สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2561

“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

“เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” ต่อยอดความสำเร็จของ LAVIQ Sukhumvit 57 เดินหน้าปั้นแบรนด์ Luxury ใหม่ “AESTIQ Thonglor” คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury เพื่อเป็น Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไพร์มโลเคชั่นทั่วกรุงเทพฯ กว่า 7 ปีที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ในทุกกลุ่มโปรดักส์มากกว่า 10 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 12,800 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมระดับ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการรวม 4,200 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพบนถนนทองหล่อ สุดยอดทำเลพักอาศัยในฝันของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Successor ทำเลพักอาศัยที่สะท้อนความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบและความสุนทรียะของผู้พักอาศัย ทั้งกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ ฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ล้ำหน้าและทันสมัย ดึงจุดแข็ง Luxury Car Sharing Service เพื่อรองรับโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงแหล่ง ช้อปปิ้ง ชั้นดี อย่าง The Em District เมืองหลวงของนักช้อป ที่รวบรวม Flagship store ของ Super Brand ชั้นนำระดับโลกไว้ที่นี่ ซึ่งกำหนดเปิดขายโครงการในช่วงเดือน กันยายน นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ

นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเน้นให้ความสำคัญในทุกๆด้าน ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการและการออกแบบโครงการที่แตกต่างไปจากคู่แข่ง ด้านคุณภาพที่เหนือกว่า การออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น การเลือกวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงการมีพันธมิตรทีมออกแบบโดยทีมสถาปนิกและบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศ ทำให้ทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนานั้นประสบความสำเร็จ โดยในส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของเรียลแอสเสทนั้น หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมระดับ Luxury โครงการแรกที่มีมูลค่ารวมกว่า 4,120 ล้านบาท บริษัทฯ จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการลงทุนพัฒนาตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ

AESTIQ เกิดมาจากการผสานคำระหว่าง “Aesthetic” (สุนทรียภาพ) กับ “Unique” (ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว) จนกลายมาเป็นแนวคิดของโครงการคือ “A Reflection of you” เพื่อเน้นย้ำสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองผ่านแกนหลักทั้งหมด 5 แกน ดังนี้

Nature – ธรรมชาติเป็นหนึ่งในแกนที่นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อต้องการผสมผสานความเป็นธรรมชาติให้แทรกซึมไปตามการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง หรือ โครงสร้างตึกแบบ Organic Form และทางโครงการได้นำทรัพยากรธรรมชาติอย่าง “ลม” มาใช้ประโยชน์ในการออกแบบโครงการ เพื่อช่วยในการหมุนเวียนอากาศให้เข้ามายังพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณที่พักอาศัย

Iconic – โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือธงใหม่ของบริษัทเพื่อต้องการปักธงในการออกแบบตัวอาคารเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในย่านทองหล่อ ที่ใครๆจะต้องจ้องติดตามและกล่าวถึง

Future – ด้วยภาพลักษณ์การออกแบบสถาปัตยกรรมโครงการ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง เป็นการสะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในโครงการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Private Lift และระบบที่จอดรถยนต์แบบ Auto Parking

Sustainable – ความยั่งยืน ด้วยภาพลักษณ์ของโครงการที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและเทคโนโลยี ดังนั้น โครงการ AESTIQ Thonglor จึงได้นำรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เข้ามาใช้เป็น car sharing service ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างยั่งยืนและลดการปล่อยมลพิษ

Fun – ความสนุกสนานในการใช้ชีวิตในย่านทองหล่อ คงหนีไม่พ้นกับการได้ลองอะไรใหม่ๆในย่านที่มีแต่เรื่องตี่นเต้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน การพบปะผู้คน การได้ลองร้านอาหารสุดชิคและแชร์ลงบน Social Media หรือการ Hang Out สบายๆในร้านกาแฟ ที่มีการออกแบบและตกแต่งภายในอย่างมีศิลปะ หรือการไปสัมผัส แสง สี เสียง ในยามค่ำคืน กลายเป็นแกนหลักในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสนุกสนานได้ หากต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองและอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการสังสรรค์

“ผมเชื่อมั่นว่า โครงการ AESTIQ Thonglor ถือได้ว่าเป็นโครงการที่ยกระดับทุกๆด้านในการใช้ชีวิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ การออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และมีความล้ำสมัยบนทำเลทองหล่อ โดยมาจากการนำแกนหลักทั้ง 5 แกนที่กล่าวมาข้างต้นนำมาใช้ในการเชื่อมโยงเข้าหากันและออกแบบได้อย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าที่จะตัดสินใจในการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราเองกำหนด เพราะสุดท้ายการตัดสินใจเหล่านี้ก็จะสะท้อนกลับเพื่อหล่อหลอมตัวตนของคุณที่แท้จริงออกมาในแบบ A Reflection of you”

นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการ AESTIQ Thonglor ว่า โครงการนี้ถือเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury บนทำเลศักยภาพย่านทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 – 3 – 88.9 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 203 ยูนิต จอดรถได้ 220 คัน โดยเสนอยูนิตพิเศษในราคาเริ่มต้นเพียง 8.99 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ประมาณตารางเมตรละ 269,000 บาท โครงการพัฒนายูนิตขึ้นมาให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 64 % , แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 76 – 119 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25 % ,แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 131-158 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10 % และห้องเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 289-297 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1 % โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน พฤษภาคม 2562 และจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564

ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการอยู่ที่ การออกแบบอาคารให้มีรูปทรง Facade ดูโค้งและปิดกั้นด้วยกระจก Curtain Wall ในด้านฝั่งถนนทองหล่อ ที่สะท้อนรูปทรงอาคารเพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่ที่สะท้อนความเป็น Futuristic ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งอนาคต แห่งแรกในประเทศไทย และ ในทุกห้องพักของโครงการมี Private Lift ในทุกยูนิต เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่หรูหราของสังคมเมือง โดยลูกค้าสามารถขึ้นมาถึงห้องพักของตนเองได้โดยไม่ต้องเดินผ่านพื้นที่ Corridor ส่วนกลางในแต่ละชั้นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ภายในโครงการได้จัดให้มีระบบจอดรถถึง 2 ระบบ ทั้งแบบ Auto Parking และ Conventional Parking ในสัดส่วนมากกว่า 100%ของห้องพัก รวมทั้งในส่วนของห้องพัก floorplan ได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป อีกทั้งเพื่อเพิ่มมุมมองจากภายในอาคารการออกแบบจึงให้ความสำคัญกับขนาดและตำแหน่งของช่องกระจกมากเป็นพิเศษ โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทิศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด

โดดเด่นด้วย Reflection Pool : “สระว่ายน้ำ” ของโครงการอยู่บนชั้นที่ 30 ของอาคาร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่สูงมาก เพียงพอที่จะชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของ Bangkok Skyline โดยที่สระถูกออกแบบให้เป็น Infinity – Edge Pool เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถชื่นชมความงามของธรรมชาตินั้นได้เต็มที่ และมีความยาวสระต่อเนื่องถึง 25 เมตรเหมาะสำหรับผู้ที่รักในการว่ายน้ำออกกำลังกายอีกด้วย โดยออกแบบให้ธรรมชาติแทรกซึมไปในทุกส่วนของพื้นที่แบบ Organic Form และเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความเป็น Reflective เพื่อสร้างความโดดเด่นอีกด้วย

Step Garden:” บันได” เป็น Main Vertical Circulation ที่สำคัญของโครงการ ซึ่งโครงการ AESTIQ Thonglor นี้ได้นำแนวคิดที่จะนำ Terrace มา Integrate ใช้กับบันได เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป กลายเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถเข้ามาใช้งานได้มากขึ้น อีกทั้ง Step Garden นี้ ยังตั้งอยู่ด้านหน้าของโครงการ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมานั่งพักผ่อนในบรรยากาศ Cityscape ของถนนทองหล่อได้อีกด้วย

Sky Private Garden for Penthouse บริเวณชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบเป็นพิเศษและเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์โดยเฉพาะ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยบันไดภายในห้องพักและมีส่วนของ Double Space ที่เชื่อมต่อชั้นบนและชั้นล่าง รวมทั้งมี “Sky Private Garden” พื้นที่ส่วนตัวสุดพิเศษสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์เท่านั้นด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf & Bike Simulator , Private Theater , Private Onzen , Panoramic Gym , Sky Social Club ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

“เราเชื่อมั่นในทำเลที่ตั้งและคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่งจะสนับสนุนให้โครงการ AESTIQ Thonglor ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นเดิม เพราะเราใส่ใจลงรายละเอียดในการออกแบบอาคารทั้งภายในและภายนอกเพื่อสะท้อนถึงความเป็นตัวตนที่งดงามแตกต่าง สะท้อนความทันสมัยและรสนิยม นอกจากนี้ยังเติมเต็มความต้องการในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริมพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ซื้ออยู่เองและเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aestiq.com หรือ โทร 1232”

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/2864290


มั่นคงฯ มองตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังดี ลุยลงทุนต่อเนื่อง คาดรายได้3.5พันล้านบ.

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในปี 2561 ตามแผนที่ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยใช้งบลงทุน 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจเพื่อขาย 4,000 ล้านบาท จะเปิด 7 โครงการใหม่ ครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว “ชวนชื่น ซิตี้ เซาท์/วิลล์-วัชรพล” และ “ชวนชื่น ซิตี้ นอร์ท/วิลล์-วัชรพล” บนทำเลทองย่านวัชรพล ช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวรวม 3 โครงการ และโครงการทาวน์โฮมรวม 2 โครงการในทำเลศักยภาพ อาทิ กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก, กรุงเทพฯ ตอนเหนือ และกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีด้วยจุดเด่นในด้านของทำเลและฟังก์ชั่นการออกแบบ

นายวรสิทธิ์ กล่าวว่า งบลงทุนอีก 1,000 ล้านบาท จะลงทุนในธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ขณะนี้ดำเนินการโดยบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน คลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่านั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาเพิ่ม 38,000 ตร.ม.ในปีนี้ ทั้งนี้ พรอสเพคได้ร่วมมือกับบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด มหาชน (TICON) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริหารโรงงานและคลังสินค้าพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มเติมอีกกว่า 100 ไร่ โดยมีกลุ่มสแกนเนีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เป็นลูกค้ารายแรก บนเนื้อที่ 22 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 14,000 ตร.ม.มูลค่ารวม 350 ล้านบาท ด้านบริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับบริหารจัดการโครงการ ในช่วงครึ่งปีแรกได้รับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ โดยในครึ่งปีหลังตั้งเป้าเดินหน้าบริหารโครงการเพิ่มอีก 5 โครงการ ตามแผนที่จะขยายขอบเขตการให้บริการรวม 8 โครงการในปีนี้

“ในช่วงครึ่งปีหลังด้วยบรรยากาศการลงทุนและกลไกตลาดในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกอยู่ ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ คาดว่าจะมีรายได้จากการขายโครงการรวม 3,500 ล้านบาท” นายวรสิทธิ์กล่าว

ที่มา : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1066000

เริ่มแล้ว! ‘เกษตรนเรศวร’ หวังเกษตรไทยก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

เมื่อเวลา 16.00 น.ของวันที่ 31 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ดร.กาญจนา เงารักษี อธิการมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นประธานในการเปิดงานเกษตรนเรศวร ครั้งที่ 15 (เกษตรภาคเหนือตอนล่าง) “เกษตรไทยก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-5 ส.ค. เพื่อเป็นการเผยแพร่และส่งเสริมงานวิจัยทางการเกษตรที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตร อีกทั้งยังเป็นการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ นักวิจัย เกษตรกร เพื่อพัฒนาสินค้าทางด้านการเกษตรให้ก้าวหน้าตาม Thailand 4.0

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำพาประเทศไทยและเกษตรกรไทยสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องปรับตัวและสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในทุกๆด้าน รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตร ต้องมองอย่างบูรณาการเพื่อเชื่อมโยงการทำงานขององค์กรทุกภาคส่วนโดยโครงสร้างภาคเกษตรของไทยในอนาคต ต้องบูรณาการใน 4 ด้านด้วยกันคือ 1 กระบวนการผลิต ต้องมองอย่างครบวงจร 2 Workforce คือคนทำงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับท่าเกษตร รวมถึงคนในภาคการผลิตซึ่งได้แก่ เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ไปจนถึงอาชีพที่เกี่ยวข้องต่างๆ 3 องค์กรของรัฐ 4 ผลกระทบต่อเนื่องการเกษตร ทั้งนี้การก้าวไปสู่ความมั่นคง นั้นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือองค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ในฐานะที่คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการผลิตบัณฑิต จึงเห็นความจำเป็นของการรวบรวมองค์ความรู้ ประสบการณ์ด้านการจัดการผลผลิตเกษตร เพื่อถ่ายทอดไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดความตระหนักร่วมกัน จากการประเมินความช่วยเหลือที่ผ่านมาพบว่าการจัดงานประสบผลสำเร็จไปอย่างดี

ซึ่งในปีนี้คณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ได้กำหนดวันจัดงานเกษตรนเรศวรครั้งที่ 15 (เกษตรภาคเหนือตอนล่าง) ภายใต้หัวข้อ เกษตรไทยก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคมถึง 5 สิงหาคม 2561 โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆเช่น การประชุมวิชาการเกษตรนเรศวรครั้งที่ 15 การอบรมทางวิชาชีพจำนวนที่ 22 โครงการ การแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน การแข่งขันของนักเรียน การประกวดด้านสัตว์เลี้ยงได้แก่ การประกวดปลากัด การประกวดไก่ชนนเรศวร การประกวดไก่ตั้ง ไก่ต่อ การประกวดสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว และตลาดนัดสินค้าทางการเกษตร เป็นต้น

ที่มา : https://www.matichon.co.th/region/news_1066801

ฉาย 3 ภาพอนาคตไทย ดิจิทัลป่วนเศรษฐกิจ แนะสร้าง‘3C’รับมือ

หมายเหตุ – บทความเรื่อง “ปรับโมเดลการพัฒนาประเทศให้โตได้ในความปั่นป่วน” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่อธิบายเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต

เทคโนโลยีและความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ

ปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่นำมาซึ่งความปั่นป่วนในหลายตลาด เช่น บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่นของอูเบอร์ (Uber) เป็นตัวอย่างหนึ่งของความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในอดีตผู้สอบใบอนุญาตเพื่อขับรถแท็กซี่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จะต้องสามารถจดจำถนน 6 หมื่นเส้นทางให้ได้ทั้งหมด แต่อูเบอร์ทำให้มีผู้ขับขี่จำนวนมากสามารถขับรถได้โดยไม่ต้องจดจำถนน ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ให้บริการเดิมอย่างรุนแรง จนเกิดการประท้วงใหญ่

นอกจากนี้ บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่นยังทำให้ราคาใบอนุญาตขับรถแท็กซี่สาธารณะในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เคยสูงถึง 1.2 ล้านเหรียญต่อคันลดลงอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ได้สร้างระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งเรียกว่าเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) อันเป็นการนำทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอาจทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินดังกล่าวเช่น รถยนต์เป็นของตัวเองอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนในเมือง และการวางผังเมืองอย่างมาก

ผลกระทบต่อภาคการผลิต

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อทุกภาคการผลิต ในภาคเกษตรกรรม มีตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีมากมาย เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัท จอน เดียร์ ได้พัฒนารถแทรกเตอร์อัจฉริยะที่สามารถควบคุมและสั่งการให้ดูแลใส่ปุ๋ย รดน้ำจากหน้าจอควบคุม ซึ่งช่วยลดแรงงานและต้นทุนในการผลผลิต

นอกจากนั้น ในประเทศญี่ปุ่น มีการใช้เซ็นเซอร์แสงในการคัดคุณภาพของมันหวานมิยาซากิ และมีการติดตั้งเซ็นเซอร์วัดการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มผลิตภาพในฟาร์มเลี้ยงโควากิว เป็นต้น

ส่วนในประเทศไทยมีตัวอย่างการทำสมาร์ทฟาร์มของเครือมิตรผล ที่มีการใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมและแผนที่ภูมิศาสตร์ในการประเมินผลผลิตและใช้โดรนในการเพิ่มผลผลิตของไร่อ้อย

ในภาคอุตสาหกรรม มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้งานมากมาย ทั้งการบริหารจัดการคลังสินค้า (warehouse) ซึ่งสามารถลดจำนวนคนงานได้มาก โดยในประเทศไทยมีการพัฒนาระบบคลังอัตโนมัติของหลายบริษัท เช่น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ และบริษัทขอนแก่นแหอวน ซึ่งเป็นผู้ผลิตแหอวนรายใหญ่ของโลกและมีสินค้ามากกว่า 100,000 รายการ

นอกจากนี้ บริษัท เด็นโซ ประเทศไทย (Denso Thailand) ยังนำเอาระบบผลิตอัตโนมัติแบบลีน (lean automation) มาใช้ โดยยึดหลักการบริหารที่โรงงานจะต้อง “ลีน” ก่อนการนำเอาระบบ “ออโตเมชั่น” มาใช้ เพื่อให้โครงการที่ลงทุนคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว เช่น ภายใน 1 ปี ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ การลดจำนวนแรงงานได้เป็นอย่างมาก

ภาคบริการก็ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีเช่นกัน เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ต่างได้รับผลกระทบจากการเติบโตของสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) หรือกูเกิล (Google) ธุรกิจการค้าก็ได้รับผลกระทบจากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อาลีบาบา (Alibaba) และธุรกิจขนส่งก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากบริการเรียกรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชั่น เช่น อูเบอร์ (Uber) และแกร็บ (Grab) เป็นต้น

ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน

เทคโนโลยียังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดแรงงาน โดยจะมีงานหลายประเภทที่จะถูกทดแทนในอนาคตอันใกล้เช่น งานใช้แรงงานที่มีการทำซ้ำบ่อยๆ เป็นต้น มีผู้คาดการณ์ว่าประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยมีงานที่มีความน่าจะเป็นสูงที่จะถูกทดแทนได้ถึงประมาณร้อยละ 50 ของงานทั้งหมดในตลาดแรงงานปัจจุบัน (Frey and Osborne, 2017)

อย่างไรก็ตาม จะมีงานอีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบน้อยจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ซึ่งในที่นี้จะขอเรียกว่า “งาน 3H” ซึ่งประกอบด้วยงานที่มีความละเอียดประณีตในการใช้มือ (Hand) ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เป็นระเบียบ (unstructured environment) งานที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Head) และงานที่ต้องใช้ความฉลาดทางสังคม (Heart)

การพัฒนาประเทศไทยต่อไปในยุคแห่งความปั่นป่วนทางเทคโนโลยี จึงต้องหาแนวทางในการสร้างงานในกลุ่ม งาน 3H นี้ให้เกิดขึ้นได้มากพอ

3 ภาพอนาคตที่เป็นไปได้ของประเทศไทย

เป้าหมายการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี เพื่อให้ประเทศไทยพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การเข้าสู่สังคมสูงอายุประกอบแล้ว ไม่ง่ายเลยที่ประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงตามเป้าหมายดังกล่าว

หากวาดภาพอนาคตพบว่า มี 3 ภาพสถานการณ์ (scenario) ที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับประเทศไทย

– ภาพสถานการณ์แรกคือ เศรษฐกิจไทยถูกปั่นป่วนจากต่างประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวในการแข่งขันระดับโลกได้อย่างทันการณ์ เพราะขาดการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิต ทำให้มูลค่าเพิ่ม (value added) ของสาขาต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจไทยไหลออกไปต่างประเทศ และทำให้งานหายไปกว่า 3.1 ล้านตำแหน่ง

ในภาพสถานการณ์นี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยของประเทศไทยตลอด 20 ปี จะอยู่ที่อัตราเพียงร้อยละ 2.1 ต่อปี ทำให้ไทยมีรายได้ต่อหัวเพียง 8,600 ดอลลาร์ในปี 2579 ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

– ภาพสถานการณ์ที่สองคือประเทศไทยป่วนตัวเองด้วยนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” โดยรัฐบาลเริ่มพัฒนา อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เรียกว่า S-Curve จำนวน 10 อุตสาหกรรม โดยส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างไรก็ตาม ภาพสถานการณ์ที่สองนี้ตอบสนองความท้าทายได้เพียงบางส่วน เนื่องจากนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ยังขาดยุทธศาสตร์ด้านกำลังคนที่ชัดเจนโดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานทักษะสูง ขาดยุทธศาสตร์ในการใช้เทคโนโลยี AI และขาดยุทธศาสตร์การสร้างงานใหม่ซึ่งถูกเทคโนโลยีทดแทนได้ยาก

ตามภาพสถานการณ์นี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยของประเทศจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.1 ต่อปี ทำให้รายได้ต่อหัวสูงขึ้นเป็น 10,300 ดอลลาร์ในปี 2579 ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางเช่นกัน

นอกจากนี้ แม้จะมีงานสร้างงานใหม่ขึ้นมาได้ แต่ก็จะยังไม่สามารถทดแทนงานเดิมได้ทั้งหมด โดยจะมีตำแหน่งงานที่หายไป 1.5 ล้านตำแหน่ง

– สถานการณ์ที่สามคือ การสร้าง “เศรษฐกิจแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นภาพสถานการณ์ที่ต่อยอดจาก “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ในการใช้เทคโนโลยี AI และการสร้างงานใหม่ในภาคเศรษฐกิจ 3C ซึ่งใช้ทักษะ 3H ซึ่งประกอบด้วย

เศรษฐกิจประณีต (Craft Economy) ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตสินค้าและบริการที่มีความประณีต มีมูลค่าสูง แทนการผลิตสินค้าและบริการจำนวนมาก เช่น การผลิตสินค้าเกษตรชั้นยอด การผลิตเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ เป็นต้น

เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตสินค้าและบริการที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์สูง เช่น การออกแบบแฟชั่น การผลิตภาพยนตร์ การผลิตสื่อโฆษณา เป็นต้น

เศรษฐกิจใส่ใจ (Care Economy) ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตสินค้าและบริการที่เน้นการดูแลร่างกาย อารมณ์ และความต้องการของผู้ใช้ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การดูแลผู้ป่วย การแนะแนวอาชีพ เป็นต้น

ในภาพสถานการณ์ที่สามนี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยของประเทศจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 4.3 ต่อปี ทำให้คนไทยมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 12,500 ดอลลาร์ในปี 2579 ซึ่งทำให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้

สร้างเศรษฐกิจ 3C โดยสมองทั้งสองข้าง

การสร้างเศรษฐกิจ 3C ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยต้องอาศัยการศึกษาคุณภาพสูงที่ผสมผสานระหว่างสมองซีกซ้าย ซึ่งเน้นการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM Education) และสมองซีกขวา ซึ่งเน้นการศึกษาศิลปศาสตร์ (Liberal Arts Education) โดยที่ระบบการศึกษาของไทยไม่จำเป็นต้องมุ่งไปเพียงด้านวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว

ธุรกิจสตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จหลายแห่งเกิดจากผู้ก่อตั้งที่จบการศึกษาด้านการศึกษาศิลปศาสตร์ เช่น Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn จบการศึกษาทางด้านปรัชญาหรือแม้กระทั่ง Jack Ma ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาก็จบด้านภาษาอังกฤษและเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อน เป็นต้น

เมื่อโมเดลของการพัฒนาประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามที่กล่าวมาข้างต้น การพัฒนาในแต่ละมิติ อาทิ ระบบนวัตกรรม ระบบการพัฒนาทักษะแรงงาน ระบบสวัสดิการรวมทั้งกฎระเบียบและทัศนคติของรัฐ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพื่อให้สามารถรองรับกับการพัฒนาภายใต้ความปั่นป่วนทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น

การปรับตัวของประเทศไทย

เทคโนโลยีมีผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลกระทบในหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจธนาคารที่ได้รับแรงกดดันจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากความคุ้นเคยกับความสะดวกสบายของโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

การปรับตัวของประเทศไทย ผ่านเศรษฐกิจ 3C เป็นแนวทางที่น่าสนใจและน่าจะช่วยผลักดันประเทศไทยไปข้างหน้า แต่การพัฒนาของประเทศไทยในปัจจุบันยังคงช้าอยู่ เช่น จำนวนสตาร์ตอัพในไทยช่วง 5-6 ปีหลังมีจำนวนเพียง 500-600 กิจการ ในขณะที่ประเทศจีนมีสตาร์ตอัพตั้งใหม่สูงถึงวันละ 12,000 แห่ง

อย่างไรก็ตาม คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์ไม่น้อย เช่น สามารถสร้างแอพพลิเคชั่นที่เปิดให้มีการเขียนนิยายในระบบออนไลน์ ซึ่งสร้างรายได้หลักล้านบาทต่อเดือนและมีต้นทุนต่ำกว่าการตีพิมพ์นิยามเป็นเล่ม และกำลังจะขยายการให้บริการไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

การเตรียมเด็กในปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ โดยควรพัฒนาสมองทั้งสองซีกเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ และต้องเข้าใจความเป็นพลเมืองโลก (global citizen)

ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_1066624


กินเห็ดสามอย่างต้านโรค ล้างสารพิษ แก้ซีสต์เนื้องอก

ไม่แปลกใจที่เดี๋ยวนี้ไปตามตลาด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต จะเห็นร้านที่ทำต้มยำเห็ดรวม, ยำเห็ด, แกงส้มเห็ด หรือแกง และต้มยำใดๆ ล้วนแต่นำเห็ดหลากหลายชนิด โดยนำพระเอกนางเอกชูโรงคือ ‘เห็ด’ เลย เมื่อก่อนยังได้เห็นว่าเห็ดถูกนำมาเป็นตัวประกอบในการปรุงอาหารสักหนึ่งเมนูเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ฉายเดี่ยวเป็นเมนูที่คนนิยมนำมาปรุงสุก และทานเห็ดกันอย่างแพร่หลาย
วันนี้ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ มีข้อมูลความรู้ในเรื่องการกินเห็ดที่ได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะกินในรูปแบบแกงหรือต้มยำหรือย่าง ก็มีคุณค่าเหมือนกัน โดยเราอธิบายไว้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. เห็ดสามชนิด? ที่นำมาทานคือ  เห็ดอะไรก็ได้ ที่กินได้อย่างน้อยสามชนิด เอามาปรุงสุก ทำยำ แกง ต้ม ได้หมด หรือลวกกินเปล่าๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่เมนูเด็ดที่ทำให้การกินเห็ดได้ไม่รู้เบื่อ คือต้มยำเห็ด ที่ได้รสชาติแซ่บ แถมยังได้ประโยชน์อีกด้วย หรือหากใครขี้เบื่อ จะเอาเห็ดสามอย่างมาต้มสุก และกินน้ำของเขาก็ได้อยู่
2. เห็นที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็นหูหนูขาว ดำ เห็นชิเมจิขาว เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดหลินจือ เป็นต้น
3. เห็ดช่วยรักษาโรค ตับ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง ป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะ ล้างสารพิษในโรคต่างๆ ได้ เรียกว่า คุณประโยชน์ครบครัน ได้รสชาติอร่อย อิ่ม และมีประโยชน์
4. ผลลัพธ์ที่ได้จากการกินเห็ด  มีหลายคนบอกว่า หากกินเห็ดสามอย่างเป็นประจำ อาการคนที่เป็นซีสต์เนื้องอกจะลดลง หรือในผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ในมดลูก เห็ดจะช่วยล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้อย่างดี เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจที่ร้านทำต้ม แกงเห็ด ขายเปิดอยู่มากมายทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะได้รับความนิยมอย่างนี้เอง
5. หาซื้อที่ไหน? ตามท้องตลาด ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ชั้นนำ หรือถ้าเราขี้เกียจ ก็ไปที่ร้านที่มีเมนูเห็ดให้เขาต้มยำให้เสร็จพร้อมกินเลย

เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งรีบเชื่อ อยากให้ทุกคนได้ลองหาชิมหาทานกันก่อน แล้วจะรู้ว่าประโยชน์เหลือคณานับ อีกทั้งยังหาซื้อง่าย ราคาปานกลาง ลองทานแล้วจะติดใจ อ้อ..เขาบอกว่า ทานเห็ดหนึ่งอย่างไม่รักษาโรคแค่มีประโยชน์ แต่ถ้าทานสามอย่างเป็นประจำ ต้านโรคได้แน่นอน.

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1342839#cxrecs_s


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 01/08/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,150.00 19,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,240.00 18,798.40 19,750.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,116.00 16,918..56 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 558.00 8,459.28 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 434.00 6,579.44 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,285.00 19,480.60 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  01/08/2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 30.05 30.05 30.25 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05
แก๊สโซฮอล์ 91 29.78 29.78 29.98 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78 29.78
แก๊สโซฮอล์ E20 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14 27.14
แก๊สโซฮอล์ E85 21.34 21.34 21.34 21.34
เบนซิน 95 37.16 37.61 37.66 37.26 37.26 37.26
ดีเซล 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49 29.49
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.49 33.36 33.36 33.36 33.36
แก๊ส NGV 14.29 14.29
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า