ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,050.00 | 20,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,299.00 | 19,692.84 | 20,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,169.10 | 17,723.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 585.00 | 8,868.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 455.00 | 6,897.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,346.00 | 20,405.36 | n/a |
“แสนสิริ”เปิด 11โครงการ 2.6 หมื่นล้านไตรมาส4
แสนสิริ จุดพลุรับไฮซีซันไตรมาส4 เตรียมเปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่า 2.6 หมื่นล้าน โชว์ 9 เดือนปั๊มยอดขาย 2.4 หมื่นล้าน โต 20% ลุ้นทั้งปีทะลุเป้า 4 หมื่นล้าน
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยอย่างคึกคัก โดยเฉพาะปีนี้ที่สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และภาพรวมเศรษฐกิจปี 2560 คาดว่าจะเติบโต 3-4% โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง จึงจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาภายใต้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง 1 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมของแสนสิริ 3 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งให้ในปีนี้แสนสิริพัฒนาที่อยู่อาศัยได้รวมทั้งสิ้น 19 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 44,700 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วง 9 เดือนปี 2560 มียอดขาย(พรีเซล)ประมาณ 24,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20% มาจากยอดขายจากโครงคอนโดมิเนียม 14,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 10,000 ล้านบาท โดยทิศทางการตอบรับด้านที่อยู่อาศัยของลูกค้าปัจจุบันเน้นที่ตรงกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น
สะท้อนได้จากความสำเร็จของคอนโดมิเนียมแบรนด์ “เฮาส์” (HAUS) ที่ผ่านมาทั้ง 3 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (ปิดการขาย) และ โมริ เฮาส์ (ปิดการขายและลูกค้าเข้าตรวจรับมอบยูนิตพักอาศัยอย่างรวดเร็ว) ล่าสุดคือ ทากะ เฮาส์ ซึ่งเปิดการขายในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และลูกค้าให้การตอบรับที่ดีมาก ทั้งจากลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์จากการเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นอย่างดี ส่งผลให้มียอดขายถึง 95% ใกล้ปิดการขาย บริษัทจึงได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เฮาส์ อีก 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,600 ล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
ล่าสุดสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เดค ป่าตอง (THE DECK) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ที่สามารถตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดที่พักอาศัยในรูปแบบฮอลิเดย์โฮมในทำเลป่าตอง ภูเก็ต ได้เป็นอย่างดี ทั้งจากลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่อตอบโจทย์ด้านการลงทุนจากการที่ตลาดปล่อยเช่า อาทิ อพาร์ทเมนต์ปล่อยเช่าในทำเลป่าตองได้รับการตอบรับที่ดี และจากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงาน หรือเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่และพักผ่อนบริเวณชายหาดป่าตอง ซึ่งเป็นชายหาดที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ และมีชื่อเสียงในระดับโลก โดยโครงการได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ในสัดส่วน 49 : 51% ซึ่งนับว่าเต็มโควตาขายตลาดต่างชาติ
บริษัทตั้งเป้ายอดขายไตรมาสสุดท้ายไว้สูงถึง 16,000 ล้านบาทจากความสำเร็จในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาซึ่งที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ได้รับความสนใจและตอบรับจากลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างดี ทำให้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน ทั้งนี้จากแผนการพัฒนาโครงการที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงไฮไลท์ทางธุรกิจที่สำคัญที่เตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ทำให้มั่นใจว่าบริษัท จะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่มีการปรับเป็น 40,000 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com
กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คึกคัก แห่เปิดตัวโครงการใหม่
กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก จากผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA พบว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 40 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวม 12,302 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 45,501ล้านบาท
จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 93%
จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีทั้งหมด 12,302 หน่วย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 5,927 หน่วย (เดือนกรกฎาคม 2560 มีจำนวน 6,375 หน่วย) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 93% เนื่องจากมีจำนวนโครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ และกลุ่มอาคารชุดที่เปิดตัวกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในเดือนสิงหาคมจำนวนหน่วยขายโดยรวมของเดือนนี้จึงเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 69%
มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 45,501 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 18,524 ล้านบาท (เดือนกรกฎาคม 2560 มีมูลค่า 26,976 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 69% ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คือ อาคารชุด 22,905 ล้านบาท คิดเป็น 50% รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 14,106 ล้านบาท คิดเป็น 17% ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 6,384 ล้านบาท คิดเป็น 14% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ
อสังหาฯ เจาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง
เจาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง เฉลี่ย 3.699 ล้าน
สินค้าที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่เป็นอาคารชุดมากถึง 62% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมดในเดือนสิงหาคม โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวราคาประมาณ 3-5 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ ราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท ทำให้ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในเดือนสิงหาคมลดลงประมาณ 12.6% หรือประมาณ 3.699 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.232 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางเพิ่มมากขึ้น
รายใหญ่ 9 บริษัท แชมป์เปิดตัวมากที่สุด
ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนสิงหาคมมากที่สุดเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 9 บริษัท ได้แก่ คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทในเครือ และบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบจำนวนโครงการที่เปิดใหม่เดือนสิงหาคมของปี 2560 กับเดือนสิงหาคมปี 2559 พบว่า มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ลดลง 1 โครงการ (-2%) มีจำนวนหน่วยเพิ่ม 3,666 หน่วย (42%) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 11,344 ล้านบาท (33%) แต่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงจาก 3.955 ล้านบาท เป็น 3.699 ล้านบาท (-6%) นอกจากนี้ยังพบว่ามีโครงการที่รอเปิดตัวในอนาคตอีกกว่า 392 โครงการ สำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคงต้องจับตาดูกันดีๆ
http://www.ddproperty.com
ไทยพร้อมแค่ไหนกับ VAT 10%
ข่าวการขึ้น VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม มีมาให้ดราม่ากันทุกปี เรียกว่ามาเมื่อไหร่ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทุกครั้ง ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้คงอัตรา VAT 7% ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2560-30 กันยายน 2561 หลังจากนั้น ‘อาจ’ ขึ้นอัตรา VAT เป็น 10% ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลในขณะนั้น คนก็เลยกลัวกันว่าจะมีการกลับไปใช้ VAT 10% อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งบอกกันกระแสดราม่าตั้งแต่บรรทัดนี้เลยว่า ‘ยาก’
ไทยกับ VAT 10%
กระแสดราม่าการขึ้น VAT มีมาทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 ที่ระบุในมาตรา 4 ว่า ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรา 80 เเห่งประมวลรัษฎากรเเละคงจัดเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
(1) 6.3% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งเเต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560-30 กันยายน 2561
(2) 9% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
พูดกันตามตรงแล้วตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% โดยแบ่งเป็นตัวภาษีเก็บเข้าสรรพากร 9% และส่งเข้าท้องถิ่นอีก 1% มานานแล้ว แต่ทุกรัฐบาลปรับให้อัตราลดต่ำลงโดยผ่านการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาให้คง VAT ที่ 7% โดยแบ่งเป็นตัวภาษีเก็บเข้าสรรพกร 6.3% และส่งเข้าท้องถิ่น 0.7% โดยมีการเก็บ VAT 10% เพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เท่านั้น แม้จะมีความพยายามที่จะกลับไปใช้ VAT 10% แต่เรียกว่าไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำ เพราะกระแสต่อต้านจากภาคธุรกิจและประชาชน และความไม่พร้อมทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
จะเกิดอะไรขึ้นหากขึ้น VAT 10%
เนื่องจาก VAT เป็นภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าและรับบริการ รวมถึงผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า ส่งออก ผู้ผลิต ผู้ให้บริการขายส่ง ขายปลีก โดยสัดส่วนภาษีที่ได้จาก VAT มีมากถึง 30% ของรายได้ที่จัดเก็บทั้งหมด การเก็บ VAT เพิ่มจากเดิม 1% จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเกือบ 1 แสนล้านบาท หากเก็บ VAT ที่อัตรา 10% จะทำให้รัฐมีรายได้ในปีงบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 2.3 แสนล้านบาท
หากพิจารณาแค่นี้ดูเหมือนรัฐจะได้ประโยชน์ แต่แน่นอนว่าหากมีการปรับ VAT เพิ่มขึ้น ผู้ที่จะได้รับผลกระทบหลัก ๆ คือ ผู้ประกอบการ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการที่ต้องปรับตัวสูงขึ้น ต่อเนื่องมาถึงผู้บริโภคที่ต้องมีค่าครองชีพสูงขึ้น และผลกระทบระยะยาวทำให้การเกิดหดตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
คงการเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อซื้อสินค้า
อาจจะดูน่ากลัวแต่ทางกรมการค้าภายในเองก็เกริ่น ๆ ให้ฟังว่า หากมีวันที่ประเทศไทยใช้ VAT 10% จริง ๆ ทางกรมฯ จะต้องพิจารณาราคาสินค้าใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ติดตามดูแลเป็นพิเศษ 200 รายการ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องนำเสนอราคาสินค้าใหม่ให้กรมฯ รับทราบ
ทั้งนี้ ราคาสินค้าใหม่นั้นไม่ใช่ผู้ประกอบการจะบวกเพิ่มจากภาษี 3% เข้าไปทันที แต่ต้องนำต้นทุนการผลิตอื่นมาประกอบเพื่อประเมินผลลัพธ์ราคาใหม่ที่เหมาะสมด้วย ดังนั้น บางสินค้าอาจปรับขึ้นเล็กน้อย และบางสินค้าอาจไม่ต้องปรับขึ้นราคาเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะส่งผลต่อกลุ่มสินค้าราคาแพง และสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น
ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ
สำหรับการเก็บ VAT ในต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบแล้วไทยยังถือว่าอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม เก็บที่ 10% ฟิลิปปินส์ 12% ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่ อยู่ที่ 20% อังกฤษ 18% ฝรั่งเศส 20% ส่วนเดนมาร์ก ฮังการี นอร์เวย์ และสวีเดน เก็บที่ 25% ส่วนประเทศญี่ปุ่นเก็บที่ 8% โดยมีแผนจะเพิ่มเป็น 10% เช่นกัน แต่เพียงแค่ประกาศก็ทำให้เศรษฐกิจหดตัว เนื่องจากญี่ปุ่นพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศถึง 60% จนต้องชะลอแผนออกไปก่อน แต่สำหรับประเทศไทยที่พึ่งพากันส่งออกมากกว่าการบริโภคภายในประเทศ จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาเช่นประเทศญี่ปุ่น
แม้ว่าจะ ‘ยาก’ แต่ก็อาจจะมีทางเกิดขึ้นได้ที่พวกเราจะได้เห็น VAT 10% ในประเทศไทย สำหรับในฝั่งผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปทุกปีว่าจะได้เห็นภาพนั้นกันหรือไม่
http://www.ddproperty.com
อธิบดีกรมสรรพากร แจงขึ้น VAT 9% ไม่จริง ชี้เป็นแค่ภาษากฎหมาย
อธิบดีกรมสรรพากร ยันอย่ากังวลภาษี VAT 9% ในปี 2561 ชี้เป็นเทคนิคในการเขียน ทำกันมาทุกรัฐบาลเกิน 20 ปี ก่อนปรับเหลือ 7 %
จากกรณีที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกา สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษี โดยเตรียมเก็บ 9% สําหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนําเข้าทุกกรณี ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไปนั้น [อ่านข่าว : ราชกิจจานุเบกษา ประกาศขึ้นภาษี VAT เป็น 9% เริ่มปี 61]
ล่าสุด วันที่ 4 ตุลาคม 2560 นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวกระปุกดอทคอม ชี้แจงว่า การที่มีการระบุว่า ในปี 2561 จะเก็บภาษี ร้อยละ 9 เป็นเทคนิคในการเขียนกฎหมาย ซึ่งทุกรัฐบาลตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ต่างมีการเขียนไว้แบบนี้ และเมื่อถึงเวลาจริง ๆ เชื่อว่าจะมีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้คงอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ซึ่งเมื่อไปบวกกับภาษีท้องถิ่นก็จะเป็นร้อยละ 7 เหมือนเดิม
อธิบดีกรมสรรพากร อธิบายอีกว่า เดิมทีประมวลรัษฎากรออกมาเมื่อปี 2534 ได้กำหนดให้เพดานการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ร้อยละ 10 แต่หลังจากนั้นในทุก ๆ ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2535 ก็จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาคงไว้ที่ 6.3% เหมือนเดิม ยกเว้นปี 2540 ที่มีการขยับขึ้นภาษีมูลราคาเพิ่มไปเป็น 10% ในช่วงสั้น ๆ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟ แต่ต่อมาก็มีการต่อรองและลดลงมาเหลือ 6.3% เหมือนเดิมนั่นเอง
https://money.kapook.com
เมื่อธนบัตรชำรุดควรทำอย่างไร นำไปแลกคืนได้ที่ไหนบ้าง
ธนบัตรหรือเงินนั้น ทำมาจากใยฝ้ายผสมกระดาษเป็นซะส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อใช้ไปนานๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือมักจะมีการชำรุดหรือฉีกขาด โดยเฉพาะกับธนบัตรที่ใช้มานานแล้วจนเก่า ดังนั้นหลายคนอาจจะมีคำถามว่า หากธนบัตรในมือเกิดการชำรุดขึ้นมาแล้ว จะสามารถจัดการอย่างไรได้บ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ (ข้อมูลอ้างอิงจาก พรบ. เงินตรา พ.ศ. 2501)
1. หากธนบัตรนั้นฉีกขาดหรือชำรุดไม่มาก เช่นมุมใดมุมหนึ่งขาดออกไป โดยที่ส่วนที่ขาดนั้นไม่ได้หล่นหายไปไหน แนะนำให้ใช้เทปใสแปะปิดทับรอยขาดได้เลยครับ ยังสามารถใช้ชำระหนี้ หรือซื้อของได้ตามปกติ แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับธนบัตรที่ชำรุดไม่มากนักนะครับ หากขาดหรือแหว่งไปมากๆ ไม่แนะนำให้ทำอย่างเด็ดขาด
2. หากธนบัตรนั้นขาดครึ่ง หรือขาดออกจากกันจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ให้นำไปแลกที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ โดยจะแลกได้เพียงครึ่งราคาของมูลค่าเท่านั้นนะครับ (มีหลายคนถามว่า ธนาคารทั่วไปแลกได้หรือไม่ ตอบว่าได้ครับ แต่จะให้บริการเฉพาะวันพุธเท่านั้น)
3. ธนบัตรขาดครึ่งและต่อผิด หมายถึงธนบัตรที่ขาดออกจากกันแล้วถูกซ่อมแซม แต่เป็นการซ่อมแซมโดยใช้ชิ้นส่วนจากธนบัตรฉบับอื่น(แต่รูปแบบเดียวกัน) สามารถนำไปแลกได้ที่ธนาคารออมสิน โดยจะแลกได้เต็มมูลค่าของราคาธนบัตร แต่มีข้อแม้ว่าส่วนที่นำมาต่อกันจะต้องสมบูรณ์ทั้งสองส่วน
4. ธนบัตรที่ชำรุดแบบขาดวิ่น มักพบได้ในกรณีที่ถูกปลวกแทะ ฉีกขาด หรือไฟไหม้ หากส่วนที่เหลือของธนบัตรนั้นมีปริมาณมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์สามารถนำไปแลกได้เต็มมูลค่าของธนบัตร
5. ธนบัตรที่ชำรุดแบบลบเลือน มักจะพบเห็นได้ในธนบัตรเก่า คือจะมีสภาพหมึกลบเลือน หรือตัวธนบัตรเปลี่ยนสีไปจากเดิม อาจจะเนื่องมาจากสาเหตุต่างกัน เช่นโดนน้ำ หรือน้ำยาเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน (ซักผ้าแล้วลืมเอาเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ/กางเกง) ถ้าเป็นกรณีนี้ให้นำไปแลกได้เต็มมูลค่าของธนบัตร แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นธนบัตรของจริงเท่านั้น
สำหรับสถานที่แลกเปลี่ยนเงินตรา หรือธนบัตรที่ชำรุดนั้น นอกจากธนาคารออมสินแล้ว ท่านยังสามารถนำไปแลกได้ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย เขตบางขุนพรหม รวมถึงสำนักงานคลังจังหวัด และสำนักงานคลังอำเภอได้ทั่วประเทศ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้ใดๆ แต่อยากจะแนะนำว่า การเก็บธนบัตรไว้กับตัวนั้น ควรเก็บด้วยความระมัดระวัง เพราะแม้ว่าตัวของธนบัตรนั้นแท้จริงแล้วทำขึ้นมาจากใยฝ้ายผสมกระดาษ ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุที่คงทนในระดับหนึ่ง แต่หากเราเก็บรักษาอย่างระมัดระวัง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของธนบัตรแต่ละฉบับออกไปได้ยาวนานกว่าเดิมเลยทีเดียว
http://www.เกร็ดความรู้.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 5/10/2560
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 5/10/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 27.45 | 27.85 | – | 27.45 | 27.45 | 27.45 |
27.45
|
27.45
|
27.45
|
27.45
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
24.94
|
25.34
|
24.94
|
24.94
|
24.94
|
– |
24.94
|
24.94
|
24.94
|
24.94
|
แก๊สโซฮอล E-85 | 20.24 | 20.44 | – | – | – | – | – | 20.24 | 20.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 27.18 | 27.58 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 |
เบนซิน 95 | 34.56 | – | – | – | 35.01 | – | 35.06 | 34.56 | 34.56 | 34.56 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 | 26.19 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 29.19 | 29.19 | 29.19 | 29.19 | 29.19 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 | 05 Oct 05:00 |