สั่งคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯ-ห่วงอุปทานล้นแบงก์ผวา ดีมานด์เทียม พุ่ง
สถาบันการเงิน ส่งสัญญาณคุมเข้มปล่อยกู้อสังหาฯ หลังพบดีมานด์เทียมพุ่ง “แบงก์กรุงเทพ” เข้มทั้งสินเชื่อผู้ประกอบการ -รายย่อย ชี้เริ่มเห็นสัญญาณอันตรายกลุ่มคอนโดมิเนียม หลังพบยอดจองเต็มแต่ยอดโอนกลับไม่มี หวั่นซ้ำรอยวิกฤติ ด้าน “กสิกร-กรุงไทย” ลั่นระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อกลุ่มนี้อยู่แล้ว
นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า ธนาคารเพิ่มความระมัดระวังและชะลอการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้กับ ผู้ประกอบการ รวมทั้งสินเชื่อที่ให้กับรายย่อยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยด้วย เนื่องจากปัจจุบันเริ่มเห็นภาวะล้นตลาด(โอเวอร์ซัพพลาย) จากอุปทานที่มากเกินไป ประกอบกับเริ่มมีอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) สร้างเสร็จแต่ขายไม่ออกจำนวนมากขึ้น หรือมียอดจองซื้อเต็ม แต่กลับไม่มียอดโอน สะท้อนถึงภาวะ “ดีมานด์เทียม”
นอกจากนี้จะเห็นว่า กลุ่มผู้ประกอบการเริ่มแข่งกันทำโปรโมชั่นมากขึ้น ทั้งลด แลก แจก แถม เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อคอนโดมิเนียม สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย เป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งในอดีตไทยก็เคยเผชิญวิกฤติดังกล่าว ดังนั้นการปล่อยสินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
“เราระวังปล่อยกู้ทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่ง ผู้ประกอบการที่สร้างคอนโด และผู้กู้ รายย่อย เพราะโอเวอร์ซัพพลายเริ่มเยอะ เริ่มเห็นคอนโดขายไม่ออกเยอะ ยอดจอง มี แต่ไม่ได้มาซื้อจริงๆ โอนจริงๆ เหล่านี้ ทำให้เกิดดีมานด์เทียม ทำให้เราต้อง ระมัดระวังทั้งคู่ ซึ่งต่างจากบ้านแนวราบ ที่ยังเห็นว่ายังไม่ได้ส่งสัญญาณการเกิดปัญหาในเวลานี้ ดังนั้นแม้ว่าการเข้าไปปล่อยกู้ใน ภาคอสังหาฯจะทำกำไรดีให้กับแบงก์ แต่เราก็ไม่ควรมองด้านนี้ ควรต้องระวัง ไม่ควรปล่อยซี้ซั้ว เพราะเห็นมาเยอะแล้วในอดีต ที่ทำให้เกิดวิกฤติ” นายเดชากล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แบงก์ต้อง พิจารณามากขึ้น เมื่อเข้าไปปล่อยสินเชื่อ ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ คือ เรื่องทำเล ที่แบงก์ต้องพิจารณา อย่างรอบคอบก่อนปล่อยกู้ โดยเฉพาะ คอนโดตามแนวรถไฟฟ้า หรือหากเป็น ทำเลที่คอนโดมีมากเกินไป สองคือ เรื่องสภาพคล่อง หรือเงินลงทุนของผู้ประกอบการ ว่ามีเพียงพอตามเกณฑ์หรือไม่ เพราะหากมีทุนไม่มากพอก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ ไม่ใช่ใช้ทุนแบงก์ทั้งหมด ข้อนี้ก็อาจให้สินเชื่อไม่ได้
นายเดชา ยังกล่าวอีกว่า การให้ สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to value ratio-LTV) ปัจจุบันธนาคาร ก็ดูแลอย่างรัดกุม ให้การปล่อยสินเชื่อ ให้กับรายย่อย ไม่ให้เกินเกณฑ์ที่ธปท. กำหนด
“ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ เอ็นพีแอลของธนาคารในภาคอสังหาริมทรัพย์ ของธนาคารปัจจุบัน ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งสองด้าน ทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้กู้รยย่อย เพราะเรามีการสั่งทีมให้ระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะดีมานด์ที่เข้ามาซื้อคอนโดไม่ได้มาจากความต้องการซื้อเพื่ออยู่จริงทั้งหมด แต่มาหวังซื้อเพื่อเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ด้วย” นายเดชากล่าว
นายอลงกต บุญมาสุข ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายบริหารพันธมิตรและ ส่งเสริมการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ส่งสัญญาณเตือนให้ ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญทำให้ ภาคธนาคารพาณิชย์ หันมาระมัดระวังการปล่อย สินเชื่อประเภทนี้เพิ่มขึ้น
โดยในส่วนของ ธนาคารกสิกรไทย ได้ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ประเภทนี้อยู่แล้ว หลักๆ ยังให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของผู้กู้ โดยดูจากรายได้ และหนี้ต่อรายได้ เป็นหลัก รวมไปถึงวงเงินการให้สินเชื่อ เช่น LTVที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ธทป.กำหนดมาโดยตลอด สำหรับปีนี้ ธนาคารยังคงควบคุมเอ็นพีแอลในส่วนอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้เกิน4% และตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ (นิวโลน) ปีนี้ราว4.5หมื่นล้านบาท
นายผยง ศรีวณิช กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารให้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว ไม่ได้เร่งปล่อยกู้มากเกินไป อีกทั้งการปล่อยกู้ของธนาคารก็ยึดตามหลักเกณฑ์ของ ธปท. ต่อเนื่อง
โดย LTV ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ตลอด ไม่ได้ให้สูงเกินกว่า 90-95% แต่หากรวม สินเชื่ออื่นๆ เช่นสินเชื่อเอนกประสงค์ ก็อาจมีเกินได้ แต่ที่ผ่านธนาคารไม่มีการหย่อนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อลงไป ซึ่ง หลักเกณฑ์ที่ธนาคารดูเพื่อใช้พิจารณาปล่อยกู้คือสภาพคล่องของผู้ประกอบการ หรือผู้กู้เป็นอย่างไร ก่อสร้างคอนโดมาแล้วมีโอกาสขายได้หรือไม่ หาก ผู้ประกอบการมีเครดิตที่ดี และพิสูจน์ได้ว่า หากสร้างคอนโดมาแล้วจะมี ยอดจอง และยอดโอนเต็ม ธนาคาร ก็สามารถปล่อยกู้ได้
ขอขอบคุณที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
4 เมกะเทรนด์..อสังหาฯ ยุคเปลี่ยนโครงสร้างรับมือแข่งเดือด
จุดเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความซับซ้อนมากขึ้น “รายใหญ่” ต้องแข่งกันเอง
จุดเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความซับซ้อนมากขึ้น “รายใหญ่” ต้องแข่งกันเอง ระหว่างผู้ประกอบการรายเดิมกับกลุ่มทุนใหม่จากอุตสหาหกรรมอื่น ทำให้เกมการแข่งขันรุนแรงขึ้น เพราะทุกบริษัทพยายามก้าวรุกล้ำเข้าไปกิน”มาร์เก็ตแชร์” ของรายอื่นๆ เพื่อการเติบโต นับเป็นจุดพลิกเกมการตลาด
“ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” นายกสมาคมอาคารชุดไทย และผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจพรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยระบุว่าโครงสร้างอสังหาฯ กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อให้เกิด 4 เมกะเทรนด์ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมกะเทรนด์แรก ซึ่งเริ่มเห็นแล้ว คือ “การปรับโครงสร้างธุรกิจ” ครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ในทุกมิติไม่ว่าจะเป็น “รูปแบบของสินค้า” จะรุกขยายไปในทุกตลาด ทุกระดับราคามากขึ้น พัฒนาทั้งคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว เพราะไม่มีบริษัทไหนสามารถครองตลาดได้ด้วยสินค้าที่เป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต แต่ขณะนี้หลายบริษัทเริ่มปรับกลยุทธ์ เข้าไปชิมลางในสินค้าประเภทอื่นๆ ที่ตัวเองไม่แข็งแรง เพราะต้องการเติบโต
“กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้บริษัทที่เคยเน้นเฉพาะสินค้าตลาดบน ปรับกลยุทธ์มาทำสินค้าตลาดระดับกลาง และล่าง ส่วนบริษัทที่เน้นพัฒนาเฉพาะตลาดล่าง ก็ขยับไปจับกลุ่มลูกค้าตลาดกลาง และบน ทำให้โครงสร้างของธุรกิจมีความยืดหยุ่น รับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตลาดได้
“2-3 ปีก่อน อาจพูดว่าเราเป็นบิ๊กอสังหาฯ แต่วันนี้ ตลาดอาจพลิกได้ง่ายๆ เก้าอี้ต้องวางไว้หลายๆ ขา หรือต้องมีถึง 10 ขา หากอ่อนแรงไปสัก 2 ขา เก้าอี้ 8 ขายังอยู่ได้”
“ขยายทุกทำเล” แต่เดิมผู้ประกอบการปักหลักพัฒนาโครงการอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันขยายทำเลที่หลากหลาย และหากรายใดที่มีศักยภาพเพียงพอ ก็ขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ซึ่งเริ่มเห็นแล้วหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มช้าง,ซีพีเอ็น, ศุภาลัย ,เพอร์เพอร์ตี้ เพอร์เฟค,สิงห์ เอสเตท
และเนื่องจากโครงสร้างกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ข้ามอุตสาหกรรมเข้ามา ทำให้รูปแบบการพัฒนาอสังหาฯเปลี่ยนแปลงไป เกิดการผสมผสานของที่อยู่อาศัย ทั้ง สำนักงาน โรงแรม ค้าปลีก มากขึ้น
เมกะเทรนด์ที่ 2 คือการเปลี่ยนแปลง “โครงสร้างเงินทุน” จากการที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยาวนานที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการายใหญ่ได้รับประโยชน์การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ด้วยต้นทุนต่ำ หรือการทำกองทุนรีท หรือกองทุนรวมสิทธิการเช่า ทำให้การขยายลงทุนโครงการใหม่ได้รวดเร็ว
เมกะเทรนด์ที่ 3 คือ “โครงสร้างตลาดที่อยู่อาศัย” มีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้าเร็วๆ นี้ จากหลายปัจจัยหลักทั้งระบบการคมนาคมที่เปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีการพัฒนาโครงข่ายระบบรางเพิ่มมากขึ้น รวม 13 สาย มีสถานีไม่น้อยกว่า 300 สถานี ระยะทาง 430 กม.ทั้งที่เสร็จแล้วละอยู่ระหว่างการก่อสร้างส่งผลให้การพัฒนาโครงการกระจายออกไปได้มากขึ้น
ขณะที่ ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างการอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้ จะเป็นการอยู่อาศัยในเมืองเกาะระบบราง แต่ระยะกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเป็นลักษณะเดียวกับต่างประเทศเมืองใหญ่ๆ ที่อยู่อาศัยจะอยู่ในตึกสูง และกระจุกตัวอยู่ใกล้ระบบราง ซึ่งอยู่ในเมืองชั้นใน
เมกะเทรนด์ที่ 4 โครงสร้างตลาดผู้สูงอายุ ซึ่งไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2567 ด้วยสัดส่วนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มเป็น 20% ดังนั้น ที่อยู่อาศัยจะต้องตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เพื่อให้มีความปลอดภัย และสะดวกยิ่งขึ้น
ประเสริฐกล่าวว่า โครงสร้างตลาดเปลี่ยนไป เพิ่มความได้เปรียบผู้ประกอบการรายใหญ่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความสามารถการแข่งขันมากกว่า ทั้ง เงินทุน แบรนด์ เทคโนโลยี โดยมองว่าปี 2559 ต่อปี 2560 เป็นปีของ “บิ๊ก ดีเวลเวอปเปอร์ บิ๊ก อินเวสเม้นท์” สะท้อนจากตัวเลขตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ -ปริมณฑล ครึ่งปีแแรก มูลค่า 1.71 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดของรายใหญ่ 10 บริษัท ถึง 50% ขณะที่ปีก่อน รายใหญ่ 12 รายมีสัดส่วน 53% -v’มูลค่าตลาด 3.54 แสนล้านบาท
“สังเวียนการต่อสู้ของอสังหาฯ จะเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้นี้ รุนแรงมากขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า เรียกว่าศึกช้างชนช้าง ทุกอุตสาหกรรม มุ่งหน้าสู่การลงทุนอสังหาฯ มีมูลค่ามากกว่า 5 แสนล้านบาท และจะไม่ใช่เกมการแข่งขันของผู้ประกอบการหน้าเดิมอีกต่อไป
ขอขอบคุณที่มา www.bangkokbiznews.com
เตือนสงครามการค้า กระทบเศรษฐกิจโลกเร็ว แรงกว่าคาด
TMB Analytics มอง ความกังวลสงครามการค้าจะเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจโลกชะงักเร็วกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ โดยเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอที่ชัดเจนจากตัวชี้วัดภาคการผลิตและบริการ หรือ PMI ในหลายประเทศที่เริ่มปรับลดลงและแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาด
ย้อนไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เหล่านักวิเคราะห์มักจะให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2018 นี้ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องอย่างพร้อมเพรียงกัน (Synchronized economic growth) จากการขยายตัวของการค้าโลก อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้จะมีภาพความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ที่ทำให้ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น แต่ความกังวลดังกล่าวก็ยังมีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ารวมกว่าห้าหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯในมูลค่าที่เท่ากัน ล่าสุดสหรัฐฯกำลังจะตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่กับสินค้าจีนรวมมูลค่าถึงสองแสนล้านเหรียญ หลังการรับฟังความเห็นจากสาธารณชนสิ้นสุดลงในวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา จากสงครามการค้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้การค้าโลกมีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ที่น่ากังวลก็คือ รายงานตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมการผลิต (JP Morgan Global Manufacturing PMI) ที่เป็นตัวชี้วัดภาคการผลิตของทั่วโลกเริ่มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยตัวเลขล่าสุดในเดือนสิงหาคมลดลงแตะระดับ 52.5 จุด ต่ำสุดในรอบ 21 เดือน สะท้อนว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตของหลายประเทศเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของยอดสั่งซื้อสินค้าและยอดการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า ยิ่งไปกว่านั้น แม้สหรัฐฯจะไม่ได้มีมาตรการกีดกันทางการค้าโดยตรงกับประเทศอื่นๆในเอเชีย แต่จากผลสำรวจ ประเทศในเอเชีย 6 จาก 8 ประเทศรายงานว่ายอดการส่งออกลดลง
ซึ่งสัญญาณการค้าโลกที่ชะลอตัวลงชัดเจนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้เร็วและรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ดังนั้น ทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการควรเริ่มวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยอาจมีการประเมินรับมือกับความเสี่ยง หรือ การทำ Stress test ที่สถาบันการเงินทั่วโลกต้องทำทุกปี
ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทส่งออกผลไม้ที่ส่งออกไปยังตลาดหลักๆ คือ จีน ยุโรป และประเทศเพื่อนบ้าน อาจจำลองสถานการณ์ตามความรุนแรงของผลกระทบ เช่น ในสถานการณ์ที่ความรุนแรงอยู่ในระดับปานกลาง (Moderate Scenario) อาจมีแค่ตลาดจีนและยุโรปที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ในขณะที่กรณีที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมาก ตลาดประเทศเพื่อนบ้านอาจได้รับผลกระทบด้วย แล้วจึงประเมินว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยอดขายและกำไรของบริษัทจะถูกกระทบอย่างไรบ้าง เพื่อเตรียมแผนรับมือหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
การประเมินความเสี่ยงด้วยการทำ Stress Test จึงเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือสถานการณ์การค้าโลกที่แย่ลงจากมาตรการกีดกันทางการค้าได้อย่างเหมาะสม
ขอขอบคุณที่มา www.bangkokbiznews.com
กินง่าย จ่ายไม่แพง! 10 ผักพื้นบ้าน ช่วยต้าน มะเร็ง
“อโรคยา ปรมาลาภา”
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่แท้ที่จริงแล้วหลายคนก็หนีไม่พ้นกับโรคต่างๆ ที่มารุมเร้า เพราะด้วยสังคมที่เร่งรีบ เกิดการแข่งขันไปเสียหมดซะทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการรับประทานอาหารที่บางครั้ง ไม่ได้คัดสรรสิ่งที่ดีให้แก่ร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นการทำร้ายตัวเองในทางอ้อม
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า…การเลือกรับประทานผักไทยง่ายๆ ที่ขึ้นตามริมรั้วนั้น สามารถป้องกันโรคร้ายอย่าง มะเร็ง ได้อยู่มัด ไม่ว่าจะกินดิบหรือนำมาปรุงเป็นอาหารก็ตาม ส่วนจะมีผักอะไรกันบ้างไปดูกันค่ะ
10 ผักพื้นบ้านต้าน มะเร็ง
1.ใบโหระพา
มีคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณเป็นยารักษาโรค โหระพาในปัจจุบันนิยมนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย น้ำมันโหระพาช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสรวมถึงป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งเมนูอาหารต่างๆ นั้นจริงๆ แล้วสามารถนำโหระพาไปใส่ได้เกือบหมด เช่น ที่เราคุ้นเคยในก๋วยเตี๋ยวเรือที่มักจะโรยด้วยโหระพา หรือแม้แต่กระทั่งต้มจืด ผัดต่างๆ หรือแกงต่างๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้
2.กะหล่ำปลี หรือหัวผักกาด
มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย และมีซิลีเนียม ที่เป็นตัวยับยั้งหรือป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และลดไม่ให้เกิดก้อนมะเร็งเพิ่มขึ้น ส่วนหัวผักกาดมีสารที่ช่วยทำให้ก้อนเนื้องอกเล็กลงด้วย โอกาสที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งจึงน้อยลง โดยเมนูอาหารที่ทำได้ เช่น ต้มจืดกะหล่ำปลี หรือต้มจืดผัดกาด หรือจะนำไปผัดก็สามารถทำได้
3.ตะไคร้
ประโยชน์ช่วยป้องกันมะเร็งล้วนๆ เพราะมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารในระยะเริ่มต้น ทั้งนี้ตะไคร้สามารถทำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะใส่ในต้มยำ หรือนำไปใส่ในยำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยำทูน่า หรือยำตะไคร้เห็ดออรินจิ เป็นต้น
4.คื่นช่าย
หรือผักชีฝรั่ง ช่วยป้องกันมะเร็งและยับยั้งการกลายพันธุ์ของมะเร็งในร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม เส้นใย ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ บี1 บี2 และบี3 แถมยังมีไนอาซิน วิตามินซีและอี ช่วยป้องกันหวัด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ขับลม และบำรุงกระดูก โดยทั่วไปมักนิยมใช้ปรุงอาหาร เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวหรือใส่ในน้ำซุป หรือข้าวต้มช่วยให้มีความหอมเพิ่มขึ้น
5.มะระขี้นก
มีคุณสมบัติเด่นในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง รวมถึงมะเร็งเต้านม โรคร้ายที่เป็นภัยกับผู้หญิง ซึ่งมะระขี้นกมีวิตามินเอสูง และช่วยต้านเชื้อไวรัส ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยขี้นกลูกเล็กๆ ที่นำมาทำเป็นกับข้าวและคุ้นตากันก็คือ นำมาลวกทานกับน้ำพริกนั่นเอง
6.ดอกขี้เหล็ก
มีสรรพคุณช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะช่วยรักษามะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ได้ ซึ่งดอกขี้เหล็ก ซึ่งในส่วนของดอกนั้นนำมาใช้ทำเป็นแกงขี้เหล็กใส่หมูสามชั้น หรือแกงขี้เหล็กใส่ปลาทูย่างเป็นต้น
7.สะเดา
ในเปลือก ใบ และผลของสะเดา มีสารลิโมนอยด์และโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงร่างกาย ช่วยถอนพิษไข้ ขับเสมหะ แก้อาการท้องผูก และขับลม ซึ่งส่วนใหญ่เราจะนิยมนำสะเดามารับประทานกับปลาดุกย่างและน้ำปลาหวาน
8.ผักแพว
มีคุณประโยชน์มากมายไม่ว่าจะช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ แถมยังป้องกันและต่อต้านมะเร็งอีกด้วย ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก และผักชนิดนี้ยังได้จัดว่าเป็นราชินีผักพื้นบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปปรุงอาหารประเภทตำ ยำ หรือลาบ เป็นต้น
9.ผักชีลาว
มีประโยชน์และมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายมากมาย สามารถช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้ รวมถึงช่วยแก้อาการท้องผูก ขับลม แก้วิงเวียนศีรษะ ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอในผักชนิดนี้ในแกงอ่อม ต้มเล้ง หรือยำขนมจีน
10.ผักแขยง
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมากจึงมีส่วนช่วยในการต้านมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ เป็นต้น และต้านการเจริญของเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ในส่วนของสรรพคุณอื่นๆ ช่วยลดไข้ที่เกิดจากการอักเสบ แก้อาการบวม แก้คัน ฝี และกลาก (เป็นยาฆ่าเชื้อ) เป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย ซึ่งจะนำมากินสดๆ หรือลวกจิ้มกินกับน้ำพริก ลาบ ก้อย หรือแกงต่างๆ
เห็นมั้ยคะว่า ผักพื้นบ้านแบบไทยๆ ตามริมรั้วบ้านเรามีสรรพคุณมากมายที่ช่วยคร่ามะเร็งได้ แต่ก่อนจะรับประทานก็ต้อง ไม่ลืมที่จะทำความสะอาดผักให้หมดจดจากสารเคมีด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่มีสารตกค้างอยู่ในร่างกายนะคะ
ขอขอบคุณที่มา rabbitfinance.com
ได้ใช้แน่นอน! รวมประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
Got a minute? มีเวลาไหม? About when? เมื่อไหร่? Anything else? มีอะไรอีกไหม? So we’ve met again, eh? เราจะได ้พบกันอีกใช่ไหม?
มีคนเคยบอก ว่าถ้า อยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ง่ายๆ ต้อ งเรียนจากเรื่องใกล้ตัว เพราะเราจะจดจำได้ง่ายกว่าการท่องจำ หรือจำเพื่อไปสอบ ถ้าได้ใช้บ่อยๆ ยิ่งจะทำใหเ้เราเข้าใจภาษาอังกฤษและใช้ได้ดีมากขึ้น
ประโยคภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน
การถาม คำถาม
– How’s it going? เป็นอย่างไรบ้าง
– What have you been doing? ช่วงนี้คุณทำอะไรบ้าง
– What’s on your mind? คุณคิดอะไรอยู่
– Is that so? อย่างนั้นหรือ
– How come? ทำไมล่ะ
– Got a minute? มีเวลาไหม?
– About when? เมื่อไหร่?
– Anything else? มีอะไรอีกไหม?
– So we’ve met again, eh? เราจะได้พบกันอีกใช่ไหม?
– Me? Not likely! ฉันหรอ? ไม่น่าจะใช่นะ
– A wise guy, eh?! คนที่อวดฉลาดหรอ?
ตอบรับ ตอบตกลง
– Of course! แน่นอน
– Definitely! อย่างแน่นอน
– I guess so ฉันเห็นด้วย
– Right on! (Great!) ถูกต้อง!
– I got it. ฉันเข้าใจแล้ว
ประโยคปฏิเสธ
– Nothing much. ไม่มีอะไรมาก
– It’s none of your business. ไม่ใช่เรื่องของคุณ
– No way! (Stop joking!) ไม่มีทาง
ประโยคบอกกล่าว
– Help yourself! เชิญตามสบาย
– I was just thinking. ฉันแค่กำลังคิด
– I was just daydreaming. ฉันแค่ฝันกลางวัน
– I can’t say for sure. ฉันบอกได้ไม่ชัดหรอกนะ
– I won’t take but a minute. ฉันใช้เวลาไม่นานหรอก
– Speak up! พูดซิ
– I know I can count on you. ฉันรู้ว่าฉันสามารถไว้ใจคุณได ้
– Do as I say. ทำอย่างที่ฉันพูด
– You ‘ll have to step on it. คุณต้องรีบๆ หน่อย
– I’m in a hurry. ฉันกำลังรีบ
– This is the limit! นี่คือขีดจำกัด
– Take it or leave it! ยอมรับหรือลืมมันเสียเถอะ
– Please speak more slowly กรุณาพูดช้า ๆ กว่านี้หน่อย
– Almost done! เกือบเสร็จแล้ว
อุทาน
– Poor you/me/him/her..! น่าสงสารจัง
– I did it! (I made it!) ฉันทำได้แล้ว
– What a relief. โล่งอกไปที
– bad luck! โชคร้าย
– what a pity! น่าเสียดายจัง
– The God knows! พระเจ้า ทรงทราบ, พระเจ้าทรงเป็นพยาน
คำสั่ง ห้าม
– No litter. ห้ามทิ้งขยะ
– Don’t peep! ห้ามแอบดู
– Stop it right away! หยุดเดี๋ยวนี้เลย
ให้กำลังใจ คำชม อวยพร
– Good job! / Well done! ดีมาก
– Try your best! พยายามให้ถึงที่สุด
– Enjoy your meal! ทานอาหารให้อร่อยนะ
– Strike it lucky. โชคดี
– Congratulations! ขอแสดงความยินดีด้วย
ขอขอบคุณที่มา today.line.me
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10 กันยายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,650.00 | 18,550.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,150.00 | 18,222.32 | 1,202.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 18,889.36 | 1,246.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,400.09 | 1,081.80 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,577.86 | 961.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,201.56 | 541.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,382.36 | 421.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 10 กันยายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 | 30.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 | 30.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 | – | 27.54 | 27.54 | 27.54 | 27.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.59 | 21.59 | – | – | – | – | – | 21.59 | 21.59 | – |
เบนซิน 95 | 37.66 | – | – | – | 38.11 | – | 38.16 | 37.96 | 37.76 | 37.96 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 14.58 | 14.58 | – | – | – | – | – | – | – | – |