สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 8 มีนาคม 2562

ราคาที่ดินขึ้นสูงสุดรอบ 25 ปี สยามฯ-รามคำแหง ขึ้นแท่นทำเลดาวรุ่ง

ราคาที่ดินขึ้นสูงสุดรอบ 25 ปี สยามฯ-รามคำแหง ขึ้นแท่นทำเลดาวรุ่ง

ราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการปรับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยหลักมาจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ หนุนศักยภาพที่ดินให้เติบโต ประกอบกับอุปทานที่ดินมีจำกัด จึงมีการเก็บที่ดินไว้เก็งกำไร ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2560-2561 ที่ผ่านมา ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 25 ปี

ราคาที่ดินขึ้น 7.9% สูงสุดในรอบ 25 ปี

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย เผยผลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินระหว่างปี 2537-2561 พบว่าในช่วงปี 2560-2561 ที่ผ่านมา ราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้นถึง 7.9% เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา สำรวจจากแปลงสำคัญ 324 แปลงกระจายทั่วไป โดยปรับตัวสูงสุดในช่วงปี 2546-2548 จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มในอัตราที่ลดลง และปรับตัวในอัตราเพิ่มในปี 2553-2561 จนถึงปัจจุบัน

หากพิจารณาในรอบ 19 ปี (ปี 2541-2561) ทำเลที่ปรับตัวเพิ่มสูง คือ ในเขตชั้นใน 266.2% เขตชั้นนอก 106.7%-132.9% (เทียบกับค่าเฉลี่ย 158.2% หรือปีละ 13.3%) โดยในทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ปรับตัวสูงสุด 266.2% (ปีละ 13.3%) ส่วนทำเลที่ปรับตัวน้อย คือบริเวณเขตชั้นนอก โดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกของเมืองเฉลี่ย 90.8% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นบริเวณเขตพื้นที่สีเขียว

หากพิจารณาในรอบ 5 ปี (ปี 2556-2561) ทำเลที่ปรับตัวเพิ่มสูง คือ เขตชั้นใน 39.7% เขตชั้นกลาง 35.5-35.6% เขตชั้นนอก 17.7-30.3% (เทียบกับค่าเฉลี่ย 28.5%) โดยในเขต CBD ปรับตัวสูงสุด 39.7% (เฉลี่ยปีละ 7.9%)

Modern train at bangkok,thailand

กรุงเทพฯ ชั้นกลาง ฝั่งธนฯ ที่ดินราคาพุ่ง

ล่าสุดปี 2561 ราคาที่ดินปรับเพิ่มเฉลี่ยทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7.9% โดยแบ่งออกเป็น

  • กรุงเทพฯ ชั้นนอก ได้แก่ ด้านเหนือ 8.4% ด้านตะวันออก 9.9% ด้านตะวันตก 10.3% ด้านใต้ 8.9%
  • กรุงเทพฯ ชั้นกลาง ได้แก่ ฝั่งกรุงเทพฯ 13.5% ฝั่งธนบุรี 12.5%
  • กรุงเทพฯ ชั้นใน ศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business District-CBD) 11.5%
  • แนวรถไฟฟ้า BTS โดยรวม 9.9% ส่วนต่อขยาย อ่อนนุช-แบริ่ง 11.6% ส่วนต่อขยาย ตากสิน-บางหว้า 11.7% ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่ 9.6%
  • แนวรถไฟฟ้า MRT 9.1%
  • แนวรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ 6.5%
  • แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ 10.1%
  • แนวรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน 3.3%
  • แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ 16.2% และหัวลำโพง-บางแค 11.3%

สยามสแควร์ ใกล้รถไฟฟ้า ทะลุ 2.5 ล้าน

ราคาที่ดินแปลงที่แพงที่สุด คือ บริเวณสยามสแควร์ ราคาตารางวาละ 2.5 ล้านบาท แต่ถ้าหากนับจากบริเวณรอบสถานีรถไฟฟ้า จะพบว่า ที่ดินรอบรถไฟฟ้า BTS สถานีสยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต และนานา มีราคาสูงอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อตารางวาเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นทำเลใจกลางเมือง รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และศูนย์การค้าขนาดใหญ่

ส่วนอัตราค่าเช่าก็สูงอยู่ในระดับ 2,500-5,000 บาทต่อตารางเมตร อีกทั้งยังมีรถไฟฟ้า BTS สองสายเชื่อมต่อกัน ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นไปอย่างสะดวก เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่เหมาะแก่การจับจ่ายและลงทุน จึงส่งผลให้ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้น

29875854_xxl

รามคำแหงติดท็อป 5 ทำเลดาวรุ่ง

สำหรับแปลงที่ดินที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสูงสุด คือบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งปัจจุบันมีราคาตารางวาละ 280,000 บาท เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 27.3% ในเวลาเพียง 1 ปี เพราะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ทำให้ทำเลรามคำแหงมีความคึกคัก และเป็นที่น่าจับตามอง มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สอดคล้องกับข้อมูลของฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด ที่ได้เผยทำเลทองที่มีความโดดเด่นที่สุดปี 2562 ทั้งหมด 5 ทำเล ได้แก่ 1. สุขุมวิท 55 หรือทองหล่อ 2. พญาไท-ราชเทวี 3. รามคำแหง 4. เอกมัย และ 5. พระราม 9-รัชดาภิเษก สะท้อนให้เห็นว่า โครงการรถไฟฟ้า ช่วยกระตุ้นความน่าสนใจให้กับทำเลนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างทำเลรามคำแหงที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่กว่า 4,793 ยูนิต

จะเห็นได้ว่าราคาที่ดินที่สูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าทั้งสายปัจจุบัน และสายที่กำลังก่อสร้าง ทำให้คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยในอนาคตมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอีก เนื่องจากต้นทุนหลักของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคือที่ดิน ดังนั้น สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายใหม่ที่กำลังก่อสร้างจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการตัดสินใจซื้อก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นอีกในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com


ทายาทรุ่น3โอเชี่ยนพรอพเพอร์ตี้ วางเป้า 3ปี ลุยอสังหาฯโตก้าวกระโดด

นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ รักษาการณ์กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยถึงทิศทางและนโยบายบริษัท หลังเข้ารับตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการประมาณกลางปีที่แล้ว ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3  มีแผนจะขยายการลงทุนแบบเชิงรุกมากขึ้นโดย วางเป้ารายได้ใน 3 ปี ( 2562-2564) เติบโตก้าวกระโดด โดยเฉพาะรายได้จากอสังหาฯเพื่อขายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 70% ในปี 2564 และรายได้ประจำ 30% จากสัดส่วนรายได้ในปี 2561 สัดส่วนอสังหาฯเพื่อขายอยู่ที่ 30% และเป็นรายได้เพื่อเช่า 70% และในปี 2562 เพิ่มรายได้อสังหาฯเพื่อขายขึ้นมาเป็น 50:50%

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ บริษัทฯวางเป้าขยายการลงทุนต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 2 โครงการซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้รายได้ปี 2562 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท มาจากรายได้จากอสังหาฯเพื่อขาย 700 ล้านบาท และรายได้เพื่อเช่า 500 ล้านบาท ซึ่งรายได้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7-10 %

ส่วนในปี2563 คาดการณ์รายได้เพิ่มเป็น 1,500 ล้านบาท เป็นรายได้อสังหาฯเพื่อขาย 1,000 ล้านบาท และรายได้เพื่อเช่า 500 ล้านบาท และในปี 2564 คาดการณ์รายได้เพิ่มเป็น 1,900 ล้านบาท มาจากรายได้อสังหาฯเพื่อขาย 14,000 ล้านบาท และรายได้จากการเช่า 500 ล้านบาท

“ที่ผ่านรายได้จากอสังหาฯเพื่อขายมีสัดส่วนน้อยกว่าปล่อยเช่าอยู่ที่ 20-30% ปีนี้และปีหน้า พยายามให้สองธุรกิจมีรายได้ที่สมดุลย์กัน 50%ต่อ50% ทั้งนี้มีแนวทางดำเนินธุรกิจ โดยบ.โอเชี่ยนฯ ต้องการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน”

สำหรับในปี 2562 บริษัทฯมีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่โครงการแรกภายใต้ชื่อ “โอเชี่ยน ทาวน์ – เมือง รัษฎา ภูเก็ต” มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท บนเนื้อที่ 20 ไร่ อยู่ในเมืองภูเก็ต เป็นทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น จำนวน 171 ยูนิต เป็นอาคารพาณิชย์ 16 ยูนิต สูง 3 ชั้น เริ่มต้นที่ 23 ตร.ว. รวมทั้งหมด 187 ยูนิต

ขณะทาวน์เฮ้าส์สูง 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 18-20 ตร.ว. มี 2 แบบ คือ โดยจะจอดรถได้ 1 คัน และแบบจอดรถได้ 2 คัน ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท จะเปิดขายอย่างเป็นทางการเดือนพ.ค. นี้

อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ได้มีการทดลองตลาด ด้วยการเปิดขายทาวน์เฮ้าส์ไปในช่วงต้นเดือนธ.ค.ปีที่ผ่านมา ได้รับผลได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี มียอดขายไปแล้ว 40 ยูนิต มูลค่า 150 ล้านบาท คาดว่าทั้ง 40 ยูนิต จะเริ่มโอนได้ต้นไตรมาส 4 ปีนี้

ส่วนโครงการที่ 2 ในขอนแก่น ชื่อ “โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์  – มิตรภาพ ขอนแก่น” มูลค่า 360 ล้านบาทพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ในจังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ในที่ดินบริเวณเดียวกันกับโครงการแรกคือ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ – มิตรภาพ ขอนแก่น” บนถนนมิตรภาพ ใกล้กับโรงพยาบาลราชพฤกษ์ ขอนแก่น พัฒนาบนเนื้อที่ 1.5 ไร่

“โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์  – มิตรภาพ ขอนแก่น” จะมีจำนวน 240 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 22 – 30 ตร.ม ราคาเริ่มต้น 1.5-1.6 ล้านบาท หรือราคาตร.ม.ละ 5.8 หมื่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าว่าเปิดขายไตรมาส 3 ปีนี้

ขณะโครงการแรกที่ได้เจาะตลาดขอนแก่น “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ – มิตรภาพ ขอนแก่น” มูลค่า 370 ล้านบาท เนื้อที่ 2 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมไลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 223 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5 หมื่นบาทต่อตร.ม. ปัจจุบันได้ปิดการขายไปแล้วคาดว่าเริ่มทยอยโอนได้เดือนมี.ค.นี้

นายณพงศ์ ให้ความเห็นว่า “พฤติกรรมลูกค้าตลาดต่างจังหวัดจะนิยมซื้อห้องขนาดเล็ก ราคาเฉลี่ย 1.5-1.6 ล้านบาท หรือราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะผลตอบรับค่อนข้างดี เป็นตลาดมีดีมานด์สูง สะท้อนจากโครงการแรก ขายไปได้ถึง 150-160 ยูนิต ช่วงเปิดตัว 3 เดือนแรก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 50-60%นับเป็นเรียลดีมานด์ มีซื้อลงทุนไม่เกิน 10-20% ส่วนเก็งกำไรมีน้อยมากแค่ 1-2%” 

ปัจจุบันโครงสร้างธุรกิจของโอเชี่ยนฯ มี 4 ธุรกิจหลัก คือโอเชี่ยน มารีน่า ท่าจอดเรือยอช์ทขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายได้ปัจจุบันประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี ในปีที่แล้วลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ขยายท่าจอดเรือเพิ่มธุรกิจโรงแรม มี 2 แห่ง คือ โรงแรมโอเชี่ยน มารีน่า ยอร์ท คลับ รายได้ 50-60 ล้านบาทต่อปี และโรงแรมหัวหินอัสสรา ที่ปีที่แล้วได้มีการรีโนเวท เปลี่ยนชื่อ เป็น เมอเว่นพิค อัสสรา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน รายได้เฉลี่ย 160-170 ล้านบาท  ธุรกิจสำนักงานให้เช่า 2 แห่ง คือ โอเชี่ยน ทาวน์เวอร์ 1 และโอเชี่ยน ทาวเวอร์ 2 รายได้อยู่ประมาณ 100 ล้านบาท ทั้ง 3 กลุ่มนี้ เป็นธุรกิจสร้างรายประจำรวมประมาณ 500 ล้านต่อปี เฉลี่ยเติบโตปีละ 5-6%

ส่วนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มีทั้งคอนโดฯและแนวราบ ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมที่พัทยาอยู่ระหว่างขาย คือ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน พัทยา มีสต็อกเหลืออยู่ 15-20% โครงการมีขนาดตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน ปัจจุบันเหลือขายแต่ 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาทพร้อมเฟอร์นิเจอร์ และแบบ 2 ห้องนอนราคา 13-14 ล้านบาท ปีนี้จะมีการทำแคมเปญกระตุ้นตลาดรอบใหม่ เพื่อให้ปิดการขายได้ภายในปีนี้

อย่างไรก็ดีที่พัทยา มีที่ดินทั้งหมด 120 ไร่ ใช้ที่ดินพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ ไปไม่ถึง 5 ไร่ และเป็นส่วนของ ท่าจอดเรือยอช์ท จึงมีที่ดินรอการพัฒนาในอนาคต ซึ่งมีแผนพัฒนา เป็นคอนโดไฮไรซ์ ราคาขายเฉลี่ยย่านนั้นตร.ม.ละ 1 แสนบาท คาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท แต่การพัฒนาโครงการนี้คงไม่ใช่ปีนี้ ต้องรอการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า สนามบินอู่ตะเภาที่จะเปิดเป็นสนามบินพาณิชย์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสะดวกมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เงินไหลออกดันบาท อ่อนสูงสุดในภูมิภาค

เงินไหลออกดันบาท อ่อนสูงสุดในภูมิภาค

เศรษฐกิจสหรัฐแกร่งหนุนดอลลาร์แข็งค่า กดบาทอ่อนนำโด่งทุบสถิติ 31.92 บาท/ดอลลาร์
         รายงานข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า วันที่ 7 มี.ค. ค่าเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับที่ 31.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนสุดในรอบ 7 สัปดาห์  นับจากวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณที่แกร่งทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย
ขณะที่ปัญหาสงครามทางการ ค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เริ่มมีทิศทาง ชัดเจนขึ้นและต้องรอดูผลการหารือของผู้นำทั้งสองประเทศวันที่ 27 มี.ค.นี้ แม้ว่าค่าเงินบาทช่วงนี้อ่อนค่าแต่ผู้ส่งออกไม่ควรมองข้ามต้องป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ เพราะการเคลื่อนไหวค่าเงินค่อนข้างผันผวน และมีแนวโน้มที่จะแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1-7 มี.ค.ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าสุด 1% รองลงมาคือเปโซ-ฟิลิปปินส์ 0.89% ริงกิต-มาเลเซีย 0.63% รูเปียห์-อินโดนีเซีย 0.53% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 0.40%  วอน-เกาหลีใต้ 0.29% หยวน-จีน 0.26% และดอลลาร์ไต้หวัน 0.25% ส่วนรูปี-อินเดีย แข็งค่า 0.65%
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

บทความสอนใจ เรื่อง ความซื่อสัตย์

ก่อนที่รัฐบาลจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าประเทศใด ผู้นำนั้นจะต้องปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติภารกิจว่า เขาจะทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วมรวมและจะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ประเทศไทยเรามีกฎหมายและจารีตประเพณีก่อนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ท่านเหล่านั้นจะต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าจะทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมและจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต 

ความซื่อสัตย์กำลังกลายเป็นปัญหาสังคม เนื่องจากเราพบว่าองค์กร หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังถูกเชื้อไวรัสแห่งการคดโกง ความไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และการเงินทำให้องค์กรนั้นมีความเสื่อมและจะล่มสลายในที่สุด 

ผู้สนใจในการเมืองคงชินกับวาทกรรมของนักการเมืองในการหาเสียงและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะกำจัดความไม่ซื่อสัตย์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คอรัปชั่น” ไม่ทราบว่าเราจะเชื่อถือได้มากน้อยขนาดไหน เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือบุคคลกลุ่มเดียวกันที่ทำการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และทำรายงานการใช้เงินหาเสียงอย่างไม่ซื่อสัตย์ ถึงอย่างไรก็ดีผมคงต้องให้เกียรติกับบางท่านที่เป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งวาจาและการกระทำ แต่คนประเภทนี้มีน้อย 

องค์กรภาคเอกชนไม่ว่าองค์กรทางศาศนา องค์กรการกุศล บริษัท ห้างร้าน ล้วนหนีไม่พ้นปัญหาเรื่อง ความไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร สื่อต่างๆ ได้เปิดเผยเรื่องทุจริต การเงิน การงาน การลงเวลา ฯลฯ นอกจากเรื่องความไม่สัตย์ซื่อดังกล่าว เรายังพบว่ามีความไม่สัตย์ซื่อในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาและนำไปสู่การหย่าร้างมากมาย

ความสัตย์ซื่อถือว่าเป็นคุณสมบัติของผู้เจริญแล้ว ฉะนั้นผู้มีความสัตย์ซื่อจะเป็นบุคคลที่มีความสุข มีความมั่นคง แม้อาจจะไม่มั่งคั่ง เขาไม่เพียงทำให้ตนเองมีความสุข เขาทำให้คนรอบตัวเขามีความสุขด้วย เขาไม่ขาดเพื่อนแท้ตลอดชีวิตแน่นอน คนซื่อกินไม่หมด คนคดกินไม่เหลือ 

ถึงแม้ว่า คนซื่อสัตย์กำลังลดน้อยถอยลงไป แต่ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่เพิ่มขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก romyenchurch.org

‘ไขมันทรานส์’ในอาหารลดลงหลังประกาศใช้กฎหมาย

'ไขมันทรานส์'ในอาหารลดลงหลังประกาศใช้กฎหมาย thaihealth

อย. ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลตรวจสอบการสุ่มตัวอย่างในผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มเสี่ยง พบว่า มีปริมาณไขมันทรานส์ลดลง หลังบังคับใช้กฎหมายห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เมื่อ 9 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยกำหนดให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย เพื่อคุ้มครองสุขภาพของคนไทย และเป็นหนึ่งในมาตรการการลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2562 เป็นต้นมานั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร ได้ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ได้แก่ โดนัททอด พาย พัฟ เพสทรี ครัวซองค์ และบัตเตอร์เค้ก

ผลการสุ่มตัวอย่างจำนวน 45 ตัวอย่าง พบว่า ปริมาณไขมันทรานส์เฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในช่วง 0.09-0.31 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งอยู่ในปริมาณที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคต่อวัน คือ 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค และมีปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจผลิตภัณฑ์ก่อนประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ซึ่งอยู่ในช่วง 0.42-1.21 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค นอกจากนี้ ปริมาณไขมันทรานส์สูงสุดที่พบในทุกผลิตภัณฑ์มีปริมาณลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจผลิตภัณฑ์ก่อนประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ มีเพียงบางผลิตภัณฑ์มีปริมาณไขมันทรานส์ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเกินจากปริมาณที่ FAO/WHO แนะนำ เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบที่มีไขมันทรานส์ตามธรรมชาติเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง เช่น เนย นม ชีส  เป็นต้น

เลขาธิการฯ อย. แถลงเพิ่มเติมว่า ปริมาณไขมันทรานส์ในเนยเทียม (มาการีน) และเนยขาว (ซอทเทนนิ่ง) ส่วนใหญ่ที่ทำการสำรวจก่อนหน้าที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ พบว่า มีปริมาณน้อยมาก โดยอยู่ในช่วง 0.01-0.37 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันและไขมันมีการปรับกระบวนการผลิตไปใช้วิธีการผลิตอื่นแทนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนแล้ว อย่างไรก็ดี อย. ได้ดำเนินการตรวจสอบ ณ สถานที่ผลิตน้ำมันและไขมัน 3 แห่ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่กระจายสินค้าให้แก่ผู้ผลิตอาหารรายย่อยในประเทศ ไม่พบการผลิตน้ำมันและไขมันโดยใช้กระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน

คุณสารี  อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในส่วนของการสุ่มตรวจของนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคผ่านโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ภายใต้การสนับสนุนงบประมารณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เก็บตัวอย่างเค้กเนย จำนวน 12 ตัวอย่างจากผู้ผลิตเจ้าดัง และได้เพื่อนเครือข่ายผู้บริโภคเก็บตัวอย่างเค้กชิฟฟ่อนที่นิยมซื้อเป็นของฝากจำนวน 4 ตัวอย่าง รวม 16 ตัวอย่าง ส่งทดสอบปริมาณไขมันทรานส์ จากผลการทดสอบพบว่า ปริมาณไขมันทรานส์ในเค้กเนย 12 ตัวอย่าง และเค้กชิฟฟ่อน 4 ตัวอย่าง มีปริมาณน้อยเฉลี่ยต่อ 1 หน่วยบริโภค (55 กรัม) คือ 0.2 กรัม/หน่วยบริโภค ถือว่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ คือ ไม่เกิน 0.5 กรัม/หน่วยบริโภค ยกเว้นเค้กเนยของยี่ห้อ PonMaree Bakery (พรมารีย์ เบเกอรี่) ที่พบปริมาณไขมันทรานส์ที่ 0.61 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (55 กรัม) ทำให้ทางฉลาดซื้อเกิดคำถามว่า ทำไมผลทดสอบของ พรมารีย์ เบเกอรี่ จึงสูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ซึ่งเป็นไปได้สองสาเหตุคือ ยังคงใช้ไขมันทรานส์สังเคราะห์ หรือใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติคือ เนยแท้ จำนวนมาก ดังนั้น จึงได้ตรวจสอบผลการตรวจวิเคราะห์ชนิดของกรดไขมันทรานส์ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวที่สูงเด่นมาก ได้แก่ Vaccenic acid (C18:1)-11 ที่พบมากตามธรรมชาติในไขมันจากสัตว์เคี้ยวเอื้อง จึงอนุมานได้ว่า ยี่ห้อนี้ใช้เนยแท้ในสูตรเค้กเพราะ หรือก็คือ ปริมาณกรดไขมันทรานส์ที่ตรวจพบนี้เป็นกรดไขมันทรานส์ธรรมชาติ จึงไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจผิดต่อผู้ที่รักสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก หากรับประทานเกินหนึ่งหน่วยบริโภค

ส่วนการทดสอบโดนัท นิตยสารฉลาดซื้อเลือกทดสอบโดนัทช็อกโกแลตซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยได้สุ่มซื้อโดนัทรสช็อกโกแลตจากร้านขายโดนัทและห้างสรรพสินค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 ยี่ห้อ (ยี่ห้อเดิมที่เคยเก็บตัวอย่าง เมื่อเดือน ก.พ. 2561) นำส่งห้องปฏิบัติการมาตรฐานเพื่อตรวจวิเคราะห์หาปริมาณไขมันทรานส์ รวมถึงสารกันบูดประเภทกรดซอร์บิก (Sorbic acid) และกรดเบนโซอิก (Benzoic acid) โดยผลการตรวจวิเคราะห์ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณไขมันทรานส์ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิงของผลิตภัณฑ์ขนมอบประเภทเค้ก กาแฟ โดนัท และมัฟฟิน ซึ่งเท่ากับ 55 กรัม (ตามบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 182 พ.ศ. 2541) พบว่า โดนัทช็อกโกแลตทุกตัวอย่างมีปริมาณไขมันทรานส์ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อหน่วยบริโภค ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยตัวอย่างที่พบปริมาณไขมันทรานส์ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคน้อยที่สุด ได้แก่ โดนัทช็อกโกแลต / บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ พบปริมาณไขมันทรานส์ 0.03 กรัมต่อน้ำหนักโดนัท 55 กรัม และตัวอย่างที่พบมากที่สุด ได้แก่ โดนัทรสช็อกโกแลต ไอซ์ เกลซ / คริสปี้ครีม พบปริมาณไขมันทรานส์ 0.14 กรัม ต่อ น้ำหนักโดนัท 55 กรัม

ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีในความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ กระบวนการดำเนินงานที่มีการเร่งรัดภาคอุตสาหกรรมให้มีการพัฒนาส่วนประกอบทดแทน การให้ข้อมูลและความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนากระบวนการวิเคราะห์ให้ถูกต้องแม่นยำ การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลในการประเมินและแก้ไขสถานการณ์ ตลอดจนบทบาทของภาคประชาสังคมในการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด การร่วมกันระหว่างภาครัฐ วิชาการและประชาสังคมในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน นับเป็นเบื้องหลังความสำเร็จที่เป็นต้นแบบให้กับประเทศต่าง ๆ ได้

เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค อย. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จะติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวัง ณ สถานที่ผลิต สถานที่นำเข้า และสถานที่

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,300.00 19,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,250.00 18,950.00 19,900.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,125.00 17,055.00 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,000.00 15,160.00 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 563.00 8,535.08 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 438.00 6,640.08 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,295.00 19,632.20 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 08/03/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95 27.95
แก๊สโซฮอล์ 91 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68 27.68
แก๊สโซฮอล์ E20 24.94 24.94 25.34 24.94 24.94 24.94 24.94 24.94 24.94
แก๊สโซฮอล์ E85 20.14 20.14 20.14
เบนซิน 95 35.36 35.81 35.86 35.66 35.66
ดีเซล 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29
ดีเซลพรีเมี่ยม 30.89 31.16 31.35 31.35 31.35
แก๊ส NGV 16.44 27.29
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า