อสังหา9เดือนรายได้ดิ่ง-โดด หวัง LTV เร่งยอดโอน
ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2561 กันถ้วนหน้า สำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตัวเลขยอดขายและรายได้รวมถือว่าดีขึ้น และเชื่อว่าผ่านไตรมาส 4 ของปีนี้ ตัวเลขรายได้จะสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วงการทำรายได้ของบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากผู้ประกอบการ 16 รายในตลาดนั้นมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือแบ็กล็อกอยู่กว่า 3.3 แสนล้านบาท ที่รอรับรู้รายได้ที่จะทยอยโอนเข้ามา โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น
“เวลานี้ถือเป็นช่วงหน้าการขาย ตลาดแข่งขันกันอย่างรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการพยายามอัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อผลักดันให้ยอดขายให้ได้มากที่สุด การขายและโอนก่อนที่เกณฑ์คุมสินเชื่อของแบงก์ชาติก็มีส่วนที่ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจเร็วขึ้น” เทิดศักดิ์ กล่าว
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2561 สามารถทำยอดขาย 2.86 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 54% และโครงการแนวราบ 46% และคิดเป็น 86% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 3.3 หมื่นล้านบาท และทำรายได้รวมได้ 1.71 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 58% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 42%
ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือแบ็กล็อก ประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 2561 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2561 จำนวน 8,137 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 3.59 หมื่นล้านบาท จะรับรู้ในอีก 4 ปี ช่วง 9 เดือนแรกบริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวม 2.15 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และแนวราบ 15 โครงการ ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ มูลค่ารวม 1.39 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ
สำหรับแผนงานในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่แนวราบในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองภูมิภาค 10 โครงการ ซึ่งในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เปิดตัวไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท นอกจากนี้ปลายเดือน พ.ย.นี้ จะเปิดตัวโครงการใหม่พร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท ได้แก่ ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา และศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย
สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง กล่าวว่า เพื่อเป็นการรับมือกับเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เตรียมบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย. 2562 บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับรูปแบบการพัฒนาสินค้าใหม่ จากเดิมเน้นบ้านพร้อมขายหรือบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้สามารถรับรู้ได้เร็ว โดยจะเปลี่ยนมาเป็นสินค้าบ้านสั่งสร้างมากขึ้น ขณะที่คอนโดมิเนียมแนวสูงหรือไฮไรส์ จะต้องเปลี่ยนงวดเงินผ่อนดาวน์บางงวดให้สูงขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมอยู่ หรือสต๊อกทั้งทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม 161 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ 4,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ คอนโดแวลู 2 โครงการ และคอนโดพรีเมียมอีก 1 โครงการ คาดว่าถึงสิ้นปีจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 55 โครงการ มูลค่ากว่า 4.9 หมื่นล้านบาท
ธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า บริษัทปรับประมาณการรายได้ปี 2561 ลดลงเหลือ 2.06 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบันทึกรายได้ของการโอนที่ดิน มูลค่า 1,100 ล้านบาท ให้กับบริษัทร่วมทุนช้ากว่ากำหนด จากเดิมที่คาดจะโอนได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการทางบัญชีโดยจะทำให้บริษัทจะต้องมีการบันทึกรายได้จากการโอนในส่วนดังกล่าวในช่วงต้นปี 2562 รวมถึงยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่ลดลง
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/2561 จะเติบโตได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตกว่าไตรมาส 3/2561 เป็นผลจากการรับรู้รายได้การเปิดตัวโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการควบคุมธนาคารพาณิชย์ห้ามปล่อยกู้เกินมูลค่าหลักประกัน ส่งผลให้มีการเร่งทยอยโอนก่อนมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2561 อีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท จะทำให้ในปีนี้บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 18 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1.83 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมียอดขายที่รอโอน 6,748 ล้านบาท
ด้านบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 2.27 หมื่นล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านบาท ลดลง 2,011 ล้านบาท หรือ 8.12%
บริษัท แสนสิริ ไตรมาส 3 ปีนี้มีรายได้รวม 6,882 ล้านบาท ลดลง 6% จาก 7,345 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2560 ส่งผลให้รายได้รวมงวด 9 เดือนของปี 2561 มีจำนวน 1.77 หมื่นล้านบาท ลดลง 23% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกปีก่อนที่มีรายได้ 2.31 หมื่นล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com
แข่งผุดคอนโดฯบางนา-ตราด5 ปีมีสิทธิ์ทะลักหมื่นหน่วย รับแหล่งงานขยายตัว
ไนท์แฟรงค์ เผยย่านบางนา-ตราด อนาคตโครง การยักษ์แห่เกิดพรึบ ชี้เดอะ ฟอเรสเทียร์ และฮับอุตสาหกรรมมุ่งอีอีซีดันราคาขายพุ่ง เสนา ฮันคิวนำร่อง ขึ้นคอนโดฯ ไฮไรส์รับดีมานด์ คาด 5 ปีเปิดขายนับหมื่นหน่วย
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันย่านบางนา-ตราด พลิกจากทำเลที่ดีเวลอปเปอร์ไม่สนใจ กลายเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เกรดซีและบี ราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 5 หมื่น-1.2 แสนต่อตารางเมตร โดยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แยกบางนา-สุขุมวิท มีซัพพลายสะสมเพียง 7,836 หน่วยเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก แต่กลับมีอัตราการขายออกสูงถึง 94% มาจากความต้องการของคนทำงานทั้งในย่านบางนา บางพลี บางบ่อ และ 3 จังหวัดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ที่ขยายแหล่งที่อยู่อาศัยเข้ามาใกล้เมือง
ในอนาคตย่านนี้จะมีโครงการใหม่ๆ ทั้งของเอกชนและของรัฐเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ เช่น โครงการแบงค็อก มอลล์ ใกล้แยกบางนา มูลค่าลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ประกอบกับแผนขยายเฟสต่อเนื่องของศูนย์การค้าเมกาซิตี้บางนาอีกหลายโครงการ ทำให้กลายเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่คึกคัก, โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ 300 ไร่ เมืองใหม่ มูลค่าลงทุน 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2562 ประกอบกับ ช่วงกม.19-23 เป็นโลจิติกส์ ฮับ แหล่งโรงงานของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ศักยภาพและราคาที่ดินของทำเลดังกล่าวสูงขึ้น จนปัจจุบันมีการซื้อขายกันตารางวาละ 2-4 แสนบาท
“ที่น่าจับตาคือ โครงการมิกซ์ยูส เดอะฟอเรสเทียส์ ป่าในเมือง หากเปิดตัวราคาขายออกมา ก็จะกระชากราคาตลาดขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับแผนพัฒนา ที่ดินกว่า 4 พันไร่ ช่วง กม.32.5 ที่เพิ่งประมูล มีแผนพัฒนาในเชิงอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม คาดทั้งหมดจะก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงในด้านที่อยู่อาศัยตามมา”
ด้านนางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันย่านแหล่งงานสำคัญของเมือง เริ่มขยายตัวออกไปยังพื้นที่รอบข้างของกรุงเทพฯ มากขึ้น โดยเฉพาะโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก บางนา-ตราด ซึ่งอยู่ใกล้โซน ซีบีดี จนทำให้ดีเวลอปเปอร์หลายราย เข้ามาจับจองพื้นที่ เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานเกิดขึ้นหนาแน่นมากที่สุดย่านหนึ่ง ซึ่งในอนาคตศักยภาพของทำเลจะสูงขึ้นอีก จากแผนโครงการรถไฟฟ้า สายบางนา-ตราด เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สุขุมวิท) จำนวน 14 สถานี และยังเชื่อมต่อสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งจะส่งผลต่อดีมานด์ที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีคอนโดฯเกิดขึ้นนับหมื่นหน่วย
“เป็นหนึ่งโซนที่น่าสนใจ และมีอนาคตชัดเจนว่าจะเติบโตดี เพราะเป็นทางผ่านของอีอีซี แหล่งงานขนาดใหญ่รองแค่กรุงเทพฯ มองย่านไหนก็แล้วแต่ รถไฟฟ้ามา ทำเลนั้นคึกคัก เชื่ออีก 5 ปี มีคอนโดฯเกิดขึ้นครบทุกสถานี ขณะที่ราคาที่ดินจาก 3 แสน/ตร.ม. คาดเพิ่มขึ้นเท่าตัว ราคาขายคอนโดฯก็เช่นกัน”
ทั้งนี้บริษัท เสนา ฮันคิวฯ ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เพิ่งเปิดตัว โปรเจกต์ใหม่ย่านบางนา บริเวณ กม.7 “นิช โมโน เมกะ สเปซ บางนา” รวมมูลค่าโครงการ 2.2 พันล้านบาท บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ คอนโดฯ สูง 40 ชั้น (สูงที่สุดในย่านบางนา) จำนวน 795 หน่วย ในราคาเฉลี่ย 8.3 หมื่นบาทต่อตร.ม. โดยตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลกลางเดือน พฤศจิกายนอยู่ที่ 60-65%
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com
แผนรับมือลงทุนปี’ 62
บลจ.อเบอร์ดีน คาดการณ์ว่า ปี 2562 อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มขาขึ้น จะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นลดต่ำลง จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์/เลือกหุ้นอย่างมืออาชีพ เพิ่มโอกาสทำกำไร
กรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2562 จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป และรัฐบาลคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกภาคส่วนโดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยว ที่จะเป็นส่วนผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากความตึงเครียดของการค้าโลก ซึ่งเกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนย้ายฐานการประกอบธุรกิจเข้ามาในไทยเพราะมีทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม
สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะทำให้ภาพรวมของการเมืองมีความชัดเจนขึ้น ตอกย้ำถึงเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวขึ้นมาเป็นลำดับ หลังจากที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆทั่วโลกมีการปรับใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาร่วม 10 ปี จะทำให้อัตราดอกเบี้ยโลกปรับเพิ่มขึ้น และไทยก็น่าจะมีการปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน จะทำให้การลงทุนในหุ้นอาจไม่ได้ผลตอบแทนที่มากมายเหมือนปีที่ผ่านมา นักลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวัง
โอกาสทำกำไรหุ้นมี ถ้าเลือกเป็น
สำหรับปัจจัยลบต่อการลงทุนในหุ้นปี 2562 ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทน (บอนด์ยิลด์) พันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.1-3.2% เป็นการสะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่วงหน้าแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นทั้งในและต่างประเทศจะลดลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีโอกาสที่จะทำกำไรที่ดีได้ หากรู้จักเลือกหุ้นเป็น ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการเลือกและวิเคราะห์ หาหุ้นที่สามารถทำกำไรที่ดีให้ได้ แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่มืออาชีพด้านการลงทุน ก็ควรจะมอบหมายให้ผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่แทน และช่วยดูแลให้ด้วยการลงทุนในกองทุนรวม นอกจากนี้จะต้องใช้หลักการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ สามารถอดทนรอเวลาที่เหมาะสมได้ การที่ให้ผู้จัดการกองทุนมาทำหน้าที่ลงทุนแทน จะมีจุดแข็งตรงที่มีทีมงานมืออาชีพ มีเครื่องไม้เครื่องมือในการวิเคราะห์ มีหลักการพิจารณา คัดสรรสินทรัพย์ลงทุน เข้ามาในพอร์ตการลงทุนและมีเวลาในการติดตามการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกลุ่มที่คิดว่าจะสามารถทำกำไรที่ดีได้ในปี 2562 ประกอบด้วย ภาคการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการของไทยยังแข่งขันได้ ภาคการท่องเที่ยวที่ไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลก และมีการขยายสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 เป็นการสะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว
ด้านภาคการก่อสร้างจะได้ประโยชน์จากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงธุรกิจธนาคารจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจภายในประเทศที่เติบโต ทำให้สามารถประกอบธุรกิจได้ดีมีการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีความแข็งแกร่งทางการเงิน เพราะไม่ได้มีการใช้เงินกู้หรือก่อหนี้เกินตัว เพราะเคยเรียนรู้จากประสบการณ์เมื่อปี 2540 และปี 2551ทำให้มีความระมัดระวังในการก่อหนี้ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
จัดพอร์ตลงทุนปี ’62
กรวุฒิ แนะนำ ในฐานะ บลจ.อเบอร์ดีนฯ มีหน้าที่บริหารเงินลงทุน มีกองทุนรวมหลายกองที่ให้นักลงทุนตัดสินใจ ซึ่งแต่ละกองมีจุดดีแตกต่างกัน จะต้องมีการลงทุนในลักษณะของการกระจายความเสี่ยงอย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเอง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม นักลงทุนจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง ต้องตั้งต้นที่การรู้จักตัวเองก่อน อาทิ มีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร มีความคาดหวังผลตอบแทนเท่าไร ที่สำคัญคือ รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
หากต้องการผลตอบแทนปีละ 2% ก็จะได้จัดหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้ตรงกับความต้องการของนักลงทุน แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนปีละ 6-10% ก็จะเหมาะกับกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อให้มีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูง ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสขาดทุนสูงเช่นเดียวกัน
หลักการเลือกบลจ./กองทุนรวม
กรวุฒิ กล่าวว่า หนึ่งในคำถามที่ถูกถามมาตลอดชีวิตการทำงานในวงการกองทุนรวม คือ บลจ. ไหนดี หรือกองทุนที่ไหนดี ไม่สามารถที่จะตอบได้ทันที ขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่าเหมาะกับแนวนโยบายประกอบธุรกิจ การจัดพอร์ตการลงทุน สไตล์และปรัชญาแบบไหน เพราะแต่ละที่อาจเหมือนหรือแตกต่างกัน
สำหรับ บลจ.อเบอร์ดีนฯ จะมีวิถีทางการลงทุน คือ เน้นลงทุนระยะกลางและระยะยาว โดยจะเลือกบริษัทที่ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์มารอบด้านอย่างดีแล้ว ไม่ได้ใช้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มาเป็นเป้าหมายการลงทุน จะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ อยากแนะนำว่า นักลงทุนต้องกลับมาดูที่ตัวเองก่อนว่า แนวนโยบายของ บลจ. ที่ตัวเองกำลังเลือกอยู่นั้น ตอบโจทย์ความต้องการลงทุนได้หรือไม่ ความเสี่ยงที่รับได้เป็นอย่างไร ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมแม้จะไม่สามารถยืนยันผลตอบแทนในอนาคตได้แต่มีข้อมูลอ้างอิงเบื้องต้นว่าผลงานในอดีตเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถดูได้ในหนังสือชี้ชวนและเว็บไซต์ของบริษัท
“เราต้องเข้าใจตัวเอง เมื่อเราหาตัวเองเจอ เราจะมีเป้าหมาย เช่น ชอบความเสี่ยงต่ำก็อาจจะเหมาะกับกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ จากนั้นก็พิจารณาต่อไปว่า เป็นตราสารหนี้ในประเทศหรือต่างประเทศ จะทำให้เห็นความต้องการของตัวเองชัดเจนขึ้นและหากองทุนรวมไหนที่ตรงกับเรา” กรวุฒิ อธิบาย
กรวุฒิ กล่าวว่า ในช่วงปลายปี2561 ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนมักจะซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สำหรับ บลจ.อเบอร์ดีนฯ มี 2 กองทุนที่เป็นเรือธง คือ กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสแตนดาร์ด หุ้นระยะยาว ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีน้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งจะมีความผันผวนสูงก็มีโอกาสรับผลตอบแทนสูง และโอกาสขาดทุนสูง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2547 ถึงวันที่ 28 ก.ย. 2561 ให้ผลตอบแทน 12.61% ต่อปี ชนะดัชนีชี้วัดซึ่งอยู่ที่ 8.19% ขณะที่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสแตนดาร์ด หุ้นระยะยาว 70/30 ลงทุนในหุ้นเฉลี่ยรอบปีบัญชีน้อยกว่า 65% และลงทุนในตราสารหนี้เฉลี่ยรอบปีไม่เกิน 30% จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนพ.ย. 2559 จนถึง ณ วันที่ 28 ก.ย. 2561 มีผลตอบแทนอยู่ที่ 7.07% ต่อปี ส่วนดัชนีชี้วัดอยู่ที่ 10.05%
“นักลงทุนควรมีวินัยการลงทุนและเลือกลงทุนกับ บลจ. ที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและชอบสไตล์การลงทุนแบบนั้น เหมาะกับตัวเอง นี่คือเป็นหัวใจเลย ซึ่งปีนี้เหลือเวลาในการตัดสินใจลงทุนประมาณ 40 วันเท่านั้นจึงควรรีบตัดสินใจ เพราะคนที่ตัดสินใจคนสุดท้าย คือ นักลงทุน” กรวุฒิกล่าวย้ำ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
เปลี่ยนโทษ “จ่ายค่าปรับ” เป็นบำเพ็ญประโยชน์ทดแทน
โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
“ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน” โครงการรณรงค์จากอาจารย์และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มธ. เพื่อให้บุคคลที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับตามคำพิพากษาสามารถบำเพ็ญประโยชน์แทนโดยไม่ต้องถูกกักขัง
ประเด็นปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมเป็นหนึ่งในประเด็นที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการปฏิรูป เพื่อนำไปสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาขับเคลื่อนด้วยการบรรจุไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนในภาครัฐนั้นยังมีอุปสรรคพอสมควร
เป็นที่มาทำให้ “ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ามาเป็นหัวขบวนในการรณรงค์ เรื่อง “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน” ซึ่งเป็นโครงการที่ทำร่วมกับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อหาทางให้บุคคลที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับตามคำพิพากษา ไม่ต้องถูกกักขังแทนการจ่ายค่าปรับ แต่ให้เปลี่ยนโทษการจ่ายค่าปรับมาเป็นการบำเพ็ญประโยชน์แทนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30/1
เดิมทีโครงการนี้ได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เป็นการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักต่อสาธารณะและจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และได้นำข้อเสนอนั้นส่งไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรมต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 2 หารือกับกรมคุมประพฤติถึงความเป็นไปได้ถึงการบำเพ็ญประโยชน์แทนการจ่ายค่าปรับ
แต่ทั้งสองครั้งที่ได้ดำเนินการนั้นเป็นไปในลักษณะของการรณรงค์เป็นหลัก โดยยังไม่ได้ไปสู่การนำตัวของผู้ต้องโทษที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับออกมาจากคุก
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคบัณฑิตชั้นปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาในวิชา “หลักวิชาชีพนักกฎหมาย” ด้วยการสนับสนุนของอาจารย์ปริญญา จึงตัดสินใจร่วมกันลงมือทำโครงงาน “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน ตอน บำเพ็ญประโยชน์แทนค่าปรับ” ซึ่งเป็นการดำเนินการในเชิงรุกจนสามารถช่วยบุคคลที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับออกมาจากคุกได้เป็นผลสำเร็จแล้วจำนวน 2 คน ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
อาจารย์ปริญญา อธิบายถึงหลักการในการดำเนินโครงการนี้ว่า หลักการคือคนควรจะติดคุกเพราะทำผิดกฎหมายไม่ใช่เพราะจน แต่ปัญหาของประเทศเรา คือ คนที่ยังไม่ผิดแต่ต้องมาติดคุกเพราะจนนั้นมีจำนวนมาก โดยมีสองสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขคนที่ต้องติดคุกมีจำนวนสูงขึ้นมาก
“1.ศาลตั้งวงเงินประกันตัวไว้สูง เมื่อไม่มีเงินมาจ่ายเป็นเงินประกันก็ต้องติดคุก เป็นการติดคุกก่อนศาลพิพากษา ทั้งที่เขามีสิทธิออกมาสู้คดี เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติเป็นหลักการว่าในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด”
“การกำหนดวงเงินการประกันตัวไว้สูงนั้นอยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่าถ้าเงินประกันสูงๆ คนจะไม่กล้าหนี เพราะถ้าหนีแล้วจะต้องถูกริบเงิน ซึ่งถ้าเมื่อประเมินผลกันแล้วจะเห็นว่าไม่ได้ผล เนื่องจากคนที่สามารถวางเงินประกันสูงได้ ก็ย่อมทิ้งเงินประกันได้และหนี กลายเป็นว่าถ้าใครที่มีเงิน ก็ไม่ต้องติดคุก ประกันตัวออกมาสู้คดีได้ คนไม่มีเงินก็ติดคุกไป”
“2.เป็นปัญหาอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา โดยไปกำหนดว่าศาลพิพากษาให้ปรับและหากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ผู้ต้องโทษก็ต้องติดคุกแทนการจ่ายค่าปรับ กรณีนี้ชัดเจนกว่ากรณีแรกเสียอีก เพราะศาลพิพากษาให้จ่ายเป็นค่าปรับ ไม่ได้ประสงค์จะเอามาติดคุก แต่กลายเป็นว่าที่ต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ แบบนี้ติดคุกเพราะจนโดยแท้เลย
“เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่มีนักกฎหมายตั้ง 3 แสนคน และไม่ควรเกิดในประเทศที่มีคณะนิติศาสตร์ตั้งเกือบ 100 มหาวิทยาลัยในขณะนี้ ปัญหาการติดคุกเพราะจนเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในบรรดาปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศไทย ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เรื่องอื่นถ้าคนจนอย่างมากก็คงไม่เข้าถึงสิทธิบางประการเท่านั้น”
อาจารย์ปริญญา เปิดเผยว่า การดำเนินการ เรื่อง “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน” ในรอบที่ 3 นี้สามารถทำให้เกิดผลได้จริง คือ สามารถช่วยคนที่ติดคุกเพราะไม่มีเงินเสียค่าปรับออกมาจากเรือนจำได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30/1 ที่เปิดโอกาสให้บุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้ปรับเป็นเงิน แต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับสามารถขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ เพื่อที่จะไม่ต้องติดคุกแทนการชำระค่าปรับได้
ถึงแม้จะช่วยผู้ที่ต้องติดคุกแทนการจ่ายค่าปรับออกมาได้แล้ว แต่ในมุมมองของอาจารย์ปริญญาเห็นว่าควรต้องมีการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
“มาตรา 30/1 เป็นบทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปี 2559 แต่มีคนจำนวนมากยังไม่รู้ โดยเฉพาะบุคคลที่ตกเป็นจำเลยยังไม่ทราบถึงสิทธิตามมาตราดังกล่าว คิดว่าถ้าจะแก้ไขปัญหาให้เกิดสภาพบังคับ คือ ให้คนที่ถูกพิพากษาให้จ่ายค่าปรับนั้นไปทำประโยชน์สาธารณะแทนการกักขัง”
“ถึงตอนนี้จะยังแก้ไขกฎหมายไม่ได้ ก็ควรทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ผู้พิพากษาทุกศาลแจ้งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวให้กับจำเลยได้รู้ หรือถ้าใครที่ติดคุกอยู่ในตอนนี้เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็พร้อมจะระดมนักศึกษาเพื่อช่วยเหลือต่อไป”
“การดำเนินการก่อนหน้านี้ที่จะเอาคนออกมาได้ เราได้ไปยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว ท่านก็รับไว้หมดทุกอย่าง แต่มันก็อยู่ในแผน แล้วไงต่อ มันก็เป็นแค่แผน การปฏิรูปประเทศหรือการแก้ไขปัญหาต้องลงมือทำ ถึงจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้” อาจารย์ปริญญา ทิ้งท้าย
ส่วนในภาคของการดำเนินการนั้น “รัฐนิติ นิติอาภรณ์” นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิตในฐานะหัวหน้ากลุ่มโครงงานดังกล่าว อธิบายภาพรวมการทำงานว่าโครงงานของเรามองไปที่ช่องทางตามกฎหมาย คือ สิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกไปทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับได้ตามมาตรา 30/1 ซึ่งแม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้สิทธิเอาไว้ แต่ก็มีปัญหาว่าประชาชนทั่วไปไม่รับรู้สิทธิตรงนี้
“การทำงานของพวกเราได้ร่วมกับหลายหน่วยงานด้วยกันทั้งศาลจังหวัด ศาลแขวง คุมประพฤติ เรือนจำ ทัณฑสถานในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และสถานกักขังกลางปทุมธานี เมื่อได้รับความร่วมมือจึงนำมาสู่การลงพื้นที่ทำงานใน 2 ส่วน ประกอบด้วย 1.ให้ความรู้แก่ผู้ต้องกักขัง และ 2.อำนวยความสะดวกในการยื่นคำร้องต่อศาล รวมถึงการเตรียมเอกสารต่างๆ”
รัฐนิติ บอกว่า ล่าสุดโครงงานได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2561 สามารถช่วยให้ผู้ต้องโทษที่ไม่มีเงินเสียค่าปรับนั้นไม่ต้องถูกกักขังได้จริง ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวแล้ว 2 ราย โดยอยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากศาลจำนวน 37 ราย และมีผู้ต้องโทษกักขังแสดงความจำนงเพิ่มเติม 74 ราย
“ในฐานะที่เป็นนักศึกษากฎหมาย สิ่งที่ผมและทีมงานมุ่งหวังสูงสุดก็คือการได้เห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมที่เราอยู่ เราตระหนักว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนั้นมีอยู่หลายด้าน ไม่เว้นแม้แต่ในกระบวนการยุติธรรมเอง เงินกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดว่าบุคคลจะถูกจำกัดเสรีภาพหรือไม่”
“เราจึงพยายามแก้ไขปัญหาจากจุดเล็กๆ ที่เราสามารถทำได้ โดยนำความรู้ด้านกฎหมายไปเผยแพร่แก่ผู้ต้องโทษปรับและผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับ การดำเนินโครงงานครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกที่เราสามารถนำวิชาความรู้ด้านกฎหมายที่ได้ร่ำเรียนมาจากห้องเรียน ออกมาทำประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม และหวังว่าการดำเนินโครงงานครั้งนี้จะเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมของเราได้” รัฐนิติ กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
Loy Krathong Day
วันลอยกระทง (Loy Krathong Day) เป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของคนไทย โดยจะเฉลิมฉลองทุกปี
ในวันเพ็ญของเดือนที่สิบสองตามปฏิทินจันทรคติ (Full-Moon Day of the Twelfth Lunar Month)
โดยช่วงเวลานี้ฤดูฝน (rainy season) ผ่านพ้นไปแล้ว และระดับน้ำก็สูงปริ่มตลิ่ง เหมือนดังในเพลงที่ว่า
“น้ำนองเต็มตลิ่ง” (water’s high
in the river)
คำว่า ลอย ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า float ส่วน กระทง คือภาชนะที่มีรูปทรงคล้ายดอกบัว (lotus-shaped vessel) ซึ่งทำมาจากใบตอง (banana leaves) หรืออย่างในปัจจุบันก็อาจจะใช้กระดาษสี (coloured paper) แทน โดยเราจะใส่ เทียน (candle) ธูป (joss sticks) ดอกไม้ (flower) และเหรียญ (coin) ลงไปขณะลอยด้วย
ซึ่งประเพณีลอยกระทงตามความเชื่อมีขึ้นเพื่อขอขมา (apology) ต่อแม่น้ำ (water goddess) ที่เราใช้ประโยชน์และทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรก และยังเชื่อว่ากระทงจะนำโชคร้าย (misfortunes) ให้ลอยไปกับสายน้ำด้วย
สุดท้ายนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับบทเพลงวันลอยกระทงกัน เราจึงนำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาฝากค่ะ
November full moon shines, Loi Krathong, Loi Krathong, and the water’s high in the river and local klong, Loi Loi Krathong, Loi Loi Krathong, Loi Krathong is here and everybody’s full of cheer, We’re together at the klong, We’re together at the klong, Each one with this krathong, As we push away we pray, We can see a better day.
วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก engoo.co.th
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 19,050.00 | 18,950.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,550.00 | 18,616.48 | 1,228.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,298.68 | 1,273.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,754.83 | 1,105.20 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,893.18 | 982.40 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,383.48 | 553.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,518.80 | 430.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 | 28.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 | 28.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 25.84 | 25.84 | 25.84 | 25.84 | 25.84 | – | 25.84 | 25.84 | 25.84 | 25.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 20.64 | 20.64 | – | – | – | – | – | 20.64 | 20.64 | – |
เบนซิน 95 | 35.96 | – | – | – | 36.41 | – | 36.46 | 36.26 | 36.06 | 36.26 |
ดีเซล | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 | 29.29 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.16 | 33.16 | 33.16 | 33.16 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.73 | 15.73 | – | – | – | – | – | – | – | – |