สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 8 มกราคม 2562

โบรกเกอร์ส่องอสังหาฯปีกุน เศรษฐกิจกร่อย “ซิตี้คอนโด” มาแรง “ออฟฟิศ-พื้นที่อุตฯ” ดาวรุ่งเจิดจ้า

เปิดศักราชปีกุน 2562 “ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ 2 โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ต่างกรรมต่างวาระแต่มีหัวข้อเดียวกันประกอบด้วย “พนม กาญจนเทียมเท่า” กรรมการผู้จัดการ บริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กับ “นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์” กรรมการผู้จัดการ เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ร่วมกันมองแนวโน้มภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ภาพรวม ๆ ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก ในขณะที่พื้นที่สำนักงานให้เช่ากับพื้นที่อุตสาหกรรม เทรนด์ออกมาว่าเป็นปีสดใสเจิดจ้ากันเลยทีเดียว

เริ่มจาก “นลินรัตน์@เน็กซัส” ที่เปิดประเด็นได้น่าสนใจ มองแนวโน้มปีหน้า “ซิตี้คอนโด” จะกลับมาครองตลาดอีกครั้ง รวมทั้งลูกค้าต่างชาติที่ไม่ควรมองข้ามตลาด CLMV

เทรนด์เด่นปี”62

ธุรกิจที่อยู่อาศัยสินค้ามี 3 เทรนด์หลัก คือ 1.เจาะนิชมาร์เก็ต จับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น ผู้สูงอายุ, คอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้, คอนโดฯสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย, ครอบครัวเดี่ยว,ผู้หญิงอาศัยคนเดียว 2.คอนโดฯ ลีสโฮลด์มีมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่ดินแพง บวกกับหาที่ดินเปล่าเพื่อมาพัฒนาโครงการแบบฟรีโฮลด์ยากลำบาก หรือที่ดินเช่าเป็นภาพการลงทุนที่คุ้มค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ 3.มิกซ์ยูสโปรเจ็กต์จะเห็นมากขึ้นในปีหน้า

สถิติ 5 ปี (2557-2561) ในพื้นที่กรุงเทพฯจังหวัดเดียวมีการเปิดตัวใหม่เฉลี่ย 53,600 หน่วย เรียกว่าซัพพลายโต 100% นับเฉพาะปี”61 คาดว่ามีห้องชุดเปิดใหม่ 60,900 หน่วย ทำเลเด่นที่เปิดตัวเยอะสุด คือ พญาไท-รัชดาภิเษก 35% รองลงมาพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง 22% และธนบุรี-ราชพฤกษ์-เพชรเกษม 12%

ในขณะที่ซัพพลายสะสมอยู่ที่ 610,900 หน่วย โซนสะสมมากสุด คือ พระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง 21% พญาไท-รัชดาภิเษก 20% ติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ตีคู่มากับโซนธนบุรี-ราชพฤกษ์-เพชรเกษม โซนละ 12% เท่ากัน

แนวโน้มปีหน้าตลาดซิตี้คอนโดมาแรง โดยปี”61 มีสัดส่วนพัฒนาโครงการ 21% แนวโน้มปีนี้เพิ่มเป็น 38% ตลาดไฮเอนด์จาก 41% คาดว่าเหลือ 19% และตลาดระดับกลางจาก 27% คาดว่าเพิ่มเป็น 35%นิยามแต่ละตลาด ซิตี้คอนโด ราคาต่ำกว่า 7.5 หมื่น/ตารางเมตร, ตลาดระดับกลาง 7.5-1 แสน/ตารางเมตร, ไฮเอนด์ 1-1.9 แสน/ตารางเมตร, ลักเซอรี่ 2-2.9 แสน/ตารางเมตร และซูเปอร์ลักเซอรี่ ราคา 2.9 แสนบาทขึ้นไป

แบงก์ชาติสกัดฟองสบู่

เทรนด์การปรับตัวของดีเวลอปเปอร์อาจพัฒนาโครงการใหญ่เพื่อให้มีเทอมการผ่อนดาวน์ยาวขึ้น ส่วนตลาดบ้านแนวราบน่าจะกระทบโมเดลธุรกิจบ้านสร้างก่อนขาย (ซื้อเร็วโอนเร็ว) ซึ่งได้เห็นแล้วว่ามีหลายบริษัทจะปรับมาทำบ้านสั่งสร้างมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ามีเวลายืดเงินดาวน์มองภาพรวม ๆ จะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น คนซื้อเพื่ออยู่จริงมากขึ้น โดยไม่ขอแตะการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป และตลาดโลกโดยเฉพาะเทรดวอร์น่าจะมีผลต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในเมืองไทย

ตลาดจีนจะแผ่วลงไหม

นักลงทุนต่างชาติต้องแบ่ง 2 กลุ่ม คือ ผู้ประกอบการ กับผู้ซื้อ ในปี”61 ที่คาดการณ์ว่ามีคอนโดฯเปิดใหม่ 60,900 หน่วย จาก 138 โครงการ มี 26% เป็นสัดส่วนของโครงการร่วมทุนต่างชาติหรือจอยต์เวนเจอร์ แบ่งเป็นญี่ปุ่น 20% จีน 6% รวม 15,820 หน่วย แนวโน้มปีหน้าเชื่อว่าไม่ได้ลดลง โดยญี่ปุ่นใกล้เคียงเดิม ขณะที่จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ลงทุนเพิ่ม ทำให้สัดส่วนเป็น 10% อยู่ที่ 17,000 หน่วย

อีกกลุ่มเป็นนักลงทุนต่างชาติรายย่อย กระแสที่พูดถึงกันมากในช่วง 6 เดือนหลังของปี”61 มองนักลงทุนย่อยทั้งปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองหลัก ล่าสุดเรามองหาลูกค้าจากเมืองรองอย่างเฉิงตู ยูนนาน กว่างโจว ฯลฯ เป็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น คาดว่าสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะนักลงทุนย่อยจากฮ่องกง พื้นที่ใช้สอย 11 ตารางเมตร ราคา 12 ล้านบาท เทียบกับเมืองไทยยังไม่พบราคาสูงขนาดนั้น เขาซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 ได้ คิดว่าลูกค้าจีนไม่ได้ลดลง ส่วนที่ซื้อแล้วเรื่องรับโอนก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเขามีวิธีการส่งเงินมาโอนในไทยได้

ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีตลาดใหม่ที่น่าสนใจ คือ CLMV 4 ประเทศ (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มีกำลังซื้อที่มีฐานใหญ่มาก และยังไม่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดฯเมืองไทยมากนัก

ราคาคอนโดฯจะแพงขึ้น ?

ในด้านราคาเน็กซัสฯมองว่าปรับตัวสูงขึ้นในอัตราชะลอตัวลง ทำเลกลางเมืองไม่เกิน 10% ต่อปี ภาพรวมอยู่ที่ 6-7% ในช่วง 3 ปีหน้า แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่ดี

รวมทั้งทำเล จุดโฟกัสย่านใจกลางเมืองยังมีดีมานด์สูง หลายคอนโดฯซูเปอร์ลักเซอรี่จะปรับราคาสูงขึ้นไปอีก โซนฮิตอย่าง “ทองหล่อ” ภาพลวงตาที่คนเข้าใจว่าต้องพีกมาก คำถามคือราคาควรปรับตัวขึ้นไปสูงแค่ไหน 3-4 แสนบาท/ตารางเมตรหรือไม่ โดยต้นซอยขาย 3.8-4 แสนบาท ปลายซอยขาย 1.5 แสนบาท/ตารางเมตร เพราะฉะนั้น การซื้อปีนี้ต้องมองด้วยว่าราคาไหนเหมาะสม สมควรซื้อไว้เพื่อรอราคาเติบโตได้

ทำเล “รัชดาฯ” แหล่งนักลงทุนต่างชาติโควตา 49% ก็ยังถือว่าเป็นยอดขายส่วนใหญ่อยู่ดี และควรมองด้านบริการ การขายต่อ และการเช่า, ทำเล “ริมน้ำเจ้าพระยา” จากกระแสไอคอนสยามที่เปิดตัวปลายปี 2561 ทำให้ทำเลย่านเจริญนครคึกคัก โดยราคาที่ดินขยับสูงล่วงหน้าแล้ว เทรนด์ปีหน้าต้องดูว่าราคาที่ดินจะเป็นยังไง

สุดท้ายทำเล “ติวานนท์” ที่มีรถไฟฟ้าสายสีม่วง ต้องบอกว่าสำหรับผู้ซื้อระยะยาวจะได้ของราคาดี เพราะซัพพลายเกิดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา บนต้นทุนเดิมซึ่งหาไม่ได้แล้วจากทำเลเกิดใหม่ในปี”62

ตลาดออฟฟิศบิลดิ้งเป็นยังไง

ปัจจุบันมีพื้นที่สำนักงานให้เช่า 4.1 ล้านตารางเมตร มีอัตราการเช่า 96% ปีหน้าจะเพิ่มซัพพลายอีก 2 แสนตารางเมตรจากโครงการสามย่านมิตรทาวน์ สินธรวิลเลจ วัน แบงค็อก ฟอเรสเทียส์ โฟกัสเกรดเอกับพรีเมี่ยมมีค่าเช่าดีมาก 1,000 บาท/ตารางเมตรบวกลบ เฉลี่ยอยู่ที่ 900 บาท/ตารางเมตร ในขณะที่อีก 5 ปีข้างหน้ามีซัพพลายใหม่เข้ามาเติมรวม 1 ล้านตารางเมตร

โดยโซนออฟฟิศบิลดิ้งเริ่มกระจายตัวจากเดิมอยู่ย่านสีลม สาทร พระราม 4 ถนนวิทยุ เพลินจิต เทรนด์มีการขยับทำเลออกไปโซนพระราม 9 อโศก-รัชดาฯ-สุขุมวิท และพหลโยธิน ถือเป็นช่วงธุรกิจขาขึ้น

จบจากเน็กซัสฯอีกฟากเป็นของ “พนม@ไนท์แฟรงค์” มองผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563 ตลอดจนเทรนด์ดาวรุ่งปี 2562

ผลกระทบจากภาษีที่ดินฯ

ภาษีที่ดินฯ หรือ property tax ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเกษตรกรกับพื้นที่เช่ามีการจ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว แต่ผลกระทบมีบ้างในกลุ่มคนที่ไม่เคยเสียภาษี เช่น เจ้าของบ้านแพง ราคาหลังละ 100 ล้านบาท จากเดิมไม่เคยเสียภาษีจะต้องเสียภาษี ในขณะที่เจ้าของบ้านระดับชาวบ้านทั่วไป ได้รับการยกเว้นจึงไม่ต้องวิตกกังวล

ส่วนเจ้าของอพาร์ตเมนต์ โรงแรม เดิมก็จ่ายภาษีโรงเรือนอยู่แล้ว ข้อกังวลคือภาระภาษีสูงกว่าที่เคยจ่าย ไม่ว่าจะเป็นราคาประเมินของทางราชการ, อัตราภาษีของท้องถิ่นแต่ละแห่งเรียกเก็บซึ่งอาจไม่เท่ากัน จึงตอบค่อนข้างยากถึงผลกระทบว่าจะมากหรือน้อย

ภาระภาษีในอนาคต ไม่ได้สนใจว่าทำธุรกิจเก่งหรือไม่ แต่ถ้ามีต้นทุนของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเรียกเก็บตามราคาประเมิน กลุ่มที่กระทบหนักคือคนที่ทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ, อีกกลุ่มคือกระทบคนมีบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป แต่ภาระภาษีตกล้านละ 300-600-1,000 บาทต่อปี ที่จะมีข้อถกเถียงกันมากในเรื่องการประเมินภาษี ซึ่งทำโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่น เช่น ที่ดินเกษตรกรรมตีความอย่างไร สามารถปลูกกล้วย 20 ต้นเพื่อแจ้งเป็นที่ดินเกษตรกรรมได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน ลูกค้าซื้อลงทุน สมมุติเราซื้อคอนโดฯ 5 ล้าน ปล่อยเช่าเดือนละ 1.5 หมื่น หักลบแล้วเป็นรายได้ปีละ 1.2 แสน เสียภาษีปีละ 2,000 บาท ผมว่ารับได้นะ

แต่กลุ่มรับผลกระทบมากสุดคือที่ดินเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คนที่ถือครองที่ดินจำนวนมาก เช่น เจ้าสัวเจริญมีอยู่หลายแสนไร่น่าจะกระทบมากกว่า (ยิ้ม) ส่วนการซื้ออสังหาฯราคา 5-10 ล้านบาท ยังมองว่าไม่ได้มีค่าใช้จ่ายภาษีจนถึงกับเป็นภาระต่อผู้ถือครองทรัพย์สินแต่อย่างใด

พอร์ตรายได้ไนท์แฟรงค์

ดีลซื้อขายที่ดินแต่ละปีทำไม่เยอะ รวม ๆ สัก 1,000 ล้าน ทำเพราะทีมสามารถทำได้แค่นั้น (หัวเราะ) พอร์ตที่เราทำเยอะคืออินดัสเทรียลปีละ 400,000 ตารางเมตร, ที่อยู่อาศัยน่าจะทำสัก 2,000 ยูนิต

รายได้หลักมาจากหลายส่วน ทำพร็อพเพอร์ตี้แมเนจเมนต์ 20% พื้นที่อุตสาหกรรม 20% ที่อยู่อาศัย 20-28% ประเมินราคาทรัพย์สิน 12% คอมเมอร์เชียล 10% กับภูเก็ตอีก 10% นับเป็นพาร์ตหนึ่งของกลุ่ม มีวิลล่าทั้งขายเช่าและทำพร็อพเพอร์ตี้แมเนจเมนต์หรือบริหารอาคารถามว่าวงการโบรกเกอร์อสังหาฯปี”62 แข่งขันกันยังไง แต่ละคนมีจุดอ่อนจุดแข็งแตกต่างกัน เอเยนซี่ทั้งวงการเราเป็นผู้นำอินดัสเทรียลมาร์เก็ต โรงงาน แวร์เฮาส์ โปรดักต์เราเยอะสุด ต้องบอกว่าปีหน้าเชื่อว่ายังไปได้ดี การแข่งขันคู่แข่งไม่ได้เป็นปัญหา

โครงการที่อยู่อาศัยมีโครงการที่เรารับบริหารงานขาย ปีนี้ดีลแล้ว 4 โครงการ อยู่ระหว่างเจรจาอีก 3-4 โครงการ เฉลี่ยมูลค่าโครงการ 1,500-2,000 ล้าน มีทั้งผู้ประกอบการหน้าใหม่ บางรายก็หน้าเก่า รวมต่อปีมีโปรเจ็กต์ on going 20,000 ล้านบาท

EEC ปลุกกระแสลงทุน ?

นโยบายโปรโมตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก-EEC ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราเห็นแต่ข่าวยังไม่มีการลงทุนเป็นรูปธรรมลงไป ทั้งที่เป็นโครงการที่ดีมาก ช่วยกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจประเทศ โดยอยู่ใน 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา มีทั้งการลงทุนพัฒนาท่าเรือ ขยายสนามบิน รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา” มีการเตรียมขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.อีอีซีเพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อกลางปี 2561 ที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบด้านแรงงานในพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว แต่มีผลดีในด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้น มีแนวโน้มการลงทุนอุตสาหกรรมมากขึ้น

สำหรับภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยยังไม่เห็นผลกระทบด้านบวกที่ชัดเจนจนกว่าจะมีการลงทุนที่แท้จริงเกิดขึ้น ซึ่งแผนลงทุนทั้งรัฐและเอกชนยังอยู่ในกระดาษไม่ว่าจะเป็นบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม, บริษัทการบินไทย ฯลฯ

เราไม่มีเรือธงในเชิงตัวไดรฟ์ด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการลงทุน ผมมั่นใจว่ารัฐบาลอยากทำให้เร็ว แต่ระบบระเบียบทำให้ล่าช้า ไม่สามารถทำได้เร็วทันใจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับต่างชาติพร็อพเพอร์ตี้ในเมืองไทยยังสามารถซื้อได้ ยังเชื่อว่ามีคนซื้ออยู่ ลงทุนได้ earning return ปล่อยเช่ามีผลตอบแทน 4-5% ถือว่ารับได้ มีแคปิตอลเกนราคาขึ้นปีละ 5-7% รวมกันแล้วเท่ากับได้ปีละ 9-10% ต่อปี ถือว่าดีกว่าลงทุนในบ้านเขา

ลูกค้าต่างชาติซื้อในบ้านเราหลายปีแล้ว แต่จีนเพิ่งเข้า 3-4 ปีก็เลยดูเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่เพราะจีนซื้อเยอะสุด

วอลุ่มมากขึ้น ในขณะที่เทรนด์ปีหน้า (ลูกค้า) ประเทศอื่นยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้ซื้อเยอะเหมือนจีน ยังมีทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ

นิยามการทำธุรกิจปีกุน

ต้องพูดตั้งแต่เซ็กเมนต์บายโปรเจ็กต์ เรซิเดนเชียลต้องระมัดระวังในมุมดีเวลอปเปอร์ แต่คนทำออฟฟิศบิลดิ้งอินดัสเทรียลต้องบอกว่า 2562 เป็นปีที่ดี

เซ็กเมนต์อื่นที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มสดใส โดยเฉพาะตลาดอุตสหกรรม ถามใครยังบอกว่าเป็นปีที่โอกาสทางธุรกิจจรัสเจิดจ้ามาแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก  prachachat.net


ส่องเทรนด์อสังหาเช่า รับมือซัพพลายพุ่ง

ส่องเทรนด์อสังหาเช่า รับมือซัพพลายพุ่ง

ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างหันมาลงทุนอสังหาฯเพื่อเช่าเพิ่มขึ้น หลังมีความต้องการใช้พื้นที่มากขึ้น

***************************

โดย…อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

อสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ระยะยาวอย่างอาคารสำนักงานได้รับความสนใจของดีเวลอปเปอร์ โดยเฉพาะบิ๊กเนมต่างหันมาลงทุนอสังหาฯ เพื่อเช่าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) หรือราว 25% ของพื้นที่ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันตามแผนพัฒนาโปรเจกต์ของภาคเอกชน

ธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ เปิดเผยว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอและเกรดบีในกรุงเทพฯ ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะซัพพลายน้อยแต่ความต้องการใช้พื้นที่มีเพิ่มขึ้นโดยปัจจุบันมีพื้นที่ราว 4.1 ล้าน ตร.ม.

ขณะที่อัตราการเช่ามีการปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งในปี 2561 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800 บาท/ตร.ม./เดือน โดยแนวโน้มอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 2564) คาดราคาเฉลี่ยอยู่ที่ราว 900 บาท/ตร.ม./เดือน ยกเว้นอาคารสำนักงานเกรดเอที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) ที่ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 1,000 บาท/ตร.ม./เดือน ปัจจุบันมีเห็นแล้วเช่น อาคารเกษร ทาวเวอร์ และปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ที่ค่าเช่าได้สูงถึง 1,500 บาท/ตร.ม. เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ใหม่อาจส่งผลให้มีอัตราว่างสูงขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า โดยจะมีอัตราว่างของพื้นที่ราว 10% จากขณะนี้มีเพียง 4-5% แต่ทว่าตัวเลขยังไม่น่าห่วงถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อเทียบกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก

สำหรับเทรนด์ตลาดพื้นที่เช่านั้นจะเห็นรูปแบบโคเวิร์กกิ้งสเปซเพิ่มขึ้น รวมทั้งสำนักงานพร้อมบริการที่กำลังได้รับความนิยม นอกจากนี้โครงการมิกซ์ยูสจะเป็นตัวแปรที่สำคัญเพราะมีการใช้ประโยชน์อาคารที่หลากหลาย ซึ่งอาคารสำนักงานใหม่ๆ ก็ได้รับความสนใจจากผู้เช่าเป็นอย่างมาก

ด้าน มาร์คัส เบอร์เทนซอร์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้า บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความต้องการในตลาดอาคารสำนักงานและพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจของบริษัททั้งในประเทศและต่างชาติ ปัจจุบันอาคารสำนักงานทุกเกรดในกรุงเทพฯ มีพื้นที่รวมเกือบ 5 ล้าน ตร.ม. ซึ่งในปี 2562 จะมีซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 1.9 แสน ตร.ม. โดยโครงการส่วนใหญ่จะตั้งอยู่นอกซีบีดี

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของโครงข่ายคมนาคมทำให้เกิดพื้นที่ใหม่ๆ มีการขยายศูนย์ธุรกิจออกไป ซึ่งไม่ใช่แค่ความต้องการที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงานเท่านั้น แต่ยังมีความต้องการพื้นที่เช่าประเภทอื่นๆ เช่น แวร์เฮาส์ คลังสินค้า ฯลฯ ซึ่งเป็นโอกาสของดีเวลอปเปอร์ที่จะพัฒนาสินค้าให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภครวมถึงธุรกิจขนาดย่อม

อย่างไรก็ดี จากนี้การแข่งขันในตลาดอาคารให้เช่าในกรุงเทพฯ ยังคงดุเดือด ทั้งนี้อาจส่งผลให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจำนวนซัพพลายใหม่ที่มากขึ้นในตลาด ซึ่งผู้เช่ามีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้นอาจช่วยชะลอการปรับอัตราค่าเช่าลงได้ ขณะที่อาคารเก่าต้องหาทางรับมือกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้เช่าที่มีทางเลือกมากขึ้นเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


วิธีคำนวณ ค่าออกแบบ จาก สถาปนิก

ไม่ว่าจะเป็นงานอสังหาริมทรัพย์หรือการก่อสร้างที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลทั่วไป ล้วนต้องเกี่ยวพันกับอาชีพนักออกแบบอย่าง สถาปนิก อย่างแน่นอน ซึ่งกว่าจะได้ออกมาเป็นอาคารสักหนึ่งหลัง สถาปนิกจะต้องดูความเหมาะสมของการออกแบบ โดยพิจารณาจากความต้องการของผู้ว่าจ้าง แปรรูปออกมาเป็นอาคาร โดยผ่านการวิเคราะห์พื้นที่ สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ เลือกใช้วัสดุ ควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย และผนวกความคิดสร้างสรรค์เพื่อความสวยงาม  ซึ่งกระบวนการที่เหมือนจะยุ่งยากและใช้เวลานี้ ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าจำเป็นจะต้องว่าจ้างสถาปนิกหรือไม่ และหากว่าจ้างควรจะมีการคิดค่าบริการเท่าไร โดยในบทความนี้ TerraBKK Research จะขอพูดถึงการคำนวณค่าออกแบบจากสถาปนิกในการออกแบบอาคารประเภทต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา

การคิดค่าบริการออกแบบอาคารของ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กำหนดมาตรฐานการคิดค่าออกแบบเบื้องต้นไว้ตามประเภทอาคารและมูลค่าการก่อสร้าง ดังนี้

ค่าออกแบบ สถาปนิก

วิธีคะเนราคาบ้านง่ายๆ สมมติว่าต้องการสร้างบ้านขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถคำนวณจากขนาดพื้นที่ใช้สอยได้ อย่างเช่น บ้านมีขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 200 ตารางเมตร ค่าก่อสร้างโดยเบื้องต้นคร่าวๆ ประมาณ 10,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาค่าก่อสร้างทั้งหมดของบ้านหลังนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท ค่าบริการออกแบบของสถาปนิกคิดเป็น 7.5% ของค่าก่อสร้าง หรือประมาณ 150,000 บาท

แต่หากเป็นอาคารที่มีค่าก่อสร้างราคาเกิน 10 ล้านบาท เงื่อนไขการคิดค่าออกแบบจะแตกต่างออกไป อย่างเช่น ค่าก่อสร้างอาคาราคาประมาณ 15 ล้านบาท ค่าบริการออกแบบจะมีวิธีการคิดคือ ค่าบริการออกแบบ 10 ล้านแรก คิดเป็น 7.5% = 750,000 บาท / ค่าบริการออกแบบ 5 ล้านต่อมา คิดเป็น 6% = 300,000 บาท รวมค่าบริการออกแบบทั้งสิ้น 1,050,000 บาท เป็นต้น

ค่าบริการออกแบบควรครอบคลุมอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้วค่าบริการออกแบบ จะครอบคลุมไปถึง ค่าวิศวกร ค่าคำนวณแบบ โครงสร้าง ค่าเขียนแบบ และค่าวิชาชีพ โดยระยะเวลาในการบริการจะเริ่มตั้งแต่ การเขียนแบบ การเตรียมเอกสารในการยื่นขออนุญาติก่อสร้าง การเซ็นต์แบบก่อสร้างที่ต้องเซ็นต์ร่วมกันระหว่างวิศวกรและสถาปนิก การหาผู้รับเหมาก่อสร้าง การควบคุมงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ และกระบวนการอื่นๆจนหว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ หรือจนกว่าจะย้ายเข้า

สัดส่วนการแบ่งค่าบริการออกแบบระหว่างสถาปนิกและวิศวกร ตามมาตรฐานของ  สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดการคิดค่าออกแบบไว้ดังต่อไปนี้

  • เมื่อรับเงินมา สามารถหักค่าใช้จ่ายด้านค่าประสานงาน (ไม่เกิน 10%) และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ (ไม่เกิน 15%) ออกก่อนได้
  • เมื่อหักจ่ายเบื้องต้นแล้ว จะมีการแบ่งสัดส่วนระหว่างสถาปนิกและวิศวกร โดยแยกตามประเภทของโครงการ เป็น 4 ประเภท ดังนี้

ค่าออกแบบ สถาปนิก

อัตราการคิดค่าบริการจากส่วนต่างๆ

  • บริษัทสถาปนิกเอกชน ทั่วไปแล้วจะอ้างอิงการคิดค่าบริการออกแบบตามมาตรฐานของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของราคาก่อสร้าง ใช้เวลาออกแบบและเขียนแบบพิมพ์เขียวประมาณ 3-4 เดือน
  • สถาปนิกอิสระ ค่าบริการจะใกล้เคียงตามมาตรฐานของสมาคมสถาปนิกสยามฯ แต่การปรับราคานั้นจะอ้างอิงเพิ่มเติมจากประสบการณ์หรือปริมาณงาน ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 2.5-7.5% ของราคาก่อสร้าง ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน
  • เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาของสำนักงานเขต คิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายหรือต่ำกว่ามาตรฐานของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ที่ประมาณ 2-5% ของราค่าก่อสร้าง
  • แบบพิมพ์เขียวสำเร็จรูป เป็นแบบที่บริษัทสถาปนิกเอกชนเขียนไว้แล้ว มักจะมีราคาต่ำกว่าแบบอาคารที่เขียนขึ้นมาใหม่ และอาจจะมีข้อจำกัดที่ไม่ตรงความต้องการของผู้ประกอบการทั้ง 100% แต่ข้อดีคือสามารถนำไปใช้งานได้ทันที — เทอร์ร่า บีเคเค

ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com


ความสุขคนไทย 2562

ความสุขคนไทย 2562

เรื่อง ผศ.ดร.กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์, วันพรรษา อภิรัฐนานนท์  ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ปี 2562 เริ่มต้นขึ้น! สวัสดีคนไทย สวัสดีความสุข ความหวัง และสิ่งที่จะเกิดขึ้น โลกยุคดิจิทัลเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และยุคสมัยแห่งดิสรัปชั่น (Disruption) ยุคสมัยแห่งการปฏิรูปที่กำลังถาโถม ในทุกรูปแบบ ทุกวิถี ทุกความเป็นไป

พระราชปริยัติกวี ศ.ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ให้โอวาทชาวไทยว่า เรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ เราไปกำหนดกะเกณฑ์ไม่ได้ เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของไตรลักษณ์ ควรพิจารณาคือตัวเราเอง จิตใจของเราเอง ทั้งนี้ ให้หลักคิดในสองแนวทาง 1.หลักพระพุทธศาสนา 2.หลักวิชาชีวิต

สำหรับหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนา ยึดหลักปรมัตถธรรม ต้องเข้าใจหลักขันธ์ 5 กฎของธรรมชาติ กฎไตรลักษณ์ ต้องเข้าใจความจริงของชีวิต ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มีความเข้าใจต่อกระบวนการปฏิจจสมุปบาท การเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์

ขณะที่หลักวิชาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นยุคดิสรัปชั่นหรือยุคใดที่ผ่านมา ล้วนเป็นเรื่องของโลก ในฐานะผู้บริโภค ถ้าเรานิ่งให้เป็น ก็ไม่มีปัญหา แต่เพราะจิตเราไม่นิ่ง จึงวิ่งตามกระแสโลก แล้วเราก็ไล่ไม่ทัน ทั้งดิสรัปชั่นและดิสรัปทีฟ (Disruptive) กระหน่ำมา ที่เป็นของเดิมก็กลายเป็นของใหม่ ที่กระจัดกระจายก็กลายเป็นยุ่งเหยิง จึงต้องเข้าใจ ต้องดูแลจิตให้เข้มแข็ง การเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร มีเจริญมีเสื่อม จะเปลี่ยนไปอย่างไร อีกไม่นานก็วนกลับมาอีก

“จะอยู่ในยุคดิสรัปชั่น โซไซตี้ (Disruption Society) หรือจะอยู่ในยุคใดก็ตาม ถ้าเรากำหนดตัวเองให้เป็นเพียงผู้สังเกต เป็นเพียงผู้เฝ้าดูปรากฏการณ์ นั่นจะทำให้อยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเราเป็นผู้เล่น เราก็เป็นผู้เดือดร้อน เป็นผู้ดิ้นรน เป็นผู้ถูกพลัดไปในกระแสโลก”

อธิการบดี มจร กล่าวถึงหลักธรรมโลกยุคดิจิทัล ที่ชาวพุทธสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดสุข อันดับแรกคือการปรับท่าทีต่อปัญหา ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขอให้มองเป็นธรรมดาโลก ต้องฝึกให้มีความคิดเชิงบวก มองโลกในแง่ดี ทุกข์มากทุกข์น้อย เป็นแค่ความรู้สึก พยายามทำจิตให้สบาย หาวิธีแก้ปัญหา ทำความเห็นให้ตรง จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น

อันดับสอง ขอให้ทำคุณงามความดี รักษาศีลให้ได้ทุกขณะจิต คฤหัสถ์ต้องมีกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง ปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้เป็นกุศลเจตนาอย่างต่อเนื่อง อันดับสาม ทำทุกอย่างให้เป็นบุญ เช่น การทำงานก็ถือเป็นบุญ เพราะทำงานให้ดีตามหน้าที่ สอนหนังสือก็เป็นธรรมเทศนามัย ทำทุกอย่างให้เป็นบุญ มองทุกอย่างให้เป็นบุญ จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น

หลักธรรมประการสุดท้าย ได้แก่ การผูกมิตรไมตรีกับกับทุกคน มีงานวิจัยว่าคนที่มีความสุขคือ คนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น การผูกมิตรขอให้มีเมตตาเป็นที่ตั้ง มีเมตตาเป็นธง ฝึกให้มีความเมตตาทั้งต่อคนที่ไม่ชอบและคนที่ชอบ ทั้งหมดนี้คือหลักปฏิบัติสำหรับชาวพุทธในทุกยุคสมัย

ขอพรปีใหม่สำหรับคนไทย 2562 อธิการบดี มจร กล่าวให้พรว่า ขอให้หลักการดำเนินชีวิตเป็นการเสริมสร้างพรให้กับตัวทุกท่านเอง โดยอันดับหนึ่งขอพรจากปูชนียบุคคล มีพ่อแม่ครูอาจารย์ ระลึกถึงความดีของผู้มีพระคุณ อันดับสองขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอันดับสามซึ่งสำคัญที่สุด คือ การทำความดีให้เป็นพรแห่งตน

พระราชปริยัติมุนี รศ.ดร. (เทียบ สิริญาโณ) คณบดีคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวว่า อยากจะมีความสุข ก็ต้องใช้สติ ในคำว่า สติ ครอบคลุมถึงคำว่า สติปัญญาและสติสัมปชัญญะ

“มีสติเป็นตัวรู้ เราแก้ปัญหาชีวิตได้ อาศัยตัวสติ ที่จะก่อให้เกิดปัญญาในการดำเนินชีวิต”

สำหรับหลักธรรมนำความสุข คือ การคิดจะให้ การให้เป็นพลังยิ่งใหญ่ จิตที่คิดจะให้ ใจจะสบาย มีความสุขมากกว่าจิตคิดจะเอา ถ้าเราคิดเสียสละ เราจะมีความสุขยิ่งขึ้น นอกจากนั้นก็ต้องรู้จักกตัญญูต่อสังขารตัวเอง ต้องรู้จักดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ดังพุทธพจน์ที่ว่า การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ได้มีโอกาสทำความดี ความมีสุขภาพดีจึงทำให้เรามีพลังความดี ที่จะทำประโยชน์ได้มาก

หลักธรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การมีเมตตาต่อผู้อื่น ดังสุภาษิตที่ว่า “จิตเหมือนปลา เมตตาเหมือนน้ำ จิตไร้เมตตา เหมือนปลาที่ขาดน้ำ” เราต้องมีกัลยาณมิตรที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน และไม่เบียดเบียนกันในสังคม มีพลังเมตตา ทำให้เกิดความสุขในตนเองและสังคมได้

พระมงคลธีรคุณ ดร. (อินศร จินฺตาปญฺโญ) รองเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน กล่าวถึงการดำเนินชีวิตให้มีความสุขในบริบทพุทธธรรมว่า มนุษย์มีการติดต่อกับโลกภายนอกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงทำให้ตาได้เห็นรูป หูได้ฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และใจรับธรรมารมณ์ (อารมณ์ทางใจ) เมื่อรับรู้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าชอบ-ไม่ชอบ หรือเฉยๆ หากมนุษย์รับรู้โลกภายนอกแล้วอยู่ในระดับความรู้สึกเช่นนี้ ถือว่าไม่ปลอดภัยหรือไม่พัฒนา

กรณีโน้มใจไปในทางที่ชอบ พอใจ ติดใจ เป็นต้น ก็จะเกิดทุกข์ มีปัญหาตามมา ควรที่จะก้าวข้ามจากความรู้สึกนี้ไป ทำในใจว่า เราจะได้เรียนรู้อะไร ตั้งท่าทีไว้ในใจว่า ฉันจะได้เรียนรู้อะไร ซึ่งเป็นขั้นของการใช้ปัญญาเข้ามามีบทบาทสำคัญว่า แต่ละเรื่องที่เข้ามาไม่ว่า ทางตา หู จมูก เป็นต้นนั้น เราได้เรียนรู้อะไร เพียรพยายามในการมองหาความจริงของสิ่งนั้น และมองหาประโยชน์จากสิ่งนั้นให้ได้

เมื่อเราได้ใช้ปัญญามองหาความจริง และมองหาประโยชน์เช่นนี้ เราจะได้ตลอด คือ ได้ปัญญา ได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ ทุกข์หรือปัญหาก็จะเบาบางหรือหมดไปได้ ในยุคสมัยนี้ โลกมีสิ่งที่จูงใจ เร้าใจให้เราหลงไปตามกระแสนั้นมีมาก เราจะใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับสิ่งล่อเร้าเย้ายวนนี้มาก จะมีสิ่งใดที่จะนำพาให้เราออกจากจุดนี้ได้ ก็คือ ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ

“ความรู้ตัว ทำในใจว่า เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่า จะน้อยหรือมาก ก็ควรให้ได้อะไรบ้าง ได้งานได้การ ได้บุญกุศล ได้เกิดปัญญา แล้วชีวิตของเราก็จะก้าวไปในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป”

การดำเนินชีวิต ควรใช้ปัญญาในอันที่จะคิดแก้ไข ปรับเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยที่ดีที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่ผลที่พึงประสงค์ได้ ดังมีคำของนักปราชญ์กล่าวว่า “ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เป็นผู้ประเสริฐสุด” เป็นการดำเนินชีวิตที่รู้จักคิด รู้จักพิจารณา หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะก่อให้เกิดทุกข์และปัญหา แต่ไม่พลาดโอกาสที่จะทำในสิ่งที่จะนำไปสู่ความสุขความเจริญงอกงามที่ดี ตระหนักถึงสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ควรละเว้น

ในการดำเนินชีวิตนั้น สิ่งที่ควรใส่ใจมี 3 ด้าน คือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา ด้านพฤติกรรม จะต้องควบคุมด้วยศีล คือการสำรวมระวังทางกายและวาจา เป็นการระงับยับยั้งการกระทำทางกายและวาจา มิให้ไปทำหรือพูดให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย ให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเกื้อกูล มีมิตรไมตรีต่อกัน

ด้านจิตใจ มีการฝึกฝนอบรมตนให้เกิดสมาธิ ส่งผลให้มีความสุข สงบ เบิกบานด้วยดี มีความร่าเริงแจ่มใส ไม่มีความขุ่นมัวในใจและด้านปัญญา มีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจน จะทำอะไรก็รู้ทะลุปรุโปร่งไป และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น

“ยิ่งในยุค Disruption ท่ามกลางเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม การเมืองในปี 2562 ด้วยแล้ว จะต้องมีปัญญาที่สูงส่ง จึงจะอยู่รอดปลอดภัย และอยู่ได้อย่างสง่างาม”

แน่นอนว่าการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ จะต้องประสบทั้งทุกข์และสุข ซึ่งในการปฏิบัติตนต่อทุกข์และสุข สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ให้แนวทางไว้ว่า 1.ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ 2.ไม่ละทิ้งสุขที่ชอบธรรม 3.ถึงได้สุขที่ชอบธรรมก็ไม่สยบ 4.เพียรเข้าถึงสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไป

เห็นได้ว่า ความสุขในทางพระพุทธศาสนานั้นมีหลายระดับ สุขจากการพึ่งพา ต้องขึ้นตรงต่อสิ่งภายนอกที่มาบำรุงบำเรอปรนเปรอให้ตนมีความสุข เมื่อพัฒนาไปเรื่อยๆ จะมีความเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาต่อวัตถุภายนอก ลำพังตัวเองก็มีความสุข ซึ่งก่อนจะถึงจุดนั้นได้จะต้องมีกระบวนการฝึกตนตามลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตามหลักการที่พระพุทธองค์ได้ประทานพระโอวาทแก่พระปุณณสุราปรันตะ ในปุณณสูตรว่า

“ดูกรปุณณะ มีรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ พัวพันรูปนั้น ความเพลินก็เกิดขึ้น เพราะความเพลินเกิดขึ้น ทุกข์จึงเกิด ฯลฯ

ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย

มีธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ พัวพันธรรมารมณ์นั้น ความเพลินก็เกิดขึ้น เพราะความเพลินเกิดขึ้น ทุกข์จึงเกิดฯ

ดูกรปุณณะ รูปทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันรูปนั้น ความเพลินก็ดับไป เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ ฯลฯ

ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย

มีธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เมื่อภิกษุนั้นไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น ความเพลินก็ดับไป เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ

ดูกรปุณณะ ด้วยประการฉะนี้ เธอนั้นจึงไม่ห่างไกลจากธรรมวินัยนี้”

เห็นได้ว่า วิถีการดำเนินชีวิตในบริบทของพุทธธรรมนั้น สามารถจะอยู่ได้ อยู่รอด และมีความสุขความร่าเริงเบิกบานใจ ในทุกยุคทุกสถานการณ์ ถึงอยู่ในโลกก็ไม่ติดโลก พร้อมทั้งมีใจที่ได้รับการฝึกให้อยู่เหนือโลกธรรมทั้งปวง ชีวิตที่เหลือจากนั้นก็อยู่เพื่อมวลหมู่มนุษยชาติให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด ตามหลักการที่ว่า อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


สูตรคำนวณปริมาณน้ำ ที่สูญเสียไปขณะออกกำลังกาย

น้ำ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้ว หรือ 1.5-2 ลิตร เพื่อให้เพียงพอต่อการชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไป และถ้าเป็นช่วงที่ทำกิจกรรมบางอย่างที่สูญเสียเหงื่อมากขึ้น อย่างการออกกำลังกาย หรือการใช้แรงงาน ยิ่งต้องชดเชยน้ำมากขึ้นกว่าปกติ

อ.ดร.กภ.จุฑามาศ สุระพงษ์ชัย คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ขณะออกกำลังกายร่างกายจะมีการหลั่งเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อนภายในร่างกาย ดังนั้น ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ การดื่มน้ำเพื่อทดแทนปริมาณน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปจึงเป็นเรื่องสำคัญและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดน้ำ

การเริ่มมีภาวะขาดน้ำจะพบเมื่อน้ำหนักตัวหลังจากการออกกำลังกายลดลงมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวก่อนออกกำลังกาย ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลง หัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตต้องทำงานหนักขึ้น ความสามารถในการระบายความร้อนลดลง การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้สมรรถภาพของการออกกำลังกายลดลง

ในวันที่เราออกกำลังกายเราควรดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ?

อ.ดร.กภ.จุฑามาศอธิบายว่า วิธีการตรวจสอบปริมาณการสูญเสียน้ำในร่างกายขณะที่ออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดคือ การชั่งน้ำหนักตัวก่อนและหลังออกกำลังกาย บวกลบกับปริมาณน้ำที่ดื่มและปริมาณของเสียที่ขับถ่ายออกจากร่างกายขณะออกกำลังกาย หารด้วยระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะได้อัตราการเสียเหงื่อตามสูตรดังต่อไปนี้

อัตราการเสียเหงื่อ = (น้ำหนักตัวก่อนออกกำลังกาย (กิโลกรัม) – น้ำหนัก

ตัวหลังออกกำลังกาย (กิโลกรัม) + ปริมาณน้ำดื่มขณะออกกำลังกาย (ลิตร) – ปริมาณปัสสาวะ (ลิตร))/ระยะเวลาที่ออกกำลังกาย (ชั่วโมง)

ตัวอย่างเช่น ผู้ชายคนนึงน้ำหนักตัวก่อนออกกำลังกาย 70 กิโลกรัม ออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง น้ำหนักตัวหลังออกกำลังกาย 69 กิโลกรัม ดื่มน้ำระหว่างออกกำลังกาย 0.5 ลิตร และไม่ได้ปัสสาวะขณะออกกำลังกาย

อัตราการเสียเหงื่อ = (70-69+0.5-0)/1 = 1.5 ลิตรต่อชั่วโมง

ผู้ชายคนนี้สูญเสียน้ำในร่างกาย 1.5 ลิตร คิดเป็น 2.14% ของน้ำหนักตัวก่อนออกกำลังกาย แสดงว่าชายผู้นี้เริ่มจะมีภาวะขาดน้ำ แล้วเขาควรทำอย่างไร ?

– หลังการออกกำลังกายภายใน 2 ชั่วโมง ควรทดแทนปริมาณน้ำที่สูญเสียไป 1.25-1.5 เท่าของปริมาณน้ำที่สูญเสียไปเพื่อช่วยให้การฟื้นฟูร่างกายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้ชายคนนี้ควรจะทยอยดื่มน้ำให้ได้ปริมาณ 1.875-2.25 ลิตร

– เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ ก่อนออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาประมาณ 60-90 นาที เด็กควรดื่มน้ำอย่างน้อย 400 มิลลิลิตร และผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-700 มิลลิลิตร และควรจะมีเวลาในการพักดื่มน้ำทุก ๆ 15-20 นาที แม้ว่าคุณจะยังไม่รู้สึกหิวน้ำก็ตาม

ศาสตร์และเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการวิ่งยังมีให้ศึกษาเรียนรู้อีกเยอะ หากนักวิ่งท่านใดสนใจอยากทราบเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนระหว่างและหลังการวิ่ง คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดโครงการอบรม “Sport Science รู้ก่อนวิ่ง” ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2562 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pt.mahidol.ac.th/conference/running

ขอบคุณข้อมูลจาก  prachachat.net


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 8/1/2562

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 19,550.00 19,450.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 20,050.00 19,101.60 1,260.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 19,798.96 1,306.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 17,191.44 1,134.00
ทองรูปพรรณ 80% n/a 15,281.28 1,008.00
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,595.72 567.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,685.56 441.00

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 8/1/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75 25.75
แก๊สโซฮอล์ 91 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48 25.48
แก๊สโซฮอล์ E20 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74
แก๊สโซฮอล์ E85 18.94 18.94 18.94
เบนซิน 95 33.16 33.61 33.66 33.46 33.46
ดีเซล 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79 24.79
ดีเซลพรีเมี่ยม 28.39 28.66 28.85 28.66 28.66
แก๊ส NGV 16.06 16.06
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า