เครือซีพีผนึกพันธมิตรชิงเค้กรถไฟเชื่อม3สนามบิน3แสนล้าน!
11 พ.ย.2561 – นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข รองประธานสำนักพัฒนาโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์และพันธมิตรที่ได้รวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า หรือ Consortium พร้อมยื่นซองโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในวันจันทร์ที่ 12 พ.ย.นี้ โดยมีพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและนานาประเทศร่วมผนึกกำลังโดยจะนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เป็นระดับโลกมาร่วมพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งทุกฝ่ายต่างตั้งใจและพร้อมมีส่วนร่วมในการสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
“รถไฟความเร็วสูงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะเป็นหัวใจการพัฒนาเศรษฐกิจ 4.0 ของไทย และหลังจากยื่นซองประมูลแล้วขอประกาศว่าจะเข้าสู่ช่วง Silence Period ตามมารยาทการแข่งขันและธรรมาภิบาลที่ดี”
สำหรับบริษัทที่เป็นกิจการร่วมค้า (Consortium) และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับเครือซีพีล้วนเป็นบริษัทชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่มีประสบการณ์และความชำนาญในด้านต่างๆ ได้แก่ เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง(ประเทศไทย) China Railway Construction Corporation Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน) บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ(ประเทศไทย) บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (ประเทศไทย) บมจ. ช.การช่าง(ประเทศไทย) Japan Overseas Infrastructure Investment Corporation for Transport & Urban Development (ประเทศญี่ปุ่น) CITIC Group Corporation (สาธารณรัฐประชาชนจีน) China Resources (Holdings) Company Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน) Siemen(ประเทศเยอรมัน) Hyundai (ประเทศเกาหลี) Ferrovie dello Stato Italiane (ประเทศอิตาลี) CRRC-Sifang (สาธารณรัฐประชาชนจีน) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ JBIC (ประเทศญี่ปุ่น) เป็นต้น
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้งการก่อสร้างและให้บริการ โดยให้เอกชนร่วมทุนฯ 50 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net
‘ร่มเกล้า-ดินแดง’ เข้าผังเมืองกทม.ใหม่
จากเวทีสัมมนา “ผังเมืองใหม่-เมกะโปรเจ็กต์ :พลิกโฉมกทม.” ที่หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจจัดขึ้น ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ที่ดินรัฐมีจำนวนมากจะทยอยนำออกมาพัฒนา หนึ่งในนั้นคือที่ดินการเคหะแห่งชาติ “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ “นายธัชพล กาญจนกูล” ผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ ว่า
ดันร่มเกล้า‘ไมค์คาบาเรต์’
การเคหะฯ มีที่ดินแปลงใหญ่มีศักยภาพหลายแปลง แต่ที่จะสร้างมูลค่าสูงอยู่ทำเลร่มเกล้า เนื่องจากใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เชื่อมโยงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่สำคัญที่ดินแปลงนี้มีโฉนด ทำให้ภาคเอกชนจำนวนไม่น้อยสนใจประมูล ไม่เว้นแม้แต่หลานของ ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ที่ผ่านมาได้เสนอ โครงการเข้าสู่คณะกรรมการนโยบายรัฐร่วมเอกชนลงทุน (พีพีพี) ผู้ว่าการระบุว่า แต่ต้องรอผลของคณะกรรมการชุดนี้ คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า
โดยตั้งใจอยากให้ที่ดินผืนนี้พัฒนาเป็นเหมือน “ไมค์คาบาเรต์” เป็นแหล่งช็อปปิ้ง การแสดง ฯลฯสำหรับนักท่องเที่ยว ก่อนขึ้นเครื่องเดินทาง
ทำหนังสือเปลี่ยนสีผัง
แต่เนื่องจาก ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพียงแค่ ย.2 หรือ พัฒนาได้ 1.5 เท่าจากที่ดิน 100-200 ไร่ ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย พัฒนาเฉพาะแนวราบ ทำให้มีมูลค่าเพียง 5,000 ล้านบาท และไม่สามารถพัฒนาเป็นตึกสูงคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ได้ ล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมาจึงทำหนังสือไปที่สำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร ขอปรับสีผังแปลงที่ดินร่มเกล้า จากประเภท ย.2 สร้างได้ 1.5 เท่า ของแปลงที่ดิน เป็นพื้นที่ สีส้ม ย.7 เอฟเออาร์ 5 สัดส่วนพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดินสร้างได้ 5 เท่า จะมีมูลค่าถึง 3 หมื่นล้านบาท ใจจริงอยากขอปรับเป็นพื้นที่สีแดง ย.10 เอื้อต่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่ดูเหมือน กทม.จะไม่ให้
เข้าแผนพัฒนาผังเมือง
แต่ทั้งนี้หากกรณี สำนักผังเมืองกทม. ไม่ปรับตามที่เสนอ การเคหะฯ ต้องปรับรูปแบบใหม่ คือ พัฒนารูปแบบ “บิสิเนส แพลนบิลดิ้ง” มาตรการตามผังเมืองกทม.ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 ซึ่งจะได้ ค่าเอฟเออาร์เพิ่มอีก 1.5 เท่ากับที่ดินแปลงนี้ มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท
ทำให้ อนาคตที่ดินผืนนี้ พัฒนาหลากหลายรูปแบบ ไม่เฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่กลับพัฒนาตึกสูง ห้างสรรพสินค้า ได้ หากลงทุนสาธารณูปโภคเข้าแปลงที่ดิน นอกจากนี้ยังได้สิทธิ์จากมาตรการโอนสิทธิ์ บนอากาศ จากพื้นที่อนุรักษ์ที่ไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้
ลุยเมืองดินแดง
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมพัฒนาเมืองดินแดง เป็นรูปแบบมิกซ์ยูส บนที่ดินเช่าของกรมธนารักษ์ รองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไป ที่ต้องการเข้าอยู่ในโครงการฟื้นฟูเมืองดินแดง โดยโครงการระยะที่ 3-4 รูปแบบพีพีพี ให้เอกชนร่วมลงทุน จะเริ่มได้ ปี 2564 -2565 ซึ่งจะเป็นเมืองใหญ่ไม่ต่างจากเซี่ยงไฮ้ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาบริษัทรับเหมาทุบอาคาร
ลำลูกกา รถไฟฟ้าสีเขียว
เชื่อมส่วนทำเลลำลูกกา กว่า 500 ไร่ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ปทุมธานี ที่ผ่านมามีการประมูลแล้วแต่ต้องยกเลิกไป เนื่องจากเอกสารไม่ครบ
บ้านเคหะกตัญญู
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะฯจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ภายใต้ชื่อ “โครงการบ้านเคหะกตัญญูคลองหลวง 1” เพื่อรองรับปริมาณของกลุ่มผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี และเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัย เสริมสร้างความเสมอภาคและโอกาสในการรับบริการโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐอย่างเท่าเทียม
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ครม.เห็นชอบการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุการเคหะฯได้เสนอโครงการบ้านเคหะกตัญญู (คลองหลวง 1) จำนวน 192 หน่วย วงเงินลงทุนรวม 417.139 ล้านบาท อยู่ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ดรีมเวิลด์ โรงพยาบาล สถานศึกษา เป็นต้น และประมาณเดือนธันวาคม 2561 การเคหะแห่งชาติจะเปิดให้ประชาชนที่สนใจได้จองโครงการ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการประกาศหาผู้รับจ้างก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนมีนาคม 2562 และเข้าอยู่อาศัยได้ภายในปี 2563
กองทุน 5,000 ล้านฉลุย
ส่วนกองทุน 5,000 ล้านบาท คาดว่าครม.จะอนุมัติเร็วๆนี้ โดยกองทุนนี้จะให้สิทธิ์ผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงสินเชื่อ สามารถกู้ซื้อบ้านของการเคหะฯได้รวมถึงบุคคลทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com
Digital ประเทศไทย ปี 2018 สู้เขาได้ไหม ?
ใครก็ว่าประเทศไทยเข้าสู่ยุค 4.0 แต่ความจริงแล้วในสายตาชาวโลก Digital ประเทศไทย ปี 2018 สู้เขาได้ไหม ? ครั้งนี้ไม่ได้มาแบบแสดงความคิดเห็นส่วนตัว TerraBKK Research มาพร้อมสถิติน่าสนใจ IMD WORLD DIGITAL COMPETTITIVENESS RANKING 2018 จากสถาบัน IMD ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ 63 ประเทศทั่วโลก รายละเอียดดังนี้
TOP 15 Digital Competitiveness Ranking 2018
พบว่า 3 อันดับแรก ยังเป็นกลุ่มประเทศเดิมจากปีก่อนเพียงแต่สลับอันดับกันขึ้นลง โดยอันดับที่ 1 ปี 2018 คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ขยับขึ้นจากอันดับ 3 เมื่อปีก่อน ตามมาด้วยประเทศสิงคโปร์ เป็นอันดับที่ 2 และ ประเทศสวีเดน เป็นอันดับที่ 3 สำหรับประเทศไทยปีนี้ ไต่อันดับดีขึ้นมาอยู่อันดับที่ 39 จากเดิมอันดับที่ 41 เมื่อปีก่อน
กลุ่มประเทศ Asia-Pacific
สถาบัน IMD ยังแบ่งข้อมูลทั้ง 63 ประเทศออกเป็นกลุ่มตามภูมิภาคของประเทศ สำหรับประเทศไทยเราถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ Asia-Pacific ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 14 ประเทศ หากนับเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทย เป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ติดอันดับการจัดอันดับครั้งนี้ ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมี ประเทศสิงค์โปร์ (อันดับที่ 1 ของกลุ่ม Asia-Pacific และอยู่อันดับที่ 2 ของ 63 ประเทศ) และ ประเทศมาเลเซีย (อันดับที่ 8 ของกลุ่ม Asia-Pacific และอยู่อันดับที่ 27 ของ 63 ประเทศ) อีกด้วย
เจาะภาพรวมประเทศไทย
อธิบายข้อมูลลงรายละเอียดแบ่งเป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่ Knowledge(ความรู้ด้านดิจิทัล) Technology (เทคโนโลยี) และ Future readiness (ความพร้อมในอนาคต) แต่ละข้อย่อยยังแสดงผลการจัดอันดับเมื่อเทียบกับ 63 ประเทศอีกด้วย รายละเอียดดังนี้
Knowledge (ความรู้ด้านดิจิทัล) พบว่า ปัจจัยโดดเด่นที่สุดในหมวดนี้ คือ นักวิจัยผู้หญิง (Female Researcher) ของประเทศไทย จัดอยู่ในอันดับที่ 2 จาก 63 ประเทศ รวมทั้ง การฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training) อยู่ในอันดับที่ 12 จาก 63 ประเทศ สำหรับปัจจัยที่ประเทศไทยยังคงต้องพัฒนามากที่สุด จะเป็นเรื่องทักษะเชิงเทคโนโลยี (Digital/Technological Skill) ของคนไทยที่ยังมีน้อยเกินไป จนอยู่อันดับที่ 52 จากทั้งหมด 63 ประเทศ
Technology (เทคโนโลยี) พบว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 ที่มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ (Mobile Broadband Subscribers) มากที่สุดจาก 63 ประเทศ และยังติดอันดับที่ 13 ด้านการส่งออกสินค้าไฮเทค (High-Tech Exports) อีกด้วย สิ่งหนึ่งที่คนไทยสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คงเป็นเรื่องการปรับตัวของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่หันมาเปิดบริการตามกระแส 4.0 มากขึ้น จึงไม่แปลกใจ หากปัจจัยด้านบริการภาคธนาคารพาณิชย์และการเงิน (Banking and Financial Services) โดดเด่นติดอันดับที่ 11 จาก 63ประเทศ สำหรับปัจจัยที่ประเทศไทยควรปรับปรุงมากที่สุดคงเป็น เรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของผู้ใช้งาน (Internet Users) ของประเทศไทยที่ติดกลุ่มประเทศรั้งท้าย อยู่ในอันดับที่ 54 จาก 63 ประเทศ
Future readiness (ความพร้อมรับอนาคต) สะท้อนถึงความน่ากังวลใจไม่น้อยสำหรับประเทศไทย เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดโดดเด่นเลย แถมยังมีปัจจัยอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายถึง 3 ปัจจัย อาทิ การผลักดันรัฐบาลดิจิทัล (E-Government) อันดับที่ 55 จาก 63 ประเทศ, การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ (Sofware Piracy) อันดับที่ 56 จาก 63 ประเทศ และ การครอบครองแท็บเล็ต (Tablet Possession) อันดับที่ 58 จาก 63 ประเทศ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก www.terrabkk.com
ไม่อยากให้ชีวิตลูกพัง อย่าเลี้ยงลูกแบบ “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์”
หลายคนอาจเคยได้ยินและคุ้นหูกับนิยามของ “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์” มาบ้าง เพราะเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐตั้งแต่ 40 ปีก่อน แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักกับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ อธิบายสั้นๆ ตรงนี้ว่า “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์” เป็นคำจำกัดความของ พ่อแม่ที่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกทำอะไรเอง แถมยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้ลูกได้เจออุปสรรคใดๆ เพราะพ่อแม่คิดว่าตัวเองมีหน้าที่เหมือนเทวดานางฟ้าประจำตัวคอยปกป้องลูกจากสิ่งไม่ดีรอบตัว
ทั้งนี้ “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์” อาจแบ่งได้เป็นสามลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่
1.พวกช่วยปกป้องลูกจนเกินพอดี หรือ Overprotective คิดว่าโลกใบนี้ไม่ปลอดภัยพอสำหรับลูก
2.พวกจอมบงการ หรือ Over directive เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าตัวเองรู้ดีที่สุดว่าอะไรคือกุญแจที่จะนำทางลูกไปสู่อนาคตที่สดใสและความสำเร็จ
3.พวกสายบริการ หรือ Concierge เป็นกลุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกได้ใช้ชีวิตอยากสุขสบาย คอยทำหน้าที่คิดแทน คิดเผื่อลูกไปซะทุกอย่าง จนไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้ความคิดหรือเรียนรู้รสชาติชีวิต
อย่างไรก็ตามแม้การสวมบท “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์” จะเกิดขึ้นด้วยเจตนาดีของพ่อแม่ที่รักลูกปานดวงใจ แต่ข่าวร้ายคือ มีผลการศึกษาที่ค้นพบถึงผลเสียระยะยาวที่เกิดจากการเลี้ยงลูกแบบนี้มากมาย จากนี้ คือ 7 สัญญาณอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับลูกในอนาคต ถ้ายังเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ เฮลิคอปเตอร์
1.ตัดสินใจไม่เป็น ในเมื่อคุณไม่เคยให้โอกาสลูกได้มีโอกาสคิดและตัดสินใจเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในชีวิต ทุกเรื่องต้องอาศัยความเห็นของพ่อแม่ จึงไม่แปลกที่เมื่อโตขึ้น เขาจะกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ และ ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะมองว่าเป็นเรื่องยากของชีวิต
2.เป็นได้แต่ผู้ตาม หากตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีสักครั้งที่คุณเปิดโอกาสให้ลูกได้เป็นแม่ทัพ เพราะเอาแต่ยัดเหยียดบทพลทหารให้เดินตาม แล้ววันหนึ่งลูกคุณจะให้เอาความเชื่อมั่นจากไหนลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ
3.ขาดทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ การที่พ่อแม่เป็นทุกอย่างของชีวิต ไม่เคยต้องกังวลว่าวันนี้จะมีอะไรกิน ของใช้อะไรในบ้านจะหมด บ้านจะรกแค่ไหน เพราะมีพ่อแม่คอยดูแล เป็นทุกอย่างให้ เมื่อถึงวันที่เขาต้องใช้ชีวิตบนลำแข้งของตัวเอง แล้วจะให้เขานำทักษะจากไหนมานับมือกับเรื่องสามัญประจำบ้านเหล่านี้
4.หวาดกลัวกับความล้มเหลว จริงอยู่ไม่มีใครชอบความล้มเหลว แต่สำหรับเด็กๆ ที่เติบโตในเบ้าหลอมของพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์มาทั้งชีวิต ความรู้สึกหวาดกลัวนี้จะเข้มข้นเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่เล็กเขาถูกคาดหวังว่าจะต้องทำได้ตามที่พ่อแม่คาดหวัง โดยเฉพาะเรื่องการเรียน ทำให้เมื่อเติบใหญ่ เด็กๆ กลุ่มนี้จะแบกรับความผิดหวังไม่ค่อยไหว เพราะใช้ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของความคาดหวังมาตลอด
5.จัดเวลาไม่เป็น หากเมื่อตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ชิงรับหน้าที่ในการจัดสรรเวลา จัดลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำก่อน-หลังมาจากลูกทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ซึ่งอาจจะส่งผลดีเฉพาะหน้า คือช่วยให้ลูกทำการบ้านเสร็จตรงเวลา ไปโรงเรียนทันเวลา แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เสียไปคือ โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้การบริหารจัดการเวลาของตัวเอง
6.จัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ในขณะที่พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์พยายามทำทุกทางเพื่อปรนเปรอความสุขให้ลูก แต่ในทางตรงข้ามสิ่งที่พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์สอบตกคือ การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ลูก สามารถรับมือกับความเครียด อารมณ์โกรธ เสียใจและผิดหวังได้
7.ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะอยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด พ่อแม่จึงทำสุดความสามารถเพื่อให้ลูกได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ แต่ใครจะรู้ว่า ในเบื้องลึกจิตใจของเด็ก การที่พ่อแม่ทำเช่นนั้น เหมือนเป็นการสื่อความในว่า พ่อแม่ไม่เชื่อมั่นในความสามารถและศักยภาพในตัวเขาที่จะพาตัวเองไปถึงเป้าหมายใดๆ ก็ตามไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และความรู้สึกนี้ก็เหมือนปมในใจที่พาให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
เพราะเด็กวันนี้คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า เพราะฉะนั้น ถ้ารู้แบบนี้แล้วอยู่ที่พ่อแม่ว่าวันนี้คุณจะเลือกสร้างอนาคตแบบไหนให้ลูก
3 เทคนิค “การทำงานเป็นทีม” ที่ช่วยให้งานของคุณประสบความสำเร็จ
การทำงานกลุ่มหรืการทำงานเป็นทีมนั้นนับว่าเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่ง เพราะมันช่วยให้คุณสามารถรับรู้บทบาทหลายๆ อย่าง เช่น การบริหารจัดการ การเป็นผู้นำ การสื่อสาร และการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี
การทำงานเป็นทีมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการที่ดีพองานก็พังเอาได้ง่ายๆ เพราะการที่คนมารวมกลุ่มทำงานด้วยกันย่อมทำให้เกิดปัญหาเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น เราจึงควรจะมีเทคนิคมาปรับใช้เพื่อให้การทำงานร่วมกันกับคนอื่นออกมาได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด
1. กำหนดเป้าหมายร่วมกันให้ชัดเจน
ในการเริ่มต้นทำงานเป็นทีมนั้นควรจะใช้เวลาพอสมควรในการประชุมตกลงเกี่ยวกับเป้าหมายของทีม ว่าทีมต้องการอะไร และใครควรมีบทบาทอย่างไรต่องานบ้าง ทิศทางและเป้าหมายของงานจะเป็นไปในรูปแบบไหน ซึ่งคุณควรจะกำหนดด้วยว่าจะมีประชุมร่วมกันบ่อยแค่ไหน และจะติดต่อสื่อสารกันอย่างไร พูดคุยกันแบ่งงานให้ลงตัว
เมื่อทุกคนรู้เป้าหมายแน่ชัด การทำงานร่วมกันก็ง่ายขึ้น
2. มั่นใจว่าทุกคนมีส่วนร่วม
สมาชิกทุกคนในทีมต้องมีส่วนร่วมกับงาน และสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกคนรู้สึกสบายใจที่จะทำงานนี้ แล้วงานก็จะออกมามีประสิทธิภาพ การแบ่งหน้าที่ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะบุคลิกนิสัยที่แตกต่างกันย่อมทำให้แต่ละคนมีงานที่ถนัดต่างกันไปด้วย เช่น บางคนไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ แต่เขาก็สามารถสนับสนุนผู้อื่นได้ยอดเยี่ยม เพราะในหนึ่งคนอาจมีบทบาทหลากหลาย การทำงานเป็นทีมจึงควรที่จะสร้างสมดุลของทีมให้ได้มากที่สุด โดยทั่วไปแล้วในการประชุมหรือการระดมสมองร่วมกันนั้น เราสามารถแบ่งบทบาทหน้าที่ภายในทีมได้ 7 บทบาท ดังนี้
- นักประณีประนอม (Compromiser) เป็นคนที่สร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน สร้างความกลมเกลียวให้กับลูกทีมทุกคน คนจำพวกนี้มักจะเอาใจใส่รายละเอียดของลูกทีมแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
- นักสนับสนุนผลักดัน (Encourager) เป็นคนที่สามารถกระตุ้นลูกทีมให้มีพลังในการทำงาน อาจจะใช้อารมณ์ขันเข้าช่วยบ้าง แนะนำแนวคิด หรือแม้แต่เป็นผู้นำเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา
- นักตรวจสอบและประเมินผล (Evaluator) เป็นคนที่สามารถวิเคราะห์ทางเลือกเพื่อเป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจทำบางอย่าง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
- นักคิด (Ideas person) เป็นผู้เสนอไอเดียต่างๆ ให้กับกลุ่ม และเป็นคนที่สามารถเสนอแนวทางการแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบคม
- ผู้นำ (Leader) เป็นผู้ที่ทำให้กลุ่มสามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างมั่นคง ตรงตามเป้าหมาย ไม่เหลวไหล อีกทั้งยังเป็นผู้ประสานงานระหว่างสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม ซึ่งเป็นทั้งผู้มอบหมายงานและคอยขับเคลื่อนให้งานออกมาประสบผลสำเร็จ
- นักจดบันทึก (Recorder) เป็นผู้ที่ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น คอยจัดตารางเวลา คอยบันทึกการประชุม เพื่อให้สมาชิกคนอื่นๆ นั้นเข้าใจว่าพวกเขามีหน้าที่อะไร
- นักสรุปผล (Summariser) จะคอยสรุปเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้สมาชิกเข้าใจสถานการณ์ หรืองานที่จะต้องทำได้ง่ายขึ้น คอยสรุปการประชุมในแต่ละครั้ง
3. หลีกเลี่ยงนิสัยแย่ๆ
ต่อให้คุณอยากประสบความสำเร็จกับงานมากแค่ไหน แต่นิสัยบางอย่างก็ทำให้งานกลุ่มพังทลายลงได้ง่าย ๆ อย่างเช่นพฤติกรรมต่อไปนี้
- เจ้าอารมณ์ เหวี่ยงหรือฉุนเฉียวมากเกินเหตุ
- แสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจต่างๆ อยู่เสมอ
- ไม่เคารพและให้เกียรติผู้อื่น ชอบวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ให้คำแนะนำใดๆ
- ทำให้คนอื่นเสียสมาธิเพราะมัวแต่เล่นสนุก
- ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่สนใจ
- ไม่ค่อยรับฟังผู้อื่น และมักจะพูดแทรก
- พูดมากเกินไป จนคนอื่นไม่ได้พูด
เป็นเรื่องธรรมดาที่การทำงานเป็นทีมจะเกิดความเห็นไม่ตรงกัน แต่เราก็ไม่ควรทำให้ปัญหาของทีมกลายมาเป็นปัญหาส่วนตัว ดังนั้น ควรจะถกเถียงในสิ่งที่เกี่ยวกับงานจริงๆ ถ้าคุณมีปัญหาไม่ลงรอยกับสมาชิกทีมก็ควรเก็บไปพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวจะดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก www.sumrej.com