ครม.อัดเงิน1.67หมื่นล้าน เพิ่มทุนธอท.-ตั้งอินฟินอิท ยันใช้เงินตามวัตถุประสงค์
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวม 16,781.1 ล้านบาท เพื่อดำเนินการใน 3 เรื่องคือ เพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือไอแบงก์ วงเงิน 16,100 ล้านบาท จัดสรรให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ นำไปจัดทำโครงการพัฒนาฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง 31.1 ล้านบาท และให้มูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน หรือสถาบันอินฟินอิทจำนวน 650 ล้านบาท
ทั้งนี้ยืนยันว่าการใช้เงินจากกองทุนฯในครั้งนี้ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ เพราะเป็นการนำเงินมาใช้ในการพัฒนาในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดทำฐานข้อมูลของบ้านมือสอง รวมไปถึงการจัดทำข้อมูลเพื่อรองรับโครงการบ้านสำหรับผู้สูงอายุหรือรีเวิร์ส มอร์เกจ ขณะที่รายได้ของกองทุนมาจากการเก็บเงินจากฐานเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งปัจจุบันฐานะกองทุนล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 61 อยู่ที่ 21,890.90 ล้านบาท
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า หลังจากครม.เห็นชอบให้ใช้เงินจากองทุนฯเพิ่มทุนให้กับธอท.แล้ว ธอท.ต้องเร่งหาพันธมิตรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้พันธมิตรเข้าร่วมลงทุนและเข้าร่วมปรับปรุงการบริหารจัดการภายในของธอท.ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันครม.ยังเห็นชอบให้กระทรวงการคลังถือหุ้นภายหลังเพิ่มทุนให้ธอท.ในสัดส่วนไม่เกิน 99.71% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเมื่อสามารถกระจายหุ้นของธอท.หรือหาพันธมิตรมาเข้าร่วมลงทุนได้
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ครม.เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 60 ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาของธอท.ทั้งการปรับโครงสร้างทางการเงิน การปรับโครงสร้างทางธุรกิจ และการสรรหาพันธมิตร โดยธอท.ต้องได้รับการเพิ่มทุนจำนวน 18,100 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ได้เพิ่มทุนโดยใช้เงินงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือสคร. จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากการปรับโครงสร้างทางการเงิน และโครงสร้างทางธุรกิจ และถ้าสามารถเพิ่มทุนได้ภายในปี 61 จะส่งผลให้ ธอท.มีผลประกอบการดีขึ้นและกลับมามีกำไรที่ 828 ล้านบาท ในปี 61 และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์ที่ 8.5% ได้ภายในปี 65 และมีกำไรสุทธิที่ 3,900 ล้านบาท
สำหรับการจัดตั้งสถาบันอิน ฟินอิท จำนวน 650 ล้านบาท เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเงินในไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการกิจการฟินเทคในระยะเริ่มต้น สามารถค้นคว้า พัฒนาและทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการเงินและบริการทางการเงิน และแนะนำวิธีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อให้สามารถหาแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้
ขอบคุณบทความจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ส่องเทรนด์ที่อยู่อาศัย‘สูงวัย’โอกาสอสังหาฯชิงกำลังซื้อ
กลุ่ม”สังคมผู้สูงวัย” (Aging Society) ตามนิยามของกองทุน ประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ถือว่าเป็นผู้บริโภคที่มี
ศักยภาพด้านการจับจ่ายสูงสุดและเป็นกลุ่มที่มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2578 กลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะ
มีสัดส่วนถึง 30% ของประชากรประเทศไทย จากทิศทางดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจต่างหันมาพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบ
โจทย์ความต้องการกลุ่มสูงวัย เพื่อช่วงชิงตลาดและกำลังซื้อที่ขยายตัวสูง ในอนาคต
ปัจจุบันพบว่าแนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ จับกลุ่ม”ผู้สูงวัย” เป็นเทรนด์ใหม่เริ่มเด่นชัดมากขึ้น
เรื่อยๆ สะท้อนจากผู้ประกอบการต่างหันมาพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น สอดคล้องกับสำนักงาน
เศรษฐกิจการคลัง คาดการณ์ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุภายในเวลา 10 ปีข้างหน้า หรือปี2568 มีประชาชน
ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 20% จากประชากรรวม 72 ล้านคน
เกษรา ธัญญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทให้ความสนใจ
และ มีการศึกษาตลาดผู้สูงวัยมาระยะหนึ่งแล้ว มองว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ในอนาคต เบื้องต้นพัฒนาแบบโครงการ
ทาวน์เฮาส์ ให้ทุกโครงการมีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ จะเริ่มใช้กับทุกโครงการทาวน์เฮาส์ในปี 2559 จากก่อนหน้านี้
เพิ่มฟังชั่นพิเศษสำหรับ ผู้สูงอายุ เช่น การทำราวจับ พื้นไม่ลื่น ฝักบัว ที่เลื่อนระดับได้
ส่วนแนวคิดที่จะพัฒนาโครงการ “หมู่บ้านจัดสรรสำหรับกลุ่มคน 60 ปี” หรือคนหลังวัยเกษียณอายุในย่านพัทยา
เนื่องจากมีที่ดินและเป็นทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้ และเดินทางสะดวกใกล้แหล่งความเจริญ ซึ่งเป็น
รูปแบบเดียวกับ “บ้านพักคนชราที่แคนาดา” แต่โครงการดังกล่าวจะเป็นแผนระยะยาว เนื่องจากการทำบ้านเพื่อกลุ่มคน
เหล่านี้มีรายละเอียดมากกว่าบ้านจัดสรรทั่วไป ทั้งการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งพนักงานที่ต้องมี
ความรู้และการดูแลผู้สูงอายุ จึงเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลามากในการพัฒนา เพราะต้องการทำหมู่บ้านให้คนชราให้ใช้ชีวิต
อย่างมีความสุขหลังวัยเกษียณ
“สังคมไทยนิยมการอยู่อาศัยรวมกันเป็นครอบครัว ปู่ ย่า ตา ยาย การพัฒนาโครงการจัดสรรเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย อาจไม่
ตอบโจทย์
++ในช่วงเวลานี้ แต่มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในอนาคตเมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ”
ภวรัญชน์ อุดมศิริ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท โกลเด้นแลนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ในเครือบริษัท แผ่นดิน
ทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าผู้สูงวัยเป็นอีกกลุ่มลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ ดังนั้นการ
พัฒนาโครงการจะเสริมการออกแบบที่รองรับการใช้งานของกลุ่ม สูงอายุ เช่น ห้องนอนชั้นล่างในทุกโครงการ การ
ออกแบบฟังก์ชั่นพิเศษสำหรับห้องนอน ผู้สูงอายุ ส่วนห้องน้ำวางตำแหน่งไว้ใต้บันได
“การพัฒนาโครงการของโกลเด้นแลนด์ มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยไม่ละเลย รายละเอียดเล็กๆ ที่สามารถสร้าง
ความพอใจให้ลูกค้า”
อิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าบริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรองรับ
กลุ่มผู้สูงวัยมากว่า 11 ปีแล้ว ปัจจุบันสังคมไทยยังนิยม อยู่รวมกัน ในหนึ่งครอบครัวจะอยู่ร่วมกันหลายเจเนอเรชั่น ปู่ ย่า ตา
ยาย ต่างจากสังคม ตะวันตก ดังนั้นบ้านทุกโครงการจึงมีห้องสำหรับผู้สูงอายุ เพราะต้องการให้อยู่กับครอบครัว โดยเริ่ม
โครงการทาวน์เฮาส์ระดับราคา 1 ล้านต้นๆ
จากการศึกษาข้อมูลและพฤติกรรมของลูกค้า พบว่ากว่า 72% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่มีการต่อเติมบ้านและเพิ่มเติม
พื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะห้องนอนสำหรับ ผู้สูงอายุ บริษัทจึงเล็งเห็นความสำคัญในการเพิ่มพื้นที่ห้องนอน
ในบ้านเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าให้ตอบโจทย์มากที่สุด
พิเชษฐ์ ศุภกิจจานุสันติ์ กรรมการบริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากแนวโน้ม
การขยายตัวของกลุ่มประชากรสูงวัย จึงเห็นโอกาสทางการตลาด ช่วง2ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาคอนโดมิเนียมแบบใหม่ แนวคิด
“Pleasure Family ” นำร่องในห้องชุดบางส่วนใน โครงการลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ที่ใช้เป็นต้นแบบการอยู่รวมกัน
ของกลุ่มคน 3 วัยอย่างลงตัว ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการ ที่รองรับไลฟ์สไตล์ของคนแต่ละวัย
แนวคิดการพัฒนาคอนโดเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย มาจากกลุ่มประชากรสูงวัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นและมีความ
ต้องการ ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี”
++จากประสบการณ์การดูแลโครงการ ผู้สูงวัยและผลการวิจัยของฝ่ายวิจัยและ
พัฒนาของบริษัทที่เก็บสถิติเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้สูงวัย พบว่าส่วนใหญ่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวและมี
กิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นการพัฒนาโครงการจึงออกแบบเพื่อ ให้เหมาะกับคนทุกวัยในครอบครัว การออกแบบห้องชุดอาศัย
ได้นำ รายละเอียดของ “ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์” มารองรับกับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย เช่น ขนาดห้อง 34 ตร.ม. อำนวยความ
สะดวกในการใช้วีลแชร์ เพิ่มราวจับในห้องน้ำเพื่อความปลอดภัย รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นในห้องที่ไม่มีเหลี่ยมมุม มีปุ่ม
ฉุกเฉินในกรณีต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน และพื้นที่ส่วนกลางเพื่อสามารถ ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ได้แก่
ห้องครัวรวม พื้นที่สำหรับชมภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ และกิจกรรมนอกสถานที่
ด้านบริการอื่นๆ บริษัทสร้างห้องสุขภาพเพื่อผู้อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชม. โดยมีผู้ช่วยพยาบาลประจำ
เพื่อรับเหตุฉุกเฉินจากห้องชุดพักอาศัย หากมีสัญญาณฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ จะมีระบบ ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล แม้
เทรนด์ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น จากการออกแบบโครงการเพื่อรองรับการใช้ชีวิตผู้สูงอายุ เนื่องจาก
สังคมไทยจะนิยมอยู่อาศัยรวมกัน จึงยังไม่เห็นโครงการจัดสรรที่พัฒนาเฉพาะคนสูงอายุ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะเห็นหมู่บ้าน
จัดสรรคนสูงอายุแน่นอน
ขอบคุณบทความจาก กรุงเทพธุรกิจ
ปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย ไม่ว่าจะเข้ามาในฐานะนักลงทุน ลูกจ้างของบริษัทองค์กรต่างๆ รวมไปถึงฐานะคู่สมรสของชาวไทย ในขณะที่ที่อยู่อาศัยนั้นเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิต คุณรู้หรือไม่ ชาวต่างชาติกู้ซื้ออสังหาฯ ในไทยได้ แต่ยังเป็นที่สงสัยว่า ชาวต่างชาตินั้นสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยประเภทใดได้บ้าง เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม เป็นต้น และถ้าหากชาวต่างชาติอยากกู้ซื้ออสังหาฯ ในไทย ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง? ซึ่งเป็นที่มาของบทความในครั้งนี้ ที่ DDproperty หาคำตอบมาให้คุณเช่นเคยครับ
ดังที่คุณทราบแล้วว่าชาวต่างชาติกู้ซื้ออสังหาฯ ในไทยได้ แต่ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์ได้ในฐานะบุคคลธรรมดานั้นมีเพียงประเภทเดียวก็คือห้องชุดหรืออาคารชุด หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าคอนโดมิเนียม ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่าคอนโดมิเนียมโครงการหนึ่งจะมีการถือครองโดยชาวต่างชาติได้ในสัดส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 49 ของยูนิตทั้งหมดเท่านั้น คุณสามารถศึกษาวิธีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยของชาวต่างชาติได้ที่นี่ ดังนั้นการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติที่เราจะกล่าวถึงในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นไปที่คอนโดมิเนียมเป็นหลัก ใน 2 กรณีด้วยกันคือ กรณีที่ชาวต่างชาติไม่ได้สมรสกับคนไทย และอีกกรณีคือชาวต่างชาติสมรสกับคนไทย เชิญคุณทำความเข้าใจพร้อมกันทีละกรณีเลยครับ
กรณีที่ชาวต่างชาติกู้ด้วยตนเอง โดยไม่ได้สมรสกับคนไทย
ในกรณีที่ชาวต่างชาติไม่ได้สมรสกับคนไทย แต่ต้องการกู้ซื้อคอนโดมิเนียมโดยตนเองเป็นผู้กู้โดยตรงนั้นโดยหลักการแล้วจะไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้ เนื่องจากข้อบังคับและนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่เปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งอยู่ในกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยให้สินเชื่อแก่ชาวต่างชาติโดยตรงได้ แต่ก็ยังมีสถาบันการเงินบางแห่งที่ชาวต่างชาติสามารถขอกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียมได้โดยตรง ดังนี้
ธนาคารพาณิชย์เอกชนนานาชาติ
จากการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารยูโอบี ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนนานาชาติที่มีสาขาอยู่ในอีก 12 ประเทศ พบว่าธนาคารยูโอบีสามารถให้สินเชื่อแก่ชาวต่างชาติโดยตรงได้ ทั้งชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตเข้าประเทศไทย (Visa) และใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปจึงจะสามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้ หรือถ้าหากทำงานในต่างประเทศก็จะต้องทำงานอยู่ในประเทศซึ่งมีสาขาของธนาคารยูโอบีตั้งอยู่ และไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากในประเทศไทยหรือบัญชีของธนาคารยูโอบีแต่อย่างใด แต่ทางธนาคารจะมีการตรวจสอบการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และให้วงเงินกู้สูงสุด 70% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามการประเมินของทางธนาคาร โดยคอนโดมิเนียมที่จะซื้อนั้นจะต้องมีมูลค่าขั้นต่ำ 3 ล้านบาทเป็นต้นไป
สถาบันการเงินอื่นๆ
นอกจากธนาคารพาณิชย์แล้วยังมีสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือการกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งสามารถให้ชาวต่างชาติกู้เพื่อซื้อบ้านได้โดยตรง ด้วยเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้กู้ชาวต่างชาติที่แตกต่างกันออกไป จากการสอบถามไปยัง บริษัท เอ็มบีเค การันตี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเอ็มบีเคทำให้ทราบว่าที่นี่มีการปล่อยกู้ให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย โดยให้กู้นานที่สุดไม่เกิน 10 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะเท่ากับ MLR+2% โดยอ้างอิง MLR จากธนาคารธนชาต โดยปัจจุบัน MLR ของธนาคารธนชาตเท่ากับ 7.125% (จากการสำรวจ ณ วันที่ 22 มกราคม 2558) ส่วนคุณสมบัติของผู้กู้ต่างชาตินั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูลเครดิตในประเทศไทยจากสำนักงานเครดิตแห่งชาติ ควบคู่กับการพิจารณารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน จากบัญชีเงินฝากธนาคารใดก็ได้ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ผู้กู้ไม่จำเป็นต้องทำงานในประเทศไทยและไม่ต้องมีคู่สมรสชาวไทย
กรณีที่ชาวต่างชาติสมรสกับชาวไทย
ในกรณีที่ชาวต่างชาติมีคู่สมรสเป็นคนไทยนั้นจะทำให้ชาวต่างชาติสามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินที่หลากหลายมากขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าชาวต่างชาติสามารถอยู่ได้ใน 3 สถานะ ได้แก่ ผู้กู้ ผู้กู้ร่วม และผู้ค้ำประกัน ซึ่งมีรายละเอียดในการขอสินเชื่อที่แตกต่างกัน ดังนี้
ผู้กู้ชาวต่างชาติ
ถ้าชาวต่างชาติสมรสกับคนไทยแล้วต้องการกู้ซื้อคอนโดมิเนียมด้วยตนเองเพียงฝ่ายเดียวนั้นมีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่เปิดโอกาสให้ทำได้ ซึ่งเราได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ของธนาคารกสิกรไทยและธนาคารยูโอบี
สำหรับธนาคารกสิกรไทยนั้นผู้กู้ชาวต่างชาติจะทำงานในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ได้ ธนาคารจะพิจารณารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน และจะได้วงเงินกู้สุงสุด 80% ของราคาประเมินจากธนาคาร และหากทำงานในไทยต้องมีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ไม่น้อยกว่า 1 ปี
ในขณะที่ธนาคารยูโอบีนั้นก็มีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน แต่ให้วงเงินกู้ในช่วง 80-95% ของมูลค่าหลักทรัพย์จากการประเมินของโครงการ อีกทั้งชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศจะต้องมีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
ผู้กู้ร่วมชาวต่างชาติ
สำหรับกรณีที่ชาวต่างชาติจดทะเบียนสมรสกับชาวไทย และต้องการกู้ซื้อคอนโดมิเนียมร่วมกับคู่สมรสชาวไทย ซึ่งหมายถึงการที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะผู้กู้ร่วมเพื่อกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในที่นี้คือคอนโดมิเนียมห้องเดียวกัน ซึ่งจากการสำรวจไปยังธนาคารพาณิชย์ทั้ง 2 แห่งได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารยูโอบี พบว่าทั้งสองธนาคารยอมรับการเป็นผู้กู้ร่วมเพื่อซื้อคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติที่สมรสกับชาวไทย โดยทั้งสองธนาคารนั้นให้เงื่อนไขในการกู้ ดังนี้
ธนาคารกสิกรไทยนั้นกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยต้องถือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ไม่น้อยกว่า 1 ปี พร้อมกับการตรวจสอบการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน สำหรับวงเงินกู้นั้นจะอยู่ที่ 80% ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ประเมินโดยธนาคาร ส่วนผู้กู้ร่วมชาวต่างชาติที่ทำงานนอกประเทศไทยก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
ธนาคารยูโอบี กำหนดเงื่อนไข คือ ต้องมีผู้กู้เป็นคู่สมรสชาวไทย โดยมีชาวต่างชาติเป็นผู้ค้ำประกัน
ซึ่งชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) และทำงานในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยสามารถขอวงเงินกู้ได้ประมาณ 80-95% ของราคาประเมินหลักประกัน
ผู้ค้ำประกันชาวต่างชาติ
อีกหนึ่งบทบาทที่ชาวต่างชาติซึ่งสมรสกับชาวไทยสามารถเป็นได้ก็คือการเป็นผู้ค้ำประกันการกู้ซื้อคอนโดมิเนียมให้กับผู้กู้ที่เป็นคู่สมรสชาวไทย ซึ่งจากการสอบถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าฐานะเดียวที่ชาวต่างชาติจะสามารถเป็นได้ในการกู้ซื้อคอนโดมิเนียมก็คือการเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งสอดคล้องกับการสอบถามไปยังธนาคารอีก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารยูโอบี
สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์นั้นชาวต่างชาติที่จะขอสินเชื่อได้จะทำงานในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ได้ หากทำงานในประเทศไทย ต้องมีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ตั้งแต่ 6 เดือนเป็นต้นไป และตรวจสอบการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน โดยไม่ระบุรายได้ขั้นต่ำของชาวต่างชาติ วงเงินกู้สูงสุดเท่ากับ 90% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ตามการประเมินของทางธนาคาร
ธนาคารกสิกรไทย นั้นกำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติเช่นเดียวกับในกรณีของผู้กู้ร่วมชาวต่างชาติ คือชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยต้องถือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) ไม่น้อยกว่า 1 ปี พร้อมกับการตรวจสอบการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน สำหรับวงเงินกู้นั้นจะอยู่ที่ 80% ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ประเมินโดยธนาคาร ชาวต่างชาติที่ทำงานต่างประเทศก็สามารถขอเป็นผู้ค้ำประกันได้
ธนาคารยูโอบี กำหนดเงื่อนไขเช่นเดียวกับหัวข้อด้านบน คือ ต้องมีผู้กู้เป็นคู่สมรสชาวไทย โดยมีชาวต่างชาติเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) และทำงานในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยสามารถขอวงเงินกู้ได้ประมาณ 80-95% ของราคาประเมินหลักประกัน
การเตรียมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อบ้านสำหรับชาวต่างชาติ
การเตรียมเอกสารเพื่อยืนขอสินเชื่อบ้านสำหรับชาวต่างชาตินั้นจะคล้ายคลึงกับการเตรียมเอกสารเพื่อขอกู้บ้านของชาวไทย คือจะแบ่งเป็นเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 เอกสารประจำตัวผู้ขอสินเชื่อ สำหรับชาวต่างชาติเอกสารชุดนี้จะประกอบไปด้วย หนังสือเดินทาง (Passport) ใบอนุญาตเข้าประเทศไทย (Visa) และใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) หากจดทะเบียนสมรสกับคนไทยต้องเตรียมทะเบียนสมรสด้วย
กลุ่มที่ 2 เอกสารแสดงความสามารถทางการเงิน ได้แก่ หนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือแสดงการจ่ายเงินเดือน (Payment Slip) สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อแสดงรายการเดินบัญชีย้อนหลัง หนังสือแสดงภาษีเงินได้ประจำปี หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
กลุ่มที่ 3 เอกสารแสดงรายละเอียดหลักทรัพย์ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการขอสินเชื่อเพื่อซื้อ ในกรณีนี้คือคอนโดมิเนียม ได้แก่ หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช. 2) แผนที่ตั้งอาคารชุด แผนผังห้องชุด รูปถ่ายอสังหาริมทรัพย์ สัญญาจะซื้อจะชาย สัญญามัดจำ หรือหลักฐานการชำระเงินดาวน์
กรณีที่มีคู่สมรสคนไทยเป็นผู้กู้ร่วมด้วยก็ให้จัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติมของผู้กู้ร่วมในกลุ่มเอกสารที่ 1 และ 2 ทั้งนี้คุณสามารถศึกษารายละเอียดและขั้นตอนการเตรียมเอกสารเพื่อเตรียมยื่นขอสินเชื่อได้จากบทความนำแนะการเตรียมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อที่นี่
กรณีที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นนอกจากคอนโดมิเนียมสามารถทำได้หรือไม่ อย่างไร
โดยลำพังแล้วชาวต่างชาติไม่สามารถกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ได้เลยนอกจากคอนโดมิเนียม แต่เมื่อชาวต่างชาติจดทะเบียนสมรสกับชาวไทยแล้วจะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือที่ดินได้ ด้วยการเป็นผู้กู้ร่วมกับคู่สมรสชาวไทย หรือผู้ค้ำประกันให้กับคู่สมรสชาวไทยซึ่งเป็นผู้กู้หลัก
กรณีที่คู่สมรสชาวไทยไม่มีรายได้ หรือมีรายได้แต่ไม่เพียงพอกับวงเงินกู้ที่ต้องการ แต่ต้องการกู้จะทำเช่นใด
ในกรณีที่คู่สมรสชาวไทยเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ แต่ต้องการเป็นผู้กู้หลักหรือผู้กู้ร่วม ชาวต่างชาติสามารถโอนเงินเข้าบัญชีของคู่สมรสชาวไทยให้เกิดรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ในจำนวนที่เพียงพอสำหรับวงเงินกู้ที่ต้องการ หรือในกรณีที่คู่สมรสชาวไทยมีรายได้แต่ไม่เพียงพอกับวงเงินกู้ที่ต้องการ ชาวต่างชาติสามารถฝากเงินเติมเข้าไปในบัญชีของคู่สมรสได้เพื่อให้รายได้ต่อเดือนโดยรวมเพิ่มขึ้น และธนาคารจะพิจารณาวงเงินกู้ที่สูงขึ้น ซึ่งคุณสามารถสอบถามวิธีการและขั้นตอนกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ครับ
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ นักเขียนออนไลน์ประจำ DDproperty.com
5 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฮวงจุ้ยในห้องนอน
เจ้าของบ้านหลายท่านมักจะมองข้ามห้องนอนไปจัดแจงมุมอื่นภายในบ้านให้น่ามองโดยเฉพาะในเรื่องของฮวงจุ้ย ซึ่งอันที่จริงแล้วการให้ความสำคัญกับฮวงจุ้ยห้องนอนนั้นละเลยไม่ได้ เพราะอาจมีพลังงานไม่ดีในบ้านที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์และสุขภาพโดยรวมของสมาชิกในบ้านได้ ฉะนั้นวันนี้เราจึงมาแนะนำ 5 เคล็ดลับพื้นฐานเกี่ยวกับฮวงจุ้ยในห้องนอนที่ทุกคนควรรู้
1. เก็บเครื่องใช้ไฟฟ้า โต๊ะทำงานและอุปกรณ์ออกกำลังกายออกไป
ห้องนอนของคุณควรใช้เป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนเท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้า โต๊ะทำงานและอุปกรณ์ออกกำลังกายทั้งหลายเป็นสัญลักษณ์ของความตื่นตัวและจะดึงดูดพลังงานไป หากคู่ของคุณยืนกรานที่จะให้มีโทรทัศน์อยู่ในห้องนอน ให้วางโทรทัศน์ไว้ในตู้ติดผนังและปิดฝาตู้เสียเมื่อได้เวลานอน ควรหาฉากมากั้นปิดอุปกรณ์ออกกำลังกายต่างๆ หรือโต๊ะทำงานให้พ้นสายตา
2. ตำแหน่งของเตียง
ตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับวางเตียงนอนคืออยู่ตรงข้ามกับประตูในแนวทแยงมุม ซึ่งคุณจะยังมองเห็นประตูได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กับประตูมากจนเกินไป การวางเตียงตำแหน่งนี้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยซึ่งจะช่วยให้คุณพักผ่อนและหลับได้อย่างสนิท พยายามหลีกเลี่ยงการวางเตียงนอนในตำแหน่ง “โลงศพ” ซึ่งปลายเท้าของเตียงอยู่ตรงกับประตู เนื่องจากการวางเตียงตำแหน่งนี้จะอยู่ขวางตรงกลางของทางเดิน ทำให้เกิดความเครียดและกังวล เตียงนอนไม่ควรวางอยู่ใต้คานหรือพัดลมเพดาน เนื่องจากซินแสฮวงจุ้ยเชื่อว่าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและความสัมพันธ์ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้แขวนขลุ่ยจีนพันด้วยด้ายแดงใต้คานเพื่อปรับฮวงจุ้ยแก้เคล็ด
3. เลือกการประดับตกแต่งที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงภาพวาดที่เป็นภาพเดี่ยวๆ หรืองานศิลปะที่เป็นชิ้นเดียว เนื่องจากเป็นการสื่อถึงความโดดเดี่ยวเดียวดาย แม้ว่าภาพน้ำตกจะดูสดชื่นผ่อนคลายดีหลังจากที่คุณเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ซินแสแนะนำไม่ให้ประดับภาพที่เป็นแม่น้ำ ทะเลสาบหรือน้ำตกในห้องนอน เนื่องจากน้ำสื่อถึงเงิน แต่เมื่อติดไว้ในห้องนอนก็อาจส่งผลให้เกิดความสูญเสียด้านการเงินหรือความสัมพันธ์ได้ เมื่อคุณจะเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนอน ให้เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นคู่ เช่น ซื้อโต๊ะข้างเตียงเป็นคู่ แทนที่จะเลือกแบบตัวเดียว และเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมุมโค้งมนแทนที่จะเป็นมุมเหลี่ยมๆ
4. การเลือกใช้สี
ซินแสฮวงจุ้ยแนะนำว่าสีที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์ เช่น สีครีม สีพีช สีเบจ สีเหลือง สีปะการัง สีแทนหรือสีโกโก้ เป็นสีที่เหมาะสำหรับทาผนังห้องนอน สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อนหรือแม้แต่สีอย่างสีม่วงอ่อนหรือสีลาเวนเดอร์เป็นสีเย็นๆ ให้ความรู้สึกสงบที่จะช่วยทำให้การพักผ่อนยามค่ำคืนในสงบยิ่งขึ้น การเลือกคู่สีที่ส่งเสริมกันมากที่สุดในแง่ของฮวงจุ้ยคือการเลือกคู่สีในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ระหว่างสีอบอุ่นกับสีเย็นที่กล่าวมาข้างต้น พยายามหลีกเลี่ยงสีที่ดูเจิดจ้ามากเกินไป เช่น สีขาวสว่าง สีฟ้าสด หรือโทนสีเทาทึมๆ เนื่องจากสีเหล่านี้อาจจะรบกวนการนอนหลับได้
5. การวางกระจกเงา
หากคุณต้องการมีกระจกเงาในห้องนอน คุณมีจุดที่จะต้องหลีกเลี่ยงการตั้งกระจกเงาอยู่ 2-3 จุด เช่น อย่าตั้งกระจกเงาที่ปลายเตียง เนื่องจากเชื่อว่าจะทำให้มือที่สามเข้ามาแทรกแซงชีวิตสมรสของคุณและส่งผลให้เกิดความไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน นอกจากนี้ ซินแสฮวงจุ้ยเชื่อว่า กระจกเงาจะสะท้อนพลังงาน ดังนั้น การตั้งกระจกเงาไว้เหนือเตียงนอนหรือข้างเตียงตรงๆ อาจทำให้นอนหลับไม่สนิท
ขอบคุณบทความจาก www. theAsianparent.com
ไถเฟซบุ๊คบ่อย เลื่อนไอจีเก่ง มารเงียบทำลาย สุขภาพจิต
ปัจจุบันสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่พอ สุขภาพจิต ก็ต้องแกร่งตามด้วย เพราะตอนนี้เรามักเห็นภาพยนตร์ที่อิง ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว อยู่เป็นจำนวนมาก
ทาง rabbit finance คาดว่าตัวการสำคัญที่ทำให้คนไทย และคนทั่วโลกป่วยจิตกันมากขนาดนี้ เป็นเพราะโลกโซเชียลมีเดียค่ะ ถึงแม้โซเชียลมีเดียจะทำให้โลกของเราแคบขึ้น มีความรวดเร็วในการรับข่าวสาร แต่โซเชียลมีเดียก็เป็นภัยเงียบตัวดี ที่ทำให้ป่วยจิตเหมือนกันค่ะ
งานวิจัยชี้ โซเชียลมีเดีย ภัยเงียบทำลาย สุขภาพจิต
มีงานวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ ดร. เอลิซาเบท มิลเลอร์ (Elizabeth Miller) จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก และทีมผู้วิจัย กล่าวว่า การใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นประจำจะกระตุ้นให้ผู้ใช้รู้สึกเหงา และหดหู่มากขึ้น
รวมถึงนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก ได้ประเมินว่า อายุระหว่าง 19 – 32 ปี มีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าสูงมาก
อีกหนึ่งงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ใน American Journal of Preventive Medicine ระบุว่าวัยรุ่น คนหนุ่มสาวที่เล่นโซเชียลมีมากขึ้น เพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว และยังคาดว่าการใช้โซเชียลเป็นประจำ มีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิตในวัยรุ่น
ส่วนในประเทศไทยของเรา ก็พบวัยรุ่นอายุ 10 – 19 ปี มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงร้อยละ 44 หรือประมาณ 3 ล้านกว่าคน จากจำนวนวัยรุ่นทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน อัตราป่วยร้อยละ 18 ซึ่งคาดว่าป่วยไปแล้ว 1 ล้านคน ถือว่าไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลยนะคะเนี่ย
โซเชียลมีเดียกับอิทธิพลต่อความคิดผู้เล่น
อย่างที่เรารู้กันว่าสังคมไทยและทั่วโลก ต่างมีโลกโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น ซึ่งข้อดีของโซเชียลมีเดียทำให้โลกของเราแคบลง ไวขึ้น เราสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนของเราทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน
แต่รู้ไหมคะ ว่าโซเชียลมีเดีย กลับเป็นตัวร้าย เป็นสาเหตุของการป่วยจิตได้เลยนะคะ ยิ่งใครที่ติดโซเชียลมีเดียหนักๆ ไถเฟซบุ๊ค เล่นไอจี ตลอดๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้ไม่น้อยเลย
โดยภัยเงียบที่ผู้เสพโซเชียลมีเดียหนักๆ และมีเกณฑ์ป่วยจิต จะมีอาการและความรู้สึกที่อาจเป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้าดังนี้
- อารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไว
เพราะอารมณ์ของเราจะถูกเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ต่างจากยุคโทรทัศน์ที่คนสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปตามช่องโทรทัศน์ที่เราเปลี่ยน อย่างเช่น ดูละครตลกอยู่ เปลี่ยนช่องไปเจอข่าวสลด จากอารมณ์ตลกก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เศร้า
ซึ่งความรู้สึกของเราจะปลี่ยนเร็วมาก เมื่ออยู่บนโซเชียลมีเดีย เพราะเพียงแค่นิ้วเราไถขึ้นไถลง เราสามารถรับรู้ข่าวสารหลากอารมณ์ด้วยกัน และเป็นอารมณ์ที่อยู่บนฐานความคิดของตัวเอง จึงก่อให้เกิดความไม่เสถียรทางอารมณ์ของคนในยุคปัจจุบัน
- ความรู้สึกเหงา
ใครที่ใช้โซเชียลมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มทำให้เหงามากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้สำรวจอาการ พฤติกรรม และความรู้สึก ซึ่งคนที่ใช้โซเชียลบ่อย มีผลออกมาว่าพวกเขามีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมลดลง ปฏิสัมพันธ์แย่ลง เกิดความรู้สึกเหงา จนถึงขั้นเก็บตัว
- โทษตัวเอง ดูถูกตัวเอง
อีกทั้งเวลาที่เห็นคนอื่นโพสรูป เช็คอิน เห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดี เที่ยวต่างประเทศ แต่ตัวเองกลับนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ จนทำให้คนเหล่านี้เกิดความรู้สึกอิจฉา เกิดความรู้สึกดูถูกตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า ซึ่งหากถึงขั้นร้ายแรงอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้
ถึงแม้จะมีหลายคนบอกว่า พื้นที่โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ในเมื่อเราโพสอะไรลงไปทุกคนย่อมเห็นสิ่งที่เรากำลังทำ ถึงจุดนี้เรายังสามารถเรียกโซเชียลมีเดียว่าพื้นที่ส่วนบุคคลได้อยู่หรือไม่ เราก็ต้องมาคิดกันอีกที
ทั้งนี้เราไม่สามารถบังคับใครให้เลิกโพสต์รูปถ่าย หรือเช็คอินได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา เราจะเก็บเรื่องเหล่านั้นมาคิด หรือจะหยุดคิด แล้วออกไปอยู่ในโลกของความจริงมากกว่าโลกโซเชียล หากิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข เชื่อว่าถ้าเรามีสุขภาพจิตที่แข็งแรง โรคซึมเศร้าไม่เข้ามาหาเราอย่างแน่นอนค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.rabbitfinance.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 7 กันยายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,700.00 | 18,600.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,200.00 | 18,267.80 | 1,205.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,934.84 | 1,249.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,441.02 | 1,084.50 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,614.24 | 964.00 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,216.72 | 542.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,397.52 | 422.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 7 กันยายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | – | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.59 | 21.59 | – | – | – | – | – | 21.59 | 21.59 | – |
เบนซิน 95 | 37.66 | – | – | – | 38.11 | – | 38.16 | 37.96 | 37.76 | 37.96 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 14.58 | 14.58 | – | – | – | – | – | – | – | – |