บีทีเอส-แสนสิริเป๋าตุง Q4กำไร1,000ล้าน
” บีทีเอส – แสนสิริ ” ตอกย้ำความแข็งแกร่งพันธมิตรทางธุรกิจ เตรียมทัพเดินหน้าพัฒนาโครงการร่วมกันระยะยาว เผย ตุนที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าครบแล้ว รอขึ้นโครงการรับโอกาสเกือบทุกสาย ทะลุเป้าหมาย 25 โครงการ มูลค่า 1 แสนล้านบาท ขณะล่าสุด เตรียมโอน 4 คอนโดฯ ไตรมาส 4 ชูกำไรปีนี้กว่า 1 พันล้านบาท และพรีเซลส์แบ็กล็อกรอโอน 1.75 หมื่นล้านบาท ปี 62-65
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประกาศความร่วมมือของกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ผู้นำระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้จับมือพัฒนาคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ บมจ. ยู ซิตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบริษัทบีทีเอส ที่ดูแลธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้รับโอนโครงการความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริ เข้ามาในพอร์ตเมื่อปี 2561 ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามดีมานด์และสภาวะตลาดร่วมกัน 14 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 50,000 ล้านบาทและมียอดขายรวม ณ ปัจจุบันที่ 35,000 ล้านบาทหรือกว่า 70%ของยอดขายทั้งหมดอันรวมถึง 4 โครงการภายใต้แบรนด์ ‘เดอะไลน์ (THE LINE)’ , ‘เดอะเบส (THE BASE)’ และ ‘คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck)’ ที่เตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าในไตรมาส 4 ปีนี้ด้วย ซึ่งถือว่ายอดขายและการเปิดตัวโครงการเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะผันผวน
ทั้งนี้ ด้วยยอดพรีเซลส์แบ็กล็อกสำหรับโครงการร่วมทุนที่มีร่วมกัน 17,500 ล้านบาทที่เตรียมส่งมอบในปี 2562 ถึง 2565 เราเชื่อว่าจะสามารถนำมาสู่กำไรของโครงการร่วมทุนระหว่าง ยู ซิตี้ และแสนสิริ ได้กว่า 1,000 ล้านบาทได้ในปีนี้
“หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริ ดึงดูดให้ผู้ซื้อทั้งกลุ่มเรียลดีมานด์และนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่น ตลอดจนบริการหลังการขายที่ครอบคลุม เข้าใจกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ” นางสาวปิยพร กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีแผน เจาะกลุ่มตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ด้วยการพัฒนาคอนโดมิเนียมบนสุขุมวิท 38 ด้วยจุดเด่นทำเลติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ รวมถึงการออกแบบอาคารและตกแต่งภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์เนอร์ระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่ได้ใน พ.ศ.2564 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์บนถนนสุขุมวิท
ด้านนางสาว วรางคณา อัครสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการเงินและพัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “บริษัทร่วมทุน ‘บีทีเอส-แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป’ เตรียมส่งมอบคอนโดพร้อมอยู่บนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ 4 โครงการ ได้แก่ ‘เดอะ เบส เพชรเกษม , ‘เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 , ‘เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ และโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนสุดท้ายปลายปีนี้ คือ ‘คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค โดยยอดขายพร้อมโอนปีนี้ของทั้ง 4 โครงการรวมมูลค่าสูงกว่า 11,500 ล้านบาท
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจร่วมกัน 2 บริษัทนั้น ยืนยันว่า ยังคงมีความเหนียวแน่น ร่วมกันในระยะยาว จากเดิมที่เคยประกาศเป้าหมายเบื้องต้นพัฒนาโครงการร่วมกัน จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 100,000 ล้านบาท ล่าสุดมีการเซ็นสัญญาไปแล้ว จำนวน 10 โครงการ และอยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 4 โครงการ ขณะยังมีที่ดินเปล่ารองรับเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ อีกจำนวน 12 โครงการ เป็นต้น
” ขณะนี้กำลังวางแผนร่วมกันถึงโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งยังวิเคราะห์ต่อว่า มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯของรัฐที่ออกมา จะช่วยสนับสนุนแผนดังกล่าวอย่างไร หลังจากขณะนี้ มีที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าตุนรอไว้พร้อมหมดแล้ว ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายใหม่เกือบทุกสี รอเพียงความชัดเจนของแผนรถไฟฟ้าสายนั้นๆ รวมถึงปัจจัยบวกที่จะมาจาก กฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ด้วย ส่งผลให้บางโซนนิ่ง ได้รับประโยชน์เพิ่มเติม เช่น FAR ที่เพิ่มขึ้น ” นางสาววรางคณา กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ที่ลูกค้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก บีทีเอสและแสนสิริจึงพิถีพิถันในการพัฒนาโครงการทุกโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ได้มากที่สุด และตรงกับอุปสงค์ของตลาดคอนโดมิเนียมในขณะนั้น นอกจากทำเลศักยภาพตามแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน เรายังให้ความสำคัญกับพื้นที่ชุมชนที่เป็นทำเลของผู้อยู่อาศัยจริง เพื่อให้การพัฒนาโครงการสอดคล้องกับความต้องการ โดยยังคงมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เพราะยังคงเป็นตลาดที่ยังคงขยายตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามั่นใจว่าผลกำไรในปีนี้ของโครงการจากความร่วมมือกันระหว่างบีทีเอสและแสนสิริจะเป็นไปตามเป้าที่ 1,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ที่ดินประกาศใช้ มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ 1 พ.ย.
อธิบดีกรมที่ดินประกาศใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ 1 พฤศจิกายนนี้ สั่งการเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อม
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมตืมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ระยะที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมที่ดินในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์
ด้วยการลดค่าจดทะเบียนการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน เหลือ 0.01% สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ ตลอดจนการโอนและจำนองห้องชุด จากผู้ประกอบนั้น
ล่าสุดนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน ได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างกรมที่ดินเร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สำนักงานที่ดินทั่วประเทศถือปฏิบัติ โดยคาดว่าน่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป จนถึงวัน 24 ธันวาคม 2563
จึงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด สาขา ส่วนแยก สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการประชาชนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการดังกล่าวต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เจ.พี. มอร์แกน เผยศก.โลกทรุดเสี่ยงสูงภาคธุรกิจ
เจ.พี. มอร์แกน เผยเศรษฐกิจโลกทรุด เป็นความเสี่ยงสูงภาคธุรกิจในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า
เกือบหนึ่งในสาม (30%) ของผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 150 รายจาก 130 บริษัทระดับโลกจัดอันดับให้แนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลกเป็นความเสี่ยงสูงสุด ตามด้วย 27% ที่แสดงความกังวลต่อผลกระทบจากภาษีนำเข้าทั่วโลก และ 24% ที่มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ที่ชะลอตัวลงเป็นความเสี่ยงสูงสุด ส่วนความกังวลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (10%) และผลกระทบจาก Brexit (9%) ตามมาเป็น 2 อันดับท้ายสุด
ในด้านการรับมือกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption) ของธุรกิจ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 34% กล่าวว่ากำลังมองที่การกำหนดราคาใหม่กับคู่ค้าผู้ผลิตและจัดหาสินค้าให้กับองค์กร ในขณะที่ 32% ตอบว่ากำลังมองหาคู่ค้าผู้ผลิตและจัดหาสินค้าให้กับองค์กรรายใหม่ และ 15% ตอบว่ากำลังย้ายการผลิตจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่น
นายโอลิเวอร์ บริงค์แมนน์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของ เจ.พี. มอร์แกน เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นประเด็นหลักสำหรับประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และเจ้าหน้าที่บริหารทรัพย์สินชั้นนำของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจระดับโลก เจ.พี. มอร์แกนไม่ได้เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มองว่าการเติบโตจะชะลอลงในหลายไตรมาสข้างหน้าและคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ 2.7% ในปี 2562 และลดต่ำลงมาอยู่ที่ 2.5% ในปี 2563 เรายังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแต่สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศก็ยังมีผลกระทบต่อความมั่นใจอยู่
ม.ล. ชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์เจ.พี. มอร์แกน ประเทศไทย กล่าวว่า เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ตัวเลขการส่งออกของประเทศที่แย่ลงเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรการลงทุนที่ชะลอลง การลงทุนภาคเอกชนยังได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าทุนหลังจากที่ทรงตัวในระดับที่ดีในช่วงต้นของปีนี้ เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ หลังจากคงดอกเบี้ยไว้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจ.พี. มอร์แกนคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลงที่ 2.9% ในปี 2562 (จาก 4.1% ในปี 2561) และจะเติบโตที่ 3% ในปี 2563
สำหรับการเปลี่ยนแปลงโดยเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมด้านการเงินและการคลังนั้นประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และเจ้าหน้าที่บริหารทรัพย์สินชี้ว่าความท้าทาย 3 อันดับแรกที่พวกเขาต้องเผชิญในการรองรับอนาคตสำหรับองค์กร ได้แก่ กระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพ (25%) การขาดแคลนเทคโนโลยี (25%) และการขาดแคลนทรัพยากร (24%)
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าเป็นเทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งจะมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงินแบบดั้งเดิม ตามด้วยบล็อกเชน (28%) คริปโตเคอเรนซี (15%) และควอนตัมคอมพิวเตอร์ (7%)
“ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินต้องการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ขณะที่ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถในการส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญและวางการดำเนินการในอนาคตแบบเรียลไทม์ ทั้งยังเป็นประโยชน์สำหรับประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และเจ้าหน้าที่บริหารทรัพย์สินในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านสภาพคล่อง รวมทั้งเพิ่มประสิทธิผลและป้องกันการฉ้อโกง” นายบริงค์แมนน์ กล่าว
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่พร้อมนำอีคอมเมิร์ซมาใช้ในธุรกิจ โดย 45% ระบุว่ามีกลยุทธ์ด้านอีคอมเมิร์ซพร้อมใช้ปฏิบัติการ และร้อยละ 21 กล่าวว่ายังอยู่ในช่วงการวางแผน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าช่องทางการรับเงินที่หลากหลาย ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การพิสูจน์ยอดเงินที่ไหลเข้า และการดำเนินการขอคืนเงินและข้อพิพาทกับลูกค้าล้วนเป็นความท้าทายสำคัญในการจัดการธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ
“ไม่แปลกเลยที่อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั่วโลก และคาดว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งเป็นร้อยละ 70 ภายในปี 2565 การโยกย้ายกิจกรรมการค้าไปสู่แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ เจ.พี. มอร์แกนอยู่ในสถานะที่ดีที่จะช่วยเหลือลูกค้าของเราในการดำเนินธุรกิจด้วยแพลตฟอร์มระดับโลกและความสามารถระดับภูมิภาคและท้องถิ่นในการชำระเงินของเรา” นายบริงค์แมนน์กล่าว
การประชุมประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และเจ้าหน้าที่บริหารทรัพย์สินประจำปีครั้งที่ 6 ของเจ.พี. มอร์แกน (JP Morgan Asia Pacific CFO และ Treasurers Forum) เกิดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้เป็นครั้งที่สองในรอบ 3 ปี โดยมีผู้ปฏิบัติงานชั้นนำจากตลาดเอเชียแปซิฟิก 12 แห่ง เข้าร่วมงาน ซึ่งนับเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าตลาดรวมกันเกินกว่า 6.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ไขข้อสงสัยทำไมภูมิแพ้ถึงเป็นๆ หายๆ แล้วรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะพันธุกรรรมหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งเราเชื่อว่าหลายคนที่เป็นโรคภูมิแพ้นั้นพยายามรักษาอาการด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน ยาแก้แพ้ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง แต่แล้วก็ยังคงมีอาการภูมิแพ้กำเริบแบบเป็นๆ หายๆ จนเกิดคำถามสงสัยว่าจริงๆ แล้วโรคภูมิแพ้สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
เราขอตอบคำถามนี้ว่าโรคภูมิแพ้ “สามารถรักษาให้หายขาดได้” โดยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะ “ต้องทราบก่อนว่าตัวเองแพ้อะไร” เช่น ควันบุหรี่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “สิ่งกระตุ้น” เมื่อผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ไม่ป้องกันและหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้น อาการภูมิแพ้จึงไม่หายขาดนั่นเอง นอกจากนี้แล้วโรคภูมิแพ้อาจเกิดมาจากความเครียด สภาพอากาศหนาวเย็น และอื่นๆ ได้ด้วย หากผู้ป่วยต้องเผชิญสภาวะเหล่านี้ในขณะที่ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ ก็อาจทำให้โรคภูมิแพ้กำเริบ เป็นๆ หายๆ ได้เช่นกัน
- “ป้องกัน” โรคภูมิแพ้ให้หายขาดได้อย่างไร ?
วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดก็คือ “การสวมหน้ากากอนามัย” เพราะการสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นความเครียดและสภาพอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งเราจะต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น รับประทานวิตามินซี พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากภูมิคุ้มกันร่างกายเราต่ำ ร่างกายก็จะป่วยง่าย ภูมิแพ้ก็จะกำเริบ เป็นๆ หายๆ ไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเอง
นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ด้วยวิธีอื่นๆ ได้อีก เช่น ระมัดระวังการรับประทานอาหารนอกบ้านสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินอาหาร ทำความสะอาดบ้านและห้องนอนอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้าน หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าบ้าน ชำระร่างกายให้สะอาด พก ยาแก้แพ้ ติดตัวไว้ เป็นต้น
- วิธีรักษาเมื่อภูมิแพ้กำเริบ
- รับประทานยาแก้แพ้
การรับประทาน ยาแก้แพ้ เป็นวิธีที่สามารถ ดูแลทุกการแพ้ ได้เป็นอย่างดี โดยเราแนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ควรพกยาแก้แพ้ติดตัวไว้ตลอด เพราะโรคภูมิแพ้มักเกิดได้อย่างไม่ทันรู้ตัว หากรู้สึกตัวว่าภูมิแพ้เริ่มกำเริบแล้วจะได้รับประทานยาแก้แพ้ได้อย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น หากผู้ที่ต้องทำงาน เรียนหนังสือกลัวว่ารับประทานยาแก้แพ้แล้วจะง่วง ปัจจุบันมี ยาแก้แพ้ ในกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงด้วย ซึ่งสามารถบรรเทาโรคภูมิแพ้ได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ เช่น ยาแก้แพ้ลอราทาดีน (Loratadine) เป็นชนิดของยาแก้แพ้ที่ไม่ทำให้ง่วง ช่วยบรรเทาภูมิแพ้กำเริบ ทั้งอาการคันตามผิวหนัง ระคายเคืองจมูก ไอ จาม หรือคันตามผิวหนัง
โดย ยาแก้แพ้ ที่มีตัวยาลอราทาดีน จะรับประทานเพียงวันละ 1 ครั้งเพียง 1 เม็ดก็เพียงพอในการบรรเทาอาการ 24 ชั่วโมง อีกทั้งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา ทั้งนี้ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
- ฉีดวัคซีนภูมิแพ้
การฉีดวัคซีนโรคภูมิแพ้เป็นอีกวิธีที่สามารถดูแลทุกการแพ้ได้ แต่ใช้ระยะเวลารักษาอย่างน้อย 3 – 5 ปี และจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเพื่อความปลอดภัย
10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ออกเสียงผิด ชีวิตเปลี่ยน
เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมหลายครั้งที่เราพยายามจะสื่อสารกับชาวต่างชาติ แต่ไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจตรงกันสักที ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกเสียงไม่ถูกต้อง เพราะบางคำศัพท์มีเสียงใกล้เคียงกัน ทำให้สื่อสารออกมาแล้วชาวต่างชาติเข้าใจกันไปคนละเรื่อง วันนี้เรามาติดตามกันว่า มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษอะไรบ้าง ที่ออกเสียงผิด และควรออกเสียงอย่างไรถึงจะถูกต้อง
10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ออกเสียงผิด ชีวิตเปลี่ยน
1. ฉันไม่สบาย : I am sick.
ออกเสียงผิด : I am six.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : sick ลงท้ายด้วยเสียง /k/ เคอะ เหมือนเสียงเวลาระคายคอ หรือเสียงไอ
2. ฉันมีกระเป๋าใบใหม่ : I have a new bag.
ออกเสียงผิด : I have a new back.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Bag อ่านออกเสียงยาว เหมือน แบก – แบกประเป๋า
3. ฉันชอบอาหารไทย : I’d like to have Thai food.
ออกเสียงผิด : I’d like to have Thai foot.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Food ฟู้ดด์ (เสียงยาว) แปลว่า อาหาร ส่วน Foot ฟุ๊ท (ออกเสียงสั้น) แปลว่า เท้า ลงท้ายด้วยเสียง /t/
4. ฉันจะมีเงินเดือนที่สูงขึ้นได้อย่างไร : How can I get a higher salary?
ออกเสียงผิด : How can I get a higher celery?
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Salary ออกเสียงเหมือน selling something ขายของก็ได้เงิน Salary แปลว่าเงินเดือน ส่วน Celery คือ คึ่นช่ายฝรั่ง
5. ฉันใช้เงิน 1,000 บาท ไปกับเสื้อผ้า : I spent 1,000 baht on clothing.
ออกเสียงผิด : I spent 1,000 bath on clothing.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : “บาท” ลงท้ายด้วย ท.ทหาร คือเสียง /t/ และสะกดให้ถูกด้วยนะจ๊ะ Baht
6. ขอสั่งข้าวผัด : Can I have fried rice, please?
ออกเสียงผิด : Can I have fried lice, please?
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Rice แปลว่า ข้าว รวงข้าว ต้องออกเสียงคล้าย /s/ (ไรซ์) ส่วน Lice แปลว่า เห็บเหา ออกเสียงอีกแบบว่า (ไลซ์)
7. พวกเขาแพ้ได้อย่างไร : How did they lose?
ออกเสียงผิด : How did they loose?
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : lose (ลูส) แปลว่า แพ้ ตัว L กับตัว O มันอยู่ใกล้กัน มันจะดูเหมือนเลข 1 กับ 0 คงไม่มีบอลนัดไหนแพ้กัน 1 ต่อ 00 เนอะ ส่วน loose (ลูส) ออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายแปลว่า หลวม หรือ แก้มัด
8. พายแอปเปิ้ลเป็นของหวานที่ฉันชื่อนชอบ : Apple pie is my favorite dessert.
ออกเสียงผิด : Apple pie is my favorite desert.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Dessert (ดีเสริท) แปลว่า ขนม ส่วน Desert (เดสเสริ์ท) แปลว่า ทะเลทราย
9. ฉันชอบทานปู : I like to eat crab.
ออกเสียงผิด : I like to eat crap.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Crap (แครพ) แปลว่า อุจจาระ หางตัว p ขี้ลง เหมือนอุจจาระลงชักโครก ส่วน Crab (แครบ)แปลว่า ปู หางตัว b ชี้ขึ้นเหมือนก้ามปู
10. เสื้อของคุณไม่มีกระดุม : Your shirt is missing a button.
ออกเสียงผิด : Your shirt is missing a bottom.
วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง : Bottom (บอท เทิ่ม) แปลว่า ก้น ลงท้ายด้วยตัว m ส่วน Button (บัท’เทิน) แปลว่า กระดุม,กระดุมเสื้อ,ปุ่ม
ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com
ออปโป้ปรับทัพสินค้า ลุยสมาร์ทโฟนท้ายปี
ออปโป้ ปรับทัพรุกตลาดท้ายปี เปิดตัว Reno2 F และ Reno2 ประกาศเลิกทำตลาด F ซีรีส์ ยันยังครองแชมป์เบอร์ 1 สมาร์ทโฟนระดับกลาง เตรียมพร้อมเดินหน้าเจาะตลาดบน เล็งเปิด ซูเปอร์ แฟล็กชิพ สโตร์ แห่งแรกในไทย
นายชานนท์ จิรายุกุล รองประธานกรรมการฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้นั้นจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นประมาณ 5-8% ขณะที่ในแง่ของเม็ดเงินนั้นไม่โต มาจาก 2 ประเด็น คือ เรื่องเศรษฐกิจและการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์ สามารถซื้อสมาร์ทโฟนในราคาไม่สูงมากแต่มีคุณภาพครอบคลุม
ทั้งนี้กลยุทธ์ในการรุกตลาดช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากเมื่อเดือนมิถุนายน ออปโป้ได้มีการเปิดตัวออปโป้ รีโน ซีรีส์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Creativity หลังจากนี้ออปโป้จะมีการปรับเปลี่ยนโดยที่ต่อไปจะยกเลิกรุ่น เอฟ ซีรีส์ โดยเอฟ ซีรีส์จะมาเป็นส่วนหนึ่งของรีโน่ ซีรีส์ ทั้งนี้ออปโป้มีสมาร์ทโฟนหลายซีรีส์ทั้ง A Series, K Series, Reno Series และ Find Series ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 4-5 พันบาทจนถึงระดับราคาหมื่นต้นๆ
“ทั้งนี้ออปโป้ตั้งเป้าที่จะรุกตลาดทั้ง 3 ระดับคือ ล่าง กลางและบน ซึ่งในระดับกลางนั้นออปโป้มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว หลังจากนี้จะตั้งเป้าที่จะทำตลาดในระดับบนที่ตอนนี้ยังถือเป็นจุดอ่อนอยู่ โดยการรุกตลาดไฮเอนด์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาแต่พยายามที่จะลดช่องว่างให้น้อยลง เราเชื่อว่าจะสามารถเจาะตลาดไฮเอนด์ได้”
นอกจากนี้ ออปโป้ยังคำนึงถึงนวัตกรรมยุคต่อไปอย่าง 5G ที่ทางออปโป้ได้เตรียมพัฒนาดีไวซ์ที่รองรับการเข้ามาของเครือข่าย 5G ในสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป พร้อมทั้งยังมีการเปิด ออปโป้ ซูเปอร์ แฟล็กชิพ สโตร์ แห่งแรกในไทย ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ เพื่อเป็นพื้นที่ในการสร้างประสบการณ์และการบริการให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชนิดทอง |
ราคารับซื้อ กรัมละ |
ราคารับซื้อ บาทละ |
ราคาขาย บาทละ |
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
21,300.00 |
21,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,380.00 |
20,920.80 |
21,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,242.00 |
18,828.72 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 80% |
1,104.00 |
16,736.64 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
621.00 |
9,414.36 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
483.00 |
7,322.28 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,430.00 |
21,678.80 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/10/2562
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
แก๊สโซฮอล์ 95 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
26.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
26.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 |
23.54 |
23.54 |
23.54 |
23.54 |
23.54 |
– |
23.54 |
23.54 |
23.54 |
23.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 |
19.49 |
19.49 |
– |
– |
– |
– |
– |
19.49 |
– |
– |
เบนซิน 95 |
33.96 |
– |
– |
– |
34.41 |
– |
34.46 |
34.26 |
– |
34.26 |
ดีเซล |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
25.89 |
ดีเซล B10 |
23.89 |
23.89 |
23.89 |
– |
– |
– |
23.89 |
– |
– |
– |
ดีเซล B20 |
22.89 |
22.89 |
22.89 |
22.89 |
22.89 |
– |
22.89 |
22.89 |
– |
22.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม |
29.74 |
29.76 |
30.14 |
30.14 |
30.14 |
– |
– |
– |
– |
– |
แก๊ส NGV |
15.73 |
15.73 |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |