เซลคึก อานิสงส์ LTV ยอดขายทะลัก
แนวรถไฟฟ้าต่อหัวต่อท้าย ขยายครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล ส่งผลที่ดินราคาพุ่ง ดันที่อยู่เปิดใหม่ราคากระโดด ซื้อยิ่งยากใจกลางเมือง ประกอบกับมาตรการ LTV จ่อบังคับใช้เมษายน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เชื่อส่งผล ตลอดช่วงต้นปี 2562 ตลาดคอนโดฯรีเซล คึกคัก หลังผู้ประกอบการหวังระบายสต๊อก
แม้ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจและโซนใกล้เคียงแนวรถไฟฟ้า จะยังเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูง แต่จากอานิสงส์การขยายตัวของเมือง ประกอบกับระบบการคมนาคมที่ครอบคลุมมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวไปหลายพื้นที่ ดันให้ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าและส่วนต่อขยายปรับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาของโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่โดยตรง ขณะเดียวกันยังพบว่าโครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ในช่วง 2-3 ปี มีผลตอบแทนจากการขายต่อลดลง จึงอาจคาดการณ์ได้ว่าระดับราคาของโครงการใหม่ๆ มีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะโซนใจกลางเมือง หรือ ซีบีดี เพลินจิต-ชิดลม ราคาโครงการเปิดใหม่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีข้อจำกัดหลัก หลังจากเริ่มไม่เหลือพื้นที่สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ แม้จะยังมีความต้องการจากผู้ซื้อสูงเพียงใด แต่การพัฒนาโครงการใหม่ทำได้ยาก
ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาและจัดการอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า น่าจับตามองว่า คอนโดฯจากโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว จะถูกนำกลับมาขายใหม่(รีเซล) อย่างคึกคัก เพราะสามารถตอบโจทย์ ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลกลางเมืองได้ โดยเฉพาะเขตพญาไท อโศก และสุขุมวิท ที่ปัจจุบัน พบว่าราคาโครงการใหม่ สูงกว่าราคาโครงการรีเซลเกือบ 10% ซึ่งโครงการที่อยู่ในทำเลดังกล่าว มีความต้องการสูง เพราะเป็นศูนย์รวมแหล่งการค้า คอมมิวนิตีมอลล์ แหล่งงาน และอาคาร ทั้งยังเป็นที่นิยมของกลุ่มนักลงทุนคนไทยและต่างชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอีกเหตุผลสำคัญ คือ การเตรียมประกาศใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธปท. (Loan to Value) ในช่วงเดือนเมษายนนี้ จะทำให้การนำโครงการคอนโดฯที่สร้างเสร็จแล้ว มารีเซลใหม่ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ระบายสต๊อกในช่วงต้นปีอย่างคึกคัก
ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com
‘สมาร์ทโฮม’ หมัดเด็ดอสังหาฯ ในยุค 4.0
ภาพการแข่งขันในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเปลี่ยนไปในยุค 4.0 จากเดิมที่วัดกันด้วยความน่าเชื่อถือขององค์กร ทำเล ราคา และโปรโมชั่นที่ผู้ประกอบการนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดกระตุ้นการตัดสินใจผู้ซื้อ เปลี่ยนมาสู่ยุคที่แข่งขันกันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เห็นได้จากโครงการที่มีการเปิดตัวใหม่ได้ถูกพัฒนาให้เป็นสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะที่มาพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยภายในบ้าน ซึ่งช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
คาดการณ์ตลาดสมาร์ทโฮมทั่วโลกโตเท่าตัวใน 4 ปี
จากการประเมินของสถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐอเมริกา หรือ IDC ระบุว่า ในปี 2561 จำนวนอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั่วโลก เติบโตประมาณ 31% หรือประมาณ 644 ล้านเครื่อง และมีการคาดการณ์ว่า จะเติบโตไปถึงเกือบ 1,300 ล้านเครื่อง ภายในปี 2565 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าตัวในระยะเวลาเพียง 4 ปี
นอกจากนี้ หากคำนวณเป็นมูลค่าแล้ว จากการประเมินมูลค่าตลาดของสมาร์ทโฮมทั่วโลก โดย A.T. Kearney คาดการณ์ว่า ในปี 2568 ตลาดสมาร์ทโฮมจะมีขนาดกว่า 263,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 หมวดหลัก คือ อุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย
บิ๊กอสังหาฯ ตามเทรนด์ ลงทุนสมาร์ทโฮม
จากการสำรวจข้อมูลโดย Statista บริษัทวิจัยด้านการตลาดของเยอรมนี ระบุว่า 3 อันดับประเทศที่มีการใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมมากที่สุดในโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยการใช้งานสมาร์ทโฮมส่วนใหญ่ จะเน้นไปในเรื่องการเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย
สำหรับในไทยเอง สมาร์ทโฮมกำลังเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เช่น แสนสิริ, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และเอพี (ไทยแลนด์) ต่างลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีอุปกรณ์สมาร์ทโฮมมาติดตั้งพร้อมกับตัวบ้าน โดยอุปกรณ์ที่มีการใช้งานแพร่หลายและมาแรง ได้แก่ Smart mirror กระจกอัจฉริยะ ที่สามารถเปิดเพลง ดูวิดีโอจากโทรศัพท์ มีหน้าปัดแสดงเวลา บอกอุณหภูมิ หรือมี Bluetooth เพื่อใช้คุยโทรศัพท์ได้ และ Smart speaker ระบบการสั่งงานด้วยเสียง ที่เชื่อมกับอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ภายในบ้าน ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวของเจ้าของบ้าน
สมาร์ทโฮม ตัวเลือกสำคัญของผู้บริโภคยุคใหม่
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ได้ทำการสำรวจข้อมูลผู้บริโภคจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จำนวน 7,701 คน พบว่า สมาร์ทโฮมจะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้นในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ โดย 77% อยากให้มีระบบเตือนภัยอัจฉริยะภายในบ้าน ขณะที่ 73% ต้องการให้มีระบบช่วยควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและจัดการพลังงานภายในบ้าน เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
จับตา 4 เทรนด์หลัก ขับเคลื่อนตลาดสมาร์ทโฮม
ในระยะถัดไป EIC มองว่า 4 เทรนด์หลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดสมาร์ทโฮมทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย ได้แก่
- การบำรุงรักษาแบบคาดคะเน (Predictive maintenance) หมายถึง การติดตั้งระบบที่สามารถมอนิเตอร์การเปลี่ยนแปลงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ เพื่อแจ้งเตือนให้ทำความสะอาดในบริเวณที่เริ่มสกปรกและมีฝุ่น ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาการซ่อมบำรุงลดลง
- การสั่งงานด้วยเสียง (Voice command) ต้องมีความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น โดย command language ที่ใช้กับ Smart speaker ต้องสามารถเข้าใจวิธีการสั่งงานด้วยคำพูดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และที่สำคัญต้องสามารถสื่อสารด้วยสำเนียงหรือวิธีการพูดที่หลากหลาย
- การคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรม (Behavior prediction) ของผู้อยู่อาศัยผ่านระบบ AI โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกนำมารวมกันเป็นกลุ่มและจัดระบบเป็น Timeline ในการทำงานของอุปกรณ์สมาร์ทโฮม เช่น หากเจ้าของบ้านขับรถเข้ามาถึงซอยบ้าน จะมีการแจ้งเตือนทางสมาร์ทโฟนว่ามีความต้องการที่จะเปิดไฟหน้าบ้าน เปิดเครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงเปิดรายการทีวีที่ชื่นชอบรอไว้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถทำกิจวัตรที่ต้องการได้ทันทีที่มาถึง
- สมาร์ทโฮมในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Smart Home) การเข้ามาในตลาดสมาร์ทโฮมของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน เช่น Xiaomi และ Alibaba ที่สินค้าส่วนใหญ่มีราคาเพียงหลักร้อย หรือหลักพัน ทำให้ตลาดสมาร์ทโฮมทั่วโลกคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในอนาคตข้างหน้าการแข่งขันด้านราคา จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฮมเข้ามาใช้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกแล้ว ยังเป็นการเพิ่มกลยุทธ์ใหม่ที่จะสร้างจุดขายให้โครงการ กระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีกำลังซื้อและให้ความสนใจทางด้านสมาร์ทโฮม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
คงต้องตามดูกันต่อไปว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายไหนจะปล่อยหมัดเด็ดและลุกขึ้นมายืนหนึ่งด้านการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทยในยุคที่การแข่งขันสูงเช่นนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
ธปท. เร่งแก้หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 จะขยายขอบเขตการให้บริการ โดยให้รวมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการนอนแบงก์ด้วย จากโครงการระยะที่ 1 ครอบคลุมเฉพาะหนี้ของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น โดยการขยายขอบเขตดังกล่าวจะทำให้โครงการนี้มีความสามารถในการช่วยเหลือประชาชนได้กว้างขวางและเบ็ดเสร็จมากขึ้น เพราะหนี้ส่วนนี้มีสัดส่วนลูกหนี้กว่า 70% ของทั้งหมด โดยจากข้อมูลลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการที่ผ่านมา พบว่า เป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้นอนแบงก์รวมอยู่ด้วยจำนวนสูงพอสมควร
โดยขณะนี้ผู้ประกอบการนอนแบงก์อย่างน้อย 8 ราย เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน และแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ 1. บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 2. บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 3. บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 4. บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด 5. บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 6. บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด 7. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) 8. บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ คาดว่าลูกหนี้ของนอนแบงก์จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาสที่ 2/2562 เนื่องจากต้องรอให้การแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายขอบเขตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับจ้างบริหารหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของนอนแบงก์ มีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว
นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตและมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหาได้มากขึ้น จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมใน 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. คุณสมบัติการเข้าโครงการที่เดิมต้องเป็นหนี้เสียก่อนวันที่1 เม.ย. 2561 ปรับเป็นต้องเป็นหนี้เสียก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2562 และ 2. ปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้และวิธีการชำระหนี้ ให้ยืดหยุ่น ง่ายและสอดคล้องกับสถานะลูกหนี้แต่ละรายได้มากขึ้นโดยเกณฑ์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 2562
“จุดเด่นของโครงการคลินิกแก้หนี้ นอกจากที่เป็นวัน สต็อป เซอร์วิสในการแก้ปัญหาหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การให้โอกาสลูกหนี้ผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 10 ปีซึ่งจะทำให้ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มากจนเกินที่จะรับได้ และจากการสอบถามลูกหนี้ที่ติดต่อได้เบื้องต้น พบว่ามีลูกหนี้อย่างน้อย 300-400 ราย ซึ่งเดิมปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จหรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จะสามารถแก้ไขหนี้ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ หรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปัจจุบัน” นายจาตุรงค์ กล่าว
นายนิยต มาศะวิสุทธิ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และนายสุรพลโอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จ ากัด (NCB) เปิดเผยว่า ทั้ง 2 หน่วยงานจะลงนามร่วมกัน โดย NCB จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิต (รายงานเครดิตบูโร) สำหรับลูกหนี้ที่มาติดต่อและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ผ่านช่องทางที่สำนักงานของ SAM เพื่อลดภาระของลูกหนี้ที่สมัครเข้าโครงการ (ปกติมีค่าใช้จ่าย 100 บาท) รวมทั้งจะร่วมกันปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและส่งข้อมูล ซึ่งจะทำให้การปรับโครงสร้างหนี้เริ่มได้เร็วขึ้นและใช้เวลาโดยรวมสั้นลง
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ให้คำปรึกษา แนวทางแก้ไขหนี้แก่ลูกหนี้แล้ว 33,900ราย และมีลูกหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จและลงนามสัญญาแล้ว 1,087 ราย
ขอบคุณข้อมูลจาก terrabkk.com
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
1. “Twenty-four Seven” สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ
2. “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend. I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow. I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money – ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand” ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายของฉันก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”
11. “behind one’s back” แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on” แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at” แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back” แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)
21. “After all” แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather” หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง
ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com
แพทย์เตือนห้ามใส่หน้ากาก N95 วิ่งออกกำลังกาย มีอันตรายถึงชีวิต
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 รายงานข่าวระบุว่า มีนักวิ่งจำนวนมากที่จะเข้าร่วมงานวิ่งหลายแคมเปญ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ โดยหลายคนตั้งใจจะสวมหน้ากาก N95 ร่วมวิ่ง เนื่องจากกลัวได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง PM2.5 และไม่อยากสละบัตรวิ่งทิ้งไป
อย่างไรก็ตาม พญ.สัจจพร อินทร์นิพัฒน์ วิสัญญีแพทย์ และเป็นหนึ่งในแพทย์สาขาที่เชี่ยวชาญเรื่อง Breathing circuit ได้พยายามออกมาเตือนประชาชนว่า การสวมหน้ากาก N95 ร่วมวิ่งนั้น เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยได้อธิบายผ่านทวิตเตอร์ @Kielsan ระบุว่า เห็นประชาสัมพันธ์งานวิ่งที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ คนวิ่ง 30,000 คน บางคนบอกจ่ายเงินไปแล้วจะใส่ N95 วิ่ง บอกเลยหน้ากาก N95 ไม่ได้ทำมาเพื่อให้ใส่ออกกำลังกายได้
เนื่องจากเวลาใส่ N95 จะทำให้แรงต้านอากาศเวลาหายใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเวลาหายใจเข้า กล้ามเนื้อจะใช้แรงมากขึ้น และเวลาหายใจออกใช้ Elastic recoil โดยถ้าพยายามหายใจออกเยอะก็จะเหนื่อย เพราะเวลาหายใจออก อากาศจะออกไปไม่หมดจากหน้ากาก ทำให้ลมหายใจมีออกซิเจนต่ำ และมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงค้างอยู่ในหน้ากาก
โดยการหายใจเข้าไปจะนำอากาศส่วนนี้เข้าไปซึ่งเรียกว่า Rebreathing ทำให้การหายใจได้รับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในหน้ากากมากกว่าปกติ และจุดนี้อาจทำให้ขาดออกซิเจน และมีคาร์บอนไดออกไซด์ มากเกินในร่างกาย จนทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ อันตรายมาก
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/02/
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 19,500.00 | 19,400.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 20,000.00 | 19,056.12 | 1,257.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,753.48 | 1,303.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 17,095.93 | 1,131.30 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 15,244.90 | 1,005.60 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,580.56 | 566.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,670.40 | 440.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 14/02/
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 | 26.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 | 26.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 23.74 | 23.74 | 24.14 | 23.74 | 23.74 | – | 23.74 | 23.74 | 23.74 | 23.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.54 | 19.54 | – | – | – | – | – | 19.54 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.16 | – | – | – | 34.61 | – | 34.66 | 34.46 | – | 34.46 |
ดีเซล | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 | 25.09 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 28.69 | 28.96 | 30.15 | 30.15 | 29.15 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 16.07 | 16.07 | – | – | – | – | – | – | – | – |