คลังแจงรีดภาษีที่ดินแน่ เริ่มต้น 1 ม.ค. 63
คลังแจงเก็บภาษีที่ดินแน่ 1 ม.ค. 2563 บ้านหลังแรกไม่เกิน 50 ล้านบาทโล่งไม่ต้องเสียภาษี เคาะเริ่มเก็บส่วนที่เกินล้านละ 200 บาทต่อปี ส่วนหลังที่สองเสียภาษีตั้งแต่ล้านบาทแรก ด้านที่ดินประเภทเกษตรกรรมสำหรับบุคคลธรรมดา จัดเก็บในอัตราล้านละ 100 บาทต่อปี มองยาว 4 ปี รายได้เพิ่มหมื่นล้านบาท
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.การคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เปิดเผยว่า กมธ.ได้พิจารณารายละเอียดของกฎหมายดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงกลางเดือน พ.ย. นี้ โดยคาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2563
สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษียังแบ่งเป็น 4 ประเภท โดยที่ดินประเภทเกษตรกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาจะยกเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทแรก และจะเริ่มจัดเก็บภาษีในส่วนที่จาก 50 ล้านบาทขึ้นไป ในอัตรา 1 ล้านบาท เสียภาษี 100 บาทต่อปี เช่น ที่ดินประเภทเกษตรกรรม ที่มีมูลค่า 60 ล้านบาท จะเสียภาษี 1 พันบาทต่อปี เป็นต้น โดยในส่วนนี้กฎหมายจะมีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีในช่วง 3 ปีแรก เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบให้กับเกษตรกรรายย่อย ขณะที่เกษตรรายใหญ่ที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลจะคิดอัตราภาษีตั้งแต่บาทแรก โดยที่ดินมูลค่า 1ล้านบาท จะเสียภาษี 100 บาทต่อปี เช่น ที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท เสียภาษี 1 พันบาท, ที่ดินมูลค่า 20 ล้านบาท เสียภาษี 2 พันบาท เป็นต้น โดยจะเริ่มจัดเก็บภาษีตั้งแต่ปีแรก ไม่มีการเว้นให้เหมือนเกษตรรายย่อย ด้านที่ดินเพื่ออยู่อาศัยกรรมาธิการเห็นชอบให้เว้นภาษีบ้านหลังแรกไม่เกิน 50 บาทเหมือนเดิม จากที่ก่อนหน้านี้เคยมีการพิจารณาว่าจะเว้นให้ไม่เกิน 20 ล้านบาท สำหรับส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท จะเก็บล้านละ 200 บาท เช่น บ้านมูลค่า 60 ล้านบาท จะเสียภาษี 2 พันบาทต่อปี ในส่วนบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปจะเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรกที่ล้านละ 200 บาท เช่น บ้านมูลค่า 10 ล้านบาท จะเสียภาษี 2 พันบาทต่อปี
สำหรับที่ดินเพื่อการพาณิชย์ที่ใช้เพื่อการอุตสาหกรรมหรือการพาณิชย์จะเก็บแบบขั้นบันไดสูงสุด ไม่เกิน0.7% ของราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยผู้ที่เสียภาษีใหม่มากกว่าเสียภาษีที่เคยเสียอยู่ ในส่วนที่เกินจะมีการบรรเทาให้เป็นเวลา 4 ปี โดยเก็บภาษีปีแรก 25% ปีที่ 2 จัดเก็บ 50% ปีที่ 3 จัดเก็บ 75% และจัดเก็บภาษีในอัตรา 100% ในปีที่ 4 “ที่ดินเพื่อเชิงพาณิชย์จะได้รับการบรรเทาค่าภาษี เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และสนามกีฬาของเอกชน จะมีการผ่อนผันแต่ละประเภทไม่เท่ากัน โดยผ่อนผัน หรือลดหย่อนภาษีสุดถึง 90% ของภาษีที่ต้องเสีย เช่น โรงเรียนเอกชน เพราะเป็นการสนับสนุนการศึกษา เป็นต้น” นายวิสุทธิ์ กล่าว
นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะเริ่มเก็บที่อัตรา 0.3% ของราคาประเมิน และหากไม่ใช้ประโยชน์จะเก็บเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี ต่อเนื่องไม่เกิน 27 ปี ในอัตราไม่เกิน 3% จนกว่าจะมีการใช้ประโยชน์จากที่ดิน เพื่อต้องการให้มีกระตุ้นให้ใช้ที่ดินว่างเปล่าให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่านั้น เมื่อเทียบกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นปีละ 4% ก็ถือว่าไม่ได้เป็นภาระกับผู้เสียภาษี “การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กมธ. ได้พิจารณารายละเอียดกลุ่มที่อ่อนไหวทั้งหมด ทั้งเกษตรกร ผู้อยู่อาศัย ที่เชิงพาณิชย์บางประเภท รวมถึงที่ดินว่างเปล่า เพื่อให้การเก็บภาษีใหม่ที่มาแทนภาษีเก่ามีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายวิสุทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้มีการเก็บภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดเก็บ อยู่ที่ปีละ 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเปลี่ยนมาเป็นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะทำให้การเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 4 ปี
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net
ทําเลนอกเขตซีบีดีฮิต ผู้เช่าอาคารสนง.ทะลัก
ตลาดอาคารสำนักงานขยายตัวต่อเนื่องคาดทะลักปี 62-64 เกือบล้านตารางเมตร ขณะราคาที่ดินพุ่ง-ค่าเช่าแพง ทำเลนอกเขตซีบีดีขายดี วอนผังเมืองเพิ่มพื้นที่สร้าง ยังขยายตัวทั้งในเรื่องอุปสงค์และอุปทานต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาสำหรับตลาดอาคารสำนักงานปัจจุบันแม้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่พบว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่อง
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการบริษัท ไนท์แฟรงค์ (ประเทศ ไทย) จำกัด สะท้อนทำเลตลาดอาคารสำนักงานในภาพรวมว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่องจาก 7 แสนตารางเมตรล่าสุดขยับเป็น 8 แสนตารางเมตรในปัจจุบัน ในจำนวนนี้พัฒนาเอง 30-35% นอกนั้นเป็นรูปแบบการเช่า และส่วนใหญ่อยู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจอาคารสำนักงานเริ่มเต็มและบางส่วนขยับออกไปนอกเขตซีบีดี (ศูนย์กลางธุรกิจ) จากการขยายตัวของรถไฟฟ้า ขณะผังเมืองต้องเอื้อต่อการพัฒนา โดยเฉพาะควรปรับค่าเอฟเออาร์ (สัดส่วนอาคารต่อพื้นที่ดิน) เพิ่มมากขึ้นเช่นจาก เอฟเออาร์ 1:7 เป็นเอฟเออาร์ 1: 12 ในย่านกลางเมือง เพื่อเกิดความคุ้มค่าจากต้นทุนที่ดินแพง ขณะผังใหม่มองว่า ยังปรับในสัดส่วนที่น้อย
สอดคล้องกับนายสุรเชษฐ์ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนว่า อาคารสำนักงานในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอาจจะมีอัตราการเช่าที่ไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก เนื่องจากมีอาคารสำนักงานใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดต่อเนื่องในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้อาคารสำนักงานที่มีแผนจะแล้วเสร็จระหว่างปี 2562-2564 ประมาณ 740,690 ตารางเมตร เป็นอาคารสำนักงานที่อยู่ในพื้นที่ซีบีดีประมาณ 393,000 ตารางเมตร โดยสัดส่วนเป็นอาคารสำนักงานที่อยู่บนพื้นที่เช่าเป็นส่วนใหญ่ เพราะราคาที่ดินแพงไม่เหมาะต่อการพัฒนา
ดูจากอาคารสำนักงานเกรด A ย่านซีบีดี มีอัตราการเช่าสูงถึง 95% ขณะอาคารเกรด B ในทำเลเดียวกันมีอัตราการ เช่าอยู่ที่ประมาณ 93% ส่วนอาคารสำนักงานเกรด A พื้นที่นอกเขตซีบีดีอัตราการเช่าอยู่ที่ประมาณ 95.5% เพราะมีผู้เช่าบางรายย้ายออกนอกพื้นที่ซีบีดีเพราะต้องการพื้นที่เช่าที่ใหญ่กว่ารวมไปถึงหลายบริษัทที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาก็เลือกเช่าพื้นที่สำนักงานในอาคารนอกเขตใจกลางเมืองเพราะค่าเช่าที่ตํ่ากว่าอีกทั้งยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอกับความต้องการ ค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรด A ในพื้นที่ซีบีดีอยู่ที่ประมาณ 1,100-1,300 บาทต่อตารางเมตรเพียงแต่เมื่อมี การเซ็นสัญญาเช่าจริงก็อาจจะลดลงเหลือประมาณ 1,000-1,100 บาทต่อตารางเมตรขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และการต่อรอง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นางสาว อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีบีอาร์อี ประ เทศไทย จำกัด กล่าวถึงทิศทางตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าว่าในปี 2562 จะมีการแข่งขันของโครงการสำนักงานเกรด A มากขึ้น เนื่องจากเพียงปีเดียวจะมีซัพพลายเกิดใหม่ 78,600 ตารางเมตร ไม่นับรวมโครงการในอนาคตอย่าง “เดอะวัน แบงค็อก” เดอะ ปาร์ค ของกลุ่มทีซีซี แอสเซ็ท จำนวน 63,000 ตารางเมตร โครงการ สามย่านมิตรทาวน์ 50,000 ตารางเมตร โครงการ ซัมเมอร์ฮับ ออฟฟิศ 10,000 ตารางเมตร และโครงการรีโนเวตตึกเก่าสร้างไม่เสร็จบริเวณบางนา-ตราดอีก 1 แห่ง จำนวน 18,000 ตารางเมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com
จับตามอง 5 ธุรกิจ ที่ (น่าจะ) รุ่ง ในปี 2019
เผลอแค่แว๊บเดียวเท่านั้นแหละ จากต้นปี ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงปลายปีเสียแล้ว!!! สำหรับใครที่มีรายการที่อยากทำก่อนสิ้นปี ก็คงต้องเร่งมือหน่อยแล้ว และสำหรับใครที่กำลังมองหาหนทางใหม่ๆ หรือสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในปีหน้า ก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆ เราได้เลย
อ๊ะๆ เราไม่ได้จะพาคุณไปขายตรง พารวย หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่วันนี้ rabbit finance จะพาคุณไปมองหาลู่ทาง หรือเตรียมรับมือกันให้ทันว่าปี 2019 – 2020 ที่จะถึงนี้ มีธุรกิจอะไรบ้างที่น่าสนใจ และน่าจับตามองเป็นพิเศษบ้าง
จับตามอง 5 ธุรกิจ ที่ (น่าจะ) รุ่ง ในปี 2019
เทคโนโลยี การสื่อสาร และอุปกรณ์
ว่ากันว่าเป็นธุรกิจมาแรงประจำปีหน้าเลยก็ว่าได้ จากผลวิจัยของทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้คาดว่าธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ ค่อนข้างมาแรงมากๆ และกลายเป็นดาวรุ่งเบอร์หนึ่งประจำปี 2019 ไปในที่สุด
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะตัวสมาร์ทโฟนที่เคยคิดว่าแพง ปัจจุบันมีการปรับลดสเปคเครื่อง ดีเทลต่างๆ และปรับองค์ประกอบหลายๆ อย่าง จนทำให้เข้าถึงผู้มีรายได้แทบทุกระดับ และหลายครั้งที่เราไม่จำเป็นต้องรอซื้อต่อมือสองเหมือนสมัยก่อน หรือบางอย่างก็หาซื้อได้ง่ายดายมากขึ้น
และนอกจากนี้ เมื่อหลายๆ คนเริ่มเข้าถึงเทคโนโลยีกันมากขึ้น ยิ่งทำให้ในแง่ของผู้ให้บริการเครือข่ายการสื่อสารต่างๆ นับได้ว่ารุ่งจนฉุดไม่อยู่เลยก็ว่าได้
และนี่เองที่ทำให้แนวโน้มในปีหน้า ธุรกิจแนวนี้แหละ ที่น่าจะบูมสุดๆ
ฟู้ดเดลิเวอรี่
ธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ไม่ว่าจะปีไหนๆ เหล่ากูรูต่างก็แทงหวยว่าเป็นธุรกิจที่ติดชาร์ต ติดอันดับในทุกๆ ปี เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ปีนี้ธุรกิจอาหารก็ได้ปรับตัว อัปเกรดตัวเองตามโลกไปอีกขั้น เมื่อหลายๆ เจ้าเริ่มเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ หรือ การส่งตรงถึงหน้าบ้าน กันมากขึ้น แม้จะไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ๆ หรือไม่เป็นร้านสายแฟรนไชส์ก็ตาม
เราจะเห็นได้ว่าธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ไม่ใช่แค่ส่งเสริมร้านค้าต่างๆ ให้สามารถรับลูกค้าได้มากกว่าสมัยก่อน ที่ลูกค้าต้องเดินทางมาทานที่ร้านอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เกิดแอปพลิเคชัน หรือบริการที่เป็นตัวแทนในการรับส่งของแบบเดลิเวอรี่มากขึ้นไปด้วย
แน่นอนว่าธุรกิจแนวนี้ตอบโจทย์กับคนสมัยนี้ ที่เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก ไม่ใช่แค่ในตัวเมืองเท่านั้น แต่ในต่างจังหวัด ฟู้ดเดลิเวอรี่ก็เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นเหมือนกัน
อีคอมเมิร์ซ ธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า อีคอมเมิร์ซ จะเป็นการโฆษณา การซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ เราสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ทำให้การทำ การตลาดแบบออนไลน์นั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งอีคอมเมิร์ซนั้นมีประโยชน์กับธุรกิจของเราเป็นอย่างมาก สามารถทำการค้าได้แบบอัตโนมัติ หรือสามารถเปิดขายสินค้าได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงสินค้าของเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว อีคอมเมิร์ซยังสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเราได้อีกหลายด้าน จึงไม่แปลกที่ปีนี้ ธุรกิจแนวนี้จะยังมาแรง และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูแบบนี้
โลจิสติกส์
ต้องยอมรับกันเลยว่า การค้าขายบนโลกออนไลน์ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก! เพราะคุณสามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน ถึงแม้จะมีงานประจำ แถมลูกค้ายังติดต่อง่าย เลือกซื้อกันชิลๆ ผ่านปลายนิ้วอีกต่างหาก และด้วยเหตุผลเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้โลจิสติกส์ในบ้านเราเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
แต่ก่อนทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับการส่งพัสดุต่างๆ ผ่านไปรษณีย์ไทย หรือฝากรถประจำทาง รถทัวร์ รถตู้ เป็นหลัก แต่ทุกวันนี้ โลจิสติกส์ในไทยบางเจ้าขอแค่คุณเรียกผ่านแอปฯ หรือไปที่ร้านค้าตัวแทน ก็ส่งของได้ง่ายๆ ไม่แตกต่างจากไปรษณีย์แล้ว!
ไม่ว่าจะเป็น การส่งของผ่านแอปพลิเคชัน อย่าง Grab, Line Man หรือจะเดินชิลๆ ไปที่ขนส่งเอกชนอย่าง scg express กับ kerry ก็นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดี
แน่นอนว่าปีที่ผ่าน การส่งของผ่านเอกชนเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่อาจจะเป็นมนุษย์เงินเดือนควบคู่ไปด้วย
นี่เรายังไม่นับรวมไปถึงสารพัดการพรีออเดอร์ การขนส่งข้ามประเทศอีกนะ ที่เริ่มได้รับความนิยมอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านๆ มา และมีแววสูงมากขึ้น ในปี 2019 ที่จะถึงนี้ ธุรกิจโลจิสติกส์จึงเป็นอีกธุรกิจที่จะพุ่ง รุ่ง และมาแรงไม่แพ้ธุรกิจอื่นๆ เลย
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และบ้านเช่า หรือห้องเช่า
แหม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะการเติบโตของหลายๆ เมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ การจะซื้อบ้านเป็นหลังๆ หรือคอนโด นอกจากจะต้องคิดหนัก คิดมากแล้ว หลายคนเองก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ในตัวเมืองตลอดไป การเช่าอยู่จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับใครหลายๆ คน
โดยเฉพาะกับคอนโดที่อยู่ใกล้เส้นรถไฟฟ้า อยู่ใจกลางตัวเมือง ดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ ทำให้ปี 2019 ที่จะถึงนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการปล่อยเช่าน่าจะฮอตเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจับตามองเช่นกัน เพราะสายรถไฟฟ้าทั้งบนดิน ใต้ดิน เริ่มสร้างต่อขยาย ทำให้พื้นที่ใหม่ๆ ถูกจับตามองเป็นพิเศษ คอนโดเองก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดให้ทุกคนได้เลือกสรร
นอกจากนี้ตามต่างจังหวัดต่างๆ บางแห่งได้พัฒนาพื้นที่ต่างๆ (เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่เอกชนออกมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่อส่วนรวม) ทำให้หลายๆ แห่ง เริ่มมีอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจสร้างตามพื้นที่นั้นๆ มากขึ้นไปด้วย ทำให้หลายเจ้าต่างคาดเดาว่า นี่แหละ อีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจะรุ่ง
เรียกว่าปีนี้มีหลายธุรกิจที่เติบโตจนน่าจับตามองเลยว่า จะเป็นดาวรุ่งของปี 2019 นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆ ธุรกิจที่เติบโตจนน่าสนใจ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อ ที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าวิจัยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่มีอันดับสูงขนาดนี้
ส่วนธุรกิจที่ร่วงปีนี้ คงน่าจะพอเดาได้ จากการปิดตัวของหลายๆ สำนักพิมพ์ และหัวนิตยสารหลายเจ้า ทำให้ตำแหน่งธุรกิจที่ร่วงในปี 2019 ตกเป็นของสื่อเก่าอย่าง สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
และด้วยการมาของสื่อออนไลน์ ความสะดวกสบายของเหล่าฟู้ดเดลิเวอรี่ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจเช่าหนังสือ ร้านอินเทอร์เน็ต เคเบิลทีวี โทรศัพท์บ้าน หรือกระทั่งธุรกิจเกี่ยวกับแผ่นซีดี ดีวิดี ต่างก็ลดกำลังผลิตลงอย่างน่าใจหาย
นอกจากนี้ ทั้ง ธุรกิจการผลิตสินค้าเกษตร ยาง ปาล์ม ข้าว ก็ถูกคาดการณ์ว่าอาจจะร่วงลงด้วย ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง สถานการณ์ ธุรกิจ ในปีหน้ายังคงต้องจับตาดูกันก่อนไป โดยเฉพาะเมื่อเมืองไทยกำลังใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง (?) นอกจากเรื่องธุรกิจรุ่ง หรือร่วงแล้ว มาเตรียมจับตาเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างใกล้ชิดกันเถอะ!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก rabbitfinance.com
สว.ถอยห่างไกลกระดูกพรุน งดเหล้า-บุหรี่-อาหารเค็มจัด
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิง และ 1 ใน 5 ของผู้ชาย ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงที่จะกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน และผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี การเรียนรู้ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ สำหรับกลุ่มบุคคลที่มีปัจจัยโอกาสเสี่ยงสูง
เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ได้ออกมาแนะวิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนโดยการออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด เน้นเพิ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยห่างไกลจากโรคกระดูกพรุน โดย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติได้กำหนดให้วันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันกระดูกพรุนโลก เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการดูแลรักษากระดูก ป้องกันการเป็นโรคกระดูกพรุนในอนาคต
นอกจากปัจจัยของอายุแล้ว ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มกาแฟ นั่งทำงานเป็นเวลานาน ขาดการออกกำลังกาย ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไทรอยด์ มะเร็ง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไต และโรคเลือด รวมถึงผู้ที่ใช้ยาประจำ เช่น ยากันชัก ยารักษาโรครูมาตอยด์ ยาลูกกลอนที่ผสมสเตียรอยด์ มีโอกาสเสี่ยงจากโรคดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งนี้ โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่เนื้อกระดูกบางจากการสูญเสียแคลเซียม ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ผุกร่อน รับน้ำหนักได้ไม่ดี หากเกิดการบาดเจ็บ กระทบกระแทก หรือแค่ยกของหนักเพียงเล็กน้อยอาจทำให้กระดูกหักได้ง่าย อาการสำคัญของโรคกระดูกพรุน คือ ปวดตามกระดูก โดยเฉพาะกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง สะโพก รวมถึงข้อต่างๆ ต่อมาหลังจะโก่งค่อม ตัวเตี้ยลงเนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัวลง ทำให้ปวดหลังมาก เคลื่อนไหวตัวลำบาก
นพ.สมพงษ์ ตันจริยภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินโครงการ “รู้ทัน…กันหักซ้ำ” โดยได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการป้องกัน เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่มีกระดูกหักหนึ่งจุดเนื่องจากภาวะกระดูกพรุน จะมีโอกาสเกิดภาวะกระดูกหักซ้ำเพิ่มได้อีกในบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะเบริเวณกระดูกสะโพก กระดูกหลัง กระดูกข้อมือ
“ดังนั้น การป้องกันโรคกระดูกพรุนสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ไม่ดื่มน้ำอัดลม เนื่องจากในน้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริกสูง ทำให้มวลกระดูกลดต่ำกว่าเกณฑ์ งดดื่มกาแฟ และไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด มีผลทำให้มวลกระดูกต่ำได้ รวมถึงการใช้ยาลูกกลอน และควรเพิ่มอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์นม ปลาตัวเล็กที่สามารถกินได้ทั้งกระดูก เนยแข็ง ผักใบเขียว รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นเรื่องสำคัญ ตลอดจนใส่ใจดูแลสุขภาพ ทำให้ร่างกายห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้” คุณหมอสมพงษ์ระบุ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net
ภาษากาย ที่คุณเผลอทำ จนโดนมองว่าไม่โปร
“การสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญของมนุษย์”
นอกจาก ภาษาพูด (วัจนภาษา) แล้ว คนเรายังมักสื่อสารกันโดยผ่าน ภาษากาย (อวัจนภาษา) อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด คนเราก็มักจะใช้การสื่อสารทั้ง 2 แบบนี้ไปควบคู่กัน เพื่อให้การสื่อสารสมบูรณ์และเข้าใจตรงกันที่สุด
แต่บางครั้งภาษากายที่คนเราแสดงออกมา อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพของตัวบุคคล โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน ที่ต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานรวมถึงบุคคลภายนอกอยู่ตลอด จะมีวิธีจัดการกับตัวเองอย่างไร เพื่อให้ดูโปร ดูน่าเชื่อถือกันดีล่ะ?
ภาษากาย ที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ จนดูไม่โปร
การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องประสานงานกับผู้อื่นหรือต้องพบปะกับเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่อยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังภาษากายบางอย่างที่เราอาจจะเผลอแสดงออกไปโดยไม่รู้ตัว ประเดี๋ยวเพื่อนร่วมงานจะมองว่าไม่โปรเอาได้
- นั่งห่อไหล่ / นั่งหลังค่อม
ท่าทางการนั่ง ส่งผลต่อบุคลิกภาพของเราและความน่าเชื่อถือ การนั่งทำงานด้วยท่าทางหลังค่อมหรือนั่งห่อไหล่ จะทำให้คนมองว่าเราดูไม่มีความมั่นใจ หรือกำลังกังวล หวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ หากเป็นการคุยงานระหว่าง 2 ฝ่ายอยู่ ท่าทางแบบนี้อาจทำให้เรามีโอกาสเสียเปรียบได้ง่ายกว่า
นอกจากท่านั่งจะทำให้เสียบุคลิกแล้ว การนั่งห่อไหล่หรือนั่งหลังค่อมบ่อยๆ จะทำให้เราปวดเมื่อย เสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก รวมถึงโรคออฟฟิศซินโดรมอีกด้วย
- อยู่ไม่สุข
เคยไหมเวลาที่เรากำลังตั้งใจทำอะไรอย่างมีสมาธิสุดๆ แล้วหางตาของเราก็เหลือบไปเห็นคนในออฟฟิศกำลังขยุกขยิก แถมมีเสียงรบกวนอีก แบบนี้ก็คงจะทำให้เสียสมาธิไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ เรากำลังพูดถึงท่าทางแบบนั้นอยู่ ซึ่งเป็นภาษากายที่เราอาจจะเคยแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน
ภาษากายที่ว่าก็คือ การเอานิ้วมือม้วนผม การนั่งขาสั่น เอามือควงปากกา กดปากกาเล่น และอีกหลายท่าทางอยู่ไม่สุข ซึ่งท่าทางเหล่านี้ทำให้ดูไม่มีความมั่นใจ ดูไม่มีสมาธิหรือไม่จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ ที่สำคัญ สร้างความรำคาญแก่คนรอบข้าง จนทำให้ดูเป็นคนไม่มีมารยาท
- มองอะไร?
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เช่นเดียวกันกับการ Eye-contact ที่เป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารระหว่างบุคคล เพื่อให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลสูงสุดได้ ทั้งผู้สื่อสารและผู้รับสารควรมีการ Eye-contact หรือใช้ภาษากายในการสื่อสารผ่านสายตาระหว่างกันด้วย
ขณะที่คุยงานกับผู้อื่น หากเราเอาแต่ก้มมองพื้น หรือไม่สบตากับผู้ที่เราคุยด้วย ท่าทางแบบนั้นจะทำให้เราดูเป็นคนไม่มีความมั่นใจ ไม่มืออาชีพ บางที อีกฝ่ายเขาอาจจะคิดว่าเราไม่ใส่ใจ ไม่ค่อยอยากคุยด้วย อย่างนี้ก็จะทำให้คนอื่นสูญเสียความมั่นใจไปด้วยนะ
- ไม่เว้นระยะห่าง
โดยปกติ คนเราจะมีการเว้นระยะห่างระหว่างตนเองกับผู้อื่นอยู่ที่ประมาณ 100 ซม. เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดใจและง่ายต่อการวางตัวระหว่างกัน ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็ควรจะเว้นระยะห่างต่อกัน
ในระหว่างคุยงานหรือประชุมงานกับอีกฝ่าย หากเราไม่รู้จักเว้นระยะห่างให้พอเหมาะ แล้วเข้าไปใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากเกินไป จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน เหมือนกำลังถูกคุกคาม และทำให้อึดอัด ไม่สบายใจ
ใช้ ภาษากาย แบบไหนถึงจะดี?
หากเรารู้จักวิธีใช้ภาษากายอย่างเหมาะสม การใช้ภาษากายควบคู่ไปกับการสนทนาก็จะช่วยให้ทั้ง 2 ฝ่าย สื่อสาร ประสานงานกันได้ง่ายและเข้าใจตรงกันได้เร็วขึ้น
- ท่าทางประกอบ ควรใช้แต่พอดี
เวลาที่เรากำลังอธิบายอะไรบางอย่าง การใช้ภาษากายช่วยโดยการใช้มือประกอบการพูดเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ซึ่งการขยับมือประกอบจะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจง่าย เห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง หากใช้มือมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดความรำคาญได้
- พยักหน้าตอบรับเสมอ
เมื่อมีผู้พูด ก็ต้องมีผู้ฟัง และเมื่อเราอยู่ในสถานะของผู้ฟัง ก็ควรจะให้เกียรติผู้ที่กำลังพูดอยู่ ด้วยการไม่เพิกเฉยต่อผู้พูด มีการ Eye-contact และที่สำคัญ การพยักหน้าเป็นการตอบรับอยู่เสมอ เพื่อแสดงให้ผู้พูดเห็นว่าเรากำลังฟังอยู่ การทำแบบนี้ยังช่วยให้ผู้พูดมีความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย
- รอยยิ้มพิมพ์ใจ
รอยยิ้ม เป็นภาษากายที่แสดงถึงความเป็นมิตร การมอบรอยยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่ดี เพราะรอยยิ้มอาจหมายถึงการให้กำลังใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีส่วนช่วยให้การประสานงานและการทำงานเป็นกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
เพราะ “การสื่อสาร” เป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน และบุคลิกภาพของผู้สื่อสารเอง ก็มีส่วนช่วยให้การสื่อสารและการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะฉะนั้น อย่ามองข้ามวิธีการใช้ภาษากายในการสื่อสารนะทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก Time 1 ,2BBC Thai
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 19,200.00 | 19,100.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,700.00 | 18,752.92 | 1,237.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,435.12 | 1,282.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,877.63 | 1,113.30 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 15,002.34 | 989.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,444.12 | 557.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,564.28 | 433.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | – | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.14 | 21.14 | – | – | – | – | – | 21.14 | 21.14 | – |
เบนซิน 95 | 36.96 | – | – | – | 37.41 | – | 37.46 | 37.26 | 37.06 | 37.26 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.73 | 15.73 | – | – | – | – | – | – | – | – |