สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2561

REIC ศูนย์ข้อมูลอสังหาเผยข้อมูลแนวโน้มตลาดปี 2561

REIC ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจภาคสนามโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายล่าสุด ณ สิ้นปี 2560 นับเฉพาะโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุดที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วยต่อโครงการ พบว่า มีจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างขายทั้งหมด 1,584 โครงการ มีจำนวนหน่วยในผังรวม 458,943 หน่วย และมูลค่าโครงการรวม 1,764,603 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นอุปทานเหลือขาย จำนวน 142,860 หน่วย มูลค่ารวม 549,807 ล้านบาท

ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร มีจำนวน 1,135 โครงการ มีจำนวนหน่วยในผังรวม 212,997 หน่วย มีมูลค่าโครงการรวม 916,112 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย จำนวน 80,449 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56.3 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด มูลค่าเหลือขายรวม 340,302 ล้านบาท

ส่วนโครงการอาคารชุด มีจำนวน 449 โครงการ มีจำนวนหน่วยในผังรวม 245,946 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 848,491 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย จำนวน 62,441 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.7 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด มูลค่าเหลือขายรวม 209,504 ล้านบาท

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์ 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าจากผลการสำรวจภาคสนามโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายล่าสุด ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งมีจำนวน 1,584 โครงการ มีจำนวนหน่วยทั้งหมด 458,943 หน่วย มีจำนวนหน่วยบ้านจัดสรร 212,997 หน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ที่มี 208,237 หน่วย และเป็นอาคารชุด 245,946 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ที่มี 242,852 หน่วย ซึ่งมีจำนวนหน่วยอยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุดร้อยละ 50.5รองลงมาอยู่ในนนทบุรีร้อยละ 17.4

“จากการสำรวจพบว่ามีโครงการเปิดขายใหม่ในปี 2560 จำนวน 396 โครงการ จำนวน 101,422 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 22.1 ของหน่วยในผังทั้งหมดที่เสนอขายอยู่ ณ ปัจจุบัน โดยมีมูลค่าโครงการที่เปิดขายในปี 2560 รวม 408,084 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านจัดสรร 272 โครงการ จำนวน 40,841 หน่วย มีมูลค่าโครงการ 166,044 ล้านบาท และอาคารชุด 124 โครงการ จำนวน 60,581 หน่วย มีมูลค่าโครงการ 242,040 ล้านบาท”

image: https://thinkofliving.com/wp-content/uploads/2018/06/Screen-Shot-2561-06-07-at-14.00.16.png

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณารายละในด้านประเภทและราคาขายโครงการ พบว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีหน่วยขายได้สะสม ณ สิ้นปี 2560 จำนวนรวม 316,083 หน่วย หรือร้อยละ 68.9 (ต่อหน่วยทั้งหมด 458,943 หน่วย) มีมูลค่าโครงการขายได้รวม 1,214,796 ล้านบาท โดยประเภทโครงการอาคารชุดมีสัดส่วนขายได้ มากที่สุดร้อยละ 74.6 (ต่อหน่วยทั้งหมด 245,946 หน่วย)

ทั้งนี้ในแต่ละพื้นที่มีประเภทที่อยู่อาศัยขายได้สูงสุดต่างกัน กล่าวคือในพื้นที่กรุงเทพมหานครขายได้ร้อยละ 75.8 และอาคารชุดขายได้มากที่สุดร้อยละ 77.8 (ต่อหน่วยทั้งหมด 169,105 หน่วย) เช่นเดียวกับจังหวัดนนทบุรีขายได้ร้อยละ 64.4 และอาคารชุดได้มากที่สุดร้อยละ 67.8 (ต่อหน่วยทั้งหมด 35,411 หน่วย) ขณะที่จังหวัดปทุมธานีขายได้ร้อยละ 58.6  โดยอาคารพาณิชย์ขายได้มากที่สุดร้อยละ 75.4 (ต่อหน่วยทั้งหมด 2,281 หน่วย) จังหวัดสมุทรปราการขายได้ร้อยละ 62.7 ที่ดินเปล่าขายได้มากที่สุดร้อยละ 83.5 (ต่อหน่วยทั้งหมด 164 แปลง) จังหวัดสมุทรสาครขายได้ร้อยละ 59.0 อาคารชุดขายได้มากที่สุดร้อยละ 80.0 (ต่อหน่วยทั้งหมด 1,556 หน่วย) และจังหวัดนครปฐมขายได้ร้อยละ 58.8 และอาคารชุดขายได้มากที่สุดร้อยละ 70.8 (ต่อหน่วยทั้งหมด 3,869 หน่วย)

สำหรับภาพรวมโครงการเหลือขายพบว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีสัดส่วนที่อยู่อาศัยเหลือขายร้อยละ  31.1 มีมูลค่าเหลือขาย 549,807 ล้านบาท  ในประเภทบ้านจัดสรร ณ สิ้นปี 2560 ทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนเหลือขายมากที่สุด ร้อยละ 53.6 โดยส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 2.01- 3.00 ล้านบาท รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว เหลือขายร้อยละ 31.5 โดยส่วนใหญ่เหลือขายอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท บ้านแฝดเหลือขายร้อยละ 10.3 โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด อาคารพาณิชย์พักอาศัยเหลือขายร้อยละ 4.3 โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00  ล้านบาทมากที่สุด และที่ดินเปล่าเหลือขายร้อยละ 0.2 โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00  ล้านบาทมากที่สุด ตามลำดับ

ทำเลของโครงการบ้านจัดสรรที่เหลือขาย มากที่สุด 5 อันดับแรก ณ สิ้นปี 2560 ได้แก่ 1) ลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ 2) จังหวัดสมุทรปราการ 3) บางกรวย–บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ซึ่งเป็นแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดให้บริการแล้ว 4) สมุทรสาคร และ 5) มีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง โดยทั้ง 5 ทำเลนี้เหลือขายเป็นประเภททาวน์เฮ้าส์ ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด ยกเว้นทำเลสมุทรปราการ เหลือขายประเภททาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด

ในประเภทโครงการอาคารชุด พบว่า ณ สิ้นปี 2560 ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอนเหลือขายมากที่สุดร้อยละ 66.2 โดยส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 2.01- 3.00 ล้านบาท รองลงมาเป็นห้องชุดแบบสตูดิโอ เหลือขายร้อยละ 22.1 ซึ่งส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาทมากที่สุด ส่วนประเภทห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน มีสัดส่วนเหลือขายร้อยละ 10.7 ซึ่งส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาทมากที่สุด และห้องชุดแบบ 3 ห้องนอนขึ้นไปเหลือขายร้อยละ 0.9 ซึ่งส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมากที่สุด

ทำเลของโครงการอาคารชุดที่เหลือขาย มากที่สุด 5 อันดับแรก ณ สิ้นปี 2560 ได้แก่ 1) จังหวัดนนทบุรี 2) ธนบุรี ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตากสิน-บางหว้าที่เปิดให้บริการแล้ว 3) จังหวัดสมุทรปราการ     4) ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง  และ 5) จังหวัดปทุมธานี โดยทำเลจังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ เหลือขายเป็นประเภท 1 ห้องนอน ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด ส่วนทำเลธนบุรี และห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขายเป็นประเภท 1 ห้องนอน ในระดับราคาที่สูงกว่าทำเลอื่น คือ ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด และทำเลจังหวัดปทุมธานี เหลือขายประเภทสตูดิโอ ในระดับราคาน้อยกว่า 1 ล้านบาทมากที่สุด

อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลฯได้ประมาณการอุปทานเหลือขายที่อยู่อาศัยในตลาด กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ปี 2561 โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 145,099 หน่วย ประกอบด้วยแนวราบมีประมาณ 80,490 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 55.5 และ อาคารชุดมีประมาณ  64,609 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 45.5 โดยประมาณการว่าหน่วยที่เหลือขายมากที่สุด คือ อาคารชุดร้อยละ 44.5  รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ร้อยละ 32.4 บ้านเดี่ยวร้อยละ 16.0% ที่เหลือเป็น บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์

 

https://thinkofliving.com


ทำเล”รถไฟฟ้าสายสีเหลือง”สะดุดกฎเหล็ก ลุ้นผังเมืองปลดล็อกตึกสูง

คอนโดฯแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง “ลาดพร้าว-สำโรง” สะดุดกฎเหล็ก ห้ามขึ้นตึกสูงเกิน 2,000-10,000 ตร.ม. สวนทางราคาที่ดินพุ่งกระฉูดปีละ 10-15% ขาใหญ่แห่ตุนแลนด์แบงก์ กว้านซื้อตึกแถว รอจังหวะขึ้นบิ๊กโปรเจ็กต์ ด้าน กทม.เตรียมรื้อใหญ่ผังเมือง เพิ่มพื้นที่สีแดง สีส้ม เกาะแนวถนนสายหลักรถไฟฟ้า เปิดทางพัฒนาได้มากขึ้น
 
แม้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งภายในเดือน มิ.ย.นี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะส่งมอบพื้นที่ให้กลุ่มบีทีเอสเดินหน้าก่อสร้าง จะหนุนให้ทำเลกรุงเทพฯโซนตะวันออกมีศักยภาพในการพัฒนาเพิ่มขึ้น แต่ข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับกฎกระทรวงเกี่ยวกับระยะถอยร่น ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่สามารถพัฒนาคอนโดฯตึกสูงได้เต็มที่
ลงทุนคอนโดฯติดล็อกผังเมือง 
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันที่ดินในทำเลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อย่างแนวถนนลาดพร้าวยังถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดผังเมือง กทม. ไม่สามารถพัฒนาได้มากนัก (ดูกราฟิก) เช่น ถนนลาดพร้าวช่วงต้น ๆ จนถึงโชคชัย 4 เป็นพื้นที่สีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง) ย.7 FAR (อัตราส่วนของพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน) 5 : 1 และ OSR (อัตราส่วนพื้นที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวม) ร้อยละ 6 ส่วนใหญ่ให้สร้างคอนโดฯไม่เกิน 10,000 ตร.ม. และถนนต้องกว้าง 6 เมตรขึ้นไป
ยกเว้นบางบริเวณที่สร้างได้เกิน 10,000 ตร.ม. แต่ต้องอยู่ในระยะ 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า และถนนต้องกว้าง 10 เมตรขึ้นไป นอกระยะ 500 เมตร ถนนต้องกว้าง 30 เมตร ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มี ยกเว้นสถานีรถไฟฟ้า 3 ทำเล คือ สถานีรัชดา-ลาดพร้าว สถานีภาวนา และสถานีโชคชัย 4 แต่แทบหาที่ดินไม่ได้แล้ว โอกาสการพัฒนาจึงมีน้อย ทำให้ย่านนี้จะเห็นอาคารไม่เกิน 10,000 ตร.ม.เป็นหลัก ส่วนความสูงต้องอิงกับกฎหมายควบคุมอาคารด้วย เช่น ถนนกว้าง 10 เมตรขึ้นไป สร้างได้ไม่เกิน 8 ชั้น
โชคชัย 4 ไม่เกิน 2 พัน ตร.ม.
ส่วนช่วงโชคชัย 4 ผ่านไปยังถนนประดิษฐ์มนูธรรม หรือเลียบทางด่วนไปจนถึงลาดพร้าว 101 เป็นพื้นที่สีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) ย.4 FAR 3 เท่า และ OSR ร้อยละ 10 สร้างคอนโดฯไม่เกิน 2,000 ตร.ม. ยกเว้นอยู่ในระยะ 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้า หรือถนนกว้าง 10 เมตร จึงสร้างได้เกิน 2,000-10,000 ตร.ม.
ด้านทำเลต่อเนื่องถนนเลียบทางด่วน และเกษตร-นวมินทร์ เป็นทำเลบ้านเดี่ยวราคา 20-50 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 4-8 ล้านบาท และคอนโดฯ 1 ล้านกว่าบาท
เช่นเดียวกับทำเลชุมชนย่านตลาดบางกะปิกับแอร์พอร์ตลิงก์สถานีหัวหมาก แม้จะเป็นทำเลไข่แดง แต่ผังเมืองกำหนดเป็นพื้นที่ พ.3 สร้างคอนโดฯได้ไม่เกิน 5,000 ตร.ม. FAR 7 เท่า และ OSR ร้อยละ 4.5 หากสร้างเกิน 5,000-10,000 ตร.ม.ต้องอยู่ในรัศมี 500 เมตรจากสถานี และถนนต้องกว้าง 6 เมตรขึ้นไป หากเกินระยะ 500 เมตร ถนนต้องกว้าง 16 เมตร สร้างเกิน 10,000 ตร.ม. ฯลฯ ทั้งนี้บริเวณสถานีหัวหมาก มีโอกาสพัฒนาได้มาก เพราะยังมีที่ดินเหลืออยู่ และราคาที่ดินยังไม่แพง ติดถนนใหญ่อยู่ที่ 100,000 กว่าบาท/ตร.ว. ในซอย 50,000-80,000 บาท/ตร.ว.
ที่ดินพุ่งรอ กทม.ปรับผังใหม่ 
“ถนนลาดพร้าวเป็นที่หมายตาของดีเวลอปเปอร์ แต่ส่วนใหญ่รอให้ผังเมือง กทม.ปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เอื้อต่อการพัฒนาได้มากขึ้น ปัจจุบันที่ดินว่างเปล่าบนถนนลาดพร้าวถูกจับจองไปหมดแล้ว แต่ก็มีเจ้าของที่ดินรวมตัวโก่งราคาขาย”
นายภัทรชัยกล่าวว่า สำหรับราคาที่ดินแนวสายสีเหลืองมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น หลังรถไฟฟ้าเปิดบริการปีละ 10-15% ราคาสูงสุดอยู่รอบสถานีรัชดา 500,000-700,000 บาท/ตร.ว. ช่วงลาดพร้าวกลาง ๆ อยู่ที่ 150,000-250,000 บาท/ตร.ว. ยังไม่สูงมากเพราะเป็นพื้นที่สีเหลือง
ขณะที่ทำเลย่านลำสาลี ศรีนครินทร์ และพัฒนาการ อยู่ที่ 100,000-300,000 บาท/ตร.ว. ต่ำสุดอยู่ที่บริเวณสถานีทิพวัล 90,000-120,000 บาท/ตร.ว. แต่คาดว่าหากสายสีเหลืองและสีเขียว ต่อขยายแบริ่ง-สำโรงเปิดบริการ ราคาที่ดินจะขยับเป็น 150,000-180,000 บาท/ตร.ว.
ซัพพลายเหลือขายพันยูนิต 
 
นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาด บจ.ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลคอนโดฯแนวสายสีเหลืองช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกลำสาลี มีประมาณ 30 โครงการ ยูนิตสะสมตั้งแต่ปี 2552 ถึงไตรมาสแรกปี 2561 รวม 8,460 ยูนิต เหลือขายกว่า 1,000 ยูนิต
 
เจ้าของโครงการมีทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก เช่น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บจ.สำราญครีเอชั่น บจ.เดเก็นกรุ๊ป เป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในซอย เช่น วังหิน โชคชัย 4 ลาดพร้าว 71 ลาดพร้าว 101 ลาดพร้าว 113 ลาดพร้าว 127
 
เนื่องจากที่ดินราคายังไม่แพงมากเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายติดถนนลาดพร้าว ปัจจุบันราคาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 10% อนาคตจะปรับขึ้นมากกว่า 20%
รื้อใหญ่สีที่ดินแนวรถไฟฟ้า
 
ด้านนายศักดิ์ชัย บุญมา ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวว่า ภายในปี 2562 กทม.จะประกาศใช้ผังเมืองรวมฉบับใหม่ ขณะอยู่ระหว่างปรับปรุงรายละเอียดให้สอดรับกับสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปมากโดยสายสีเหลือง บนแนวถนนลาดพร้าวและศรีนครินทร์ ถือเป็นพื้นที่เป้าหมายที่จะปรับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ยืดหยุ่นต่อการพัฒนามากขึ้น นอกเหนือจากให้โบนัสรัศมี 500 เมตรรอบสถานี
 
“การใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองเดิมกำหนดเป็นโซนพื้นที่ แต่ฉบับใหม่จะกำหนดตามแนวรถไฟฟ้าและแนวถนนเป็นหลัก เช่น ติดถนนให้เป็นพื้นที่สีแดง สีส้มตลอดแนว ถัดจากนั้นเป็นสีเหลือง เป็นต้น รวมถึงอาจปลดล็อกความกว้างของถนนด้วย เช่น ถนนลาดพร้าว กว้าง 20 เมตร พัฒนาตึกสูงได้ยาก ผังเมืองใหม่อาจลดขนาดความกว้างลง” นายศักดิ์ชัยกล่าว
แห่ประกาศขายตึกแถว 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เวลานี้เจ้าของที่ดิน อาคารตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจำนวนมากปิดป้ายประกาศขายที่ดิน ตึกแถวกันคึกคัก โดยตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างสูง ล่าสุด บริเวณสถานีโชคชัย 4 เยื้องสถานีตำรวจ มีเจ้าของประกาศขายอาคารพาณิชย์พร้อมโกดัง พื้นที่ 820 ตร.ว. ในราคา 280,000 บาท/ตร.ว. หรือมูลค่ารวม 229 ล้านบาท

http://www.bkkcitismart.com


‘เอ็กซิมแบงก์’ ปรับเพิ่มคาดการณ์ส่งออกปี61 โตได้ถึง 9%

“เอ็กซิมแบงก์” ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของภาคการส่งออกไทยทั้งปี61 จากเดิม 5-8% เป็น 7-9%

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า การส่งออกในปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากมูลค่าส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัวถึง 11.5% สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ EXIM BANK จึงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของภาคการส่งออกไทยทั้งปี 2561 จากเดิม EXIM BANK คาดการณ์ไว้ที่ 5-8% เป็น 7-9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ 1. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกขยายตัวในระดับสูง โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2561 จะขยายตัว 3.9% สูงสุดในรอบ 7 ปี พร้อมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าการค้าโลกจากเดิมที่ขยายตัว 4.6% เป็น 5.1% 2. ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยคาดการณ์ ทำให้สำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐฯ (U.S. Energy Information Administration : EIA) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันปี 2561 จาก 63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้มูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติกซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 15% ของมูลค่าส่งออกรวมขยายตัวในระดับสูงตาม 3. ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกยังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญและมีการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้น

นายพิศิษฐ์ เปิดเผยต่อไปว่า การส่งออกของไทยไปยังแต่ละตลาดในปี 2561 ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้มากกว่าที่เคยดคาดการณ์ในทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียนเดิม ที่คาดว่าจะขยายตัวได้สูงกว่า 9% เช่นเดียวกับตลาดใหม่ อย่าง CLMV และตลาด New Frontiers อื่นๆ ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์เป็น 8.5% และ 6.3% จากคาดการณ์เดิมที่ 6.7% และ 5.0% ตามลำดับ สำหรับมูลค่าส่งออกจำแนกรายสินค้า EXIM BANK ปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าส่งออกปี 2561 ใน 3 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน ขยายตัวเพิ่มเป็น 17.5% จากคาดการณ์เดิมที่ 11.2% รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ปรับเพิ่มเป็น 8.4% จากคาดการณ์เดิมที่ 7.8% และสินค้าเกษตร ปรับเพิ่มเป็น 6.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.0% อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตามองปัจจัยบั่นทอนบางประการที่อาจกระทบต่อการส่งออกและทำให้มูลค่าส่งออกในช่วงที่เหลือของปีน้อยกว่าที่คาด ได้แก่ ค่าเงินที่มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าและความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า จากทิศทางการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ แสดงให้เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่ง EXIM BANK พร้อมสนับสนุนทั้งด้านข้อมูลข่าวสารและบริการทางการเงินอย่างครบวงจร โดยความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ไม่จำกัดเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มส่งออกได้เพิ่มขึ้น แต่รวมถึงอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพแต่ยังมีส่วนแบ่งในตลาดโลกอยู่น้อย อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศได้มากถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศเป็นอย่างมากเพราะใช้วัตถุดิบในประเทศมากถึง 80% อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคนจำนวนมากตลอดห่วงโซ่การผลิตจึงสามารถกระจายรายได้ให้กับคนในประเทศเป็นวงกว้าง ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในภาคการผลิตราว 1 ล้านคนแล้ว อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับประชากรที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มสินค้าเกษตรกว่า 30 ล้านคน แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารมีผลผลิตใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศถึง 70% และส่งออกเพียง 30% โดยไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกอยู่เพียง 2.3% จึงยังมีโอกาสอีกมากที่จะขยายการส่งออกเพิ่มมากขึ้น

“วันนี้ทิศทางเศรษฐกิจโลกเอื้ออำนวยให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมาย แต่ขณะเดียวกันการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงขึ้น EXIM BANK จึงพร้อมจับมือกับภาครัฐและเอกชนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากขึ้น ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ โดยใช้ศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่จะสร้างความเข้มแข็งของภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศตลอดห่วงโซ่อุปทาน” นายพิศิษฐ์กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com


บาทเปิดตลาดเช้านี้อ่อนค่า 32.01 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดกลับมากังวลสงครามการค้า และน้ำมันปรับขึ้นบอนด์ยีลด์ไทยระยะยาวราคาปรับตัวลง จับตาเงินลงทุนต่างชาติในวันนี้ อาจลดการลงทุนกดบาทอ่อนค่าเร็ว

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 32.01บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากราคาปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 31.94 บาทต่อดอลลาร์

ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินกลับมากังวลกับสงครามการค้า และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการประชุมของกลุ่ม G7 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้บอนด์ยิลด์สหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลง 5bps ไปที่ระดับ 2.92% อย่างรวดเร็วเนื่องจากตลาดปิดรับความเสี่ยง สวนทางกับบอนด์ยิลด์ฝั่งยุโรปที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลเรื่องผลกระทบจากการกีดกันการค้าและนโยบายการเงินที่เข้มงวด เช่นในเยอรมันยิลด์อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นมาที่ 0.49% และบอนด์ยิลด์ฝรั่งเศสปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 0.82%

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโร และเงินเยนกลายเป็นสกุลเงินปลอดภัยที่แข็งค่ามากที่สุดในช่วงที่ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยง

นอกจากนี้ ในฝั่งของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้น ล่าสุดน้ำมันดิบเบรนท์เร่งตัวขึ้น 2.6% ขึ้นมาแตะระดับ 77 เหรียญต่อบาร์เรลอีกครั้ง หลังจากมีการรายงานว่าเวเนซุเอลาไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมาย

เราเชื่อว่าภาพรวมความเสี่ยงที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น และราคาสินค้าพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับบอนด์ยิลด์และค่าเงินบาทของไทย เนื่องจากความเสี่ยงที่สูงจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในระยะสั้น ขณะที่ราคาน้ำมันก็จะส่งผลให้บอนด์ยิลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้น (ราคาปรับลดลง) ด้วยซึ่งถือว่าไม่เป็นบวกกับการลงทุน

ดังนั้นในวันนี้ตลาดน่าจะระมัดระวังตัวมากขึ้น และจุดที่ต้องจับตาคือแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ก่อนหน้านี้เข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยมากอาจลดการลงทุนลงถ้าเงินบาทอ่อนค่าเร็ว มองกรอบเงินบาทระหว่างวันที่ระดับ 31.90-32.05 บาทต่อดอลลาร์

http://www.bangkokbiznews.com


ทำไมต้องทานอาหารเช้า? อาหารเช้าสำคัญอย่างไร..

เช้านี้ใครยังไม่ได้ทานอาหารเช้ากันบ้างครับชาวไอทีเมามันส์  มีงานวิจัยหลายเรื่องที่พบว่า การกินอาหารเช้ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เพราะในขณะที่ท้องหิวสมองก็ไม่รับรู้เรื่องที่ครูสอนไม่มีสมาธิในการเรียน บางคนไปสอบโดยไม่มีกินอาหารเช้า ทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นเราควรกินอาหารเช้าเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานที่จะต้องใช้ในการทำ งานทั้งกำลังกายและสมอง

ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้นที่ต้องการอาหารเช้า แต่ผู้ใหญ่ก็ยังต้องการอาหารเช้าเช่นกัน มีผลวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า คนที่กินอาหารเช้ามีพลังงานในการทำงานได้นานกว่า และมีความอ่อนล้าในช่วงกลางวันน้อยกว่าคนที่เริ่มอาหารเช้าด้วยกาแฟเพียง แก้วเดียว  การกินอาหารเช้าทำให้ช่วยลดปริมาณ การกินอาหารว่าง และถ้าเราปล่อยให้ร่างกายคอยนานเกินไปกว่าจะได้รับอาหารมื้อแรกของวัน ระบบการย่อยอาหารก็จะเฉื่อยชาในการทำงาน ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า คนที่ไม่กินอาหารเช้ามีอัตราการเผาผลาญอาหารต่ำกว่า คนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ

breakfast

แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของครอบครัวในปัจจุบัน อาหารเช้าซีเรียล จึงได้เข้ามามีบทบาทและกลายมาเป็นผู้ช่วยสำคัญให้กับครอบครัวยุคปัจจุบัน อย่างมาก ถึงแม้อาหารเช้าซีเรียลจะเป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารเช้าที่เริ่มมา จาก ชาวตะวันตก แต่ในปัจจุบัน หลายประเทศในเอเชีย รวมถึงคนไทยจำนวนมากได้หันมารับประทานอาหารเช้าซีเรียล นอกเหนือจากอาหารเช้ารูปแบบเดิม เพราะสะดวกและง่ายในการเตรียม เหมาะกับช่วงเวลาที่เร่งรีบเป็นอย่างมาก

toast-1077984_640

อาหารเช้าลดโรค

การกินอาหารเช้าช่วยป้องกันโรคหัวใจ และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นอาการเตือนของโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย จากผลการวิจัยคนที่กินธัญพืชไม่ขัดสีทุกวันเป็นอาหารเช้ามานานกว่า 5 ปี จะมีอายุยืนขึ้น เพราะธัญพืชไม่ขัดสีมีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดและความดันโลหิต ส่งเสริมให้ร่างกายใช้กลูโคสและฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น ธัญพืชที่มีโปรตีนถั่วเหลืองผสมจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะโปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ ส่วนอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดโฟลิค วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 จะช่วยลดสารโฮโมซิสเตอีนในเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือด

brown-925636_640

อาหารเช้าเพิ่มพลังสมอง

ระหว่างที่นอนหลับร่างกายเรายังคงใช้พลังงานตามปกติ พลังงานเหล่านั้นมาจากกลูโคสที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ กว่าจะถึงเช้ากลูโคสมากกว่าครึ่งจะถูกใช้ไป ร่างกายจึงต้องการเติมพลังงาน ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะเป็นตัวเริ่มขับเคลื่อนพลังงานให้กับร่างกายได้ดีที่สุด

สมองของคนเราก็ใช้กลูโคสเป็นพลังงานด้วยเช่นกัน แต่สมองไม่สามารถเก็บสะสมกลูโคสส่วนที่เหลือได้เหมือนกับการที่ร่างกายสะสมพลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้สมองเราทำงานได้เฉียบไว หากงดอาหารเช้า คุณอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะมีพลังงานสำรองจากการพักผ่อน แต่พอใช้หมดไปร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเครียด และแม้ว่าจะกินชดเชยในมื้อเที่ยง ก็สายเกินไป เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่านไปแล้ว

Thai rice porridge with pork
                                                 Thai rice porridge with pork

ประโยชน์ของอาหารเช้า

  • ช่วยให้ความจำดี มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้นด้วย แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลงและสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วนและน้ำหนักได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีกจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้นและนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
  • ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจ ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูงและทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไปจะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลงด้วย
  • ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้
  • ช่วยพัฒนาสมอง สำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วยนะ

เป็นยังไงบ้างละครับ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเช้า เยอะมากเลยใช่ไหมละครับ คราวนี้อย่าลืมหาอะไรทานตอนเช้ากันด้วยนะครับเพราะมันสำคัญจริงๆ สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรานะครับชาวไอทีเมามันส์

https://www.itmoamun.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 8/06/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,600.00 19,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,270.00 19,253.20 20,200.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,143.00 17,327.88 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 572.00 8,671.52 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 445.00 6,746.20 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,316.00 19,950.56 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  8/06/2561


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
29.25
แก๊สโซฮอล E-20
26.74
26.74
26.74
26.74
26.74
26.74
26.74
26.74
26.74
แก๊สโซฮอล E-85 21.14 21.14 21.14 21.14
แก๊สโซฮอล 91 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98 28.98
เบนซิน 95 36.36
36.81
36.86 36.86 36.86 36.86
ดีเซลหมุนเร็ว
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 31.79 31.79 31.79 31.79 31.79
มีผลตั้งแต่ 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00 29 May 05:00

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า