อสังหาฯปี 61 แนวโน้มสดใสโต6-8%
กูรูอสังหาฯเชื่อปี 61 แนวโน้มตลาดสดใสคาดโต 6-8% ปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจ ส่งออกโต การลงทุนภาครัฐ คาดสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ 6 แสนล้านโต 3-4% เทรนด์ร่วมทุนต่างชาติยังมีต่อเนื่อง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จัดงานสัมมนาเรื่อง “ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพ-ปริมณฑล” โดย ดร.วิชัย วิรัตน์กพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 6-8% จากที่ปีนี้เติบเพียง 2-3% จากเดิมที่คาดกันว่าปีนี้จะไม่มีการเติบโต โดยเป็นผลมาจากทิศทางตลาดในไตรมาส 3-4 ปรับตัวดีขึ้น จนทำให้ตลาดรวมเติบโตดังกล่าว
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าจะปรับขึ้นไม่ถึง 0.5% เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการดอกเบี้ยตำเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าซับพลายที่อยู่อาศัยในตลาดกทม.-ปริมณฑลปี 2561 จะมีจำนวยหน่วยประมาณ 154,200 หน่วย แบ่งเป็นโครงการแนวราบประมาณ 74,300 หน่วย คิดเป็น 48.2% ขณะที่อาคารชุดมีประมาณ 79,900 หน่วย คิดเป็น 51.8% โดยหน่วยที่มีมากสุดคือ อาคารชุด 51.8% รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ 29.1% และบ้านเดี่ยว 13.6% ที่เหลือเป็นบ้านแฝดและอาคารพาณิชย์
แนวโน้มสินเชื่อบ้านโต 3-4%
ด้านนางไลวรรณ ปองเสงี่ยม รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า การขยายสินเชื่อที่อยู่อาศัยปี 2560 ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐปี 2558-2559 โดยเฉพาะ 4 เดือนแรกของปี 2559 สามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้สูงถึง 60% ทำให้ดีมานด์ในอนาคตถูกดึงไปในช่วงดังกล่าว รวมไปถึงซับพลายในตลาดก็ถูกดูดซับไปมากเช่นกัน ส่งผลให้ตลาดชะลอตัวในช่วงหลังจากนั้น
โดยไตรมาส 1/2560 ภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยสามารถปล่อยสินเชื่อไปจำนวน 115,000 ล้านบาท มีการหดตัวลงถึงร้อยละ 15 ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึงร้อยละ 33 แต่ไตรมาสที่ 2 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และยิ่งเห็นภาพที่เป็นบวกมากขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งนี้คาดว่าทั้งปีนี้การปล่อยสินที่อยู่อาศัยน่าจะอยู่ที่ 587,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 เล็กน้อยซึ่งอยู่ที่ 586,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2561 จะต้องพิจารณาจากปัจจัยที่จะมาขับเคลื่อนตลาดที่อยู่อาศัย อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกจะดีขึ้น การลงทุนของภาครัฐชัดเจนมากขึ้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มแบบช้าๆแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ กำลังซื้อยังมีอยู่ สภาพคล่องยังมีสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบโตได้มาก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะสามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 3-4%
โดยในปีหน้า ธอส.ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 180,000 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับลูกค้าใน 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มลูกค้าธุรกิจและลูกค้าทั่วไป สัดส่วน 60:40 ตามลำดับ โดยเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อของ ธอส. ยังชัดเจน คือ จะมุ่งปล่อยสินเชื่อผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น และต้องการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ ในการปรับกฎเกณฑ์รองรับลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้นี้ให้สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยกลุ่มดังกล่าวจะมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 1- 2 ล้านบาท/คน ขณะเดียวกัน ธอส.ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาระบบสินเชื่อผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการใช้ได้ในเร็วๆนี้
เทรนด์อสังหาฯไทยร่วมทุนนอก
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า เทรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการซื้อและควบรวมกิจการจำนวนมากในปีนี้ จะยังมีต่อเนื่องในปี 61 และจะมีการประกาศความร่วมมือให้เห็นมากยิ่งขึ้น หนึ่งบริษัทอาจจะร่วมทุนกลับนักลงทุนหลายกลุ่มได้ ส่วนภาษีที่ดินรัฐบาลยังคงเดินหน้าประกาศบังคับใช้ตามกรอบเวลาที่เคยประกาศไว้ ส่วนประเด็น ประเด็นกู้ไม่ผ่านได้มีการเจรจากับ บตท.หรือบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรองรับผู้กู้ไม่ผ่านให้สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้ บริษัทขนาดกลางและเล็กจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
“ปีหน้าจะเห็นโครงการมิกซ์ยูสหลายอย่างๆอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นบ้านราคาถูก แต่เอารายรับจากโซนคอมเมอร์เรชี่ยลเขาไปแชร์ แต่เหมาะกับทีดิ่นเช่า และพยายามทำยิวได้ 5-6% และเข้ากองรีท กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ต้องเป็นรายกลางและรายใหญ่ ที่จะทำได้”นายพรนริศ กล่าว
จัดสรรรายกลาง-เล็กยังโตได้
นายวสันต์ เคียงศิริ อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ได้ยินมาตลอดว่าเป็นตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งไม่เห็นด้วย ธุรกิจอสังหาฯเหมือนกับน้ำแข็งก้อนใหญ่ ช่องว่างเยอะมาก เหมือนกับมีหลากหลายยี่ห้อ การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ 3,000 ล้านบาท หรือ 500 ล้านบาทเสียเวลาเท่ากัน รายกลางอยู่ได้ในการสองแทรกเข้าไปในตลาด การแข่งขันในแนวราบไม่รุนแรงมากนัก วันนี้สินค้าฮิตคือบ้านแฝด โต 33% แต่หากรีบพัฒนาตามกันไปทำกันก็อาจจะรีบไปตายหมู่ บ้านแฝดแก้ปัญหาราคาที่ดินสูงกว่ารายได้ของคน ตลาดบ้านหลังแรกจะลดลง ตลาดผู้สูงอายุขยายตัวขึ้น บริษัทอสังหาฯจะอยู่ได้ดูสภาพคล่อง ส่วนกำไรสูงสุดไม่ใช่สิ่งสำคัญ ถ้าทำพอดีตัวไม่ขยายงานเกินตัว บริษัทใหญ่เล็ก กลาง ต้องดูแลสภาพคล่องให้ดี
อสังหาฯ 5 จังหวัดปริมณฑลยังขายดี
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด นนทบุรี ,ปทุมธานี, นครปฐม, สมุทรสาครและสมุทรปราการ มีการเปิดโครงการบ้านจัดสรรค่อนข้างมากไปในทิศทางเดียวกัน อัตราการขายยังค่อยๆเป็นค่อยๆไป ยกเว้นในบางจังหวัดที่ผู้ประกอบการไปเปิดในทำเลที่ดีก็จะขายดี
สำหรับทำเลเด่นที่น่าสนใจในการพัฒนาโครงการในจังหวัดปริมณฑล คือต้องอยู่แนวเส้นทางรถไฟฟ้า ,ใกล้พื้นที่พาณิชยกรรมตามข้อกำหนดในผังเมือง,ใกล้พื้นที่ตามแนวถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และพื้นที่ที่ไม่ไกลจากจุดขึ้น-ลงทางด่วน ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ จังหวัดปริมณฑลจะยังขยายตัวต่อไป ผังเมืองมีผลต่อการพัฒนามากที่สุด บ้านจัดสรรเป็นตลาดที่ขยายตัวต่อเนื่อง ที่อยู่อาศัยน้อยกว่า 3 ล้านบาทยังเป็นที่ต้องการ และคอนโดมิเนียมยังเป็นที่น่าสนใจในบางทำเล
โดยนนทบุรี มีที่อยู่อาศัยราคา 3-5 ล้านบาท มากที่สุด สัดส่วน 60% ,ปทุมธานี ราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด สัดส่วน 60% ,นครปฐม ราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด สัดส่วน 62% ,สมุทรสาคร ราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด สัดส่วน 63% และสมุทรปราคา ราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด สัดส่วน 61% นนทบุรี มียอดขายรวม 60% ,ปทุมธานี มียอดขายรวม 60%, นครปฐม มียอดขายรวม 62% ,สมุทรสาคร มียอดขายรวม 63% และสมุทรปราการ 61%
นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ มีโครงการเปิดมากสุดเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า อีกทั้งเป็นเมืองที่รองรับการขยายตัวจากกทม.มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้ว ด้านนครปฐม ไม่มีค่อยมีสถานที่สำคัญที่ทำให้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นชุมชนขนาดเล็กรอบสถานที่ราชการหรือมหาวิทยาลัย โครงการที่อยู่อาศัยจึงไม่ค่อยมีมาก ส่วนสมุทรสาคร รองรับการขยายตัวของกทม.มากเช่นกัน แต่ไม่ค่อยเติบโต เพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรมมากกว่า อีกทั้งกทม.ย่านพระราม2 ยังมีพื้นที่รองรับโครงการที่อยู่อาศัยได้อีกมาก
ด้านตลาดคอนโดฯพื้นที่นนทบุรีและสมุทรปราการ จะได้รับอานิสงส์จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่เช่นกัน ทำให้มีคอนโดฯเกิดขึ้นมีจำนวนยูนิตที่มากกว่าอีก 3 จังหวัดปริมณฑล โดยนนทบุรี มีอัตราการขายที่ประมาณ 71% แต่ยังมียูนิตเหลือขายหลักหมื่นยูนิต ขณะที่สมุทรปราการ มีอัตราการขายที่ประมาณ 66% มียูนิตเหลือขายประมาณ 3,000-4,000 ยูนิต ด้านปทุมธานี มีอัตราการขายที่ประมาณ 60% ,นครปฐม มีอัตราการขายที่ 70% และสมุทรสาคร มีอัตราการขายที่ 73%
https://mgronline.com
‘คอนโด’ลุยแนวรถไฟฟ้ากลุ่มบนยึดตลาด
“คอลลิเออร์ส”ชี้ปี 2561 ยุคคอนโดขยายตัวต่อเนื่อง เกาะเส้นทางรถไฟฟ้าเริ่มสร้าง ทำเลฮอตทิศเหนือ-ตะวันออก พื้นที่เมืองชั้นใน“อโศก-ท่องหล่อ-เอกมัย”ยังแรงปีหน้าเปิดใหม่”หมื่นยูมิต” พบแนวโน้มราคา 1-1.5 แสนบาทต่อตร.ม.ครองตลาด
หลังจากที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมชะลอตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยยอดเปิดขายใหม่ในทำเลกรุงเทพฯ ปี 2558 อยู่ที่ 34,666 ยูนิต และปี 2559 อยู่ที่ 39,046 ยูนิต ปีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง คาดการณ์อยู่ที่ 56,103 ยูนิต ทิศทางยังขยายตัวต่อในปี 2561
นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่าคอนโดเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) มีจำนวน 42,790 ยูนิต ไตรมาสสุดท้ายน่าจะอยู่ที่13,313 ยูนิต ดังนั้นทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 56,103 ยูนิต มีจำนวนมากที่สุดในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อภาวะตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ อีกทั้งแสดงถึงความเชื่อมั่นต่อกำลังซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“แม้จะมีจำนวนยูนิตคอนโดมากขึ้น แต่ก็ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อค่อนข้างมากเช่นกัน เพราะมีคอนโดกว่า 65% ที่ขายได้หรือมีคนจองไปแล้วหลังจากเปิดขายและมีหลายโครงการที่ปิดการขายทั้งโครงการหรือส่วนที่เปิดขายในเวลาไม่นาน”
สถานการณ์ตลาดคอนโดปีนี้ แสดงให้เห็นว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่ถ้าเป็นโครงการที่อยู่ในทำเลดีหรือมีรูปแบบโครงการที่น่าสนใจจะได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งของผู้ซื้อเป็นนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือว่าลงทุนในระยะยาวก็ตาม แต่แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อกลุ่มนี้ยังมีความคาดหวังว่าราคาขายหรือผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคตนั้นยังน่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบัน ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีน้ำเงิน ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายเลือกเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้และมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า
ปี61คอนโดเปิดใหม่ 5.6หมื่นยูนิต
นายสุรเชษฐ กล่าวอีกว่าปีหน้าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังเป็นยุคของคอนโดต่อเนื่องจากปีนี้ คาดว่าจำนวนเปิดขายใหม่อยู่ที่ 5.6 หมื่นยูนิตใกล้เคียงปีนี้ โดยทำเลที่ผู้ประกอบการเน้นลงทุน ยังเป็นโซน
รอบเมืองทิศเหนือและทิศตะวันออก เกาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายกำลังก่อสร้าง หากรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆ เริ่มก่อสร้างจะทำให้พื้นที่ในการพัฒนาคอนโดกระจายออกไปมากขึ้น
นอกจากนี้ทำเลที่ได้รับความสนใจลงทุนคอนโดปีหน้า คือ รัชโยธิน-ม.เกษตรศาสตร์ ที่คาดว่าจะมีกว่า 3,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.3 แสนบาทตร.ม. อีกโซนคือ พื้นที่เมืองชั้นในช่วงอโศก -ทองหล่อ-เอกมัย คาดปี 2561 เปิดใหม่ราว 1 หมื่นยูนิต จากปกติอยู่ที่ 2,000-3,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป เนื่องจากเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนชาวไทยและต่างประเทศ เพราะเป็นโซนที่ราคาที่ดินและคอนโดปรับขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังเป็นทำเลที่อยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่น
ราคาคอนโด 1-1.5 แสน/ตร.ม.ยึดตลาด
แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา พบว่าราคาขายคอนโดเปิดใหม่กลุ่มที่ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อ ตร.ม. จากที่ครองส่วนแบ่งการตลาด 90% เริ่มมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้สัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 50% เนื่องจากราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่องทุกปี ทำให้พัฒนาคอนโดต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.ได้ยากขึ้น ซึ่งระดับราคาดังกล่าวจะอยู่ในพื้นที่รอบนอกเมือง เช่น ฝั่งธนบุรี
หลังจากที่การก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าหลายเส้นทางเดินหน้าเป็นรูปธรรม ผู้ประกอบการมุ่งพัฒนาโครงการระดับราคา 1-1.5 แสนบาทต่อตร.ม. เป็นหลัก รวมทั้งเพิ่มโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 1.5 แสนบาทต่อตร.ม.มากขึ้น ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่ที่อยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบัน
“ราคาที่ดินในพื้นที่เมืองชั้นในปรับขึ้นทุกปี แนวทางการพัฒนาจึงเป็นรูปแบบคอนโดที่ราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป ส่วนที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่ปรับขึ้นอัตราสูงเช่นกัน ทำให้ราคาคอนโดขยับไปที่ 1-1.5 แสนบาทต่อตร.ม.”
ทิศทางตลาดคอนโดปีหน้ากลุ่มตลาดบนราคามากกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรวมกว่า 50% สูงกว่าตลาดคอนโดที่ราคาต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.ที่เป็นตลาดหลักก่อนหน้านี้
http://www.bangkokbiznews.com
คาดยอดใช้จ่าย ‘ช้อปช่วยชาติ’ แตะ 2 หมื่นล้าน
“กระทรวงการคลัง” คาดมียอดการจับจ่ายใช้สอยในมาตรการช้อปช่วยชาติประมาณ 18,000-20,000 ล้านบาท
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า มาตรการช้อปช่วยชาติที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย น่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปลายปีได้อย่างมาก โดย สศค. ประเมินว่าจะมียอดการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 18,000-20,000 ล้านบาท
ส่วนยอดการใช้จ่ายจริงจะเป็นจำนวนเท่าใด จะทราบต่อเมื่อมีการยื่นขอลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะเริ่มในเดือนมีนาคม 2561 แต่หากประเมินเบื้องต้นจากยอดการใช้จ่าย พบว่ามีการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการและขอใบกำกับภาษีเพื่อนำมาขอลดหย่อนภาษีเป็นจำนวนมาก
http://www.bangkokbiznews.com
ปิดตำนานเดอะมอลล์ 2 รามคำแหง จัดหนักลดราคาทั้งตึก
เดอะมอลล์ 2 รามคำแหง เตรียมปิดห้างฯ ปรับโฉม หลังเปิดให้บริการมาแล้ว 34 ปี จัดลดราคาทั้งตึกครั้งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.60 – 14 ม.ค.61
นายชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวถึง การจัดลดราคาครั้งสำคัญเพื่อเตรียมปิดห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 2 รามคำแหง ที่เปิดให้บริการมาแล้วถึง 34 ปี ว่า “ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ถึง วันที่ 14 มกราคม 2561 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 2 รามคำแหงจะจัดแคมเปญพิเศษชื่อว่า Unforgettable Sale เพื่อลดราคาสินค้าทั้งตึกก่อนปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ หลังเปิดดำเนินการมาแล้วถึง 34 ปี
การลดราคาครั้งนี้ เรียกว่า เป็นการลดราคาส่งท้ายขอบคุณลูกค้า ที่มีความผูกพันธ์กับเดอะมอลล์ มายาวนาน โดยเฉพาะลูกค้าในย่านรามคำแหงและบริเวณใกล้เคียง ที่ให้ความไว้วางใจเดอะมอลล์ โดยเดอะมอลล์ รามคำแหง เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเดอะมอลล์สาขาอื่นๆ ซึ่งในช่วง 45 วัน ของการจัดแคมเปญ จะเป็น 45 วัน ที่นำสินค้าจากทุกชั้น ทุกแผนก ที่มีอยู่ รวมทั้งสินค้าพิเศษมากมายมาลดราคาทุกชิ้น สูงสุดถึง 90% อาทิ แผนก Beauty Hall เครื่องสำอาง, น้ำหอม,สกินแคร์ ทุกเคาน์เตอร์ลด 10% และสินค้าเฉพาะรุ่นลด 50% , นาฬิกา รองเท้ากีฬา ลดทั้งเคาน์เตอร์ 50 – 70%, กางเกงยีนส์ราคาเริ่มต้น 199 บาท, ชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ ลด 50-80% และนาทีทองเริ่ม 79 บาท, สินค้าเครื่องไฟฟ้าลดสูงสุด 50%, เสื้อกีฬา FBT และแกรนด์สปอร์ต เริ่มตัวละ 99 บาท, สินค้าของขวัญ แก็ตเจ็ตจาก Betrend ลด 70% รวมถึงสินค้า Clearance Sale ของสินค้าเครื่องครัว เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น
นอกเหนือจากสินค้าที่ลดราคาทั้งตึก แบบไม่ขนกลับแล้ว ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ สินค้าราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 99 บาท, สินค้านาทีทอง, ซื้อ 1 แถม 1, ซื้อ 2 แถม 1ฯลฯ พร้อมสินค้าราคาเดียวในซูเปอร์มาร์เก็ต ราคา 10 บาท, 50 บาท และ 100 บาท รวมถึงสินค้านาทีทองชิ้นละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 4-14 มกราคม 2561 และตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2560 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2561 ช้อปปิ้ง ที่เดอะมอลล์ 2 รามคำแหงครบ 1,000 บาท รับฟรีคูปองส่วนลดเพิ่ม 10% เพื่อใช้ที่ เดอะมอลล์ สาขา บางกะปิ และลูกค้าสามารถช้อปสินค้าออนไลน์ ผ่าน MCARD SHOP ONLINE ช้อปออนไลน์ คลิกง่าย ได้ของชัวร์ ส่งฟรี ไม่มีขั้นต่ำที่ LINE @MCardshop
ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ รามคำแหง เปิดบริการในวันที่ 22 ธันวาคม 2526 โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายแรกที่เข้ามาลงทุนในย่านรามคำแหง ในการสร้างห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยทัดเที่ยมห้างฯ ย่านใจกลางเมืองในสมัยนั้น ซึ่งขณะนั้น ย่านรามคำแหงเป็นเพียงย่านชานเมืองของกรุงเทพมหานคร โดยตลอดระยะเวลาการให้บริการตลอด 34 ปี ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ 2 รามคำแหง มีการพัฒนาให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งของลูกค้าตลอดเวลา จนได้รับความวางไว้ใจจากลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชน ย่านรามคำแหงจนกลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ
โดยในปัจจุบัน บริเวณย่านรามคำแหงซึ่งเป็นที่ตั้งของเดอะมอลล์ 2 รามคำแหงมีการพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการขยายตัวของที่อยู่อาศัยส่งผลให้ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในย่ายรามคำแหงมีการเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการสร้างรถฟ้าสายสีส้มที่เชื่อมต่อถนนรามคำแหงสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะทำให้วิถีชีวิตของชาวรามคำแหงสะดวกสบายยิ่งขึ้นและส่งผลสำคัญต่อการเจริญเติบโตของธุรกิจในย่านนี้ทำให้กลุ่มเดอะมอลล์ ต้องปรับปรุงเดอะมอลล์สาขารามคำแหง ให้ตอบโจทย์ รองรับความเจริญของย่านนี้ในอนาคต
https://news.mthai.com
ตลาด”สมาร์ทโฮม”โตทะลุ40%รับ”ไอโอที”
ไฟเบอร์วันฯชี้เทรนด์ตลาดสมาร์ทโฮมในไทยได้แรงหนุนหลายปัจจัย เชื่อมูลค่ารวมขยับปีละกว่า 40% มองถึงปี 2563 มีเม็ดเงินทะลุ 2,500 ล้านบาท พร้อมเชื่อมเข้าสู่ไอโอทีที่จะมีมากกว่า 20,000 ล้านชิ้น วิเคราะห์สมาร์ทโฮมในอนาคตได้เห็นเอไอเป็นผู้สั่งงาน
นายกิตติ โกสินสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไฟเบอร์วัน จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มของตลาดบ้านอัจฉริยะ (สมาร์ทโฮม) จะมีมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านบาทในปี 2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 645 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 40% ต่อปี โดยมูลค่าดังกล่าว สอดคล้องกับคาดการณ์ของการ์ทเนอร์ว่าในปี 2563 จะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (ไอโอที) สูงถึง 2.08 หมื่นล้านชิ้น ขณะที่ไอดีซี ก็คาดว่ามูลค่าตลาดไอโอทีทั่วโลกจะแตะ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์เช่นกัน การคาดการณ์เหล่านี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และโอกาสในการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฮมในตลาดประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ การนำไอโอทีมาประยุกต์ใช้โดยเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่โครงสร้างหลักของบ้าน รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆนั้น จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้ได้รับความสะดวกสบาย แถมยังช่วยประหยัด ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมไปถึงความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น
เขากล่าวว่า จากที่มีระบบอัตโนมัติต่างๆ มาเป็น ผู้ช่วยภายในบ้าน เช่น ตรวจจับผู้บุกรุกบ้าน ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในบ้าน ไปจนถึง วัดค่าแก๊สในอากาศจากเซ็นเซอร์เพื่อป้องกันการรั่วไหลของแก๊สที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เป็นต้น นอกจากนี้ อุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่เริ่มมีให้เลือกมากขึ้นในตลาด ทำให้เกิดกลไกการแข่งขันส่งผลให้อุปกรณ์บางชิ้นเริ่มเห็นโอกาสที่มีทำราคาลดลง อีกทั้ง ยังทำให้กระแสสมาร์ทโฮมเป็นที่ต้องการได้ในระยะยาว
“ดังนั้นเมื่อเราเอาไอโอทีมาทำงานทั้งหมดแล้ว จะมีข้อมูลจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นมีการเชื่อมต่อกัน ซึ่งจริงๆแล้ว ระบบการควบคุมการใช้งานบนไอโอทีจะทำตามที่คนสั่ง ในแบบที่เรียกว่าแมนนวลหรือต้องทำเองด้วยมือ แต่าอนาคตระบบให้ทั้งหมดสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติ ส่งผลให้การทำงานก็จะไปเชื่อมต่อกับปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) อีกทอดหนึ่ง”นายกิตติ กล่าว
ข้อมูลโดยบริษัทวิจัยจีเอฟเคชี้ว่า นอกเหนือจากสมาร์ททีวีแล้ว ยังมีเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่ส่งสัณญาณเติบโตเชิงบวกทั่วโลก ด้วยยอดขายที่ทะยานขึ้น 42 ล้านดอลลาร์ในปี 2559 มีไต้หวัน เป็นผู้นำด้านส่วนแบ่งตลาดในเอเชีย ตามด้วยออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไทย และเวียดนาม ที่ต่างก็ส่งสัญญาณการเติบโตอย่างมาก
อย่างไรก็ดี ตลาดจีนมีการขยายตัวของชนชั้นกลาง อุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งระบบนิเวศทางเทคโนโลยี ที่จะเป็นตัวผลักดันการบริโภคในระดับวงกว้างของตลาดสมาร์ทโฮม ตลาดญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งผู้ขับเคลื่อนรายใหญ่ ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นหนึ่งในห้าผู้นำตลาดโลกด้านการเจาะตลาดสมาร์ทโฮมเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มประชากรสูงวัยที่มีแนวโน้มในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสุขภาพ และธุรกิจความเป็นดีอยู่ดี นอกจากนี้ ยังมี เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ ที่คาดว่า อัตราการเติบโตมีนัยยะสำคัญต่อตลาดดังกล่าวอันเป็นผลมาจากสมรรถนะของกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง
http://www.bangkokbiznews.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 4/12/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
19,700.00 |
19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,276.00 |
19,344.16 |
20,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,148.40 |
17,409.74 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
574.00 |
8,701.84 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
447.00 |
6,776.52 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,322.00 |
20,041.52 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 4/12/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
28.25 |
28.25 |
– |
27.65 |
28.25 |
27.65 |
28.25
|
28.25
|
28.25
|
28.25
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
25.74
|
25.74
|
25.74
|
25.14
|
25.74
|
– |
25.74
|
25.74
|
25.74
|
25.74
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
20.84 |
20.84 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.84 |
20.84 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
27.38 |
27.98 |
27.38 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
27.98 |
เบนซิน 95 |
35.36 |
– |
– |
– |
35.81 |
– |
35.86 |
35.36 |
35.36 |
35.36 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
26.79 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
29.79 |
30.47 |
30.47 |
30.47 |
30.47 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |
23 Nov 05:00 |