สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 21 มกราคม 2562

ทิ้งดาวน์-รีเจ็กต์สูง! สัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจ-อสังหาฯ

ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างคึกคัก ผู้ประกอบการแห่เปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปี 2560-2561 มูลค่ารวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทะลุ 4 แสนล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี 3.9% และ 4.2% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน และปี 2562 นี้ ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีความกังวลอาจจะไม่ทะลุ 4% ผลพวงจากสงครามการค้าและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน

          ไม่เพียงแต่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่กระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้ยังมีปัจจัยมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นถึงการแข่งขันด้านนี้ค่อนข้างสูง จนเกิดความกังวลหนี้เอ็นพีแอลจะเพิ่มสูงขึ้น

          หลังผู้ประกอบการและผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้รับรู้ถึงปัจจัยลบที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ เกิดปฏิกิริยาที่ต่างกันไป ในแง่ผู้ประกอบการได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์จัดแคมเปญพิเศษออกมาเร่งการตัดสินใจของลูกค้า ด้านลูกค้าหรือผู้ซื้อที่อยากจะมีบ้านก็เตรียมพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะผ่านการพิจารณาของธนาคารกี่มากน้อย ซึ่งปีที่ผ่านมา ยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับ 25-30%

 

          ฟาก “สถาบันการเงิน” หรือ “ธนาคารพาณิชย์” ยังคงยืนกราน! ร่วมกับพันธะมิตรโครงการในการจัดแคมเปญกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง ทั้งแคมเปญใหม่ที่เหมาะสมและตรงใจกับลูกค้า และมีบางส่วนที่ผู้ประกอบการจะช่วยเหลือลูกค้าในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะไตรมาส 1 ของปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องเร่งการโอนตามระยะเวลาที่โครงการกำหนด และก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะบังคับใช้มาตรการแอลทีวี โดยในส่วนของธนาคารปรับกระบวนการพิจารณาเครดิตให้ลูกค้าที่รวดเร็วขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาคุณภาพของลูกค้าในทุกกลุ่มผ่านกลไกการพิจารณา รายได้ และภาระเครดิตในมิติเชิงลึกของลูกค้า เพื่อรักษาคุณภาพสินเชื่อให้ได้มาตรฐาน ขณะเดียวกัน “การดูแลเอ็นพีแอล” โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ใช้สินเชื่อโครงการ ธนาคารจะติดตามทั้งในแง่ให้ความช่วยเหลือและที่ปรึกษาก่อนที่โครงการจะกลายเป็นเอ็นพีแอล

ถึงกระนั้นยังมีลูกค้าอีกบางส่วนที่มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงไม่อยากจะโอน เลือกที่ขายดาวน์ เพื่อต้องการเงินที่ลงไปกลับคืนมา

          จากการสัมภาษณ์ น.พ.บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ระบุว่า “ที่ผ่านมา มีคนทิ้งดาวน์และถูกปฏิเสธสินเชื่อค่อนข้างมาก ทำให้การโอนแต่ละค่ายไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะรายกลาง-รายเล็ก ที่ปีนี้อาจกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนบริษัทรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าต่อได้ ขณะที่ ลูกค้าจีนปีนี้ หากเฟ้นเฉพาะเศรษฐีจีนก็ยังมีกำลังซื้อ แต่ต้องระวังสงครามการค้า สำหรับ “เศรษฐกิจไทย” มองว่า อาจจะเกิดวิกฤติแต่ไม่ถึงกับต้มยํากุ้ง ปี 2540″

          ซึ่งปัญหา “ลูกค้าทิ้งดาวน์” ยอมรับว่า “เกิดขึ้นได้” หากผู้ซื้อเกิดความไม่พอใจในทำเล หรือ สินค้า ขณะเดียวกันปัญหาเศรษฐกิจมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจ เกิดขึ้นได้จากความรู้สึกไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า เกิดขึ้นได้ตลอด และยิ่งมีกระแสว่า ปีนี้เศรษฐกิจแย่ รายได้ไล่ตามค่าครองชีพไม่ทัน หลายรายเกิดความไม่มั่นคงทางอาชีพ รายได้ลด และอีกกลุ่มถูกธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธสินเชื่อ

          นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2562 มีลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมถึงกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ แต่ไม่ต้องการจะถือครอง เนื่องจากเกรงจะสร้างภาระด้านการเงินในระยะยาว ได้ติดต่อฝากขาย เพื่อต้องการเงินดาวน์คืน มีทั้งที่ขายในราคาเท่าทุน แต่มีบ้างบางรายยอมขายขาดทุน เพราะต้องการได้เงินคืนเร็ว สถานการณ์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี ลูกค้าติดต่อฝากขายดาวน์คอนโดมิเนียมเกือบทุกวัน วันละ 3-4 ราย เป็นกลุ่มระดับราคา 4-5 ล้านบาท

          “ที่น่าจับตา คือ คอนโดมิเนียมในกลุ่มราคาระดับล่าง ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่ทำยอดขายค่อนข้างสูงถึง 80-90% ลูกค้าที่ซื้อไว้จะมาโอนหมดครบหรือไม่ ในส่วนลูกค้าจีนที่เซ็นจูรี่ 21 ทำตลาดได้มา 2,000 ยูนิต ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถึงกำหนดโอนปีนี้หลายร้อยหน่วย ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาทยอยแล้ว”

กำลังซื้อ หัวเมืองใหญ่กำลังฟื้น


“จังหวัดตามหัวเมืองใหญ่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง”
 นี่คือ คำบอกเล่าของผู้ประกอบการในพื้นที่และดีเวลอปเปอร์จากส่วนกลาง ซึ่งล่าสุด มีทั้งปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติในแถบยุโรป รัสเซีย หรือแม้แต่จีน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ กลุ่มแฟมิลี เข้ามาใช้ชีวิตโดยไม่ผ่านเอเยนต์ วิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซัน แต่นี่คือ จุดเริ่มต้นที่ต้องจับตา

          ทั้งนี้ ที่เห็นสัญญาณจนน่าแปลกใจ เมื่อ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมทำเลในเขตเมืองเก่าติดกับห้างเซ็นทรัลใน จ.ภูเก็ต พบว่า มีคนแย่งซื้อ แม้ราคาขายต่อตารางเมตรสูงถึง 1.2 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แสนสิริเคยลดราคาขายคอนโดมิเนียมมากถึง 50% เพื่อระบายสินค้ากว่า 1,000 หน่วย ในเมืองใหญ่ชั้นนำ ทั้งเหนือ อีสาน ใต้ และตะวันออกมาแล้ว

เช่นเดียวกับ ค่าย “เอสซี แอสเสท” ที่เปิดขายในทำเลไม่ห่างกันกับแสนสิริในเมืองภูเก็ต สร้างปรากฏการณ์คอนโดมิเนียมขายดีอีกแห่ง แม้ราคาต่อตารางเมตรจะสูง

เชียงใหม่ก็ไม่แพ้กัน ล่าสุด มีนักลงทุนจีนด้านอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างอยู่ระหว่างเจรจานักลงทุนไทยเจ้าถิ่นพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะตลาดภาคเหนือ

ขณะที่ พัทยามีโครงการได้รับการอนุมัติ การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านโครงการพักอาศัย ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการในพื้นที่กว่า 3,000 หน่วย และมีการบอกเล่าว่า จำนวนหน่วยส่วนใหญ่ขายให้กับลูกค้าจีนและต่างชาติชาติอื่น ๆ รวมทั้งโครงการของดีเวลอปเปอร์จากส่วนกลาง แม้ปีนี้จะมีความวิตกกังวลว่า ลูกค้าจีนลดลง และอาจไม่โอนกรรมสิทธิ์ แต่ในความกังวลยังมีโอกาสสำหรับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ

          สาเหตุที่หัวเมืองใหญ่ยังไปได้ดี หรือ อาจพลิกฟื้นกำลังซื้อกลับมาเป็นบวก น่าจะเป็นประเด็นเรื่องราคาที่ดินในกรุงเทพมหานครถีบตัวสูงจากการขับเคลื่อนรถไฟฟ้าในหลายเส้นทางพร้อม ๆ กัน ทำให้ราคาขายคอนโดมิเนียมขยับสูงตามจนผู้ซื้อเอื้อมไม่ถึง ทำให้ตลาดอยู่ในภาวะตึงตัว ประกอบกับการหาที่ดินหายาก การแข่งขันสูง ทางออกผู้ประกอบการหลายค่ายต่างหันหัวรบออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น

          นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ทรรศนะว่า กำลังซื้อจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ อย่าง เชียงใหม่ ภูเก็ต หัวหิน ชะอำ กำลังซื้อเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับราคาที่ดินไม่สูงเหมือนกรุงเทพมหานคร และตลาดไม่มีเฉพาะคนไทย ซึ่งต่างชาติแถบยุโรป รัสเซีย อินเดีย เข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น รวมทั้งแฟมมิลีจีน และจีนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยโดยไม่ผ่านทัวร์หรือเอเยนต์

          เช่นเดียวกับ นายบุญ ยงสกุล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ยืนยันว่า ทำเลในเมืองภูเก็ตและถนนเลี่ยงเมืองกลับเป็นที่สนใจ มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลางเข้าพื้นที่ เช่น แสนสิริ, เอสซี-แอสเสท, แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ฯลฯ เนื่องจากประเมินว่า “ยังมีลูกค้า” เช่นเดียวกับ นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จ.ชลบุรี มองว่า กำลังซื้อต่างชาติยังมีอยู่ในหัวเมืองท่องเที่ยวและในโครงการสมาร์ทซิตี ซึ่งร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง วางแผนขึ้นคอนโดมิเนียม 6,000 หน่วย ในพื้นที่ศรีราชา

กำลังซื้อทั้งไทยและต่างชาติในจังหวัดหัวเมืองใหญ่จะพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกจริงหรือไม่ งานนี้ต้องดูกันยาว ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


 

ผังเมืองรวม กทม. ใหม่ จ่อใช้ไม่เกิน 63 เอื้อพัฒนาที่อยู่อาศัย

ผังเมืองรวม กทม. ใหม่ จ่อใช้ไม่เกิน 63 เอื้อพัฒนาที่อยู่อาศัย

จากแผนการพัฒนาของกรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี ได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า กรุงเทพฯ 2575 : กรุงเทพฯ มหานครแห่งเอเชีย (Bangkok : Vibrant of Asia) ให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองชั้นนำในด้านเศรษฐกิจภาคบริการ ความปลอดภัย สวยงาม สะดวกสบาย น่าอยู่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยเหตุนี้ผังเมืองฉบับเดิมซึ่งได้ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2556 จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเป็นผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมการพัฒนาเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปเน้นแนวคิด “ไร้รอยต่อ” ปรับพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้า เพิ่ม FAR และ FAR Bonus และมาตรการใหม่ ๆ รองรับการขยายตัวของเมืองและที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าจะประกาศใช้ไม่เกินปี 2563

สถานการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดิน

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชากรในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 16.7 ล้านคนเป็น 19.5 ล้านคน ในปี 2580 โดยประชากรในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มลดลง แต่ประชากรในปริมณฑล มีแนวโน้มสูงขึ้น เช่นเดียวกับประชากรแฝงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในกรุงเทพฯ จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ

เมื่อลงลึกไปถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินพบว่า พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด รวมถึงกระจายออกไปนอกพื้นที่วงแหวนกาญจนาภิเษกตามแนวเส้นทางคมนาคมสายหลักทุกทิศทาง (Ribbon Development) โดยพื้นที่ปลูกสร้างมีแนวโน้มขยายตัวกว้างขึ้นมากกว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหากไม่มีการควบคุมจะสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม เกิดการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เสี่ยงภัย และก่อให้เกิดปัญหาการจราจรอีกด้วย ดังนั้น ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) จึงเป็นการตอบรับกับความต้องการพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของประชากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ผังเมืองรวมกรุงเทพฯ

ผังเมืองใหม่เน้นแนวคิด “ไร้ร้อยต่อ”

ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) จะเน้นพัฒนาเมืองในรูปแบบ “ไร้รอยต่อ” ชะลอการขยายเมืองในแนวราบในพื้นที่ชานเมือง แต่จะใช้ประโยชน์พื้นที่กลางเมืองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งผังเมืองใหม่จะรองรับการพัฒนาพื้นที่ 1,568 ตารางกิโลเมตร สำหรับประชากรตามทะเบียนราษฎร์และประชากรแฝง 9.3-10 ล้านคน

ทั้งนี้ แนวคิดในการทำผังเมืองรวมใหม่ จะรวมการขยายตัวของเมืองและเส้นทางคมนาคมที่เกิดจากการพัฒนารถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ 12 สาย ระยะทางรวม 508 กิโลเมตร จำนวน 318 สถานี ซึ่งมีสถานีเชื่อมต่อหรือสถานีอินเตอร์เชนจ์ถึง 39 สถานี อาทิ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสีน้ำตาล สีเขียวสีชมพู สีแดง สีม่วง สีเทา และสีส้ม เกิดการพัฒนาศูนย์พาณิชยกรรม (Sub-CBD) อาทิ บางซื่อมักกะสัน วงเวียนใหญ่ พื้นที่ใช้ประโยชน์หนาแน่นสูงบริเวณสถานีร่วม อาทิ บางหว้า ตลิ่งชัน เตาปูน รัชดา ลาดพร้าว และพื้นที่เปลี่ยนถ่ายสัญจรบริเวณสถานีรถไฟฟ้าทีติดถนนสายหลัก อาทิ บางขุนเทียน ลาดกระบัง มีนบุรี รวมทั้งส่งเสริมพื้นที่พาณิชยกรรมริมน้ำ และอีกหลาย ๆ พื้นที่เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย >>ค้นหาโครงการที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้า

ยกตัวอย่างเช่น โซนตะวันออกของกรุงเทพฯ จะเปลี่ยนจากพื้นที่สีเหลือง หรือที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยเป็นพื้นที่สีส้ม หรือที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ส่งผลให้ผังเมืองรวมมีพื้นที่สีเหลืองลดลงจาก 438.33 ตารางกิโลเมตร เหลือ 393.79 ตารางกิโลเมตร หรือลดลง 10.14% ส่วนพื้นที่สีส้มเพิ่มขึ้นจาก 248.08 ตารางกิโลเมตร เป็น 345.65 ตารางกิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้น 39.33% ส่วนพื้นที่สีน้ำตาล หรือที่อาศัยอยู่หนาแน่นเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพียง 0.57% ขณะที่พื้นที่สีแดง หรือพื้นที่สำหรับพาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 9%

รวมทั้งจะมีมาตรการจูงใจอื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น มาตรการโอนสิทธิการพัฒนา (TDR) มาตรการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ (PUD) มาตรการส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้า (TOD) เพิ่มระยะการส่งเสริมการพัฒนารอบสถานีรถไฟฟ้า ในระยะ 500 เมตรรอบสถานี เป็น 800 เมตร และ 1,000 เมตร

ผังเมืองรวมกรุงเทพฯ

เพิ่ม FAR และ FAR Bonus

ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) นอกจากจะมีการปรับเปลี่ยนสีในโซนพื้นที่ต่าง ๆ ยังจะมีผลกับอัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อที่ดิน (Floor Area Ration) หรือ FAR โดยจะปรับเพิ่มขึ้นตามสีต่าง ๆ สีละ 0.5 ซึ่งสัดส่วนพื้นที่อาคารต่อที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นจะเอื้อต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และอาคารเชิงพาณิชย์ตามโซนต่าง ๆ มากขึ้น

ส่วน FAR Bonus จากเดิมที่มีให้ใน 5 กรณี คือ 1.การจัดให้มีที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย 2.เพิ่มพื้นที่โล่งสาธารณะหรือสวนสาธารณะ 3.การจัดให้มีพื้นที่จอดรถรอบสถานีรถไฟฟ้า 4.การเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำฝน 5.การสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงาน เพิ่มเติมอีก 3 กรณี คือ 1.การจัดให้มีพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการสัญจรบริเวณเปลี่ยนถ่ายการสัญจรของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 2.การจัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อประโยชน์สาธารณะริมแม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำสาธารณะ และ 3.การจัดให้มีพื้นที่สำหรับใช้เป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือสถานดูแลผู้สูงอายุในเวลากลางวันโดยจะเพิ่ม FAR Bonus ในสัดส่วนไม่เกิน 20%

อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ไม่เกินต้นปี 2563 เชื่อว่าผังเมืองฉบับใหม่จะเป็นการเปิดช่องให้พื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าสามารถพัฒนาโครงการขนาดใหญ่อย่างโครงการมิกซ์ยูส ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง และแหล่งงานได้เช่นเดียวกับต่างประเทศ นอกจากนี้ยังส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยถูกลง ซึ่งจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยต่ำลงไปด้วย จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้กับคนชั้นกลาง ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้เมืองได้มากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก  ddproperty.com


“สรรพากร” อวดไตรมาสแรกรีดภาษีกระฉูดที่ 3.7 แสนล.

“สรรพากร” อวดผลงานรีดภาษีไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 2562 กระฉูดที่ 3.7แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเฉียด 3 หมื่นล้านบาท อานิสงส์เศรษฐกิจไทยยังขยับดีต่อเนื่อง พ่วงดึงดิจิทัลเสริมแกร่งการทำงาน มั่นใจทั้งปีงบประมาณผลงานฉลุยตามเป้าหมาย 2 ล้านล้านบาท

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพากรในไตรมาสแรกของงบประมาณ 2562 (ต.ค.-ธ.ค. 2561) เก็บภาษีได้ 3.7 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณที่ 2.8 หมื่นล้านบาท หรือ 7.3% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 4.17 แสนล้านบาท หรือ 11.3% ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะขยายตัวได้ลดลง รวมถึงจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“ภาพรวมการเก็บภาษีไตรมาสแรก เกินเป้าหมายทุกตัว ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีปิโตรเลียม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ยกเว้นภาษีมรดกที่ไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งสามารถเก็บได้ 186 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่เก็บได้ 21 ล้านบาท ก็ถือว่าการเก็บภาษีมรดกได้เพิ่มมากขึ้น” นายเอกนิติ กล่าว

นายเอกนิติ กล่าวอีกว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2562 คาดว่ายังได้ตามเป้าหมาย ที่ 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจปี 2562 ยังขยายตัวได้สูง กระทรวงการคลังและภาคเอกชนยังเชื่อมั่นว่าจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 4% ซึ่งจะส่งผลให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรใน 9 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณนี้ ยังมีโอกาสทำได้เกินเป้าหมายเหมือนไตรมาสแรกที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับการเก็บภาษีคือการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษี ซึ่งกรมสรรพากรได้ดำเนินการต่อเนื่อง การทำให้เป็นกรมภาษีดิจิทัลเต็มรูปแบบ อำนวยความสะดวกผู้เสียภาษี ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และทำให้การเก็บภาษีเป็นธรรม ผู้เสียภาษีที่ดีต้องได้รางวัล ส่วนผู้เสียภาษีที่ไม่ถูกต้องหรือเลี่ยงภาษีจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด

สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการออกกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. เก็บภาษีแวตอีบิสิเนส สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนต่างประเทศ แต่มีการให้บริการผ่านออนไลน์และเกิดรายได้ขึ้นในประเทศไทย อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฏีกา ซึ่งกรมสรรพากรเร่งดำเนินการการให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในรัฐบาลชุดนี้ จะทำให้การเก็บภาษีของกรรมสรรพากรได้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันมีการรั้วไหลจำนวนมาก เพราะกฎหมายเดิมไม่ให้อำนาจกรมสรรพากรเข้าไปเก็บภาษีดังกล่าวได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thaipost.net


 

Windows Mobile ถึงจุดจบอวสาน หลัง Microsoft เตรียมหยุดสนับสนุนในปี 2019

Microsoft ได้อัปเดตข้อมูลการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ และกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้ใช้ Windows Mobile เช่นตระกูล Lumia ที่เป็น Windows Mobile / Windows Phone จาก Microsoft ว่า ตอนนี้ได้สิ้นสุดการสนับสนุนแล้วโดย Windows 10 Mobile, version 1709 (Fall Creators Update) ที่ออกในเดือนตุลาคม 2017 จะเป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย

Windows Mobile อวสาน

ทั้งนี้การสิ้นสุดสนับสนุน Windows Mobile / Windows Phone จะสิ้นสุดในวันที่ 10 ธันวาคม 2019 นี้หลังจากนี้จะไม่มีการอัปเดตใดๆอีกเลย ทั้งเรื่องตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ที่ไม่มีเวอร์ชั่นใหม่อีก ทั้ง Store ที่ตอนนี้ไม่เปิดให้ดาวน์โหลดเวอร์ชั่น Windows Phone , Windows Mobile บนมือถือ และไม่มีอัปเดตแพทซ์เรื่องความปลอดภัยด้วย ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ประสบการณ์แอปใหม่อีกต่อไป อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายจาการแฮกต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วย
ดังนั้นหลังสิ้นสุดการสนับสนุนในช่วงปลายปี ต้องถึงเวลาที่จะใช้มือถือเครื่องใหม่ที่เป็นระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว

ข้อมูลจาก Microsoft , MSPoweruser


 หลักการใช้ Interjection (คำอุทาน) ในภาษาอังกฤษ

Interjection หรือ “คำอุทาน” เป็นสิ่งที่พูดออกมาเพื่อแสดงถึงความตกใจ ตื่นเต้น โกรธ เจ็บปวด หรือสนุกสนาน โดยมีเครื่องหมาย ! (Exclamation Mark) ปิดท้าย เช่น Wow! Oh! Ouch! มาทบทวนหลักการใช้ Interjection (คำอุทาน) ในภาษาอังกฤษ กันครับ

Interjection เวลาอยู่ในประโยคมักวางไว้ข้างหน้าสุด โดยมีเครื่องหมาย ! (Exclamation Mark) หรือ , (Comma) ตามหลัง เช่น

Wow! I won the lottery!
Oh, That’s a surprise.

น้อง ๆ จะสังเกตได้ว่า Interjection ที่ตามหลังด้วย , จะเป็นการอุทานแบบเบา ๆ แต่ถ้าตามหลังด้วยเครื่องหมาย ! จะสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึก หรือความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ยังมี Interjection ที่ใช้กับ What, How, So, Such ซึ่งมีวิธีการใช้ดังต่อไปนี้ครับ

What + a (an) + คำนามเอกพจน์นับได้ + ! เช่น

What a pity!

What + a (an) + adjective + คำนามเอกพจน์นับได้ (+ ประธาน + กิริยา) + ! เช่น

What a beautiful day (it is)!

What + a (an) + adjective + คํานามเอกพจน์นับไม่ได้ (+ ประธาน + กิริยา) + ! เช่น

What bad weather (it is)!

What + adjective + คำนามพหูพจน์ (+ ประธาน + กิริยา) + ! เช่น

What beautiful flowers (they are)!

How + adjective + ! เช่น

How nice!

How + adjective / adverb + ประธาน + กริยา + ! เช่น

How cold it is!

How + adjective + กริยา + ประธาน + ! เช่น

How smart am I!

So + adjective + ! เช่น

You are so rude!

Such + a/an + (adjective) + คํานามเอกพจน์นับได้ + ! เช่น

He is such a nice guy!

Such + (adjective) + คํานามเอกพจน์นับไม่ได้หรือคำนามพหูพจน์ + ! เช่น

They are such kind people!

และนอกจากใช้สื่ออารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ แล้ว interjection ยังสามารถนำมาใช้เพื่อการอวยพรได้อีกด้วย เช่น

Have a nice trip!
Have a nice day!

ขอบคุณข้อมูลจาก trueplookpanya.com


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/01/2562

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 19,300.00 19,200.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,800.00 18,859.04 1,244.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 19,541.24 1,289.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,973.14 1,119.60
ทองรูปพรรณ 80% n/a 15,087.23 995.20
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,489.60 560.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,594.60 435.00

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 21/01/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35 26.35
แก๊สโซฮอล์ 91 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08 26.08
แก๊สโซฮอล์ E20 23.34 23.34 23.34 23.34 23.34 23.34 23.34 23.34 23.34
แก๊สโซฮอล์ E85 19.34 19.34 19.34
เบนซิน 95 33.76 34.21 34.26 34.06 34.06
ดีเซล 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69 25.69
ดีเซลพรีเมี่ยม 29.29 29.56 29.75 29.75 29.75
แก๊ส NGV 16.07 16.07
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า