เอกชนรุมตอมสนใจลงทุนแหลมฉบังเอกชนรุมตอมสนใจลงทุนแหลมฉบังเฟส3
กทท.เผยเปิดยื่นซองโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 วงเงิน 1.4 แสนล้านบาทวันแรก 2ราย ลุ้นต่างชาติอีก8 รายสนใจแต่ขออุบรายชื่อก่อน
แหล่งข่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)เปิดเผยว่าในวันที่ 5 พ.ย.นี้เป็นวันแรกที่กทท.ได้เปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ายื่นซื้อซองร่างเอกสารประกวดราคา(ทีโออาร์)โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.-19พ.ย. โดยพบว่ามีเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลโครงการในวันแรกรวมทั้งสิ้น 10 ราย แบ่งเป็นการติดต่อเข้ามาสอบถาม 8 รายและการเข้ามายื่นขอซื้อซองทีโออาร์ 2 รายประกอบด้วย บริษัทไทย 1 รายและบริษัทกิจการร่วมค้าระหว่างไทยและต่างชาติอีก 1 ราย
อย่างไรก็ตามเอกชนที่โทรเข้ามาสอบถามและแสดงความจำนงค์ที่จะเข้ามายื่นซื้อซองทีโออาร์ทั้ง 8 รายนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติซึ่งมีทั้งกลุ่มทุนขนาดใหญ่และบริษัทกลุ่มทุนที่บริหารท่าเรือภายในแหลมฉบังอยู่แล้ว ทั้งนี้มั่นใจว่าการเปิดชายซองในครั้งนี้จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่จากเอเซียสนใจเข้ามาประมูลอย่างมากทั้งประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ ฮ่องกงและจีน ส่วนด้านบริษัทชื่อดังที่เคยแสดงความสนใจนั้นอาทิ กลุ่ม เซี่ยงไฮ้ อินเตอร์เนชั่นแนล พอร์ท กรุ๊ปShanghai International Port Group (SIGP) กลุ่ม ไชน่า เมอร์แชนท์ กรุ๊ป China Merchants Group เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กลุ่มทุนอื่นๆที่ยื่นข้อเสนอเข้ามานั้น อาทิ กลุ่มทุนสิงคโปร์ Port of Singapore Authority (PSA) กลุ่มทุนฮ่องกง Hutchison Port Holding และกลุ่ม Dubai Ports World เป็นต้น ทั้งนี้กทท.ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อผู้ยื่นข้อเสนอได้เนื่องจากเป็นกติกาของคณะกรรมการอีอีซีที่ให้เปิดเผยรายชื่อพร้อมกันทีเดียวในวันสุดท้ายที่เปิดขายซอง
ขอบคุณข้อมูลจาก www.terrabkk.com
ส่องเรียลเอสเตทอีอีซี หลังเลือกตั้งโตเพิ่ม
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จ.ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กำลังเป็นที่ให้ความสนใจอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยบรรดาบิ๊กเนมต่างพากันสะสมแลนด์แบงก์ไว้สำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่อีอีซีแล้วทั้งหมดราว 94 โครงการ ยูนิตขายรวมกว่า 4.3 หมื่นยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1.21 แสนล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 39 โครงการกว่า 2.9 หมื่นยูนิต มูลค่าการลงทุนกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท และบ้านจัดสรรจำนวน 55 โครงการกว่า 1.4 หมื่นยูนิต มูลค่าการลงทุนกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แต่ละจังหวัดมีบทบาทสำคัญที่แตกต่างกัน โดยฉะเชิงเทราเป็นเมืองที่อยู่อาศัยชั้นดีรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ ส่วนพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจศูนย์การให้บริการด้านการแพทย์ระดับนานาชาติ ซึ่งมีอู่ตะเภาเป็นศูนย์ธุรกิจการบินและโลจิสติกส์อาเซียน ส่วนระยองเป็นเมืองแห่งการศึกษาและวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ด้วยบริบทที่ชัดเจนทำให้การพัฒนาด้านอสังหาฯ จากนี้มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งสินค้าต้องถูกกลุ่ม ตอบโจทย์เป้าหมาย ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นตลาดโอเวอร์ซัพพลาย
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาฯ พื้นที่อีอีซีในไตรมาส 4 ปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 คาดว่าหลังจากผังเมืองอีอีซีมีความชัดเจนมาก ยิ่งเป็นการผลักดันให้ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่อีอีซีมีแนวโน้มจะเติบโตยิ่งขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่าแรงงานระดับหัวหน้างานอีกกว่า 5 แสนคน ที่จะเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลเหล่านั้นย่อมต้องการที่อยู่อาศัยในแหล่งงาน
ขณะที่พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่เพิ่มอัตราโควตาของต่างชาติเป็น 100% ในโครงการคอนโดและสามารถถือครองที่ดินได้ ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่อีอีซีทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต รวมถึงแผนพัฒนาโครงการอีกมากมายของภาครัฐที่จะผลักดันให้อีอีซีเป็นเมืองที่จะเจริญเติบโตในทุกด้าน
สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า แน่นอนว่าหากการเมืองมีเสถียรภาพย่อมส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ สำหรับในภาคอสังหาฯ ผู้ประกอบการบางรายก็รอความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ยังคงเดินหน้าเข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่อีอีซีอย่างต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 4 นี้และในอนาคต เช่น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 3 จังหวัดในอีอีอีซี บริษัท ศุภาลัย ที่เพิ่งเปิดการขายบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ใจกลางเมืองระยองในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา และบริษัทออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ ก็มีการเตรียมที่ดินไว้พัฒนาโครงการทั้งใน จ.ฉะเชิงเทรา และระยอง เพื่อรองรับความต้องการในด้านที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่อีอีซีช่วงไตรมาส 3 ปี 2561 พบว่ามีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 1.92 แสนยูนิต มูลค่าการมูลค่าการลงทุนรวมราวกว่า 4.52 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านจัดสรรจำนวนกว่า 1 แสนยูนิต มูลค่าการลงทุนกว่า 1.86 แสนล้านบาท ส่วนคอนโดมียูนิตที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 9.1 หมื่นยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2.65 แสนล้านบาท
พร้อมกันนี้ หากพิจารณาจำแนกลงไปในตามพื้นที่ พบว่าบ้านจัดสรร จ.ชลบุรี มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 6.2 หมื่นยูนิต มูลค่ารวมกว่า 1.22 แสนล้านบาท ขายไปแล้วราวกว่า 3.7 หมื่นยูนิต เหลือขายทั้งหมดกว่า 2.4 หมื่นยูนิต ขณะที่ จ.ฉะเชิงเทรา มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 1.2 หมื่นยูนิต มูลค่ากว่า 3.7 หมื่นล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 7,530 ยูนิต เหลือขายทั้งหมด 4,780 ยูนิต ส่วน จ.ระยอง มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 2.5 หมื่นยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ขายไปแล้วประมาณกว่า 1.4 หมื่นยูนิต เหลือขายทั้งหมดกว่า 1 หมื่นยูนิต
ด้านอสังหาฯ ประเภทคอนโดพบว่า จ.ฉะเชิงเทรา มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 1,370 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,480 ล้านบาท ขายไปแล้วราว 890 ยูนิต เหลือขาย 480 ยูนิต ส่วน จ.ชลบุรี มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 8.6 หมื่นยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2.5 แสนล้านบาท ขายไปแล้ว 6.7 หมื่นยูนิต เหลือขายทั้งหมดกว่า 1.9 หมื่นยูนิต ขณะที่ จ.ระยอง มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 3,580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 9,350 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 2,850 ยูนิต เหลือขายทั้งหมด 730 ยูนิต
ขณะที่อัตราการขายในพื้นที่อีอีซีพบว่าโดยภาพรวมสามารถขายไปได้แล้วกว่า 1.31 แสนยูนิต หรือคิดเป็น 68.4% จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดที่มีกว่า 1.92 แสนยูนิต โดยบ้านจัดสรรสามารถขายไปได้แล้วกว่า 6 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็น 59.9% เหลือขายทั้งหมดประมาณกว่า 4 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็น 40.1% สำหรับคอนโดสามารถปิดการขายไปแล้วประมาณกว่า 7.1 หมื่นยูนิต จากหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดกว่า 9.1 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็น 77.8% โดยมีหน่วยเหลือขายทั้งหมดประมาณกว่า 2 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็น 22.2% ของยูนิตที่อยู่ระหว่างการขาย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในพื้นที่จังหวัดจะพบว่าบ้านจัดสรร จ.ชลบุรี มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 24,870 ยูนิต หรือคิดเป็น 40% จ.ฉะเชิงเทรา มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 4,780 ยูนิต หรือ 39% ส่วน จ.ระยอง มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 10,780 ยูนิต หรือคิดเป็น 42%
สำหรับคอนโด จ.ฉะเชิงเทรา มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 480 ยูนิต หรือ 35% ส่วน จ.ชลบุรี มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 19,180 ยูนิต หรือ 22% ในส่วน จ.ระยอง มีอุปทานเหลือขายทั้งหมด 730 ยูนิต หรือประมาณ 20%
“ทั้ง 3 จังหวัดในอีอีซีถือว่าเป็นทำเลที่ทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่และผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลางให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการในพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ร้อนแรงที่สุดในภาคอสังหาฯ ในตอนนี้” ภัทรชัย กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com
การวางแผนเกษียณสำหรับบุคคลธรรมดา
การวางแผนเกษียณ เพื่อให้มีเงินพอใช้โดยที่ชีวิตไม่ผิดปกติไปจากช่วงที่ทำงาน ยังเป็นเรื่องที่คนไทยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ในขณะที่มาตรการของรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นการสร้างความตระหนักรู้ เพื่อสร้างการตื่นตัว แต่จับต้องได้ยากและไม่ครอบคลุมวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคน ที่มีเกิด ใช้ชีวิต แก่ เจ็บ พิการ และตาย
เรื่องที่มีการพูดถึงกันมากและจับต้องได้ คือ การส่งเสริมด้านการหาเงินด้วยการลงทุนเพียงด้านเดียว แต่ยังขาดเรื่องการปกป้องความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในวงจรชีวิต
ต้องวางยุทธศาสตร์
สมโพชน์ เกียรติไกลวัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) กล่าวว่า สังคมผู้สูงอายุ หรือยุคที่คนไทยจะมีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็น 14 ล้านคน ในปี 2565 โดยผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากหลายค่ายมองว่า ในผู้สูงอายุ 10 คน จะมีคนที่มีเงินออมดูแลตัวเองได้ประมาณ 4 คน จากคนที่รวยอยู่แล้ว ข้าราชการบำนาญ และคนที่เตรียมตัวมาดี อีก 6 คน เงินออมไม่พอ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องให้ข้อมูลสังคมได้ตื่นตัว และรัฐบาล นอกจากจะนึกถึงปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว จะต้องนึกถึงเรื่องการวางแผนเกษียณของคนในอนาคตว่าเป็นเรื่องจำเป็น
หากประเทศไทยมีการเตรียมตัวรับมือกับชีวิตหลังอายุ 60 ปี ช้าเท่าไหร่ สิ่งที่ตามมาคือ ความเสี่ยงของภาครัฐ และความเสี่ยงของคนไทยเอง ที่ต้องมีคนสูงวัย 7-8 ล้านคน ที่จะอยู่กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพราะเมื่ออายุ 60 ปี เกษียณการทำงานแล้ว เป็นวัยที่อยู่ในจุดที่ต้องใช้แต่เงิน โอกาสที่จะทำงานหาเงินหารายได้มีน้อยมาก แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเกิดขึ้นทุกวัน ปัญหาสุขภาพเสื่อมถอยเกิดการเจ็บป่วยบ่อย
ขณะที่ไม่สามารถพึ่งพาครอบครัวได้เหมือนสมัยก่อน เพราะทุกวันนี้สังคมไทยกลายเป็นครอบครัวเล็ก ประกอบกับยังติดกับดักรายได้ปานกลาง ทำให้ไม่มีรายได้มากพอในการเลี้ยงดูผู้สูงวัยในบ้านได้อย่างทั่วถึง
เป็นปัญหาที่เหมือนเป็นห่วงโซ่ที่จะผูกพันไปถึงรัฐบาลในอนาคต ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลจะต้องเริ่มคิดอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะช่วยคนที่จะเกษียณอายุการทำงานในปัจจุบัน และจะเกษียณอายุในอนาคตอย่างไร ให้อยู่รอดได้อย่างไม่ยากลำบากมากนัก และจะเพิ่มจำนวนประชาชนที่สามารถดูแลตัวเองหลังเกษียณได้อย่างไร
ประกันจำเป็น
สมโพชน์ กล่าวว่า ประกันชีวิต ประกันภัย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การวางแผนเกษียณสำหรับบุคคลธรรมดา ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะครอบคลุมถึงเรื่องการออมเงิน การเกิด การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ พิการ และการเสียชีวิต
จำเป็นต้องกันเงินก้อนหนึ่งออกมาก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อนำไปสร้างเงินออมหลังเกษียณและบริหารความเสี่ยงในชีวิต หากไม่สามารถวางแผนเป็นรายปี ก็สามารถวางแผนเป็นรายเดือน เพื่อไม่ให้เป็นภาระของตัวเอง และไม่เป็นภาระของครอบครัว และยังสามารถใช้ชีวิตได้ท่ามกลางความเย้ายวนของความอยากต่างๆ ไม่ว่าจะอยากเที่ยว อยากกิน หรือ ใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อสนองความต้องการส่วนตัว
ขณะที่การลงทุนก็ควรวางแผนให้เหมาะสม ซึ่งการวางแผนเกษียณระยะยาว ควรจะแยกออกมาจากความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่า เงินก้อนนั้นจะปลอดภัย ไม่เสียหาย
ในส่วนของบริษัทฯ เห็นความสำคัญเรื่องการวางแผนเกษียณและรณรงค์เรื่องนี้มาร่วม 10 ปี เพราะบริษัทแม่มีประสบการณ์จากสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น จึงเข้าใจว่าการที่จะทำให้การเก็บเงินให้ไปถึงเป้าหมายจะต้องทำให้ครบรอบด้าน ยกตัวอย่าง แบบสมาร์ท แพลนนิ่ง 800 ที่จ่ายถึงอายุ 60 คุ้มครองถึงอายุ 90 หลังอายุ 60 ปีจะได้เงินคืนทุกปีจนถึงอายุ 90
กรณีผู้ชายอายุ 35 ปีที่เป็นวัยการมีครอบครัวเล็กๆ จะใช้เงินเดือนละ 5,300 บาท/เดือน จะสามารถบริหารความเสี่ยงในชีวิตได้ ถึง 6 เรื่อง เป็นทั้งการออมเงิน การประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ และคุ้มครองทุพพลภาพ
ทั้งนี้ เงิน 5,300 บาท จะถูกนำไปซื้อประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก 4,060 บาท ได้รับความคุ้มครอง 4 แสนบาท ซื้อความคุ้มครองชีวิตแบบชั่วระยะเวลา 274 บาท โดยเงินก้อนนี้จะไม่ได้คืน จึงทำให้ได้ความคุ้มครองสูงถึง 4 แสนบาท ซื้อประกันสุขภาพ 507 บาท โดยจะได้ค่าห้องวันละ 3,000 บาท และความคุ้มครองอื่นๆ ตามเงื่อนไข ซื้อความคุ้มครองโรคร้ายแรง 161 บาท ได้รับความคุ้มครอง 4 แสนบาท ซื้อประกันอุบัติเหตุ 254 บาท จะได้รับความคุ้มครอง 4 แสนบาท และซื้อความคุ้มครองจากการเป็นคนพิการถาวรแต่ยังได้รับความคุ้มครองชีวิตจนครบสัญญา 44 บาท จะได้รับความคุ้มครอง 4 แสนบาท
กรณีเสียชีวิตในปีแรกจากอุบัติเหตุ จะได้รับค่าสินไหมทดแทน 1.6 ล้านบาท ถ้าเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงจะได้รับ 1.2 ล้านบาท แต่หลังจากปีที่ 3 ขึ้นไป ถ้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะได้รับเงิน 2 ล้านบาท เพราะความคุ้มครองชีวิตจะเพิ่มอีก 4 แสนบาท ถ้าเสียชีวิตจากโรคร้ายแรง จะได้รับเงิน 1.6 ล้านบาท โดยโรคร้ายแรงระยะเริ่มต้นจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทันที หรือถ้าเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลก็จะได้รับความคุ้มครองตามแผนค่าห้อง 3,000 บาทและความคุ้มครองอื่นๆ ตามเงื่อนไข
นับจากครบอายุ 60 ปี จะได้เงินคืนปีละ 6 หมื่นบาท เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท จนถึงอายุ 90 ปี ซึ่งครบอายุ 90 นี้จะได้เงินคืนอีกประมาณ 1.4 ล้านบาท
“ด้วยเงิน 5,300 บาทต่อเดือน ได้รับความคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงที่เราจะต้องเจอในชีวิตจริงๆ และได้ออมเงินด้วย หากใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด การมีรายได้เดือนละ 5,000 บาทถือว่าอยู่ได้ เพราะอาหารบางอย่างปลูกเอง ทำเองได้ ซึ่งมีเพียงบริษัทประกันชีวิตเท่านั้นที่สามารถทำผลิตภัณฑ์แบบนี้ได้ และมีแต่บริษัทที่มีความพร้อมเท่านั้นถึงกล้าออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งตอนนี้กำลังขายดีมาก และสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตได้ 1 แสนบาท และเบี้ยประกันสุขภาพอีก 1.5 หมื่นบาท” สมโพชน์ กล่าว
สมโพชน์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องหารูปแบบให้ประชาชนบุคคลธรรมดา ระดับชาวบ้าน หรือมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ระดับปานกลาง สามารถมีเงินออมใช้หลังเกษียณและดำเนินชีวิตได้โดยไม่ผิดปกติมากเกินไป
ทั้งนี้ จะต้องทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญว่า ถ้าไม่เตรียมตัวเรื่องการวางแผนเกษียณอายุ ในอนาคต ชีวิตจะได้รับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่มีใครเลี่ยงเรื่องการแก่ เจ็บป่วย และตายได้
ประโยชน์ร่วม
เมื่อวางแผนเกษียณที่ดีแล้ว จะทำให้ประเทศไทยไม่เป็นภาระในการต้องจัดสรรงบประมาณมาดูแลผู้สูงวัยมาก ในขณะที่ครอบครัวจะได้รับความมั่นคง ไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจครัวเรือน เพราะทุกวันนี้หาเงินก็ยากอยู่แล้ว หากไม่ได้ทำประกันสุขภาพไว้ เมื่อเจ็บป่วยต้องหาเงินมารักษาตัวเองอีก หากครอบครัวต้องมาสูญเสียกำลังหลักไป ไม่มีใครมารับผิดชอบ
การทำประกันที่ครอบคลุมทุกด้าน ทำให้มีบริษัทประกันชีวิตเข้ามาคุ้มครองความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง
สังคมจะปลอดภัย เพราะถ้าคนมีอยู่มีกิน จะลดปัญหาการโจรกรรม การปล้นจี้ ลดการหลอกลวงคนแก่ ปัญหาสังคมจะน้อย
ในมุมของรัฐบาล ถ้ามองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน ไม่ลงมาให้ความสำคัญหรือรับผิดชอบอย่างจริงจังในการทำให้ประชาชนมีการออม การบริหารความเสี่ยงในชีวิต เมื่อประชาชนมุ่งไปใช้สิทธิการรักษาถ้วนหน้า สุดท้ายรัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณในการเข้าไปสนับสนุน เข้าทำนองขว้างงูไม่พ้นคอ ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบนี้ได้ ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย
ขณะที่โรงพยาบาลก็สามารถให้บริการผู้ป่วยที่มีกำลังจ่าย ผ่านการทำประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเติบโตต่อไปได้
รัฐต้องสนับสนุน
สมโพชน์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งพัฒนากองทุนที่มีความจำเป็นให้สอดคล้องกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น เช่น หลักประกันด้านการเงินยามชราภาพ หลักประกันสุขภาพ ระบบการดูแลผู้สูงอายุช่วงพึ่งพา โดยพิจารณาความซ้ำซ้อน ความครอบคลุม และความเพียงพอในระยะยาว นอกเหนือจากการแก้ปัญหาระยะสั้นที่มีการอุดหนุนเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย
นอกจากนี้ รัฐบาลควรจะเพิ่มลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันสุขภาพของผู้ที่อายุตั้งแต่วัย 60 ปีนี้ขึ้น เพราะเบี้ยจะเพิ่มขึ้นตามวัย ยกตัวอย่าง ผู้ชายวัย 61 ปี ซื้อประกันสุขภาพโตเกียว เฮลธ์ แคร์ แพ็คเกจ วงเงินค่ารักษาพยาบาล 1 ล้านบาท อยู่ที่ 40,081 บาท เนื่องจากอายุมาก ความเสี่ยงเรื่องสุขภาพสูง จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยสูง การให้สิทธิลดหย่อน 15,000 บาทต่อปี จึงไม่สมเหตุสมผล
รวมถึงรัฐบาลควรจะออกพันธบัตรระยะยาว 50 ปี หรือ 100 ปีที่มีผลตอบแทนแน่นอน หรือสนับสนุนให้เกิดผลิตภัณฑ์การออมระยะยาวสำหรับบริษัทประกันขีวิต เพื่อให้สอดคล้องกับประกันชีวิตแบบบำนาญที่มีการดูแลประชาชนไปจนถึงอายุ 90 ปี ซึ่งการลงทุนในเรื่องนี้ของรัฐบาล จะเป็นการคืนกลับมาให้กับประชาชนผู้สูงอายุในอนาคต และทำให้ประเทศลดภาระในอนาคตด้วย
“ทุกวันนี้บริษัทประกันชีวิต ไม่อยากขายประกันที่มีลักษณะจ่ายเงินแบบบำนาญ เพราะไม่รู้จะไปลงทุนอะไรให้ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน แต่เงินบำนาญที่จ่ายให้ลูกค้าเป็นจำนวนแน่นอน และยังต้องมีการตั้งสำรองเงินกองทุนสูงด้วย ก็มุ่งไปขายประกันชีวิตควบการลงทุน หรือยูนิตลิงค์ ที่ให้ลูกค้ารับความเสี่ยงเอง ซึ่งการออมเพื่อการเกษียณควรจะมีความแน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าเงินก้อนนี้ปลอดภัย ส่วนการลงทุนก็ควรเป็นอีกก้อนหนึ่ง” สมโพชน์ กล่าว
ทั้งนี้ สมโพชน์ สรุปว่า การบริหารความเสี่ยงในสังคมผู้สูงอายุ การบริหารความเสี่ยงชีวิตหลังเกษียณ และการบริหารความเสี่ยงขณะยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com
5 ทักษะสำคัญ ที่คนเป็นหัวหน้าต้องมี
อีกประมาณ 1 เดือนกว่าๆ ก็จะเข้าสู่ปีใหม่ 2562 แล้ว หลายองค์กรเริ่มมีการประเมินผลงานพนักงาน และมีการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งบุคลากรเป็นการภายในแล้ว
เพราะฉะนั้นพนักงานที่ตลอดทั้งปีทำงานดี เข้าตาผู้บังคับบัญชา หรือผู้บริหาร ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งและปรับเงินเดือนสูงขึ้นด้วย
ในการทำงานไม่ว่าใครก็ต้องการความก้าวหน้าในตำแหน่งและหน้าที่ที่สูงขึ้นไป ซึ่งการได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานทั่วไปขึ้นไปเป็นหัวหน้าก็ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง ซึ่งการเป็นหัวหน้านั้นไม่ว่าใครก็มีสิทธิที่จะเป็นได้ แต่ว่าการเป็นหัวหน้าที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรจะเลือกคนขึ้นมาเป็นหัวหน้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะบางทีพอแต่งตั้งมาแล้วก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะยอมรับหรือไม่ หรือคนที่ได้รับแต่งตั้งอาจถูกมองว่าไม่ควรได้รับการแต่งตั้งแต่อย่างใด หากมองในเรื่องคุณสมบัติและความสามารถ แต่ที่ได้รับแต่งตั้งเพราะมีความสนิท หรือชอบพอเป็นส่วนตัวกับผู้นำหรือผู้บริหาร เป็นต้นก็ได้
ดร.ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ วิทยากร นักเขียน ที่ปรึกษาอิสระและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีที คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การเลือกบุคคลขึ้นมาเป็นหัวหน้านั้นควรต้องพิจารณาคนคนนั้นจากทักษะต่างๆ อย่างน้อยต้องมี 5 ทักษะต่อไปนี้ จึงจะทำให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่องค์กรได้กำหนดเองไว้
1.ความรู้ในงาน (Knowledge of His Work) กล่าวคือ ต้องมีความรู้ในการงานที่ตัวเองต้องปฏิบัติ รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง เช่น พนักงาน (Men) เครื่องมือ อุปกรณ์ (Tools) วัตถุดิบ (Materials) เครื่องจักร (Machines) วิธีการทำงาน (Methods)สิ่งแวดล้อมในการปฏิบัติงาน (Environment) และมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standards) โดยสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เพื่อทำให้งานบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้
2.ความรู้ในหน้าที่ความรับผิดชอบ (Knowledge of Responsibilities) ต้องสามารถนำความคาดหวัง หรือนโยบาย ไปปฏิบัติและกระจายไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งต้องอาศัยทักษะในการปฏิบัติ และควบคุมงาน เพื่อทำให้พนักงานที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน สามารถทำงานได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่หน่วยงานคาดหวังเอาไว้
3.ทักษะในการสั่งงาน (Skill in Instruction) โดยต้องสามารถมอบหมายงานให้กับพนักงานได้อย่างเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และที่สำคัญคือต้องมีความสุขุม รอบคอบ และระมัดระวังในการใช้คน
4.ทักษะในการปรับปรุงงาน (Skill in Improving Methods) โดยที่หัวหน้างานต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการปรับปรุงและพัฒนางาน โดยต้องคิดหาวิธีที่จะปรับปรุงสภาพการปฏิบัติงานประจำวันให้ดีขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงาน การลดปริมาณของเสีย การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร การลดขั้นตอนการผลิต หรือการปฏิบัติงาน หรือแม้กระทั่งการลดความผิดพลาด เป็นต้น
5.ทักษะในการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น (Skill in Working with People) ทักษะนี้สำคัญมากและเป็นตัววัดที่แท้จริงว่าคุณคือหัวหน้างานตัวจริงหรือไม่ และเป็นตัวที่สนับสนุนให้ทักษะทั้ง 4 ข้อแรกนั้นบรรลุผล หัวหน้าต้องรู้จักเรียนรู้ผู้ใต้บังคับบัญชา ลดความคับข้องใจหรือไม่พึงพอใจ และสร้างให้เกิดความสามัคคีในการปฏิบัติงาน
ทักษะที่กล่าวมานี้ คนที่อยากก้าวหน้าในอาชีพการงานต้องมีและพยายามทำให้ครบสมบูรณ์ทุกทักษะ ส่วนผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรอาจจะทำตารางเปรียบเทียบ แล้วลองให้คะแนนพนักงานคนอื่นๆ ดูได้
“สิ่งที่อยากแนะนำเพิ่มเติมนอกจากหัวข้อทั้ง 5 เหล่านี้ ผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำควรนำประวัติการปฏิบัติงาน เช่น การขาด ลา มาสาย หรืออื่นๆ ประกอบด้วย ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ลองนำไปใช้ดูครับ จะได้ไม่มาปวดหัวทีหลัง ดังสุภาษิตที่ว่าเลือกหัวหน้างานผิด คิดจนตัวตาย” ดร.ทองพันชั่ง กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com
8 วิธีบอกลาภาษาอังกฤษอย่างไรให้ไม่น่าเบื่อ
สวัสดีค่ะ หลายๆคนคงจะรู้วิธีบอกลาในภาษาอังกฤษกันอยู่แล้วเนอะ เช่นคำว่า Goodbye หรือ Bye bye แต่การบอกลาในภาษาอังกฤษไม่ได้มีแค่นี้ซะหน่อย เพราะฉะนั้นลองมาเรียนรู้คำอื่นๆที่ใช้บอกลากันดีกว่าค่ะ
1. I’ve got to get going (ไอฟฺ ก็อต ทู เก็ท โก อิ้ง)
คำนี้เป็นสำนวนหรือ expression มีความหมายเหมือนกับคำว่า I really need to leave หรือ ฉันต้องไปแล้ว เราลองมาดูตัวอย่างการใช้นะคะ เผื่อใครยังไม่เก็ท
ตัวอย่างสถานการณ์
เมื่อนายเอไปเยี่ยมบ้านนายบี แล้วนายบีชวนนายเอทานข้าวที่บ้านด้วยกัน แต่นายเอเนี่ยเกิดรู้สึกเกรงใจเพื่อนขึ้นมา นายเอก็เลยปฏิเสธแบบอ้อมๆได้ว่า
No thanks, I’ve got to get going.
(ไม่ล่ะ ขอบคุณนะ ฉันต้องกลับแล้วละ)
2. I’m off (ไอมฺ ออฟ)
คำนี้เป็นสำนวนอีกแล้วค่ะ แต่ไม่ได้แปลว่า ฉันปิด แต่อย่างใดนะคะ แต่หมายความว่า I’m leaving ใช้ในการบอกลา ตัวอย่างเช่น
A: It’s time to go home. I’m off. (ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านแล้วละ บาย)
B: See you later! (ไว้เจอกันวันหลังนะ!)
แต่ถ้าอยากจะบอกว่าไปที่ไหนสามารถเติม to และตามด้วยสถานที่ได้เลยค่า เช่น
I’m off to Siam Paragon (ฉันจะไปสยามพารากอนแล้วนะ)It’s getting late. I’m off to bed. (ดึกแล้ว ฉันไปนอนล่ะ)3. I’m afraid I have to go now. (ไอมฺ อะเฟรย์ดฺ ไอ แฮฟ ถุ โก นาว)
ประโยคนี้เป็นการบอกลาที่สุภาพ อาจจะใช้กับเจ้านาย ญาติผู้ใหญ่ หรือคนที่ไม่สนิทกัน ซึ่งคำว่า afraid สามารถแปลได้ว่า “หวาดกลัว,เกรงว่า” แต่ในประโยคนี้ไม่ได้แปลว่า “กลัว” นะคะ แต่จะแปลว่า “ฉันเกรงว่าฉันจะต้องไปแล้ว” ตัวอย่างเช่นI have an appointment at 10 o’clock. Now, it’s 9.30. I’m afraid I have to go now.
ผมมีนัดตอนสิบโมง ตอนนี้ก็เก้าโมงครี่งแล้ว ผมเกรงว่าผมจะต้องไปแล้วล่ะ 4. I look forward to seeing you again (ไอ ลุค ฟอเวิร์ด ทู ซีอิง ยุว อเกน)
เรามาถึงครึ่งทางกันแล้วนะคะ คำว่า look forward เป็น Phrasal Verb นะคะ เราไม่สามารถแยกออกเป็นคำๆได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่แปลว่า มองตรงไป แต่จะแปลว่า “ตั้งตาคอย” และสำหรับประโยคนี้เราจะแปลได้ว่า “ฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะเจอคุณ” คืออยากเจออีกครั้งมากๆนั่นเอง เช่น
A: Good bye.
B: I look forward to seeing you again.
และมีจุดสังเกตอีกที่หนึ่งนะคะ บางคนอาจจะคิดว่าหลัง to จะต้องตามด้วย v.infinitive เท่านั้น แต่ถ้าเป็นในประโยคนี้ to จะทำหน้าที่เป็น Preposition เพราะฉะนั้นกริยาที่ตามมาต้องเป็น verb+ing หรือ Gerund นั่นเองค่า
(ฉันตั้งหน้าตั้งตารอการตอบกลับของคุณ)5. Gotta roll (กั่ดดะ โร็ล)คำนี้หมายความว่า ลาก่อน เช่นเดียวกับคำที่ผ่านๆมานะคะ แอบบอกไว้ก่อนนิดนึง คำนี้ถือเป็นคำแสลงในภาษาอังกฤษ ไม่ควรจะใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ เช่นการสัมภาษณ์งานหรือการประชุมนะคะ แต่เราสามารถใช้กับเพื่อนฝูงหรือคนสนิทได้ ไม่ผิดค่า เอาล่ะเรามาดูตัวอย่างการใช้กันดีกว่าThe movie will start in 10 minutes, we gotta roll!
หนังจะฉายในสิบนาที เราต้องไปแล้วล่ะ !
6. Catch you later (แค็ท ชุว เลเถ่อะ)
ถึงแม้คำว่า catch จะเป็นกริยาที่มีความหมายว่า “จับ” แต่ในประโยคนี้เราจะไม่แปลว่า จับเธอทีหลัง(ว๊ายย!!) แต่เราจะแปลเหมือนกับคำว่า see you later หรือ “เจอกันวันหลัง” นั่นเองค่า ตัวอย่างเช่น
I just called to say hi and I hope that we can talk tomorrow. Catch you later.
ผมแค่โทรมาทักทายและผมหวังว่าเราจะได้คุยกันพรุ่งนี้นะ แล้วเจอกันครับ
7. Smell you later (สเม็ล ยุว เลเถ่อะ)
สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ดมคุณทีหลัง อย่าเข้าใจผิดกันล่ะ แต่เราจะแปลว่า “แล้วเจอกัน” ซึ่งสำนวนนี้พึ่งจะมีมาเมื่อในช่วงปี 1990’s เองค่ะ แค่ยี่สิบกว่าปีเอง เพราะฉันนั้นสำนวนนี้มักจะถูกใช้โดยเด็กๆหรือวัยรุ่นกันเสียมากกว่า ตัวอย่างเช่น
Sorry bro, I can’t be late to school. I’ll smell you later.
โทษทีนะน้องชาย ฉันไปโรงเรียนสายไม่ได้ แล้วเจอกัน
8. So long (โซ ลอง)
คำนี้สามารถแปลได้สองความหมาย ความหมายแรกก็คือ “ลาก่อน” ส่วนความหมายที่สองคือ “ระยะเวลาที่ยาวนาน” นั่นเอง ส่วนจะแปลว่าอย่างไร ต้องขึ้นอยู่กับบริบทหรือประโยคที่อยู่รอบข้างนะคะ เราลองมาดูสถานการณ์ต่อไปนี้ดีกว่าค่ะ
ความหมายที่หนึ่ง
A: So, you’re going to Italy. I’ll miss you so much.
เธอจะไปอิตาลีแล้ว ฉันคงคิดถึงเธอน่าดู
B: Yeah, I’ll miss you too.
ใช่ ฉันจะคิดถึงคุณเหมือนกัน
A: So long, have a safe trip.
ลาก่อน เดินทางปลอดภัยนะ
ความหมายที่สอง
Finally, you arrived. I was waiting for so long.
ในที่สุดเธอก็มาถึงสักที ฉันรอเธอจนรากงอกละ
เห็นไหมคะว่าการบอกลามีมากมายหลายวิธีเลยทีเดียว ซึ่งการเรียนรู้คำเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ใช้ในการพูดเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีประโยชน์เวลาที่เราอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย หากคนที่ไม่เคยเรียนรู้คำเหล่านี้เจอครั้งแรกก็อาจจะไม่เข้าใจ เพราะคำเหล่านี้แปลตรงๆมันก็จะฟังดูแปลกๆ หน่อย แล้วเจอกันในบทความถัดไปนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.dailyenglish.in.th
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 19,250.00 | 19,150.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,750.00 | 18,798.40 | 1,240.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,480.60 | 1,285.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,918.56 | 1,116.00 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 15,038.72 | 992.00 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,459.28 | 558.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,579.44 | 434.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | – | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.14 | 21.14 | – | – | – | – | – | 21.14 | 21.14 | – |
เบนซิน 95 | 36.96 | – | – | – | 37.41 | – | 37.46 | 37.26 | 37.06 | 37.26 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.73 | 15.73 | – | – | – | – | – | – | – | – |