บิ๊กบอสชินวะ เจแปน ต้อนรับบิ๊กบอสพรีบิลท์ เดินหน้าหารือติดตั้งระบบรูเนะสุในไทย กับโครงการ REN Sukhumvit 39
ปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ระหว่างประเทศ ระหว่างยักษ์ใหญ่อสังหาฯไทย – ญี่ปุ่น เพื่อดำเนินโครงการ REN Sukhumvit 39 (เร็น สุขุมวิท 39) คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท ที่สร้างสรรค์เพื่อผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ศักยภาพ
โดยเมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจอยท์ เวนเจอร์ ได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของชินวะ กรุ๊ป ที่สำนักงานใหญ่ชินวะ กรุ๊ป เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือเรื่องการนำนวัตกรรม Runesu เข้ามาติดตั้งในโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 และยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในอนาคตของประเทศไทยอีกด้วย
และนี่ถือเป็นคอนโดร่วมทุนโครงการแรก ที่ทั้ง 3 บริษัท ทำร่วมกันเงินทุนจดทะเบียนประมาณ 600 ลบ. โดยแบ่งสัดส่วนการถือดังนี้
- PRE-BUILT 49%
- Shinwa Real Estate (Thailand) 26%
- Pressance Corporation 25%
เร็น สุขุมวิท 39 ดำเนินงานโดย บริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) : บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด-ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป : พรีแซงค์ คอร์ปอเรชั่น (Pressance Corporation) จากญี่ปุ่น ด้วยสัดส่วน 49:26:25
ที่มา : https://thinkofliving.com
โมเดลดาวน์ทาวน์ “ราชประสงค์” สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ-เก็บภาษีเข้ารัฐ
พื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร มีหลายทำเลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังมีรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินพาดผ่าน และหากมีการออกแบบพัฒนาเมืองอย่างดี การที่รัฐเก็บภาษีที่ดินเพิ่มรายได้คงไม่ไกลเกินเอื้อม
“ฐาปนา บุณยประวิตร” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ยกตัวอย่างโมเดลจากต่างประเทศมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของประเทศไทย ถึงแนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินกับการออกแบบดาวน์ทาวน์ (ย่านธุรกิจ) ตามหลักเกณฑ์ฟอร์มเบสโค้ดในการจัดการเชิงพื้นที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“20 ปีที่ผ่านมา อเมริกา สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น ระบบการวางผังเมืองใหม่จะต้องซัพพอร์ตภาษี รัฐจะต้องทำ 2 เรื่อง ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและปรับปรุงระบบการพัฒนา เพื่อจะได้กลับคืนมาในรูปของภาษี เพราะทุกประเทศรัฐอยู่ได้ด้วยภาษี เช่นเดียวกับระบบขนส่งมวลชนถ้าไม่มี TOD (การพัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานี) ก็ไปไม่ได้เช่นกัน”
โดยที่ต่างประเทศใช้ปัจจัยเรื่องภาษีเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบพัฒนาเมือง เช่น สิงคโปร์ จะเรียกว่าย่าน CBD อเมริกาเรียกดาวน์ทาวน์ ซึ่งจะพัฒนาเป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษ ที่รัฐต้องลงทุนโดยสร้างพื้นฐานและมีรายได้จากภาษีกลับเข้ามา ซึ่งรัฐจะสร้างข้อกำหนดให้เอื้อต่อการพัฒนามากขึ้น
“บ้านเรากำหนด FAR จะลำบาก จะพัฒนา TOD ก็ลำบาก ซึ่งลอนดอนให้ FAR 23 เท่า ยิ่งเพิ่มความสูงมากเท่าไหร่ จะได้ลดภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งสิงคโปร์นำโค้ดนี้มาดำเนินการในย่านออร์ชาร์ด แต่เราคิดต่างกว่าเขา เพราะเรามีพื้นที่เยอะ ต่างประเทศเขาต้องการครีเอตเศรษฐกิจ ทุกตารางนิ้วรัฐต้องเอามาคิดภาษีทั้งหมด การจัดการดาวน์ทาวน์ต้องดูแล เพราะเขาจัดการภาษีให้กับรัฐได้”
พร้อมกันนี้ “ฐาปนา” ยังชี้ให้เห็นว่า เกณฑ์การกระตุ้นวางผังกระตุ้นเศรษฐกิจมี 7 หลักการ คือ
1.ต้องมุ่งเน้นการวางผังพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจเมืองกับการจัดการอนุรักษ์และสงวนรักษาที่ดินที่มีความอ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในการพัฒนา
2.การสร้างกระบวนการและการวางแผนที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อน เป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน และประชาชนเพื่อกระตุ้นให้เกิดหุ้นส่วนการพัฒนาที่มีความแข็งแกร่ง
3.การเชื่อมประสานการวางแผนระบบคมนาคมและขนส่งกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยการสร้างสมดุลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งกับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดความคุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจกรรมและพื้นที่
4.การสร้างประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ ไม่เกิดส่วนเกินของโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐหรือเอกชนต้องสูญเสียไปในการลงทุนทางเศรษฐกิจ
5.วางผังเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันของชุมชนและสังคม เช่น วางแผนบริหารจัดการเมืองและจัดการเชิงพื้นที่ต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และไม่เกิดภาระ
6.การปกป้องพื้นที่เกษตรและการอนุรักษ์ดิน รวมถึงยับยั้งการรุกล้ำพื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ทางน้ำ และ 7.ส่งเสริมสุขภาวะชุมชนในการกระตุ้นพัฒนาเศรษฐกิจ
ซึ่งภาษีมาจากมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เป็นผลกำไร รัฐต้องหาวิธีที่ให้เอกชนมีกำไร แต่ย้อนกลับมาดูประเทศไทยจะมีวาทกรรมคำว่า “เอื้อเอกชน” เป็นสิ่งที่ลำบากใจของรัฐในการทำงาน แต่อเมริกาคิดอีกแบบ ทำยังไงก็ได้ให้เอกชนมีกำไร เพราะได้ภาษีที่จะคืนกลับมาในรูปของกำไร
ในการวางแผนด้านภาษี พื้นที่ไหนที่รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงสุดก็ควรจะได้ภาษีกลับมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ย่านราชประสงค์ พื้นที่ 1.25 ตร.กม. มีพื้นที่ค้าปลีกอยู่ 800,000 ตร.ม. โรงแรม 3,000 กว่าห้อง แต่มีออฟฟิศบิลดิ้งที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก แต่ละวันคนใช้พื้นที่ค้าปลีก 800,000 กว่าคน เดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส 80% ซึ่งเป็นย่านที่มีคนผ่านมาก
แต่จะครีเอตเศรษฐกิจและภาษีเท่าไหร่ หายากไม่มีคนบอก ซึ่งราชประสงค์เป็นใจกลางเมืองเก่า ถ้ารวมมาบุญครอง ชิดลม ประตูน้ำ จะได้พื้นที่เศรษฐกิจมโหฬาร รัฐได้ภาษีร้อยละ 30% เป็นอย่างต่ำ ในราชประสงค์มีพวกนี้หมด ที่เขาอยู่ได้คือโรมแรมกับรีเทล ในระยะยาวต้องเพิ่มออฟฟิศ กิจกรรมรองคือโรงหนัง โรงละคร หน่วยงานของรัฐ อุตสาหกรรมเบาเกี่ยวเนื่องกับการขนส่ง พื้นที่โล่งว่าง ที่รัฐให้ภาษีน้อย แต่วิธีการหลักคือการคำนวณฐานภาษีทั้งหมด
แนวทางการออกแบบกิจกรรมเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าทรัพย์สินและเพิ่มฐานภาษี เช่น ทำแผนปรับปรุงฟื้นฟูเมือง ใช้พื้นที่เดิมให้ดีที่สุด พยายามจะไม่ขยายที่ใหม่ ออกข้อกำหนดสัดส่วนการใช้ที่ดิน เน้นให้กิจกรรมหลักตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือดาวน์ทาวน์ ออกข้อกำหนดห้ามความหนาแน่นในพื้นที่มีความหนาแน่นสูงและศักยภาพสูง ออกข้อกำหนดการจัดเก็บภาษีในอัตราสูงสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดิน
วางแผนเชิงพื้นที่กำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นกิจกรรมเศรษฐกิจและวางเป้าหมายภาษี ออกมาตรการจูงใจให้ผู้ปรับปรุงฟื้นฟูการใช้ที่ดิน อาคาร หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยสิทธิประโยชน์ จัดตั้งกองทุนประเภทต่าง ๆ
เช่น TOD ฟันด์ การออกข้อกำหนด Tax Abatement ให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น จัดเก็บในอัตราสูงสำหรับกิจกรรมที่รัฐไม่สนับสนุน และออกมาตรการด้านผังเมืองสนับสนุนการปรับปรุงฟื้นฟูศูนย์เศรษฐกิจย่านพัฒนาพิเศษ
“อย่างราชประสงค์ 1.25 ตร.กม. ผู้ว่าฯ กทม.ตั้งเป้าจะเก็บภาษี 50,000 ล้านบาทต่อปี ต้องมาออกแบบ ต้องมีอาคารไม่น้อยกว่า 30 ชั้น และมีออฟฟิศ ซึ่งข้อกำหนดผังเมืองประเทศไทยมักจะเขียนว่าห้ามเกิน แต่ต่างประเทศเขียนว่า ห้ามต่ำกว่า ขณะที่การจัดการที่จอดรถก็สำคัญ รัฐจะต้องรีบคิด เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เนื่องจากต้นทุนจะสูง”
ดังนั้นจะต้องมีการจำแนกส่วนกิจกรรมเศรษฐกิจจะมีอะไรบ้าง จากนั้นคิดมูลค่าและคิดภาษี เพื่อให้รัฐนำไปวางแผนระบบขนส่งมวลชน วางผังเมือง ออกข้อกำหนด ให้สอดรับกับสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการจะพัฒนา ถ้าวิธีเก่าจะออกแบบก่อนออกข้อกำหนด
ที่มา : http://www.bkkcitismart.com
สนข. สรุปผลการศึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า 7 สาย
สนข. สรุปผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) เลือกรูปแบบการพัฒนาด้วยระบบรถไฟฟ้าและทางด่วนบนสายทางเดียวกัน ระบุรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 7 สาย สอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งทางราง ขณะที่ทางด่วนจะทำหน้าที่เชื่อมโยงโครงข่ายการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (ผอ.สนข.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 3 (การสรุปผลการศึกษาโครงการ) การศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561 ณ ห้องคอนเวนชั่น ชั้น 4 อาคารคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ โดยมีผู้แทนจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้นำชุมชน ประชาชนผู้สนใจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมการประชุมสัมมนาฯ ดังกล่าว
นายชัยวัฒน์ฯ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและระบบคมนาคมในระยะยาว เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานโครงการคมนาคมขนส่งที่เหมาะสมและใช้ประโยชน์จากเสาตอม่อของโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ที่มีการก่อสร้างเสาตอม่อเตรียมไว้แล้วบนแนวกึ่งกลางถนนประเสริฐมนูกิจ (ถนนเกษตร – นวมินทร์) ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมมีแนวคิดที่จะก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลโดยใช้เสาตอม่อดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ และมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยศึกษาความเหมาะสมทั้งในด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมครอบคลุมครบทุกมิติ ซึ่งได้ข้อสรุปว่ามีความเหมาะสมที่จะพัฒนาทั้งระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) และทางพิเศษ (ทางด่วน) บนแนวสายทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบรูปแบบการพัฒนาทั้งระบบรถไฟฟ้าและทางด่วนตามที่ สนข. เสนอ ซึ่งประกอบด้วยระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) และทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ส่วนเชื่อมต่อถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก และส่วนทดแทน N1 เนื่องจากแนวถนนรัตนาธิเบศร์ งามวงศ์วาน และประเสริฐมนูกิจ เป็นแนวเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างพื้นที่ฝั่งตะวันตกกับพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนวงแหวนรอบนอก การพัฒนาเฉพาะระบบรถไฟฟ้าจึงไม่เพียงพอสำหรับรองรับการเดินทางอื่นๆ ที่ต้องผ่านแนวเส้นทางดังกล่าว ซึ่งมีทั้งการเดินทางด้วยยานพาหนะส่วนบุคคลและการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางทดแทนในกรณีที่โครงข่ายถนนระดับพื้นดินไม่สามารถใช้งานได้ เช่น เกิดอุทกภัย เป็นต้น
สำหรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) เริ่มต้นจากแยกแคราย มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตามแนวถนนงามวงศ์วาน ผ่านจุดตัดทางพิเศษศรีรัช แยกพงษ์เพชร แยกบางเขน แยกเกษตร ต่อเนื่องไปตามแนวถนนประเสริฐมนูกิจ ผ่านจุดตัดถนนลาดปลาเค้า แยกเสนา จุดตัดถนนสุคนธสวัสดิ์ จุดตัดทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา – อาจณรงค์) จุดตัดทางหลวง 350 จุดตัดถนนนวมินทร์ แล้วเลี้ยวขวาลงไปทางทิศใต้ตามแนวถนนนวมินทร์ ผ่านแยกโพธิ์แก้ว แยกศรีบูรพา แยกแฮปปี้แลนด์ แยกบางกะปิ ไปสิ้นสุดที่จุดตัดถนนพ่วงศิริและถนนรามคำแหง รวมระยะทางประมาณ 22.3 กิโลเมตร จำนวน 20 สถานี
โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล จะทำหน้าที่เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้า 7 สาย ดังนี้ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรีเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีชมพู สถานีบางเขนเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีแยกเกษตรเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีฉลองรัชเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเทา และสถานีลำสาลีเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสีส้ม โดยจะมีการก่อสร้างอาคารจอดแล้วจรที่แยกบางกะปิ เพื่อส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน
ส่วนระบบทางด่วน จะเป็นการต่อขยายแนวทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 และส่วนต่อขยายไปยังถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก เชื่อมต่อทางยกระดับอุตราภิมุข – ทางพิเศษศรีรัช – ถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตกที่ต่างระดับรัชวิภา เพื่อเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบทางพิเศษระหว่างพื้นที่ด้านตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพมหานคร โดยแนวโครงการจะมีเริ่มต้นจากถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออกมาตามแนวถนนประเสริฐมนูกิจ ผ่านแนวคลองบางบัว คลองบางเขน แล้วเลียบขนานไปตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต จนถึงทางแยกต่างระดับรัชวิภา รวมระยะทางประมาณ 17.2 กิโลเมตร
นายชัยวัฒน์ฯ กล่าวตอนท้ายว่า จากผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการพัฒนาด้วยระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลและระบบทางด่วนบนสายทางเดียวกันมีความเหมาะสมที่จะสามารถรองรับการเดินทางได้ดีที่สุดและให้ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจในอัตราที่สูงมาก โดยรถไฟฟ้าจะให้ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 22.3 และสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนทางราง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และประหยัดเวลาการเดินทางของประชาชน ในขณะที่ทางด่วนให้ผลตอบแทน ร้อยละ 38.9
การเชื่อมโยงโครงข่ายการจราจรระหว่างพื้นที่ด้านตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพมหานครได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดปัญหาการจราจรบริเวณถนนงามวงศ์วานและถนนประเสริฐมนูกิจ รวมทั้งเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ โดยจะดำเนินการก่อสร้างระบบทางด่วนควบคู่ไปกับการจัดทำฐานรากของระบบรถไฟฟ้า เพื่อลดปัญหาการจัดการพื้นที่ก่อสร้างซึ่งจะเป็นการบรรเทาปัญหาการจราจรในระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าระบบทางด่วนจะเปิดใช้บริการได้ในปี 2567 ส่วนรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลจะเปิดใช้บริการได้ในปี 2568
ที่มา : https://thinkofliving.com
แนะคนอยากมีบ้าน รีบซื้อก่อนสิ้นปี หลังธปท. เตรียมปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่!
นักลงทุนแนะผู้บริโภคซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยก่อนธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะอาจมีผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 67.5 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส หรือราว 3 ปี ประกอบกับการส่งออกและภาคท่องเที่ยวยังขยายตัวดีต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ยังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก 1.การส่งออกที่ยังขยายตัวดีต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุด สศช.ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ปี 2561 นี้ การเติบโตทั้งด้านมูลค่าและปริมารการส่งออกอยู่ที่ 10.0% และ 6.0% ตามลำดับ เช่นเดียวกับการเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของสินค้านำเข้า และภาคการผลิตสำคัญ ๆ ก็ยังขยายตัวเกณฑ์ดี 2.การใช้จ่ายของภาครัฐและการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มเร่งขึ้นในไตรมาส 3/61 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณปีนี้ 3.การลงทุนเอกชนที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นทั้งจากอัตราการใช้กำลังการผลิตและดัชนีความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ และความคืบหน้าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ๆ และ 4.การปรับตัวที่ดีขึ้นของฐานรายได้ของประชาชนที่มีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ จากเหตุผลทั้งหมด ทำให้มีการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวเฉลี่ย 4.5% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว และสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ธนาคารกลางหลักของโลกได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เข้าสู่ภาวะปกติ (normalization) เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 61 และปีหน้า ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มจะปรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องการเงินของโลก ดังนั้นความผันผวนของกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออกจะอยู่กับประเทศไทย ซึ่งจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เตรียมทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้อีกครั้ง รวมถึงพิจารณาความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินแบบพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากไทยมีดอกเบี้ยต่ำมานาน (ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% ) อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินระยะยาวได้ เช่น เงินออมอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรเป็น เนื่องจาก มีการนำไปหาผลตอบแทนด้านอื่นแทนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเก็งกำไรกันมากซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปราะบางได้
ด้านนักลงทุนแนะผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านและที่ดินเพื่ออยู่อาศัย เร่งตัดสินใจก่อนการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น แม้ช่วงแรกยังไม่เห็นผลกระทบทันที เพราะ ผู้ประกอบการมีการบริหารจัดการต้นทุนไว้แล้ว แต่ในระยะยาวมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคที่กำลังจะซื้อบ้านอาจรู้สึกว่าภาระค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เนื่องจากการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นภาระผูกพันหลายสิบปี พร้อมแนะนำ ปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลากหลาย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5 ปี ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนทางการเงินของผู้ที่กู้ซื้อบ้านได้
ที่มา : https://www.ddproperty.com
มะเร็ง กับความเสี่ยง ที่มาจากช่วงเวลาในการกินอาหาร
มะเร็ง กับความเสี่ยง นั้นมีอยู่หลายหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “ช่วงเวลาในการกินอาหาร” ใครจะไปคาดคิดว่าการกินเร็วหรือกินช้าก็มีความเสี่ยงด้วย และนี่คือรายละเอียด
ผลการศึกษาวิจัยบอกอะไรบ้าง
- ในการทำความเข้าใจกับนาฬิกาชีวภาพที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรานั้น ทีมนักวิจัยของสถาบันสุขภาพระหว่างประเทศในประเทศสเปน ได้ตัดสินใจทำการสืบสวนหาความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม ซึ่งทำไปทำมาก็พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมื้ออาหารด้วย
- นักวิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจำนวน 621 ราย และผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม 1,205 ราย นอกจากนี้ยังเก็บข้อมูลกับผู้ชายจำนวน 872 คน และผู้หญิงจำนวน 1,321 คนที่ไม่ได้ทำงานกะกลางคืนด้วย
- นักวิจัยได้ใช้แบบสอบถามและทำการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว เกี่ยวกับพฤติกรรมการกินและการนอน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เพื่อทำการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ ซึ่งเกือบทุกคนที่ทำการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ตอบว่ากินอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารค่ำ ซึ่งมีประมาณหนึ่งในสามที่กินของว่างในช่วงบ่าย และประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ที่กินของว่างหลังดินเนอร์
- ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้พบว่า คนที่กินอาหารค่ำเสร็จ แล้วรออย่างน้อยสองชั่วโมงก่อนเข้านอน จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าคนที่ทานอาการค่ำก่อนสามทุ่ม จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ลดลง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนที่กินอาหารค่ำหลังสี่ทุ่ม แต่อย่างไรก็ตามผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้แจ้งว่า ยังต้องทำงานวิจัยต่อไป เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจนกว่านี้
ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็จะช่วยให้เราหาทางลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลงได้ เพราะในปัจจุบันยังไม่มีใครนำปัจจัยทางด้านมื้ออาหารเข้าไปเชื่อมโยงกับเรื่องนี้เลย ซึ่งเรื่องนี้อาจเกิดผลกระทบกับผู้คนอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากผู้คนในแถบนี้มักจะกินอาหารค่ำกันดึกมาก
ปัญหาของคนที่ทำงานกะกลางคืน
นักวิจัยเลือกการศึกษาในเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม ก็เนื่องจากทั้งสองโรคนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับผู้ที่ทำงานกะกลางคืน และมีส่วนรบกวนนาฬิกาชีวภาพของเราด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยครั้งนี้ยังไม่ได้ชี้ชัดกับบุคคลที่ทำงานในกะกลางคืน ฉะนั้นจึงต้องทำการศึกษาวิจัย เพื่อความเสี่ยงในกลุ่มคนพวกนี้กันต่อไป ฉะนั้นคนที่ทำงานกะกลางคืนก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ล่ะ เพราะจริงๆ แล้ว เวลาในการกินอาหารอาจไม่ได้เป็นปัญหามากนักก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระบุว่า คนที่ทำงานกะกลางคืนบางคนมักจะมีน้ำหนักขึ้น ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากรูปแบบการนอนตามปกติถูกรบกวน ซึ่งถ้าเราลืมตาตื่นอยู่นานขึ้น ก็มีแนวโน้มจะกินอะไรมากขึ้น ถ้าการทำงานในกะกลางคืนทำให้คุณเหนื่อยล้า คุณก็อาจออกกำลังกายได้ไม่มากพอ นั่นก็เป็นปัญหาอีกเหมือนกัน ซึ่งนับได้ว่าผลกระทบต่อคนที่ทำงานในกะกลางคืนนี้ มาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ไม่ใช่ปัจจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ
การมีน้ำหนักเกินนั้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด รวมทั้งมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย ซึ่งถ้าจะทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหาร การนอน และเวลาในการทำงาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหรือไม่นั้น ก็จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยกับคนที่ทำงานกะกลางคืนด้วย
เวลากินกับอาหารที่เรากิน
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องเวลาในการกินอาหาร ก็คือสิ่งที่เรากินเข้าไปนั่นแหละ เพราะนั่นมีส่วนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้มากกว่า ซึ่งการกินอาหารประเภทผักและผลไม้เยอะๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ ฉะนั้น ถ้าเรากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้ว จะต้องไปแคร์อะไรกับเวลาในการกินอาหาร
จริงๆ แล้วเวลาในการกินอาหาร มักจะส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนของเรามากกว่า คนที่มีงานยุ่งมักจะไม่ค่อยได้กินอาหารในระหว่างวัน แล้วยกยอดมากินเป็นมื้อใหญ่เอาในช่วงก่อนเวลาเข้านอน ซึ่งถ้าตอนนั้นเรารู้สึกหิวจัดๆ เราก็อาจจะกินอะไรเข้าไปมากเกิน และนั่นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับ เนื่องจากอิ่มเกินไป ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ควรกินอาหารในช่วงที่ใกล้กับเวลานอน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการกินผักผลไม้เยอะๆ กินเนื้อสัตว์น้อยๆ แล้วเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องเวลา
ที่มา : https://www.sanook.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27 สิงหาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคาขาย/บาท |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% |
18,650.00 |
18,550.00 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
19,150.00 |
18,222.32 |
1,202.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
n/a |
18,889.36 |
1,246.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
n/a |
16,400.09 |
1,081.80 |
ทองรูปพรรณ 80% |
n/a |
14,577.86 |
961.60 |
ทองรูปพรรณ 50% |
n/a |
8,201.56 |
541.00 |
ทองรูปพรรณ 40% |
n/a |
6,382.36 |
421.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 27 สิงหาคม 2561
|
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
แก๊สโซฮอล์ 95 |
30.15 |
30.15 |
30.25 |
30.15 |
30.15 |
30.15 |
30.15 |
30.15 |
30.15 |
30.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 |
29.88 |
29.88 |
29.98 |
29.88 |
29.88 |
29.88 |
29.88 |
29.88 |
29.88 |
29.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 |
27.14 |
27.14 |
27.14 |
27.14 |
27.14 |
– |
27.14 |
27.14 |
27.14 |
27.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 |
21.39 |
21.39 |
– |
– |
– |
– |
– |
21.39 |
21.39 |
– |
เบนซิน 95 |
37.26 |
– |
– |
– |
37.71 |
– |
37.76 |
37.56 |
37.36 |
37.56 |
ดีเซล |
29.19 |
29.19 |
29.59 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
29.19 |
ดีเซลพรีเมี่ยม |
32.19 |
33.06 |
33.46 |
33.06 |
33.06 |
– |
– |
– |
– |
– |
แก๊ส NGV |
14.58 |
14.58 |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |
– |