แสนสิริ ต่อยอด Green&Well-being พร้อมเปิดตัว “บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในไทย”
ทุบสถิติยอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการของปี 2561 เป็นปีที่มียอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี หรือ 48,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% และยอดขายต่างชาติอันดับหนึ่งของประเทศ 14,000 ล้านบาท สูงขึ้น 51%
วันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ถือว่าดีที่สุดของในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาตลอด 34 ปีที่ผ่านมาหรือ Sansiri Best Year Ever จากความสำเร็จรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดกว่า 65,200 ล้านบาทจาก 25 โครงการ ยอดพรีเซลปี 2561 กว่า 48,500 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่าปี 2560 ที่อยู่ที่ 38,500 ล้านบาทถึง 25% รวมถึงยอดขายต่างชาติกว่า 14,000 ล้านบาทเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51% หรือเติบโตกว่า 5 ปีก่อนถึง 10 เท่า
ซึ่งแสนสิริครองอันดับหนึ่งยอดขายต่างชาติสูงสุดมาต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริยังมียอด Backlog รวมกว่า 63,500 ล้านบาทที่จะช่วยการันตียอดรับรู้รายได้อันแข็งแกร่งในอีก 3 ปีข้างหน้า”
ปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้มีผลประกอบการที่ดีในปี 2561 การเติบโตในทุกประเภทที่อยู่อาศัย และทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตขึ้นถึง 34% กลุ่มทาวน์เฮาส์เติบโต 77% และกลุ่มคอนโดมิเนียมเติบโตกว่า 20% ทั้งนี้
มีโครงการที่ได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายเมื่อปีที่ผ่านมา เช่น บ้านแสนสิริที่กวาดยอดขายไปกว่า 75% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ซัวรี่ของเมืองไทย การเปิดตัวคอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์เพื่อคนรุ่นใหม่อย่าง XT ที่มูลค่าการเปิดตัว 3 โครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาท สามารถขายได้ถึง 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน
รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ใหม่ “สิริ เพลส” สามารถดันยอดขายทาวน์เฮ้าส์ให้โตขึ้นกว่าปี 2559 ได้ถึง 3 เท่า ขณะที่ยอดขายจากตลาดต่างจังหวัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จ ด้วยยอดขายถึง 12,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 25% ของยอดขายรวมทั้งหมด เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนถึง 51%
เปิดตัวบ้านปลอดฝุ่นครั้งแรก สู้ฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง
แผนธุรกิจของปี 2562 เดินหน้าวิสัยทัศน์ For Greater Well-being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562 ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-being สู่ทุกโครงการใหม่ ประกาศมาตรการต่อสู้มลภาวะและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในประเทศในปีนี้
พร้อมเคาะแผนเปิดตัว 28 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาทในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ระบุดีมานด์ที่อยู่อาศัยปีนี้ยังมีแต่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น พร้อมวางเป้าเติบโตแบบยั่งยืนด้วยยอดพรีเซลรวม 3 ปี (2561 – 2564) ทะลุเป้า 1.6 แสนล้าน
โครงการใหม่ 28 โครงการรวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาทประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 22,400 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,700 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการรวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท เน้นเปิดตัวโครงการระดับกลาง (Medium Segment) และระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น (Affordable Segment) โดยคิดเป็นสัดส่วนรวม 96% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งหมดพร้อมตั้งเป้าพรีเซลปีนี้ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และเป้าโอนรวมที่ 32,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี ในการสร้างยอดพรีเซลรวมกว่า 160,000 ล้านบาทระหว่างปี 2562-2564
ขอบคุณข้อมูลจาก brandinside.asia
บีทีเอสลุ้นรายได้2หมื่นล.รอชิงเค้กลงทุนสายสีส้ม
บีทีเอส คาดการณ์รายได้ปี 2562 เฉียด 2 หมื่นล้าน ผลรถไฟฟ้าสายต่างๆ เปิดให้บริการ
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) เปิดเผยว่า ภาพรวมกิจการรถไฟฟ้าในปีนี้ยังคงเติบโตได้ดีจากการต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่จะเปิดบริการปีนี้และการ รับรู้รายได้สายสีเขียวใต้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสาร 6 หมื่นคน/วัน ส่งผลให้ผลประกอบการและกำไรในปีนี้จะเติบโตได้ดีกว่าปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารและรับรถใหม่ ซึ่งลงทุนไป 1.1 หมื่นล้านบาท จำนวน 46 ขบวน เริ่มจากรถไฟฟ้ายุโรปของ บริษัท ซีเมนส์ จะส่งมอบรถครบ 22 ขบวน ภายในกลางปีนี้ ก่อนรับมอบรถไฟฟ้าจากจีนของ บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำนวน 24 ขบวน ภายในช่วงปลายปี 2562 เมื่อนำรถใหม่มาวิ่งบริการได้เต็มที่ในปี 2563 จะสามารถลดปัญหาความแออัดภายในสถานีและภายในตัวรถไฟฟ้าได้
รายงานข่าวจากบีทีเอส ระบุว่า บริษัทได้แจ้งผลประกอบการปี 2561 มีรายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท และมีกำไร 4,400 ล้านบาท ดังนั้น ในปีนี้จะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1.9 หมื่นล้านบาทและยังคงเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ปี 2563 คาดว่าผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะมีปริมาณเกือบ 1 ล้านคน/วัน ปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ย 8 แสนคน/วัน
ทั้งนี้ บีทีเอสพร้อมเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี ในงานระบบ วงเงิน 2.35 แสนล้านบาท ควบคู่ไปกับสนใจศึกษาแนวทางเข้ายื่นข้อเสนอในโครงการรถไฟฟ้ารางเบา จ.ภูเก็ต และ จ.เชียงใหม่ อีกด้วย
ด้าน นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกเตรียมเสนอคณะกรรมการมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุนเอกชนฯ เพื่อตรวจสอบร่างขอบเขตการประกวดราคา (ทีโออาร์) ซึ่งจะเปิดประมูลกลางปีนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
เตือนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระวังมัลแวร์ พบเลขไอพีในไทยเสี่ยง 50 รายการ
กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ระวังมัลแวร์ ‘VPNFilter’ หลัง 54 ประเทศถูกโจมตี กว่า 5 แสนเครื่อง พบเลขไอพีในไทยเสี่ยง 50 รายการ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้ออกประกาศแจ้งเตือนการแพร่ระบาดมัลแวร์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561
โดยทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัย Talos จากบริษัท Cisco ได้รายงานการแพร่ระบาดของมัลแวร์ “VPNFilter” มุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ (Internet of Things หรือ IoT) กว่า 5 แสนเครื่อง ใน 54 ประเทศ ซึ่งพบการแพร่ระบาดของมัลแวร์ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559
และอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์สำหรับสำนักงานขนาดเล็ก โดยเจ้าหน้าที่ FBI ได้เข้าควบคุมโดเมน toknowall.com ที่เป็นช่องทางสำรองในการเผยแพร่มัลแวร์ดังกล่าวแล้ว
สำหรับการทำงานของมัลแวร์ VPNFilter จะอาศัยช่องโหว่ของระบบในอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย (Router) ทั่วไปที่ใช้งานในบ้านหรือสำนักงาน ซึ่งมัลแวร์สามารถทำงานได้บนหลายระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ และมีการทำงานที่ซับซ้อน โดยมีขั้นตอนการติดมัลแวร์เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นระยะที่แอบอาศัยอยู่ในเครื่องเพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์
ในระยะที่ 2 แม้จะปิด-เปิดเครื่องใหม่ มัลแวร์ก็ยังทำงานได้ปกติ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ต่างจากมัลแวร์บางสายพันธุ์ที่โจมตีอุปกรณ์ IoT ที่ปกติมัลแวร์จะถูกกำจัดไปเมื่อเครื่องเริ่มทำงานใหม่
ระยะที่ 2 มัลแวร์ในระยะนี้ จะถูกติดตั้งในลักษณะ NON-PERSISTENT คือ มัลแวร์จะหยุดทำงานเมื่อทำการปิด-เปิดเครื่อง โดยมัลแวร์ดังกล่าวสามารถขโมยข้อมูล รับคำสั่งต่างๆ จากผู้ประสงค์ร้าย ซึ่งบางเวอร์ชันสามารถทำให้อุปกรณ์ใช้งานไม่ได้โดยการเขียนข้อมูลทับส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์ที่ฝังอยู่ในฮาร์ดแวร์ (Firmware)
และระยะ ที่ 3 เป็นส่วนเสริม (plug-in) เพิ่มความสามารถให้มัลแวร์ในระยะที่ 2 ทำหน้าที่คล้ายการดักรอการรับส่งข้อมูลต่างๆ ต่อไปยังเครื่องของผู้ประสงค์ร้าย
ด้านผลกระทบจากมัลแวร์ดังกล่าว จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเครือข่ายที่มีข้อมูลสำคัญ อาทิ สูญเสียข้อมูลสำคัญ สูญเสียความพร้อมใช้งาน ทำให้ระบบเครือข่ายไม่สามารถใช้งานได้ปกติ สูญเสียค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการกู้คืนระบบ เป็นต้น โดยการแพร่ระบาดของมัลแวร์ “VPNFilter” ตรวจพบตั้งแต่ปี 2559 และขณะนี้ได้ขยายขอบเขตการโจมตีไปทั่วโลก กว่า 5 แสนเครื่อง ใน 54 ประเทศทั่วโลก
สำหรับการรับมือและป้องกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ในเครือข่ายติดมัลแวร์หรือไม่ โดยตรวจสอบจากข้อมูลการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ หมายเลขไอพี รวมถึงค่า File Hashes ของมัลแวร์ต้องสงสัยภายในเครื่อง ตามคำแนะนำของไทยเซิร์ต (www.thaicert.or.th) ซึ่งหากพบมัลแวร์ในอุปกรณ์เชื่อมต่อ (Router) ให้ทำการ รีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน (Factory Reset)
และผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าป้องกันการเข้าถึงหน้าเว็บบริหารจัดการของอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย (Router) จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้ใช้งานควรตรวจสอบค่าต่างๆ ที่ตั้งไว้ในอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย และอัปเดตอุปกรณ์เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดมัลแวร์ รวมถึงตั้งรหัสผ่านในการเข้าถึงส่วนบริหารจัดการระบบให้คาดเดาได้ยาก
ทั้งนี้ ไทยเซิร์ตได้ดำเนินการประสานขอข้อมูลรายการหมายเลขไอพี (หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ IP address : Internet Protocol address) ที่ได้รับผลกระทบในประเทศไทยจากหน่วยงานต่างๆ ในเครือข่าย โดยเบื้องต้นพบจำนวนหมายเลขไอพีที่มีความเสี่ยงกว่า 50 รายการ และกำลังประสานข้อมูลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้อง สำหรับการดำเนินการแก้ไขต่อไปแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก news.mthai.com
อากาศแปรปรวนระวังป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่
เตือนประชาชนช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวน ระวังป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงต้นปี 2562 นี้ พบผู้ป่วย 21,572 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยพบอัตราป่วยมากที่สุดที่ภาคเหนือ จังหวัดที่มีอัตราป่วยมากที่สุด ได้แก่ เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร พะเยา ลำปาง สุราษฎร์ธานี จากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด พบว่าตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เป็นกลุ่มก้อน 32 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่เกิดในสถานที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น ในจำนวนนี้พบว่ามีถึง 22 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน และพบมากในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 12 เหตุการณ์ โดย 8 เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่
“การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสจะพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว และสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลังในเดือนเดียวกันโรคไข้หวัดใหญ่ ติดต่อทางการไอหรือจาม หรืออาจติดต่อทางสารคัดหลั่งที่ติดจากมือแล้วใช้มือสัมผัสกับเยื่อบุตาหรือจมูก ซึ่งประชาชนสามารถป้องกันได้โดย การใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่มีอาการไอหรือจาม หลีกเลี่ยงการพบปะผู้อื่นขณะมีอาการไข้หวัด หลีกเลี่ยงการหยิบจับสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่นและล้างมือเป็นประจำ ส่วนสถานที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น เช่น โรงเรียน เรือนจำ ควรมีการคัดกรองผู้ป่วย หากพบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้ ไอ น้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ ควรแยกผู้ป่วยทันทีและรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว หมั่นทำความสะอาดสิ่งของที่มีการใช้ร่วมกันทุกวัน เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มเปิดปิดไฟ และเตรียมหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้เพียงพอ”
กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่าในประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคอ้วน หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเรื้อรัง อาทิ โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นต้น ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสการนอนโรงพยาบาล
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th