สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2561

เอกชนวอนธปท.อย่าออกมาตรการเหวี่ยงแห-ทำตลาดป่วน

นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรเตรียมแนะธปท.กำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจน ระบุเพิ่มวงเงินดาวน์เป็น20% กระทบตลาดคอนโดฯเต็มสูบ  ส่วนบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปลอยตัว  ทั้งกำหนดผู้ซื้อที่ไม่มีภาระหนี้กู้บ้าน ต้องไม่รวมเป็นบ้านหลังที่สอง เชื่อหลังประกาศมาตรการส่งผลผู้ประกอบการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ ยอดโอนอาจไม่เป็นตามเป้า

 

 

นายอธิป พีชานนท์ นายกธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 ตุลาคม 2561 นี้ จะเข้าไปรับฟังกฎเกณฑ์ใหม่ของการกำหนดวงเงินดาวน์การซื้อบ้านหลังที่ 2 และการซื้อบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะมีข้อเสนอแนะให้กับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น การกำหนดความชัดเจนของประเภทสินค้า ที่ต้องมีการระบุให้ชัดเจน ซึ่งอาจจะกระทบกับกลุ่มสินค้าแนวราบที่เป็นกลุ่มสินค้าที่ไม่มีผู้ซื้อมาเพื่อเก็งกำไร อีกทั้งจะกระทบกับผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่เป็นคอนโดมิเนียม และต้องการเปลี่ยนเป็นอยู่โครงการบ้านจัดสรร ซึ่งมองว่าการเพิ่มวงเงินดาวน์จาก 10% เป็น 20% สำหรับบ้านจัดสรร ผู้ซื้อจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นมาก และระยะเวลาการดาวน์โครงการบ้านจัดสรรเพียง 6 เดือน ซึ่งมีระยะเวลาสั้น จะมีผลกระทบหากเหมารวมโครงการบ้านจัดสรรไปด้วยส่วนผู้ซื้อบ้านที่ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเกณฑ์ที่กำหนดเป็นเกณฑ์เดิมที่วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20%

 

รวมไปถึงการกำหนดกฏเกณฑ์จะต้องมีการระบุเกี่ยวกับผู้ซื้อชำระเงินกู้ธนาคารหมดแล้วหรือซื้อบ้านเป็นเงินสด จะต้องไม่รวมเป็นบ้านหลังที่ 2 ซึ่งจะต้องนับเฉพาะการผู้ซื้อที่ซื้อบ้านหลังแรก และยังผ่อนธนาคารอยู่ และซื้อบ้านหลังที่ 2 และการทำสัญญาการการวางเงินดาวน์ที่ยุติธรรมจะต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่เกณฑ์ใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนสัญญาที่เริ่มมาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 จะต้องอนุโลมเป็นเกณฑ์เดิมไปก่อน เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งโดยในภาพรวมแล้วทางธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะระบุเงื่อนไขให้ชัดเจนและตรงจุด ไม่ควรที่จะออกเกณฑ์มาแบบเหมารวม

 

ทั้งนี้มองว่าโครงการคอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะส่วนใหญ่จะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นบ้านหลังแรกและหลังที่ 2 ที่ 50:50 ขณะที่โครงการบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัดก็จะกระทบตามไปด้วย เพราะการซื้อบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่ก็ซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เช่นเดียวกัน โดยที่แนวโน้มหลังจากวันนี้ที่เกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมาในช่วงบ่ายวันที่ 4 ตุลาคม 2561 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2562 จะทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ชะลอตัวลง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 นี้เป็นต้นไป และการโอนกระกระทบในปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าการโอนโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการหลายรายอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายได้ โดยที่การโอนโครงการคอนโดมิเนียมทั้งตลาดในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000ล้านบาท/ปี

 

“เกณฑ์วางเงินดาวน์ใหม่จะทำให้ผู้ซื้อสับสนและกังวลใจ  ก็สงสัยว่าแบงก์ชาติเลือกเวลาการกำหนดมาตรการมาเหมาะสมกับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39หรือไม่  เมื่อข่าวแบบนี้ออกมาชาวบ้านก็เกิดความสับสน อะไรที่ไม่เข้าใจก็จะ wait and see ไม่รู้ว่าแบงก์ชาติคุยกับรัฐบาลหรือไม่ เพราะเมื่อตลาดอสังหาฯได้รับผลกระทบ ภาพรวมเศรษฐกิจก็จะกระทบตามไปด้วย  และการป้องกันของแบงก์ชาติก็ไม่รู้ว่าระวังมากเกินไปหรือเปล่า เหมือนกับเมืองไทยยังไม่มีหิมะแต่เอาโซ่มารัดล้อรถ  หลังจากนี้ก็จะเห็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ชะลอการเปิดตัว เพราะการปรับ LTV(loan-to-value ratio) ใหม่ต้องใช้เงินดาวน์สูง และต้องรอดูลูกค้าตอบรับโครงการปัจจุบันอย่างไรบ้าง”นายอธิป กล่าวในที่สุด

ขอบคุณที่มา  prop2morrow.com


ชาวปากน้ำเฮ! 5 ธ.ค.นี้ กทม.เปิดใช้บีทีเอส “แบริ่ง-สมุทรปราการ” นั่งฟรีถึงต้นปีหน้า

 
ชาวปากน้ำเฮ! 5 ธ.ค.นี้ กทม.เปิดใช้บีทีเอส “แบริ่ง-สมุทรปราการ” นั่งฟรีถึงต้นปีหน้า-รฟม.ตรึงราคารถไฟฟ้าใต้ดินไม่มีกำหนด
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า วันที่ 5 ธ.ค.2561 กทม.จะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 13 กม. จำนวน 9 สถานี ได้แก่ สถานีสำโรง สถานีปู่เจ้า สถานีช้างเอราวัณ สถานีโรงเรียนนายเรือ สถานีปากน้ำ สถานีศรีนครินทร์ สถานีแพรกษา สถานีสายลวด และสถานีเคหะฯ
เพื่อเป็นการดูแลค่าครองชีพของประชาชน กทม.จะเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรีไปถึงต้นปี 2562 กำลังหารือร่วมกับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพหรือบีทีเอสซีที่จะดำเนินการให้ก่อนจะสามารถเปิดใช้ฟรีกี่เดือน ก่อนที่จะมีการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้งระบบตามระยะทางเสียค่าแรกเข้าครั้งเดียว เริ่มต้น 15 บาท สูงสุดไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย จากเดิม 136 บาท เนื่องจากต้องจ่ายหลายต่อ เพราะมีทั้งส่วนที่เป็นสัมปทานเดิมของบีทีเอสส่วนต่อขยายที่ กทม.ดำเนินการเอง และส่วนต่อขยายใหม่ที่รับโอนมาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
สำหรับความคืบหน้าการรับโอนโครงการและหนี้ค่าก่อสร้างของสายสีเขียวทั้งช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ล่าสุด กทม.จะเปิดประมูล PPP เพื่อให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการ โดยเอกชนจะต้องรับภาระค่าก่อสร้างทั้งงานโยธาและงานระบบ วงเงินรวมกว่า 76,000 ล้านบาท ให้ รฟม.แทนกทม.
“บีทีเอสก็สนใจเข้าร่วมประมูล เพราะเป็นผู้รับจ้างติดตั้งงานระบบและเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสสายปัจจุบันให้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากโครงการใช้เงินลงทุนสูงและกทม.ไม่มีงบประมาณเพียงพอจะไปจ่ายหนี้คืน รฟม.ได้จึงต้องเปิดประมูล PPP ให้เอกชนหาเงินมาชำระหนี้แทน”
พล.ต.อ.อัศวินกล่าวอีกว่า ปัจจุบันสภากทม.อนุมัติหลักการให้กทม.กู้กับกระทรวงการคลังแล้วและได้ทำหนังสือถึงพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเพื่อทำหนังสือไปถึงกระทรวงการคลังเรื่องการขอกู้เงินค่างานระบบกว่า 20,000 ล้านบาท และขอปลอดหนี้ 10 ปี จากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติทั้งการรับโอนหนี้อนุมัติก่อนเปิดบริการวันที่ 5 ธ.ค.นี้
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่าเพื่อเป็นการสนับสนุนภาครัฐลดภาระประชาชน วันที่ 3 ต.ค.นี้จะยังไม่มีการปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน ยังคงเก็บอัตราเดิม 16-42 บาทไปถึงวันที่ 15 พ.ย.นี้ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากต้องรอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบราคาใหม่ที่จะมีปรับเพิ่ม 1 บาท ใน 3 สถานี ได้แก่ สถานีที 5, 8 และ 11 ตามที่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพหรือบีอีเอ็ม ผู้รับสัมปทานเดินรถเสนอมา ซึ่งตามสัญญาปรับทุก 2 ปีตามดัชนีปู้บริโภค (CPI)
ส่วนสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ยังคงราคาเดิม 14-42 บาท หากใช้บริการทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและสายสีม่วง จะเก็บค่าแรกเข้าครั้งเดียวสูงสุดไม่เกิน 70 บาท
ขอบคุณที่มา  bkkcitismart.com

วัยรุ่น วัยทำงาน ออมอย่างไรให้ทันเกษียณ

วัยรุ่น วัยทำงาน ออมอย่างไรให้ทันเกษียณ

“ยิ่งออมเร็ว ยิ่งมีระยะเวลาออมเงินที่นานขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนออมเงินต่อเดือนไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการออมเงินเมื่อตอนอายุมากขึ้น ที่ต้องเก็บเงินด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้น”

“เก็บออมเงินเพื่ออะไร” เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก และหลายคนคงทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการที่เราออมเงินในวันนี้ ก็เพื่อเป็นเงินออมไว้ใช้จ่ายในอนาคต หรือยามเกษียณ ในช่วงที่เราอาจไม่มีรายได้จากงานประจำแล้ว

“เก็บออมเงินเท่าไรดี” เมื่อตั้งใจจะเก็บเงินแล้ว ก็ควรมีเป้าหมายที่เป็นตัวเลขสักหน่อยว่า ควรออมเงินเท่าไร เพื่อให้มีเงินเพียงพอใช้จ่ายสบายๆ ในวัยเกษียณ เพราะถ้าบอกว่า ออมให้เยอะที่สุด อาจดูเป็นนามธรรมไปหน่อย และยิ่งถ้าไม่กำหนดเป็นตัวเลขให้ชัดลงไป บางเดือนอาจเผลอใช้จ่ายจนหมด จนไม่เหลือออมเลยก็ได้

แล้วตัวเลขหรือสัดส่วนเงินออมเท่าไรที่เรียกว่าเหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเบียดเบียนการใช้จ่ายในปัจจุบัน และไม่น้อยเกินไปจนกระทั่งถึงวันที่ต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย แล้วพบว่า เงินไม่พอใช้ ต้องนึกเสียใจว่า “รู้งี้” เก็บเงินให้มากกว่านี้อีกหน่อยก็ดี ลองมาดูกันเลย

living situation in old age.

เกษียณต้องใช้เงินเท่าไร

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า เมื่อเกษียณแล้ว ใช้เงินเท่าไร เพื่อรู้ว่าต้องออมเงินเท่าไรต่อเดือน

สำหรับบทความนี้จะขออ้างอิงค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจากการสำรวจของ K-Expert ซึ่งพบว่า ค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายในบ้านอย่างค่าน้ำค่าไฟ และค่าหมอสำหรับเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะตกเดือนละ 15,500 บาท หรือคิดคร่าวๆ ใช้จ่ายประมาณวันละ 500 บาท

แต่เงินที่ใช้หลังเกษียณต้องไม่ลืมบวกเงินเฟ้อเข้าไปด้วย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ราคาสินค้าข้าวของต่างๆ ในวันนี้กับในอนาคตย่อมไม่เท่ากัน (ลองย้อนเวลากลับไปสัก 20 ปีที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งราคา 20-25 บาท แต่วันนี้ ถ้าจะซื้อก๋วยเตี๋ยวชามเดิม ต้องใช้เงินอย่างน้อยๆ 40-50 บาท)

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่รวมเงินเฟ้อ และเงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้ ณ วันเกษียณ เป็นเท่าไรนั้น สามารถดูได้จากตารางด้านล่าง 

2018-03-22_17-09-26_edited

หมายเหตุ: สมมติอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3% และหลังเกษียณสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมได้เท่ากับอัตราเงินเฟ้อหรือ 3% ต่อปี

การคำนวณเงินก้อน ณ วันเกษียณ ขอใช้วิธีอย่างง่าย คือ สมมติให้หลังเกษียณสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมได้เท่ากับอัตราเงินเฟ้อ เมื่อรู้ว่าหลังเกษียณใช้เดือนละเท่าไร ก็คูณกับจำนวนเดือนที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณได้ออกมาเป็นเงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้

ยกตัวอย่าง ถ้าตอนนี้อายุ 30 ปี ต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 15,500 บาท ถ้าวางแผนเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี เงิน 15,500 บาท จะมีมูลค่าประมาณ 37,623 บาทในอีก 30 ปีข้างหน้า แล้วถ้าใช้จ่ายหลังเกษียณ 25 ปี หรือ 300 เดือนเท่ากับว่า เงินก้อนที่ต้องเตรียมไว้ ณ วันเกษียณ จะเท่ากับ 37,623 x 300 = 11.3 ล้านบาท

 

ออมเงินแค่ไหน ถึงจะเพียงพอ

ตัวเลขหรือสัดส่วนเงินออม จะขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบหลัก คือ (1) รายได้ต่อเดือน (2) ระยะเวลาออมเงิน และ (3) อัตราผลตอบแทน

สำหรับรายได้ต่อเดือนนั้น K-Expert ต้องขอขอบคุณข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม โดยจะพบว่า รายได้มักสัมพันธ์กับอายุ (อาจมีบางท่านที่ความสามารถสูง รายได้จึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากผลสำรวจได้)

ที่มา: ผลสำรวจผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ณ มกราคม 2560

ที่มา: ผลสำรวจผู้เข้าร่วมสัมมนา Workshop ที่ K-Expert Center จำนวน 500 ท่าน ณ มกราคม 2560

ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนที่ใช้คำนวณ อ้างอิงจากผลสำรวจบริษัท วิลลิส ทาวเวอร์ส วัทสัน ประเทศไทย ที่คาดว่า ปี 2561 อัตราเงินเดือนในประเทศไทยจะปรับขึ้นเฉลี่ย 5.5%

เมื่อคำนวณจำนวนเงินออมต่อเดือน ณ ระดับผลตอบแทน 5% ต่อปี โดยเก็บเงินทุกเดือนจนถึงอายุเกษียณที่ 60 ปี พบว่า สัดส่วนเงินออมของรายได้ต่อเดือนที่ทำให้บรรลุเป้าหมายเก็บเงินเกษียณ ปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ได้ดังนี้

เริ่มออมก่อนอายุ 40 ปี ควรออม 20% ต่อเดือน 
เริ่มออมเมื่ออายุ 40-44 ปี ควรออม 30% ต่อเดือน 
เริ่มออมเมื่ออายุ 45-48 ปี ควรออม 40% ต่อเดือน 
เริ่มออมเมื่ออายุ 49-50 ปี ควรออม 50% ต่อเดือน

จากการคำนวณสัดส่วนการออมเงินต่อเดือนตามช่วงอายุ พอจะสรุปได้ว่า ยิ่งออมเร็ว ยิ่งมีระยะเวลาออมเงินที่นานขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนออมเงินต่อเดือนไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการออมเงินเมื่อตอนอายุมากขึ้น ที่ต้องเก็บเงินด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้น

ดังนั้น ถ้าออมเงินตั้งแต่อายุยังไม่มาก (ไม่เกิน 40 ปี) เมื่อเงินเดือนออก หรือมีรายได้เข้ามา ก็ออมก่อนเลยอย่างน้อย 20%

สำหรับการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทน 5% ต่อปี ต้องบอกว่า ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแบ่งเงินลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ อย่างเหมาะสม เช่น ลงทุนในหุ้นสัก 30% ที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้ หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ การลงทุนในกองทุนผสมที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

การออมเงินไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้ว่าเป้าหมายการออมของเราคืออะไร เพียงแบ่งเงินสักส่วนหนึ่งของเงินเดือน โดยอดทนไม่ใช้จ่ายเงินจนหมดในวันนี้ มาเก็บสะสมไว้ เพื่อบั้นปลายชีวิตที่ไม่ต้องลำบาก เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คงไม่สามารถย้อนเวลากลับมาออมเงินให้มากขึ้นได้แล้ว

ขอบคุณที่มา  ddproperty.com


ตามส่อง Best Places ปลายฝน ต้นหนาว สำหรับนักเที่ยวสายชิลล์

หลายคนอาจไม่ทราบว่า ปลายฝนต้นหนาว หรือ ช่วงเวลาประมาณต้นเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนตุลาคม เป็นฤดูกาลที่น่าเที่ยวสุดๆ เพราะสภาพอากาศดี ฝนบางๆ ลมเย็นๆ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ที่สำคัญยังไม่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบินจึงยังไม่สูงปรี๊ดจนน่าใจหาย   

วันนี้ rabbit finance มีสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ทั่วประเทศไทยที่เหมาะกับช่วงปลายฝนต้นหนาวมาฝากกันถึง 7 แห่ง รับรองว่าควรค่าแก่การยื่นจดหมายลางาน 2-3 วัน เพื่อตามไปเก็บความประทับใจ ที่สำคัญแพลนการเที่ยวของทริปนี้จะไม่ทำให้กระเป๋าตังค์ของคุณฉีกอย่างแน่นอน!

ปักหมุด 7 สถานที่ยอดฮิตสำหรับสายชิลล์

เที่ยวหน้าฝน

1.ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย

ดอยแม่สลอง ดินแดนแห่งไร่ชาที่ใครๆก็ใฝ่ฝันอยากไปเดินชิลล์ๆ ถ่ายรูปสวยๆ กับฉากเขียวชอุ่มของต้นไม้นานาชนิด ดอยแม่สลองสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดปี กิจกรรมเด็ดที่ไม่ควรพลาดคือการเดินตามชาวบ้านไปเก็บยอดชา แล้วนั่งจิบชาอุ่นๆ สู้กับฟ้าฝนเย็นชุ่มฉ่ำ

นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรีเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมชมวิวสวยๆ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะช่วงปลายฝนแบบนี้ ต้นไม้ดอกไม้แข่งกันออกดอกสวยๆ ให้ฟินกันตลอดสองข้างทางเลยล่ะค่ะ

เที่ยวหน้าฝน

2.ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่

ดอยอ่างขาง หรือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร เป็นพื้นที่กลางหุบเขา มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ยิ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ เพื่อนๆ สามารถตื่นมาชมทะเลหมอกสุดตระการตาได้ทุกวัน

นอกจานี้บนดอยอ่างขางยังมีสถานที่ที่น่าสนใจเยอะแยะมากมาย อาทิ จุดชมวิวม่อนสน, หมู่บ้านหลวง, สวนดอกไม้ 80 ปี, สวนบ๊วย, แปลงผักผลไม้เมืองหนาว, สวนกุหลาบอังกฤษ, ไร่ชา 2000 และสวนสตรอเบอร์รี่บ้านนอแล รับประกันความฟินเต็มพิกัด

เที่ยวหน้าฝน

3.ดอยเสมอดาว จ.น่าน

ดอยเสมอดาว เป็นอีกหนึ่งยอดดอยที่คนชอบดูดาวต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต ดอยเสมอดาวสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 888 เมตร สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา มีทั้งป่าไม้เขียวขจีเบื้องล่าง รวมทั้งแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดน่าน

ดอยเสมอดาวเป็นจุดกางเต๊นท์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีบรรยากาศดีตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาดูทะเลหมอกขาวเนียน รอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาทักทาย ช่วงบ่ายก็นั่งทอดสายตาชมธรรมชาติได้อย่างเพลิดเพลิน พอตกกลางคืนก็นอนดูดาวสุดโรแมนติก

เที่ยวหน้าฝน

4.เขาพะเนินทุ่ง จ.เพชรบุรี

เขาพะเนินทุ่ง เป็นยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร เพื่อนๆ สามารถชมวิวเทือกเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายสลับซับซ้อนได้อย่างสวยงาม แนะนำให้มานอนกางเต็นท์และนั่งล้อมวงผิงกองไฟอุ่น แล้วค่อยตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกที่ปกคลุมทั้งหุบเขา พร้อมจิบกาแฟเข้มๆ

ยิ่งเป็นช่วงปลายเดือนกันยายนที่ยังมีฝนตกประปราย เพื่อนๆ จะได้เห็นทะเลหมอกสีขาวหนาแน่นเป็นพิเศษ ตัดกับสีเขียวเข้มของต้นไม้ ที่สำคัญยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปฟอกปอดให้สดชื่นอีกด้วย การเดินทางขึ้นไปเขาพะเนินทุ่งก็ค่อนข้างสะดวก ไม่ลาดชันจนน่ากลัว

เที่ยวหน้าฝน

5.ปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน

ปางปุ๋ง หรือชื่อเต็มๆ โครงการพระราชดำริปางตอง 2 ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เดิมเป็นพื้นที่ติดชายแดนที่อันตราย เพราะมีทั้งการขนส่งยาเสพติดและกองกำลังติดอาวุธคอยดักซุ่ม ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงมีพระราชดำริให้พัฒนาความเป็นอยู่และส่งเสริมอาชีพ จนตอนนี้ปางอุ๋งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมไปแล้ว

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากมาเที่ยวปางอุ๋ง เราขอแนะนำเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้เลยค่ะ เพราะอากาศเย็นสบาย มีหมอกบางๆ ให้เห็นตั้งแต่เช้ามืดจนถึงช่วงสายๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปพักค้างคืนที่ปางอุ๋งเพื่อซึมซับบรรยากาศ จะกางเต๊นท์นอนชิลล์ๆ หรือพักโฮมสเตย์ของชาวบ้านก็ฟินไม่น้อย

เที่ยวหน้าฝน

6.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

เขาค้อก็เป็นอีกที่เที่ยวยอดฮิตในช่วงปลายฝนต้นหนาว และบูมสุดๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะมีที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ป่าเขาเขียวขจี อีกทั้งยังมีวัดสวยๆ คาเฟ่น่ารัก และที่พักน่าเช็คอินเอาใจนักท่องเที่ยวผุดขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางไปยังเขาค้อก็หลากหลาย และสะดวกสบายขึ้นกว่าสมัยก่อน

หากเพื่อนๆ ได้ลองไปเที่ยวเขาค้อในช่วงปลายฝน ก็จะตื่นเช้ามาพบภาพหมอกบางๆ ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา จากนั้นก็ไปแวะทานอาหารเช้าสไตล์ชาวเขาเอาแรงกันหน่อย นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์ที่นักเที่ยวต้องตามเก็บอีกเพียบ อาทิ วัดผาซ่อนแก้ว ทุ่งกังหันลม พระตำหนักเขาค้อ และอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ บอกเลยว่าสนุกครบรสแน่นอน

เที่ยวหน้าฝน

7.เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี

ปิดท้ายกับที่เที่ยวปลายฝนต้นหนาวทางภาคใต้กันบ้าง นั่นคือ เขื่อนเชี่ยวหลาน นั่นเอง นี่เป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อน อากาศเย็นสบาย ต้นไม้ป่าเขาเขียวชอุ่ม ยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน ตื่นเช้ามาเจอทะเลหมอกฟุ้งๆ ได้ทุกวัน

เขื่อนเชี่ยวหลานมีที่พักเป็นแพลอยน้ำให้เลือกเยอะแยะมากมาย พร้อมกิจกรรมทางธรรมชาติที่หลากหลาย อาทิ นั่งเรือชาวบ้านออกไปชมวิว กิจกรรมเดินป่า ล่องแพไม้ไผ่ เล่นน้ำเขื่อน รวมทั้งออกไปตกปลาชิลล์ๆ แบบวิถีชาวบ้าน เชื่อว่าจะเป็นสถานที่บำบัดความเครียดให้เพื่อนๆ ได้อย่างดี

ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com


เปิดตำรา! เคล็ดลับง่ายๆ สร้างกำลังใจ ได้ด้วยตัวเอง

ทำงานผิด สอบตก โดนอาจารย์ว่า โดนหัวหน้าด่า ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย มันเหนื่อยใจและเหนื่อยกายเหลือเกิน เกิดอาการท้อแท้ ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่าปล่อยให้ชีวิตตัวเองอมทุกข์ค่ะ เรามาเปลี่ยนตัวเองด้วยการ สร้างกำลังใจ ให้ตัวเองไปพร้อมกับกันค่ะ

สร้างกำลังใจ

เริ่มต้นที่เลือกมองมุมที่ต่างออกไป

  • นึกถึงความสุข

ให้นึกถึงภาพความสุข เมื่อเราได้เลื่อนตำแหน่ง หรือลดน้ำหนักได้สำเร็จ หรือนึกภาพที่ให้เห็นผลลัพธ์ดีๆ ที่ได้จากการบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จแทนที่จะท้อแท้ ให้เห็นว่าเป้าหมายอยู่ใกล้เเค่เอื้อม

  • นึกถึงแต่ความสำเร็จ

อย่าคิดถึงแต่ความล้มเหลว หรือความยากลำบาก เพราะมันจะทำให้คุณท้อใจหนักกว่าเดิม ให้นึกถึงแต่ความสำเร็จและการกระทำที่จะนำเราไปสู่การบรรลุเป้าหมาย

  • มองความพ่ายแพ้เป็นโอกาสในการเรียนรู้

คนเราต่างก็เคยผิดพลาดกันทั้งนั้น แต่ให้เราคิดไว้เสมอว่า ถึงแม้เราจะผิดพลาด ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลว ความผิดพลาดจะเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ ปรับปรุงตัวเอง แก้ไขจุดบกพร่อง และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก

  • ตั้งเป้าหมายตามความเป็นจริง

เป้าหมายที่ยากจะทำให้เราท้อแท้ และหมดกำลังใจ ดังนั้น เราควรตั้งเป้าหมายที่เราอยากทำให้สำเร็จไปตามเป้าหมายและความสามารถของเรา ให้คิดไว้เสมอว่าต้องใช้เวลากว่าจะสำเร็จได้

สร้างกำลังใจ

ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ทำให้เราเป็นคนคิดบวก

  • มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน

มองโลกในแง่ดี และเชื่อว่าตัวเองทำได้ คือการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ทำในสิ่งที่มุ่งหวังได้สำเร็จ ถ้าได้ลงมือทำทีละเล็กละน้อย และมุ่งมั่นทำไปเรื่อยๆ ต้องสำเร็จแน่นอน

  • ละความโกรธ

โกรธเพราะทำอะไรผิดพลาด บั่นทอนจิตใจตัวเอง และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอ ถึงแม้ความโกรธเราไม่สามารถทิ้งได้หมดสิ้น พยายามหาวิธีคลายเครียด เพื่อให้ความโกรธหมดไป

  • คลายความกลัว

ความกลัวก็เหมือนความโกรธ ทำให้เรารู้สึกท้อแท้และไม่มีความสุข ถ้าเราเกิดกลัวที่จะล้มเหลว หรือทำเป้าหมายไม่สำเร็จ เราจะไม่กล้าทำอะไรเลย ให้คุณหาวิธีคลายความกลัว คลายความเครียด เอาชนะตัวเอง สร้างกำลังใจ กล้าที่จะเผชิญกับความยากลำบาก

  • อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

การเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน พี่น้อง หรือ เพื่อนร่วมงาน จะก่อให้เกิดความวิตกกังวล และความท้อแท้ คิดว่าเราทำได้แย่กว่าเขา ทางที่ดีอย่าไปเทียบกับใครให้เราทำตัวเองให้ดีที่สุด

สร้างกำลังใจ ให้ตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก

  • หาเวลาออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยให้เราหายจากโรคซึมเศร้า และทำให้อารมณ์ดีขึ้น พยายามหาเวลาออกกำลังกายประมาณ 20 นาทีทุกวัน ไม่ว่าจะเดินเล่น วิ่ง เล่นกีฬา ก็ช่วยคุณได้ค่ะ

  • หาที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ

ถ้ารู้สึกท้อแท้จนไม่สามารถขุดตัวเองขึ้นมาได้ ให้เราลองหาที่ปรึกษา ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน พ่อแม่ หรือเพื่อนสนิท โดยผู้แนะนำควรเป็นคนมองโลกในแง่ดี เพื่อสร้างกำลังใจให้กับคุณ ถ้ามันเกินจะทน การเข้าพบจิตแพทย์ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะคะ

  • เขียนบันทึกทุกวัน

การบันทึกเป้าหมาย ความล้มเหลว และความรู้สึกจะช่วยให้เรารู้สึกถึงความก้าวหน้าของตัวเอง วันไหนเหนื่อย วันไหนท้อแท้ ให้ลองหยิบบันทึกมาอ่าน รับรองสร้างกำลังใจให้คุณได้แน่นอนค่ะ

สร้างกำลังใจ
  • ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ

เมื่อเราทำได้ตามเป้าหมายสำเร็จ และพอใจกับผลงานของตัวเอง ให้เราหารางวัลให้ตัวเอง อย่างเช่น ออกไปกินอาหารมื้อพิเศษ ซื้อของให้ตัวเอง หรือวางแผนพักผ่อน ไม่ว่าจะเป้าหมายของคุณจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าทำสำเร็จตามเป้าหมาย อย่าลืมให้รางวัลตัวเองนะคะ

  • พบปะคุยกับเพื่อนที่มีความคิดคล้ายกัน

นอกจากหาที่ปรึกษาแล้ว ให้คุณออกไปคุยกับเพื่อนที่มีความคิดเหมือนคุณ เพราะคุณจะได้ความคิดดีๆ และกำลังใจที่เพื่อนให้คุณ รวมถึงได้ความคิดหรือไอเดีย ที่เราอาจคิดไม่ถึง แต่อย่าคบเพื่อนที่ดูถูกเป้าหมายของเราและพยายามกดเราให้ตกต่ำนะคะใครที่กำลังท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงาน วิธีเปลี่ยนตัวเองง่ายๆ ก็คือการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองนะคะ เมื่อไหร่ที่เรามีกำลังใจ สิ่งที่เราทำอยู่ตรงหน้า จะสำเร็จไปได้ด้วยดี หรือหากใครกำลังขาดกำลังใจ หมดหนทาง อย่างน้อยคุณก็มี rabbit finance คอยอยู่ข้างๆ เสมอนะคะ สู้ๆ ค่ะ  ?

ขอบคุณที่มา rabbitfinance.com


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,600.00 18,500.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,100.00 18,161.68 1,198.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 18,813.56 1,241.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,345.51 1,078.20
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,529.34 958.40
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,171.24 539.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,352.04 419.00

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95 31.95
แก๊สโซฮอล์ 91 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68 31.68
แก๊สโซฮอล์ E20 28.94 28.94 28.94 28.94 28.94 28.94 28.94 28.94 28.94
แก๊สโซฮอล์ E85 22.34 22.34 22.34 22.34
เบนซิน 95 39.06 39.51 39.56 39.36 39.16 39.36
ดีเซล 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89 29.89
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.89 33.76 33.76 33.76 33.76
แก๊ส NGV 15.13 15.13
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า