีวิตามินเอ 1,082 IU มะม่วงสุกอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนจึงช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ภาวะตาแห้ง โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งยังช่วยในการมองเห็นในเวลากลางคืน
อันดับที่ 2 ลูกพลับ
ลูกพลับอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน, ลูทีน, ไลโคปีน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคตา ได้แก่ โรคต้อกระจก โรคจุดรับภาพเสื่อม ตาฝ้าฟาง ลูกพลับ 100 กรัม มีวิตามินเอสูงถึง 1,627 IU ซึ่งลูกพลับแห้งมีวิตามินเอมากกว่าลูกพลับสดถึง 3 เท่า จึงสามารถช่วยผู้ที่มีปัญหาทางสายตาอันเกิดจากแสงโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย
อันดับที่ 1 แคนตาลูป
แคนตาลูป 100 กรัม มีวิตามินเอสูงถึง 3,382 IU จึงช่วยบำรุงสายตา เพิ่มความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย ตามัว ตาฝ้าฟาง และยังช่วยป้องกันเซลล์เยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ การรับประทานผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอยังช่วยป้องกันมะเร็งปอดและมะเร็งในช่องปากได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก health.mthai.com
Tip การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ
วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีเขียนจดหมายในแบบภาษาอังกฤษกันครับ ซึ่งจดหมายภาษาอังกฤษอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล หรือจดหมายส่วนตัว อาจเป็นจดหมายถามทุกข์สุข แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ จดหมาย เชิญ จดหมายอีกประเภทหนึ่งเป็นจดหมายธุรกิจ ซึ่งใช้ติดต่อระหว่างบุคคลกับสำนักงานธุรกิจ หรือระหว่างสำนักงานธุรกิจด้วยกัน สำหรับในเอกสารนี้จะให้รายละเอียดเฉพาะจดหมายส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นจดหมายที่นักเรียนคุ้นเคย และอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
มาเริ่มกันที่ส่วนประกอบของ การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ
1. Heading (หัวจดหมายภาษาอังกฤษ) หัวจดหมายคือที่อยู่ของผู้เขียนจดหมาย และวันที่ที่เขียนจดหมาย ซึ่งนิยมเขียนไว้บนมุมด้านขวาหรือซ้ายของจดหมายก็ได้
2. Inside Address (ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ) ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษซึ่งเขียนหรือพิมพ์ไว้ทางด้านซ้ายบน ถัดจากหัวจดหมายลงมาจะปรากฏเฉพาะในจดหมายธุรกิจเท่านั้น สำหรับรูปแบบการเขียนเหมือนกับหัวจดหมาย
3. Solution (คำขึ้นต้นจดหมายภาษาอังกฤษ) คำขึ้นต้นจดหมายในภาษาอังกฤษ เปรียบเสมือนคำทักทายเพื่อเริ่มต้นจดหมาย ต้องเขียนหรือพิมพ์ไว้ริมซ้ายของกระดาษด้านบนต่อจากหัวจดหมาย สำหรับจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล และต่อจากชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมาย สำหรับจดหมายธุรกิจ คำขึ้นต้นจดหมายอาจเขียนได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เราเขียนถึงว่ามีความสัมพันธ์กับผู้เขียนอย่างไร
3.1 คำขึ้นต้นสำหรับญาติผู้ใหญ่
My dear…………………….. , เช่น
My dear grandmother, (ย่า, ยาย)
My dear father, (พ่อ)
My dear uncle, (ลุง)
My dear mother, (แม่)
3.2 คำขึ้นต้นสำหรับญาติที่อายุอ่อนกว่า
Dear………… ,
My dear……………..,
My dearest……………..,
เช่น
My dearest son, (ลูก)
My dear Jim, (ระบุชื่อญาติ)
3.3 คำขึ้นต้นสำหรับญาติ, เพื่อน, ผู้รู้จัก ซึ่งมีวัยใกล้เคียงกันDear………… ,
My dear…………….., นิยมระบุชื่อ เช่นDear Surapong,Dear friend, (เพื่อน)
3.4 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป ที่ทราบชื่อแต่ไม่รู้จักกันอย่างสนิท ถ้าเป็นชาวต่าง ประเทศจะระบุคำนำหน้าชื่อพร้อมนามสกุล แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจระบุชื่อแทนนามสกุลได้ เช่น
Dear…………?
Dear Dr.Young, (Dr. J.N. Young)
Dear Mrs.Supranee,
Dear Mr.Ferrari (Mr. D.F. Ferrari)
3.5 คำขึ้นต้นสำหรับผู้ใหญ่ที่รู้จัก นับถือ Dear…………,
Dear Sir, (ผู้ชาย)
Dear Madam, (ผู้หญิง)
Dear teacher, (ครู)
Dear Mistress, (นายผู้หญิง)
3.6 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่พิเศษ
Your Excellency, (ทูต, รัฐมนตรี)
Dear lady, Your Excellency, (ภริยาทูต, รัฐมนตรี)
Dear Mr. President, (ประธานาธิบดี)
Your Majesty,May it please your Majesty,Sir, Dear Mr. Speaker, (ประธานสภาผู้แทนราษฎร)
3.7 คำขึ้นต้นจดหมายธุรกิจ Dear Sir , Sir , Gentleman , Dear………., (ถ้ารู้จักชื่อ)
4. Body of letter (ตัวจดหมายภาษาอังกฤษ) ตัวจดหมาย คือ ข้อความของจดหมายซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจดหมาย เพราะเป็นการสื่อความประสงค์ระหว่าง โดยข้อความในจดหมายปกติแล้วจะแบ่งเป็น 3 ตอน
4.1 ความนำ แสดงการแนะนำตัวหรือบอกสาเหตุ
4.2 เนื้อความ บอกวัตถุประสงค์
4.3 สรุป เขียนสรุปเรื่องหรือความมุ่งหวังในอนาคต
5. Complimentary Close (คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ) เมื่อเขียนจดหมายจบแล้ว ต้องมีคำลงท้าย ซึ่งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับผู้รับ สำหรับที่นิยมกันโดยทั่วไปได้แก่
Yours sincerely, Sincerely yours, Sincerely, = ด้วยความจริงใจ
With love,With much love,Love, = ด้วยความรัก
หรือดูเพิ่มเติมได้ในเรื่อง คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ
6. Signature (การลงนามจดหมายภาษาอังกฤษ) การ ลงนามของผู้เขียนจดหมาย แสดงให้รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายนั้น ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัว อาจเขียนชื่อหรือทั้งชื่อและนามสกุลในลักษณะหวัด หรือหวัดแกมบรรจง หรืออาจเป็นลายเซ็น (สำหรับบุคคลที่คุ้นเคยมาก ๆ) แต่สำหรับจดหมายธุรกิจนั้น ถัดจากคำลงท้ายจะเป็นลายเซ็น ถัดลงมาจะเป็นชื่อนามสกุลตัวบรรจง ถัดจากชื่ออาจเป็นตำแหน่ง
7. Outside address (การจ่าหน้าซองจดหมายภาษาอังกฤษ)
การจ่าหน้าซองจดหมายคือการเขียนที่อยู่ของผู้รับ (outside address) ซึ่งอาจเขียนได้ 2 แบบ คือ แบบขั้นบันได (Step) ซึ่งย่อเข้ามาทีละบรรทัด กับแบบบล็อก (Block)
ขอบคุณข้อมูลจาก undifteach.blogspot.com
หุ่นยนต์ฉีดพ่นฆ่าเชื้อ นวัตกรรมไทย สู้ภัยโควิด
นวัตกรรมไทยสู้ภัยโควิด
สถานการณ์ปัจจุบันการฉีดพ่นเพื่อกำจัดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ที่พบการแพร่ระบาด จำเป็นต้องปฏิบัติการมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งการฉีดพ่นทั้งภายในและบริเวณโดยรอบอาคารสถานที่ยังต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงาน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน ทั้งยังต้องสวมชุดป้องกันพิเศษซึ่งภายในไม่มีการถ่ายเทอากาศ ทำให้มีเกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว จึงทำให้บุคลากรเกิดความเหนื่อยล้าทั้งจากความร้อนและจากการสะพายอุปกรณ์พ่นยาที่มีนํ้าหนักรวม 20-30 กิโลกรัม ทำให้การปฏิบัติงานได้ในระยะเวลาจำกัด และชุดป้องกันพิเศษยังใช้ได้ครั้งเดียวทำให้เกิดการสิ้นเปลืองอีกทั้งชุดป้องกันพิเศษยังหายากและมีราคาแพงอีกด้วย
เป็นที่มากรอบแนวคิดของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้การนำของอาจารย์ปัญญา เหล่าอนันต์ธนา เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคเพื่อการลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานให้รวดเร็วมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ปฏิบัติงาน 1 คน ให้คุณภาพการปฏิบัติงานที่สมํ่าเสมอ เหมาะสำหรับพื้นที่สาธารณะภายในและบริเวณโดยรอบอาคาร เช่น ทางเดิน ห้องโถง สำนักงาน พื้นที่บริเวณนั่งรอ ศูนย์อาหาร โดยเหมาะสมกับการฉีดพ่นที่เป็นกิจวัตรดำเนินการได้โดยเจ้าของพื้นที่ ใช้รีโมตควบคุมระยะไกล สามารถควบคุมผ่านกล้องวงจรปิดไร้สายดูภาพผ่านหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือจอภาพขนาดเล็กได้
“ขณะนี้ทำต้นแบบเสร็จไปแล้ว และกำลังจะทำเพิ่มอีก 4 เครื่อง งบประมาณรวม 9 แสนบาท ซึ่งจะเร่งให้เสร็จภายใน 1 เดือน จากเดิมคาดจะใช้เวลา 4 เดือน ด้วยทุนของมหาวิทยาลัยเอง สามารถนำไปบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในสถานที่ต่างๆ เช่น ในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สถานศึกษา ที่อยู่อาศัยที่มีประชากรอยู่หนาแน่น ตึก อาคารพาณิชย์ ห้างสรรพสินค้า หมู่บ้านจัดสรร ตลาดสด หรือแม้แต่ค่ายทหาร หรือ เรือนจำ ที่คนอยู่หนาแน่นเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงสถานที่พักฟื้นต่างๆ หรือสถานที่ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อพักอาศัย ห้องพักฟื้น ห้องกักกัน เฝ้าระวังโรค การควบคุมโดยใช้ remote control และมีกล้องติดที่ตัวหุ่นยนต์ ถ่ายทอดสดส่งภาพมา ด้วยระยะห่างสูงสุดรัศมี 200 เมตร โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ใส่ชุด PPE ไปฉีดพ่น”
สำหรับหุ่นยนต์ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคนี้ออกแบบโดยเน้นการใช้งานภายในอาคารที่เป็นพื้นที่สาธารณะ ให้สามารถฉีดพ่นได้อย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงาน มีขนาดกะทัดรัด สามารถเข้าประตูที่มีความกว้าง 80 เซนติเมตรขึ้นไป สามารถปีนพื้นต่างระดับความสูงไม่เกิน 5 เซนติเมตร สามารถขึ้นทางลาดชันสูงสุด 20% สามารถวิ่งบนพื้นผิวขรุขระและไม่ได้ระดับได้เป็นอย่างดีด้วย
ระบบการขับเคลื่อน ด้วยล้อยางใหญ่คู่ซ้ายขวาหมุนอิสระ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง 24V 500W โดยใช้แบตเตอรี่แห้ง ส่งกำลังผ่าน WORM GEAR ไปยังล้อ ให้อัตราทดสูงนํ้าหนักเบา กะทัดรัดไม่ต้องดูแลรักษา บังคับเลี้ยวด้วยการปรับความเร็วมอเตอร์ 2 ข้างให้ไม่เท่ากัน สามารถหมุนกลับตัวได้โดยใช้รัศมีวงเลี้ยวไม่เกิน 50-60 เซนติเมตร ล้อหน้าเป็นล้อ CASTER ขนาดใหญ่ ยึดกับคานกระจายนํ้าหนัก ทำให้สามารถกระจายนํ้าหนักลงพื้นผิวที่ขรุขระได้ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
12 สรรพคุณ…ประโยชน์ของดอกชมจันทร์ ดอกไม้ช่วยลดน้ำหนัก ยาระบายสำหรับคนท้องผูก
เอ่ยชื่อ “ดอกพระจันทร์” หรือ “ดอกบานดึก” อาจไม่มีใครรู้จักว่านี่คือดอกไม้ชนิดใด แต่หากเป็นชื่อ “ดอกชมจันทร์” คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่พอจะรู้จักหน้าตาของมันบ้าง และถ้าใครที่อยู่ในกลุ่มคนรักษ์สุขภาพด้วยละก็ เชื่อว่าต้องยิ่งกว่ารู้จักแน่นอน เนื่องจากเจ้าดอกชมจันทร์นี้มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรามากมาย
สรรพคุณทางยา คุณค่าของ “ดอกชมจันทร์”
ดอกชมจันทร์เป็นไม้ประดับที่มีดอกสวยงามซึ่งมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยวสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานในเวลากลางคืนตั้งแต่ช่วงประมาณหัวค่ำเป็นต้นไป และนี่จึงเป็นที่มาของเหล่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้นั่นเอง โดยในต่างประเทศจะนิยมปลูกดอกชมจันทร์เพื่อใช้เป็นไม้ประดับ แต่สำหรับในประเทศไทยกลับปลูกกันมากเพื่อใช้เป็นอาหาร เพราะดอกชมจันทร์นั้นสามารถใช้ทำอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เดี๋ยวนี้ตามร้านอาหารก็นำดอกชมจันทร์มาเป็นเมนูอาหารกันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลที่คนไทยหันมาให้ความสนใจกับดอกชมจันทร์กัน นั่นเป็นเพราะประโยชน์และสรรพคุณเป็นยาที่ช่วยบำรุงร่างกายและรักษาโรคต่างๆ ได้หลายชนิด ในปัจจุบันจึงมีการวิจัยพัฒนาทำเป็นชาดอกชมจันทร์ซึ่งได้รับความนิยมไม่น้อยทั้งในเรื่องสี กลิ่น และรสชาติ
12 สรรพคุณของดอกชมจันทร์ ประโยชน์ในการรักษาโรค
1. ดอกชมจันทร์มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นตัวการทำร้ายระบบภูมิคุ้มกันโรคและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เพราะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างโคเอนไซน์คิว ช่วยลดความเสี่ยงจะเกิดโรคและไม่เจ็บป่วยง่าย ป้องกันไม่ให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร
2. ดอกชมจันทร์เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย โดยเฉพาะการต้มน้ำหรือชงชาดื่มในตอนเช้าจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น รวมทั้งระบบการทำงานของลำไส้ก็ดีขึ้นด้วย ดอกชมจันทร์จึงดีต่อสุขภาพของคนที่มีปัญหาท้องผูก ป้องกันและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
3. ดอกชมจันทร์มีคุณสมบัติเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมหรือกำลังลดน้ำหนัก เนื่องจากมีไขมันต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นยาระบายอ่อนๆ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพมาก
4. ดอกชมจันทร์มีสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อนๆ ช่วยทำให้ร่างกายนอนหลับได้สบายขึ้น บำรุงระบบประสาท ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับผู้คนในสมัยนี้ที่เริ่มประสบกับปัญหานอนไม่ค่อยหลับซึ่งมักจะสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ที่เป็นอยู่เสมอ
5. ประโยชน์ของดอกชมจันทร์ช่วยบำรุงเลือด สุขภาพเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคโลหิตจางและโรคดีซ่าน
6. ดอกชมจันทร์เสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ดอกชมจันทร์ประกอบด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 3 ซึ่งมีความสำคัญเพราะคนเราต้องการทุกวัน เพื่อช่วยบำรุงร่างกาย เพื่อพลังกาย ดูแลสมองช่วยให้ความจำดี แก้อาการปวดหัวก็ได้ด้วย
8. สรรพคุณของดอกชมจันทร์ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ของเสียถูกขับออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น
9. ดอกชมจันทร์อุดมด้วยวิตามินซี ที่มีความสำคัญคอยปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้อ่อนแอ ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงจะเกิดโรคมะเร็งได้
10. ดอกชมจันทร์มีสรรพคุณช่วยเพิ่มน้ำนมในหญิงหลังคลอดได้เป็นอย่างดี ทำให้มีน้ำนมมากพอและมีประโยชน์สำหรับทารก
11. ดอกชมจันทร์เป็นแหล่งของวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงดวงตา ทำให้สายตาเป็นปกติ ป้องกันและรักษาโรคต้อหินได้ด้วย
12. ดอกชมจันทร์มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน เพราะมีทั้งธาตุแคลเซียมและธาตุฟอสฟอรัสที่มีหน้าที่ในการช่วยเสริมสร้างให้กระดูกและฟันแข็งแรง
ต้นของดอกชมจันทร์เป็นพืชที่ปลูกได้ไม่ยาก เจริญเติบโตง่าย แถมยังมีแมลงมารบกวนน้อยมาก จึงไม่ต้องพึ่งพาการใช้สารเคมีใดๆ เลยก็ได้ ทำให้ไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านไหนก็รู้สึกถึงได้ความปลอดภัย โดยเฉพาะการใช้เป็นยาสมุนไพรป้องกันและรักษาโรคต่างๆ นั้น ดอกชมจันทร์สามารถให้สรรพคุณและประโยชน์ที่เต็มร้อยแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,950.00 | 26,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,681.00 | 25,483.96 | 26,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,512.90 | 22,935.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,344.80 | 20,387.17 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 756.00 | 11,460.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 588.00 | 8,914.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,742.00 | 26,408.72 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/04/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 | 16.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 | 16.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 15.44 | 15.44 | 15.44 | 15.44 | 15.44 | – | 15.44 | 15.44 | 15.44 | 15.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 15.04 | 15.04 | – | – | – | – | – | 15.04 | – | – |
เบนซิน 95 | 24.36 | – | – | – | 24.81 | – | 24.86 | 24.36 | – | 24.36 |
ดีเซล | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 | 17.39 |
ดีเซล B10 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | 14.39 | – | 14.39 |
ดีเซล B20 | 14.14 | 14.14 | 14.14 | 14.14 | 14.14 | – | 14.14 | 14.14 | – | 14.14 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 21.24 | 21.26 | 23.24 | 23.24 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |