สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2561

ชินวะชูนวัตกรรมรูเนะสุ เจาะอสังหาอาเซียน 

เจาะอสังหาอาเซียน

ชินวะชูนวัตกรรมรูเนะสุ สร้างจุดขายโครงการร่วมทุนเร่งเครื่องทำตลาดทั้งในไทยและในภูมิภาคอาเซียน

ปัจจุบันต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนอสังหาฯ ในไทยสูงสุดราว 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องของโนฮาว เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ กลายเป็นจุดขายสำหรับโครงการร่วมทุนเหล่านี้

โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า นอกจากบริษัทเป็นดีเวลอปเปอร์พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว บริษัท ชินวะ กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่นยังดำเนินธุรกิจคอนสตรัคชั่นและเป็นเจ้าระบบรูเนะสุ โดยมีนวัตกรรม ซิกมาบีม ซึ่งเป็นโครงสร้างลิขสิทธิ์พิเศษและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรูเนะสุ

ทั้งนี้ ความโดดเด่นของระบบ ดังกล่าว คือการปรับคานเป็นพื้นและปรับพื้นให้เป็นคาน ทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 25-40% หรือเฉลี่ยอยู่ 30% สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น สามารถเก็บของไว้ที่บริเวณคานในความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร เพิ่มพื้นที่ใน ข้อจำกัดทางโครงสร้างได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นนวัตกรรมที่บริษัทจะนำมาทำตลาดในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับแผนการขยายตลาด บริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรและจ้างโรงงานผลิต เบื้องต้นจะนำมาใช้ในโครงการเร็น สุขุมวิท 39 บนพื้นที่ราว 1.2 หมื่นตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบโดยจะต้องได้ตามมาตรฐานของญี่ปุ่น

โทโมยาสุ กล่าวว่า รวมทั้งจะขยายตลาดประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอรายละเอียดให้ทางหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศพิจารณา เพื่อออกใบอนุญาตจากนั้นดีเวลอปเปอร์ถึงสามารถนำไปพัฒนาโครงการได้

ด้าน วิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ทางบริษัทยังมีแผนขยายตลาดระบบรูเนะสุ ในโครงการแนวราบ ผ่านทางกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและ ดีเวลอปเปอร์ โดยขณะนี้มีเตรียมสร้างโชว์รูมเพื่อสร้างบ้านต้นแบบด้วยระบบดังกล่าวควบคู่กับการหาลูกค้า คาดจะได้ลูกค้าตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี แม้กลุ่มเป้าหมายคือ คอนโดในเมืองที่มีขนาด 20 กว่า ตร.ม. ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวที่ต่ำกว่า 250 ตร.ม. เพราะจะตอบโจทย์ความต้องการเนื่องจากได้พื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการเฟสแรก จากนั้นมีแผนขยายไปยังกลุ่มออฟฟิศและคอมมูนิตี้เพิ่ม คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจาก กลุ่มเป้าหมายแม้ต้นทุนการก่อสร้างจะเพิ่มไม่เกิน 10% ก็ตาม

“การนำนวัตกรรมระบบรูเนะสุมา ทำตลาดในไทยและอาเซียนไม่ใช่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ แต่เป็นแผนของบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องเงินที่จะมาพัฒนาโครงการไม่ใช่ปัญหา แต่เห็นว่าการจะสร้าง 10-20 โครงการทำได้ยากในเวลาระยะสั้น แต่มองเห็นโอกาสการเติบโตและความชัดเจนมากกว่าและที่สำคัญอยากให้ผู้บริโภคคนไทยได้สัมผัสนวัตกรรมดังกล่าว ทั้งนี้การสร้างฐานการผลิตในไทยจะทำให้สินค้าถูกลงและผู้บริโภคเข้าถึงได้” วิชัย กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเข้ามาบริหารอาคารเช่า โดยเบื้องต้นได้นำร่องซื้อโครงการมา บริหารงานเช่าในรูปแบบญี่ปุ่นซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยบริษัทจะนำมาใช้กับโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 และโครงการอื่นๆ ที่บริษัทพัฒนา รวมทั้งยังรับบริหารให้กับโครงการอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งบริษัทได้จอยท์เวนเจอร์กับพรีแซ็งค์ ในโครงการเร็น สุขุมวิท 39 ซึ่งพรีแซ็งค์เป็นบริษัทอสังหาฯ ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 2 ของญี่ปุ่นจะมาช่วยเปิดตลาดแนวใหม่และบริหารการขายในส่วนของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบฐานข้อมูลลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้ซื้อชาวญี่ปุ่นจะซื้อผ่านตัวแทนและราคาสินค้าที่มีความต้องการอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท อย่างไรก็ดี สำหรับดีมานด์กำลังซื้อของคนญี่ปุ่นทั้งซื้อและเช่าในปีนี้คงที่ไม่เพิ่มขึ้น

วิชัย กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายลงทุนต่อเนื่องโดยมีแผนพัฒนาคอนโดปีละ 1-2 โครงการ มูลค่ารวม 4,000-5,000 ล้านบาท โดยปี 2562 วางงบซื้อที่ดินราว 2,000 ล้านบาท เน้นทำเลซีบีดีและรอยต่อ รวมทั้งแนวรถไฟฟ้า เช่น รัชดา พระราม 9 ฯลฯ

ส่วนแผน 5 ปี (2566) เตรียมลงทุนมูลค่า 7,000 ล้านบาท เพื่อเติบโตปีละ 30-40% โดยบริษัทพร้อมเปิดโอกาสร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์รายอื่นๆ สำหรับระบบรูเนะสุบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในประเทศไทยที่ 1-2 โครงการ หรือราว 1 หมื่น ตร.ม./โครงการ ส่วนยอดขายต่างประเทศมากกว่า 2 ตร.ม.ขึ้นไปในแต่ละประเทศ

ขณะที่แผนงานใน 10 ปีจากนี้พร้อมขยายธุรกิจอสังหาฯ ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง การพัฒนาโครงการ ธุรกิจบริการในการบริหารอาคารเช่า โดยใช้สัญญา 30 ปีเช่นเดียวกับบริษัทในญี่ปุ่นที่รับบริหารอาคารในพื้นที่ โอซากาและใกล้เคียงกว่า 5,000 ยูนิต ใน 88 ตึก

ที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

คนซื้อบ้านโอดราคาแพงเกินเอื้อม อ้อนรัฐคุมราคาอสังหาฯ

จับตากลุ่มมิลเลนเนียลฐานลูกค้าใหญ่อนาคต เผยคนซื้อบ้านโอดราคาแพงเกินเอื้อม อ้อนรัฐคุมราคาอสังหาฯ

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 (DDproperty Consumer Sentiment Survey 1H 2018) พบคนอยากซื้อบ้านส่วนใหญ่มองราคาอสังหาฯ แพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น และภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดี จึงทำให้ความพึงพอใจที่มีต่อตลาดอสังหาฯ ลดลง และอยากให้ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการซื้อที่อยู่อาศัยรอบใหม่ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ พร้อมจับตากลุ่มมิลเลนเนียล อนาคตตลาดอสังหาฯ

จากผลสำรวจดังกล่าว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์จำนวนกว่า 1,000 คน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 มองว่าอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีราคาแพง หรือราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งร้อยละ 61 ยังมองว่า ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้ดัชนีความพึงพอใจที่มีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2561 ปรับตัวจากผลสำรวจรอบที่ผ่านมาลงมาอยู่ที่ร้อยละ 57 และลดลงอย่างมากจากเมื่อ 3 ปีก่อนหน้าที่ดัชนีความพึงพอใจของผู้บริโภคสูงถึงร้อยละ 68 โดยความสามารถในการซื้อที่ลดลง ผู้บริโภคกว่าร้อยละ 61 มองว่า รัฐบาลไม่ได้ออกมาตรการใดๆ ช่วยสนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

1_13

สำหรับแนวทางที่ผู้บริโภคมองว่า ภาครัฐควรสนับสนุนให้คนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น โดย อันดับ 1 ร้อยละ 69 อยากให้รัฐกำหนดเกณฑ์ราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่ อันดับ 2 ร้อยละ 62 อยากให้รัฐออกมาตรการหรือนโยบายช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก  และ อันดับ 3 ร้อยละ 45 อยากให้รัฐควบคุมอุปทานของอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคร้อยละ 83 มองว่าอสังหาริมทรัพย์จะมีมูลค่าสูงขึ้น ภายใน 1-5 ปี ส่วนด้านแนวโน้มการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคร้อยละ 41 กำลังพิจารณาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอีก 6 เดือน ซึ่งขยับขึ้นจากร้อยละ 36 ในครึ่งปีหลัง พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปเปิดเผยว่า “การสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง แต่ราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะบ้านหลังแรกที่กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนเริ่มทำงาน เริ่มมีครอบครัว ที่กำลังซื้อไม่ได้สูงมาก และแม้จะมีความต้องการว่าจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย แต่หากในอีก 6 เดือนข้างหน้า ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังเข้าถึงยาก ก็อาจจะไม่เกิดเป็นการตัดสินใจซื้อได้จริง”

จากการสำรวจความต้องการดังกล่าวยังพบว่า ร้อยละ 36 ระบุทำเลที่ต้องการอันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รอบนอก รองลงมาร้อยละ 26 เลือกทำเลโซนศูนย์กลางธุรกิจใหม่หรือ New CBD ได้แก่ รัชดาฯ, ลาดพร้าว และพระราม 9 ตามด้วย ร้อยละ 15 ระบุว่า ต้องการทำเลโซนสุขุมวิทตอนกลาง ได้แก่ พระโขนง, อ่อนนุช และอุดมสุข โดยประเภทที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคต้องการเป็นอันดับ 1 คือ บ้านเดี่ยว ร้อยละ 58 และอันดับ 2 คือ คอนโดมิเนียม ร้อยละ 55

ในส่วนของระดับราคา พบว่าผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 6 เดือน ร้อยละ 95 มีความสามารถในการซื้อไม่เกิน 5 ล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัยอันดับ 1 ยังคงเป็นเรื่องของทำเล ถึงร้อยละ 95รองลงมา คือ ร้อยละ 69 เป็นโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก และตามด้วยร้อยละ 64 เป็นเรื่องความปลอดภัย


กลุ่มมิลเลนเนียลตลาดใหญ่ภาคอสังหาฯ

ในการสำรวจครั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามอง นั่นก็คือ กำลังซื้อของกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 18 – 34 ปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคมและเศรษฐกิจในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า โดยจากการสำรวจ พบว่า ปัจจุบันกลุ่มมิลเลนเนียล กว่าร้อยละ 50 อาศัยอยู่กับพ่อแม่ โดย 5 เหตุผลหลักที่ไม่ย้ายออก คือ ต้องการดูแลพ่อแม่, มีเงินออมไม่มากพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง, ยังไม่แต่งงาน, บ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่เพียงพอ และเล็งเห็นว่าราคาที่อยู่อาศัยแพง เลือกเก็บเงินดีกว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันคนกลุ่มมิลเลนเนียลจะยังไม่ได้ออกไปมีที่อยู่อาศัยเอง แต่พบว่า ร้อยละ 45 มีแผนที่จะแยกออกไปอยู่เอง เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป และร้อยละ 65 ระบุว่า มีแผนการเก็บเงินในแต่ละเดือน เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

 “กลุ่มมิลเลนเนียลนับได้ว่า มีแนวโน้มจะกลายเป็นตลาดใหญ่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ และจะมีการตัดสินใจซื้อบ้านในอนาคตเนื่องจากส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ในขณะเดียวกันยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการที่จะย้ายออกและมีแผนการเก็บเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังซื้ออยู่ระหว่าง 1-4 ล้านบาท เมื่อมองจากสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ดีเวลลอปเปอร์อาจจะต้องพิจารณาประชากรกลุ่มนี้รวมถึงในเรื่องของระดับราคามากขึ้น” นางกมลภัทร กล่าวสรุป

ที่มา www.bangkokbiznews.com

เสน่ห์ “อีคอมเมิร์ซไทย” แรงดึงดูดยักษ์ต่างชาติ

ทำไม “ไทย” ถึงเป็นเป้าหมายในการลงทุนอีคอมเมิร์ซของยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เวทีเสวนาในงาน “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” จัดโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ฉายภาพชัด

“ศุภนีวรรณ จูตระกูล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ระบุถึงเหตุผลว่า เป็นเพราะคนไทยใช้เวลาบนอินเทอร์เน็ตสูงมาก การซื้อขายออนไลน์ผ่าน M-commerce เป็นอันดับ 2 ในโลก รองจากเกาหลีใต้ คือมี 52% ของประชากรที่ซื้อของผ่านทางออนไลน์โมบาย 70% เข้าชมร้านค้า ทั้งจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กที่แอ็กทีฟยังอยู่ในอันดับ 8 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ที่ engagement กับโพสต์ในเฟซบุ๊ก

ตลาดอีคอมเมิร์ซแซงอินโดฯ

ขณะที่ข้อมูลตลาดอีคอมเมิร์ซในปีที่แล้ว มีมูลค่า 1.96 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดในอาเซียน แซงหน้าอินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่า มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 57 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นประจำ 51 ล้านราย เพิ่มขึ้น 11% ที่สำคัญคือคนไทยยังพร้อมก้าวไปสู่บริการดิจิทัลใหม่ ๆ อาทิ การใช้ QR code แสดงให้เห็นชัดว่า คนไทยพร้อมรับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ

“แพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงเห็นโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะโซเชียลคอมเมิร์ซ ที่ 51% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เคยซื้อทางนี้ โดยมีเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์เป็นช่องทางหลัก โดยใช้เฟซบุ๊ก 49 ล้านราย จาก 51 ล้านผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งยังใช้งานต่อเนื่องกว่า 75% และด้วยกสิกรไทยมีประสบการณ์ในธุรกิจดิจิทัล ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเป็น TOP Thailand ของแอปพลิเคชั่นที่มีการดาวน์โหลด ทั้งที่ไม่ใช่แอปโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีผู้ใช้ 8.7 ล้านราย และมี 76% ที่ใช้งานเป็นประจำ มียอดธุรกรรม 1.4 พันล้านทรานแซ็กชั่น ที่สำคัญคือโตเป็นดับเบิลอยู่เสมอ ทำให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เข้ามาดีลกับเรา เพื่อพัฒนานวัตกรรมรองรับอีคอมเมิร์ซ”

ล่าสุดคือ ร่วมมือกับเฟซบุ๊ก ช่วยให้ผู้ซื้อชำระเงินได้ทันทีทาง inbox ของเฟซบุ๊กผ่าน KPlus ซึ่งช่วยให้ผู้ขายปิดการขายได้มากและเร็วขึ้น เพียง 1 เดือน เพิ่มยอดขายเฉลี่ยจาก 300 ทรานแซ็กชั่น/วัน เป็น 1,640 ทรานแซ็กชั่น/วัน

เร่งเพิ่มประสบการณ์-ทักษะ

“ในส่วนแพลตฟอร์มอื่นก็เน้นการเชื่อมต่อการจ่ายเงินทั้งออนไลน์ออฟไลน์ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า”

ขณะที่ SMEs ต้องเตรียม “ทักษะ” การก้าวสู่ออนไลน์ให้มากขึ้น ทั้งการถ่ายรูป การโพสต์ การดูแลระบบซีเคียวริตี้ เนื่องจากอีคอมเมิร์ซจะทำให้เกิดการแข่งขันสูงขึ้น และเริ่มพบปัญหาซีเคียวริตี้ที่ไม่ได้มาจากแพลตฟอร์ม แต่ใช้วิธีหลอกลวงอื่น ๆ ด้วย

3 ภารกิจ “อาลีบาบา” ในไทย

ด้าน “ซามิ ฟาร์ฮัด” ผู้อำนวยการอาวุโส อาลีบาบากรุ๊ป เปิดเผยว่า ไทยเป็นตลาดที่อาลีบาบากรุ๊ปเพิ่งเริ่มเข้ามาทำธุรกิจ โดยมี “ลาซาด้า” อีมาร์เก็ตเพลซ ซึ่งบริษัทถือหุ้นใหญ่เป็นหลัก และพร้อมผลักดันให้เติบโตสูงสุด และเชื่อมโยงกับทั้งอาเซียน ขณะเดียวกันก็มีสัญญาความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น

“ในทีมอลล์ ประเทศจีน สินค้าไทยเริ่มเข้าไปขายดีมากตั้งแต่ปีที่แล้ว อาทิ ผลิตภัณฑ์แบรนด์ดอกบัวคู่ บิวตี้บุฟเฟ่ต์ มิสทิน หรือทุเรียน”

สำหรับ 3 ภารกิจสำคัญที่อาลีบาบากรุ๊ป ผลักดันในประเทศไทย คือลาซาด้า การสร้างสมาร์ทโลจิสติกส์ ที่จะสร้างเป็นฮับให้คนไทยส่งสินค้าไปขายที่ประเทศจีนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียน ซึ่งกำลังจะมีการประกาศโครงการ “ดิจิทัลฮับ” ในเร็ว ๆ นี้ กับอีกโครงการที่กำลังศึกษา คือ ด้วยปริมาณการเดินทางที่นักท่องเที่ยวจีนมาประเทศไทยจำนวนมาก จึงอยากเห็นความร่วมมือระหว่างกันที่เข้มแข็งกว่านี้ อาทิ การโปรโมตให้คนจีนเข้าไปถึงเมืองรอง ทำให้เงินตราไหลสู่ท้องถิ่นได้มากขึ้น และเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจแบบใหม่

ที่มา www.prachachat.net

5 เงื่อนไขสำคัญในการทำประกัน

5 เงื่อนไขสำคัญในการทำประกัน

โดย…ศิวัฒน์ สิงหสุตกร

เมื่อพูดถึงการทำประกัน สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่ทราบ หรือมองข้ามมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสำหรับผู้ทำประกันได้มากที่สุด ก็คือเรื่องของ “เงื่อนไขการทำประกัน” และการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายนั่นเอง นั่นก็เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจในเงื่อนไข หรือกฎระเบียบที่ทางบริษัทประกันกำหนดไว้ในการตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ ก็อาจทำให้เราละเมิดเงื่อนไขโดยไม่ตั้งใจ หรือตกลงทำประกันไปด้วยความพลาดพลั้งหรือเข้าใจผิด ก็อาจทำให้เกิดข้อพิพาท ฟ้องร้อง ที่เราอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในภายหลังได้

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่เราควรจะต้องรู้จักและทำความเข้าใจเงื่อนไขสำคัญในการทำประกันเอาไว้ ซึ่ง Insurance Corner ในเดือนนี้ จะขอมาบอกกล่าวเงื่อนไขสำคัญในการทำประกันทั้ง 5 ประการไว้ เพื่อให้เราสามารถทำประกันและเคลมประกันได้อย่างถูกต้อง ดังนี้ครับ

หากไม่แถลงสุขภาพตามความเป็นจริง สัญญาเอาประกันมีสิทธิเป็นโมฆียะถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในการสมัครขอทำประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ เนื่องจากหลักสำคัญอย่างหนึ่งของการทำประกันก็คือ  “หลักสุจริตใจอย่างยิ่ง” ที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ขอทำประกัน หรือฝ่ายบริษัทประกัน ต่างต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจรับทำประกันให้คู่สัญญาทราบด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งในการทำประกันชีวิตหรือสุขภาพ ข้อมูลที่มีผลสำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจ ว่าบริษัทจะรับหรือไม่รับทำประกันก็คือ ข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ขอทำประกัน ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทประกันจะต้องรับเอาไว้

ดังนั้น ผู้ทำประกันก็จำเป็นต้องแถลงสุขภาพไปตามความเป็นจริงทั้งหมด ทั้งประวัติการรักษา และโรคประจำตัว (ถ้ามี) หากผู้ทำประกันมีโรคประจำตัว หรือประวัติการผ่าตัดที่คาดว่าจะมีผลต่อการไม่รับทำประกัน  (หรือรับทำด้วยการเพิ่มเงื่อนไขพิเศษ) แต่ปกปิดข้อมูลไว้ เพื่อให้บริษัทยอมรับประกัน ก็จะถือว่าเป็นการทำประกันที่ไม่สุจริตใจ หากเกิดเหตุที่บริษัทประกันจะต้องจ่ายเงินค่าสินไหม หรือเงินเคลม แล้วบริษัทประกันไปสืบประวัติการรักษาตัวของผู้ทำประกันดูแล้วพบว่าผู้ทำประกันมีสุขภาพไม่ปกติ แต่ปิดบังข้อมูลไว้ บริษัทประกันสามารถประกาศให้สัญญาที่ทำกันเป็น “โมฆียะ” หรือยังมีผลบังคับอยู่จนกว่าจะบอกล้างสัญญากันได้ (ซึ่งปกติก็จะบอกล้างสัญญาทันที)

ดังนั้น ใครที่ทำประกันจึงต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ควรทำประกันด้วยความโปร่งใส สุจริต ให้ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขที่สุด ก็จะดีที่สุดครับ

หากทำประกันไปแล้ว ต้องผ่านระยะเวลารอคอย จึงจะเริ่มคุ้มครอง

หลายคนมีความเข้าใจที่ผิดว่า ถ้ากรอกเอกสารทำประกันชีวิตหรือสุขภาพ จ่ายค่าเบี้ยเรียบร้อยแล้วจะได้รับความคุ้มครองในทันที แต่ในความเป็นจริงแล้วความคุ้มครองที่เกี่ยวกับโรคภัยจะเริ่มมีผลหลังจากเลยช่วงที่เรียกว่า “ระยะเวลารอคอย” แล้ว เหตุผลก็เพราะแม้จะอาศัยหลักสุจริตใจอย่างยิ่ง ที่ให้ผู้ทำประกันแถลงข้อมูลสุขภาพตามความเป็นจริงแล้วก็ตาม แต่บริษัทประกันก็ยังมีความเสี่ยง ไม่แน่ใจว่าผู้ทำประกันแถลงข้อมูลสุขภาพจริงทั้งหมดหรือไม่ หากกำลังเป็นโรคอยู่แล้วคุ้มครองทันที ผู้ทำประกันก็อาจจะมาทำประกันเพื่อหวังได้รับความคุ้มครองค่ารักษาทันทีเลยก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลารอคอยที่เหมาะสมสำหรับความคุ้มครองโรคแต่ละระดับ เพื่อลดความเสี่ยงในระดับหนึ่งว่าผู้ทำประกันไม่ได้เป็นโรคนั้นๆมาก่อนจริง ซึ่งระยะเวลารอคอยก็มีตั้งแต่ 30 วัน จนถึง 120 วัน แล้วแต่ระดับความอันตรายของโรค หากผ่านพ้นไปแล้วจึงจะเริ่มคุ้มครองในโรคนั้น จะมีเพียงแต่เฉพาะการเจ็บป่วยจากกรณี “อุบัติเหตุ” เท่านั้น ที่จะมีความคุ้มครองให้ทันทีหลังจากผู้ทำประกันชำระค่าเบี้ยเรียบร้อยแล้ว

การทำประกันสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวมาก่อน จะมีเงื่อนไขรับประกันเพิ่มเติม

จากหลักสุจริตใจอย่างยิ่ง ที่ผู้ทำประกันต้องแถลงข้อมูลสุขภาพตามความเป็นจริง หากผู้ทำประกันมีประวัติการรักษา หรือโรคประจำตัว ที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคนั้นๆ แล้ว  หากบริษัทประกันประเมินแล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ไหว แต่ผู้ทำประกันมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าเกณฑ์ปกติ บริษัทประกันอาจยอมรับทำประกันให้ โดยเพิ่มเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

เพิ่มเบี้ยประกัน ไม่เกินอัตราที่ คปภ.กำหนด

ไม่เพิ่มเบี้ยประกัน แต่ไม่คุ้มครองโรค ที่ผู้ทำประกันมีความเสี่ยงที่จะเกิดสูงทั้งเพิ่มเบี้ยประกัน และไม่คุ้มครองโรค ที่ผู้ทำประกันมีความเสี่ยงที่จะเกิดสูงหากผู้ทำประกันได้รับการยอมรับทำประกัน พร้อมเงื่อนไขพิเศษ ก็คงต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขที่เพิ่มเข้ามาอยู่ในขอบเขตที่สามารถรับได้หรือไม่ ถ้ายังสามารถรับได้ (เช่น เบี้ยไม่ได้เพิ่มสูงมากจนเกินไป ยังพอจ่ายไหว หรือไม่คุ้มครองโรคจำนวนไม่มาก) ก็ยังอาจสมควรที่จะรับเงื่อนไขเพื่อทำประกันต่อไป เพราะอย่างน้อย การทำประกันก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่จำเป็น สำหรับใครก็ตามที่ไม่ต้องการหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าจะรับได้อยู่ครับ

การเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคภายใน 2 ปีนับตั้งแต่มีผลคุ้มครอง ต้องมีการสืบคดีทุกกรณี

เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากกฎเกณฑ์ที่ว่า ระยะเวลา 2 ปี คือระยะเวลาที่จะพิสูจน์ความเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุที่มีการเอาประกันนั้นว่าถูกต้อง เป็นไปตามเงื่อนไขครบถ้วนหรือไม่ โดยเฉพาะกับเรื่องของสุขภาพ ทำให้หากมีการเสียชีวิต หรือเจ็บป่วย ภายในระยะเวลา 2 ปีนับตั้งแต่สัญญาความคุ้มครองเริ่มมีผล บริษัทประกันจะต้องขอเวลาไปสืบคดีและข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน จึงจะสามารถจ่ายเงินค่าสินไหมหรือค่าเคลมประกันได้ ดังนั้นหากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ผู้ทำประกันจึงจำเป็นต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน เมื่อบริษัทประกันสืบคดีเรียบร้อยแล้ว และพบว่าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข บริษัทประกันจึงจะจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้ตามหลัง

การจ่ายเงินชดเชยบางความคุ้มครอง อาจจ่ายเพียงบางสัดส่วน ไม่เท่ากับทุนประกันทั้งหมด

ในการทำประกันสุขภาพบางประเภท ตอนที่เลือกทำเราอาจจะเลือกทำจาก “ทุนประกัน” หรือวงเงินความคุ้มครองสูงสุดที่บริษัทประกันจะจ่าย เช่น ทำประกันอุบัติเหตุที่ทุนประกัน 1 ล้านบาท หรือทำประกันโรคมะเร็งที่ทุนประกัน 1 ล้านบาท แต่การจะจ่ายเงินชดเชยความคุ้มครอง ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนดสำหรับความคุ้มครองในแต่ละขั้น หรือความเจ็บป่วย แต่ละแบบ เช่น ทุนประกันอุบัติเหตุ 1 ล้านบาท แต่หากเจ็บป่วยจากกรณีกระดูกแตกหักอาจจะคุ้มครองไม่เกิน 1% ของทุนประกัน (1 หมื่นบาท) หรือทุนประกันโรคมะเร็ง 1 ล้านบาท แต่หากเป็นโรคมะเร็งในระยะไม่ลุกลามอาจจะจ่ายเพียง30% ของทุนประกัน (3 แสนบาท) เป็นต้น ไม่ได้จ่ายเงินชดเชยสูงสุดตามวงเงินทุนประกัน อย่างที่บางคนอาจจะเข้าใจผิดกันอยู่ครับ

ทั้งหมดนั่นก็คือเงื่อนไขในการรับประกัน และการจ่ายเงินชดเชย ที่สำคัญทั้ง 5 ข้อ ที่ทุกคนควรทราบเอาไว้ทั้งก่อนและหลังทำประกัน เพื่อให้เราสามารถทำประกันด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง  และลดปัญหาในการทำประกันลงไปได้ ที่ผมอยากจะขอฝากไว้สำหรับตอนนี้นะครับ แล้วพบกันใหม่ในเดือนหน้าครับ

ที่มา www.posttoday.com

มาอัพสกิลฝึกภาษาอังกฤษกับ 5 website สอนภาษาสุดเจ๋งกันเถอะ!

ใครที่กำลังมีแพลนไปเรียนภาษาต่อในต่างประเทศ และคิดว่าทักษะทางภาษาอังกฤษของเรายังไม่แน่นพอ อย่าปล่อยเวลาว่างของคุณให้เปล่าประโยชน์ค่ะ วันนี้ SI-UK มีตัวช่วยดีๆในการเตรียมพร้อมฝึกทักษะภาษาอังกฤษของคุณที่ง่ายนิดเดียวมาฝากกัน นั่นก็คือ การฝึกภาษาผ่านทางเว็บไซต์นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่ใครๆก็สามารถทำได้ เพียงแค่คุณจะต้องมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น โดยข้อดีในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านทางเว็บไซต์นั่นก็คือ การที่คุณจะได้มีอิสระในการเลือกทักษะที่คุณอยากจะฝึกฝนด้วยตัวคุณเอง รวมถึงยังไม่ต้องเสียเงินสักบาท และบางคนอาจจะได้เพื่อนต่างชาติใหม่ๆจากทางออนไลน์กลับมาอีกด้วย เรามาดูกันสิว่าจะมีเว็บไซต์ใดบ้างที่สามารถช่วยอัพสกิลภาษาอังกฤษของคุณให้เจ๋งยิ่งขึ้น!

BBC Learning English (bbc.co.uk)

(http://saundz.com/wp-content/uploads/2013/04/03-BBC-Learning-English.jpg)

สำหรับใครที่ต้องการอัพสกิลฝึกทักษะในเรื่องของแกรมม่า การออกเสียง คำศัพท์ การฟัง เราขอภูมิใจนำเสนอเว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษแบบ 4 in 1 จาก bbc.co.uk ที่มีชื่อว่า BBC Learning English ซึ่งภายในเว็บไซต์นี้จะมีหมวดหมู่ให้คุณเลือกว่าคุณอยากจะทดสอบหรือฝึกทักษะอะไร รวมถึงยังมีบทความต่างๆเป็นภาษาอังกฤษที่สามารถเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งเว็บไซต์นี้ยังเหมาะกับคนที่อยากฝึกทักษะการฟังในสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษแบบ British อีกด้วย และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างนั่นก็คือ ไฟล์เสียงภาษาอังกฤษสั้นๆที่เรียกว่า 6 Minutes English ที่คุณสามารถดาวน์โหลดออกมาเป็นไฟล์ MP3 ให้คุณได้ฝึกฟังได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว

lang-8 (lang-8.com)

(https://cdn-media-1.lifehack.org/wp-content/files/2015/10/12231814/image-6.jpg)

Lang-8 เป็นเว็บไซต์ฝึกภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆโดยจะเน้นทักษะการเขียน ซึ่งจะมีรูปแบบที่น่าสนใจนั่นก็คือ หลังจากที่เราได้ลงทะเบียนกับระบบเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าเราอยากจะเรียนภาษาอะไร ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น หลังจากนั้นก็ทำการเขียนประโยค Paragraph หรืออาจจะเป็นการบ้านจากโรงเรียนก็ได้ หลังจากนั้นก็จะมีเจ้าของภาษามาทำการตรวจสอบการเขียนของเราว่าถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาหรือไม่ เช่น คำศัพท์ หรือประโยคใดผิด แก้ไขอย่างไร เป็นต้น โดยเว็บไซต์ Lang-8 นี้จะมีเจ้าของภาษาใช้งานเว็บไซต์อยู่ถึง 190 ประเทศทั่วโลก หากใครอยากทดสอบทักษะการเขียนของตัวเอง ก็อย่าลืมลองไปใช้งาน Lang-8 ดูนะคะ รับรองว่าใช้ง่ายกว่าที่คุณคิดแน่นอนค่ะ

EngVid (englid.com)

(http://blog.atlaslanguageschool.com/blog/learn-english-with-online-english-video-lessons)

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า EngVid ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษที่น่าสนใจไม่แพ้เว็บไซต์อื่นๆเลยทีเดียว เพราะเป็นเว็บไซต์ที่คุณสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ครบทุกทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือการมีอาจารย์ประจำอยู่ 10 ท่าน คอยสอนในรูปแบบวิดีโออยู่ในเว็บไซต์นี้ราวกับว่าเราได้ไปนั่งเรียนในห้องเรียนเลยทีเดียว โดยอาจารย์เหล่านี้จะทำการสอนในแต่ละหมวดหมู่ที่แตกต่างกันออกไป เช่น หมวดแกรมม่า คำศัพท์ทั่วไป คำศัพท์แสลง การพูดออกเสียง การเขียน essay เป็นต้น แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ การแนะนำพร้อมการทำข้อสอบ IELTS, TOELF, TOEIC นั่นเอง ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 3 ระดับ คือ Beginner, Intermediate และ Advance โดยปัจจุปันถือว่ามีวิดีโอการสอนมากว่า 700 คลิป และในอนาคตก็จะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาเรื่อยๆค่ะ

Vocab Sushi (vocabsushi.com)

(http://coongcu.com/wp-content/uploads/2015/04/vocab-sushi.jpg)

Vocab Sushi เป็นเว็บไซต์ฝึกภาษาอังกฤษที่จะเน้นในเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ ซึ่งการฝึกฝนจะเป็นในรูปแบบเกมส์ เช่น เกมส์เติมคำในช่องว่าง โดยคำศัพท์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะคัดมาจากบทความจริงๆในหนังสือหรือนิตยสาร อินเทอร์เน็ต และหนังสือพิมพ์ ซึ่งคำศัพท์ที่ Vocab Sushi คัดสรรมานั้นจะสามารถพอเจอได้ง่ายทั้งในชีวิตประจำวัน และในข้อสอบต่างๆอย่างแน่นอน นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกระดับ level การทดสอบของเราได้อีกด้วย เช่น ระดับ high school, college, postgraduate และ professor เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกทักษะในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

Interpals (interpals.net)

(http://keeki029.blogspot.com/2012/06/interpals.html)

และเว็บไซต์สุดท้ายที่จะนำมาฝากกันนั่นก็คือ Interpals เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ฝึกภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆได้ทั่วโลกผ่านรูปแบบการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Email หาเพื่อนต่างชาติต่างภาษานั่นเอง ซึ่งลักษณะการใช้งานก็คือ เราจะต้องสร้างโปรไฟล์ของเราขึ้นมาคล้ายๆกลับ facebook มีการเขียนแนะนำตัวเองคร่าวๆในโปรไฟล์ของเรา รวมถึงความต้องการที่จะอยากฝึกภาษาอะไรเป็นพิเศษ และถ้าหากคุณอยากมีเพื่อนทางจดหมายไปรษณีย์ก็ทำได้เหมือนกันค่ะ เพียงแค่คุณทำเครื่องหมายถูกที่ช่อง request ว่า snail mail เพื่อจะให้เพื่อนที่ต้องการเขียนจดหมายทางไปรษณีย์เหมือนกันติดต่อคุณมา หรือไม่คุณก็สามารถติดต่อเขาไปก็ได้เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันถือว่า Interpals มีคนใช้งานอยู่ทั่วโลก เพราะหลายคนนอกจากจะได้ทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆกลับไป สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะได้กลับไปนั่นก็คือมิตรภาพหลากหลายเชื้อชาตินั่นเอง

ที่มา si-englishbkk.com

ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 31/07/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,200.00 19,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,244.00 18,859.04 19,800.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,119.60 16,973.14 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 560.00 8,489.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 435.00 6,594.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,289.00 19,541.24 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  31/07/2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.05 30.05 30.25 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05
แก๊สโซฮอล์ 91 29.78 29.78 29.98 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78
แก๊สโซฮอล์ E20 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14
แก๊สโซฮอล์ E85 21.34 21.34 21.34 21.34
เบนซิน 95 37.16 37.61 37.66 37.26 37.26 37.26
ดีเซล 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.49 33.36 33.36 33.36 33.36
แก๊ส NGV 14.29 14.29
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า