ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 61 พร้อมนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมดินแดนวัฒนธรรมล้านนา
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นางอัจฉรา ตั้งมติธรรม รองประธานกรรมการบริหาร และ นายราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการภูมิภาค 1 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติร่วมแถลงข่าว “ผลประกอบการปี 61 ภาพรวมเศรษฐกิจและเทรนด์ตลาดอสังหาฯ ภาคเหนือ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถกวาดยอดขาย 33,343 ล้านบาท รายได้รวม 25,810 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,770 ล้านบาท เดินหน้าวางแผนเตรียมขยายโครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพ ทั้งกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด พร้อมนำคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชมดินแดนวัฒนธรรมล้านนา ในโอกาสจัดงาน Supalai Thanks Press Tour 2019 เพื่อขอบคุณสื่อมวลชน ณ จังหวัดเชียงราย
ขอบคุณข้อมูลจาก ryt9.com
สยามพิวรรธน์ เผยกลยุทธ์ก้าวไปสู่ 5 ปีข้างหน้า พร้อมประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์”
สยามพิวรรธน์ ฉลองความสำเร็จครบรอบ 60 ปี พร้อมประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ในวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ เตรียมมุ่งเป้าสู่การเป็นผู้นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก และสานต่อรูปแบบ Co-creation ร่วมกับพันธมิตรให้ทุกฝ่ายโตอย่างยั่งยืน
เดินหน้าสร้างมหาปรากฏการณ์ โครงการระดับโลกทั้งในและต่างประเทศ ต่อยอดจากความสำเร็จของ วันสยาม และไอคอนสยาม
ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมือง โครงการที่สยามพิวรรธน์สร้างขึ้นจะต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ ต้องปฏิวัติวงการค้าปลีก (Retail revolution) และต้องเป็นโครงการที่สร้างสรรค์โดยเฉพาะ(Tailor made) ซึ่งความสำเร็จในทุกโครงการที่ผ่านมาทำให้สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการในต่างประเทศให้ไปร่วมลงทุน หรือเป็นที่ปรึกษาในการทำโครงการ และล่าสุดจากความสำเร็จของโครงการไอคอนสยามเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจทำให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลก ต้องมาเรียนรู้ในการพัฒนาโครงการที่สามารถถ่ายทอดตัวตน (DNA) ของประเทศให้ออกมาได้ทุกมิติ ควบคู่กับการทำธุรกิจ ความรู้และประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการไอคอนสยามจะถูกนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาโครงการใหญ่ระดับชาติ และระดับโลก โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบและคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่เหนือความคาดหมาย ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบเร็วๆ นี้
นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน “วันสยาม” (One Siam) คือการผนึกกำลังของ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าและครองความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้า เป็นสถานที่หนึ่งเดียวในเอเชียและวงการค้าปลีกของโลก ที่ก้าวขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ของสถานที่ยอดนิยมระดับโลก อันดับ 1 ใน Instagram และอันดับ 6 ใน Facebook
ไอคอนสยามยังคงเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดองค์ประกอบสำคัญเพิ่มเติม เช่น ทรู ไอคอน ฮอลล์ (TRUE ICON HALL) ศูนย์ประชุมพร้อมนวัตกรรมล้ำยุคแห่งแรกในกรุงเทพบนพื้นที่กว่า12,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุมระดับชาติ และจัดแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการประชุมนานาชาติ สนับสนุนอุตสาหกรรม MICE ของประเทศไทย และ ริเวอร์มิวเซียม แบงค็อก (rivermusuem bangkok) ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์มาตรฐานระดับสากลครั้งแรกในเมืองไทย โดยจะทำงานร่วมกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เพื่อนำผลงานศิลปะล้ำค่าจากต่างประเทศมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ผนึกกำลังพันธมิตรแถวหน้าระดับโลก ร่วมพัฒนาธุรกิจค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์
ที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย และเลือกที่จะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจและร่วมลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ไปกับสยามพิวรรธน์ โดยเมื่อปี 2561 สยามพิวรรธน์ประกาศการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลกจากอเมริกา มีกำหนดการที่จะเปิด Luxury Premium Outlets แห่งแรกในประเทศไทยในปลายปีนี้ และขยายเพิ่มไปนอกกรุงเทพฯ อีก 2 แห่ง
ในขณะเดียวกัน สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากหลายๆ บริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เป็นกลางจึงจะทำให้สยามพิวรรธน์สามารถจับมือกับทุกพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษา โดยได้มองหาทำเลทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด
ในส่วนธุรกิจค้าปลีก สยามพิวรรธน์ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสินค้าและบริการที่แปลกใหม่เป็นคนแรกอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จที่ผ่านมา ตั้งแต่การจับมือกับ ทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม การร่วมทุนกับบริษัท iStyle Inc. บริษัทค้าปลีกและเจ้าของเว็บไซต์รีวิวและจัดอันดับผลิตภัณฑ์ความงามที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในญี่ปุ่น เพื่อเปิดร้าน @cosme store แห่งแรกในประเทศไทย การขยายธุรกิจแฟรนไชส์ อาทิ ลอฟท์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ถึง 5 สาขา ร้าน ALAND แฟชั่นชื่อดังที่สุดจากเกาหลี รวมถึงการสร้างร้าน ICONCRAFT พื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ปั้นยอดฝีมือไทยสู่เวทีโลก
โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำจากต่างประเทศเพื่อเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์อีก 2 แบรนด์
นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นการให้ความสนับสนุนดีไซน์เนอร์ไทยและผู้ประกอบการ SME ไทยให้พัฒนาบน platform การจัดจำหน่ายสินค้าที่สยามพิวรรธน์บริหารอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยๆ ที่มีต้นทุนต่ำ ได้ใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางข้อมูลของสยามพิวรรธน์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
ลงทุนธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก
สยามพิวรรธน์มีความสนใจที่จะลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจอื่น และขยายธุรกิจค้าปลีก ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจหลักเพื่อเสริมศักยภาพของสยามพิวรรธน์ เช่น การซื้ออาคารสำนักงาน กิจการจัดส่งสินค้า(logistics) รวมไปถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าในการขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4 – 5 บริษัทใหญ่ อาทิ การจัดตั้งบริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ต่อยอดความเชี่ยวชาญจากการบริหาร Royal Paragon Hall เพื่อรับบริหารจัดการศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการใหม่ๆ อาทิ TRUE ICON HALL และลงทุนในการสร้างศูนย์ประชุมสำหรับการจัดงานต่างๆ รวมถึงการการจัดแสดงคอนเสิร์ตในทำเลใหม่ การเดินหน้าให้บริการกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดอย่างครบวงจรของบริษัท ซูพรีโม่ จำกัด ที่สร้างประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมายมาแล้วมากมาย อาทิ การจัดงาน Amazing Thailand Countdown ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวกับการจัดการอาคารของบริษัท สยามโปรเฟสชั่นแนล แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งได้ให้บริการแก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วหลายราย ซึ่งบริษัทในเครือเหล่านี้ จะเดินหน้าให้บริการทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
เปิดตัวระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการบริหารจัดการข้อมูล ที่ได้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี สร้างความแตกต่างแต่โดนใจ เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ
ด้วยการทำงานที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) สยามพิวรรธน์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาพัฒนาระบบการทำงาน ตั้งแต่ การศึกษาความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการออกแบบการสร้างประสบการณ์ (customer journey) การให้บริการ และการส่งเสริมการขายให้ตรงความต้องการของลูกค้าในแต่ละบุคคลมากที่สุด
โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์จะเปิดตัวระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Intelligence System) ที่ได้พัฒนามานานกว่า 5 ปีด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท สำเร็จพร้อมใช้อย่างเต็มรูปแบบแล้วในปีนี้ โดย อาจารย์สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ และ ผศ.ดร.พีรพล เวทีกูล อาจารย์ประจำ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยในการพัฒนาระบบครั้งนี้ สยามพิวรรธน์ ได้ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จาก 4 ศูนย์การค้าที่เป็นเจ้าของ ซึ่งมีจำนวนผู้มาเยือนสูงที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังได้ปรับระบบโครงสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี (IT Infrastructure) และการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) ทั้งหมด โดยระบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน
- ในส่วน Front-end สยามพิวรรธน์ได้มีการทำ Location awareness และ Member awareness ผ่านระบบ Mobile Application รวม ศูนย์ข้อมูลการตลาดโดยทำ Web Centralization และพัฒนา Electronic Digital Marketing (EDM) เพื่อเข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
- ในส่วน Back-end สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาระบบ Data Infrastructure เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าในหลายมิติ และใช้ Advanced data analytics ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล เพื่อนำไปต่อยอดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้ตรงใจลูกค้าและได้ผลตอบแทนมากที่สุด
นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์จะขยายช่องทางค้าปลีกไปยังตลาดออนไลน์ ผ่านทางอี-คอมเมิร์ส และ เอส-คอมเมิร์ส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถมาถึงสถานที่ของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าต่างจังหวัดและต่างประเทศ เกิดความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบัน
กลยุทธ์การสร้างคุณค่า สมประโยชน์ร่วมกันสู่ความยั่งยืน จับมือผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศพร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ปั้น Local Heroes ให้เป็น Global Heroes
สยามพิวรรธน์ ยังคงยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) โดยการสร้างแบบอย่างการดำเนินธุรกิจ คือ การร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และ การสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Value) ซึ่งเป็นคอนเซปต์หลักในการพัฒนาทุกโครงการของสยามพิวรรธน์ตลอดมา
การผนึกกำลังร่วมกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ บุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากทั่วโลก ถูกสะท้อนออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบในโครงการล่าสุดคือ ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นสเกลของการ co-creation ระดับชาติ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะมีการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ในทุกแขนงกับผู้มีความรู้ความสามารถจากชุมชนทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ ภาคราชการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ จากหลายประเทศ ทั้งรายใหญ่รายย่อย ซึ่งสยามพิวรรธน์ทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด ท้าทายให้คิดนอกกรอบ และทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกันมาก่อน ต่อยอดให้เกิดความสำเร็จที่เพิ่มทวีคูณกับทุกคนที่ร่วมในโครงการ
นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อร่วมฝึกสอนคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในทุกสาขาอาชีพ ให้กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศไทย อาทิ สนับสนุนโครงการดีมาร์ค โชว์ โครงการทาเลนต์ไทย แอนด์ ดีไซน์เนอร์รูม และการเปิดร้าน Objects of Desire Store (ODS) ที่ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันผลงานของนักออกแบบไทยรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลก โครงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับโอทอปแบบครบวงจร ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรรม และการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม ร่วมกับ SACICT ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การ มหาชน) นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ ยังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่นรายย่อยจากทั่วประเทศไทย ในโครงการสุขสยาม ส่งผลให้ผลิตผลจากหมู่บ้านและท้องถิ่นต่างๆ มียอดขายที่ดีและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สยามพิวรรธน์ จะยังคงสนับสนุนโครงการเหล่านี้ต่อไป รวมทั้งมองหาโอกาสที่จะทำโครงการดีๆ ร่วมกับองค์กรต่างๆ เพื่อสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ เชิดชูความสามารถและผลักดันฝีมือคนไทย ปั้น “Local Heroes” ให้กลายเป็น “Global Heroes” ที่จะทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และสามารถแข่งขันได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก
ทุกโครงการจะต้องแผ่กระจายความรุ่งเรือง ทำประโยชน์ให้กับชุมชนธุรกิจที่อยู่รายล้อม ดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชน สร้างประโยชน์ให้สังคมในวงกว้าง สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ สยามพิวรรธน์เป็นเวทีในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ส่งเสริมผลักดันความสามารถของคนไทยจากทุกสาขาอาชีพ ให้คนไทยภูมิใจในศักยภาพ จุดประกายพลังของความเป็นไทย
การพัฒนาสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) และการสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader
เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่โตอย่างก้าวกระโดดจาก 15 บริษัทเป็น 46 บริษัทภายใน 5 ปีที่ผ่านมา และตอบรับกับแผนการขยายธุรกิจ สยามพิวรรธน์มีแผนปรับโครงสร้างบริหารและพัฒนาองค์กรดังนี้ การสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader ปั้นคนรุ่นใหม่เสริมทัพผู้บริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรโดย 5 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างหน่วยงาน Think Tank ที่ได้ทำงานร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารระดับสูงที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอย่างใกล้ชิด เป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้ถูกฝึกฝีมืออย่างเข้มข้น และมีเวทีในการแสดงศักยภาพ มีโอกาสเติบโตและภาคภูมิใจไปกับทุกความสำเร็จขององค์กร
นอกจากนี้ โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) ซึ่งคือหลักสูตรการบริหารจัดการ ที่นำองค์ความรู้ในการบริหารศูนย์การค้าและการค้าปลีกของสยามพิวรรธน์ที่สั่งสมมากว่า 60 ปีมาถ่ายทอดให้กับสังคม โดยใน 3 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ได้ทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการสอนเกี่ยวกับ Sustainable Shopping Mall Management ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี และมีการขยายความร่วมมือไปยังสถาบันชั้นนำอื่นๆ อาทิ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ในปีต่อไปนี้สยามพิวรรธน์จะเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความชำนาญที่หลากหลาย (Multi Skills) ที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้า และเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิตอล
สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะปรับโครงการสร้างองค์กรด้วยการสร้าง Center of Excellence หรือ การสร้างหน่วยงานกลางที่รวมเอาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ขึ้นเป็นหน่วยงานส่วนกลางเพื่อกำกับดูแล และให้การสนับสนุนบริษัทลูกในเครือทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแผนการปรับกระบวนการทำงานโดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีผลิตภาพมากขึ้น อาทิ การใช้ Chatbot, Robotic, AI ทำให้องค์กรมีความคล่องตัว (Agile organization) สามารถปรับตัวได้เร็วตอบสนองความต้องการ และการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
“เราเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนที่แตกต่างของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (The Icon of creative & innovative lifestyle) ในการดำเนินธุรกิจของสยามพิวรรธน์ตลอด 60 ปี พร้อมกับกลยุทธ์ที่ได้วางไว้จะสามารถทำให้เรายืนหยัดและประสบความสำเร็จในวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ต่อไปอีกในทุกยุคทุกสมัย และ ช่วยนำพาธุรกิจ พันธมิตรทุกคนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่การเป็น “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) และนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก นางชฎาทิพ กล่าวปิดท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก estopolis.com
ธปท.แจง 7 ปีหนี้กองทุนฟื้นฟูฯลดวูบ จ่ายดอกเบี้ยทะลัก 2.57 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานการบริหารหนี้ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การปรับปรุงบริหารหนี้เงินกู้ พ.ศ.2555 ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลชดเชยความเสียหายให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จากการนำเงินเข้าไปช่วยเพิ่มทุน ในสถาบันการเงินที่เกิดวิกฤติฐานะการเงิน ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 โดยตั้งแต่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้รับการโอนการบริหาร และชำระคืนหนี้ก้อนดังกล่าวจากรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2555 ในวงเงินต้นรวมที่โอนมา 1,138,305.89 ล้านบาท จากการบริหารหนี้จนถึงวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา รวมเป็นเวลา 7 ปีเต็ม พบว่ายอดเงินต้นล่าสุดอยู่ที่ 844,037.21 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของยอดเงินที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้ชำระคืนให้กับสถาบันการเงิน และประชาชนที่ถือพันธบัตรออมทรัพย์ฯในระยะ 7 ปีที่ผ่านมา คิดเป็น 536,994.78 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการชำระเพื่อตัดยอดเงินต้น 279,968.68 ล้านบาท ขณะที่เป็นการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ใกล้เคียงกันคือ 257,014.95 ล้านบาท และจ่ายเป็นค่าบริหารจัดการหนี้ 11.15 ล้านบาท จากภาระดอกเบี้ยจ่ายดังกล่าว ทำให้ยอดหนี้เงินต้นของหนี้ก้อนดังกล่าวยังคงลดลงไปได้ไม่มากนัก และในการบริหารจัดการหนี้ ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรเพื่อชำระหนี้ก้อนนี้ได้ทั้งหมด
สำหรับแหล่งเงินที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯนำมาใช้ในการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาได้มาจาก 3 ทาง คือ 1.เงินส่วนที่เป็นกำไร จากสินทรัพย์ในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีของทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ โดยได้นำเงินส่วนนี้มาชำระหนี้แล้ว 22,255.68 ล้านบาท 2.เงินที่สถาบันการเงินต้องนำส่งตามกฎหมาย ส่วนนี้นำมาชำระหนี้แล้ว 336,026.10 ล้านบาท 3.เงินที่มาจากการบริหารสินทรัพย์ และขายสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯที่ได้รับจากการเข้าไปช่วยสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติ ส่วนนี้ได้นำมาชำระหนี้แล้ว 178,713 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน แผนการปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการหนี้ในปีงบประมาณ 2562 ที่ครบกำหนดชำระคืน 167,532 ล้านบาท กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้หารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะแล้ว โดยมีแผนเพิ่มปริมาณตราสารหนี้ระยะยาวของกองทุนทดแทนตราสารเดิมที่ครบกำหนด และเน้นการออกพันธบัตรอายุ 10 ปี เพื่อลดการกระจุกตัวของภาระหนี้ ฯลฯ ให้สอดคล้องกับประมาณการเงินรายรับที่สามารถนำไปชำระหนี้ ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น การออกพันธบัตรอายุยาว 10 ปี ถือเป็นการใช้ประโยชน์จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังปรับตัวไม่สูงมากนักในปัจจุบัน เพื่อล็อกต้นทุนการกู้ยืมให้ต่ำลง ทำให้อายุคงเหลือเฉลี่ยภาระหนี้ก้อนดังกล่าวของปีงบประมาณปี 2562 ใช้เวลาชำระคืนอยู่ที่ 4.56 ปี เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือน ก.ย.2561 อยู่ที่ 3.74 ปี ตามแผนดังกล่าวคาดว่า ทำให้มีต้นทุน 3.65% ต่อปี รองรับการไถ่ถอนตราสารได้ตามกำหนดทั้งจำนวน.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
หมอฟันแนะ 3 วิธีดูแลสุขภาพช่องปาก
จากข้อมูลสุขภาพช่องปากและฟันของคนไทย พบว่า ช่วงปฐมวัยเริ่มมีฟันน้ำนมผุตั้งแต่อายุ 9 เดือน ร้อยละ 3 และผุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51.7 เมื่ออายุ 3 ปี และจะเพิ่มสูงมากถึง ร้อยละ 97.5 เมื่ออายุ 5 ปี โดยเด็กวัยเรียนที่เริ่มมีฟันแท้ขึ้นในปาก ช่วงอายุ 12 ปี ร้อยละ 52.2 เป็นโรคฟันผุ และร้อยละ 50 พบเหงือกอักเสบ ขณะที่ประชากรอายุมากกว่า 65 ปี ในเอเชียกว่าร้อยละ 23 ที่สูญเสียฟันทั้งปากและคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 38 ในปี ค.ศ. 2050 สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพในช่องปาก
ทพญ. วลัยลักษณ์ เกียรติธนากร ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรมบีดับเบิลยูซี แห่งบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวถึงภาพรวมของปัญหาสุขภาพช่องปาก และความสำคัญของสุขภาวะช่องปากที่ดีว่า “หากเปรียบว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ รอยยิ้มก็คงเปรียบได้กับประตูสู่มิตรภาพและความสัมพันธ์ เพราะเราเชื่อว่าการมีรอยยิ้มที่สดใสนั้น จะมีพลังของความสุขและความมั่นใจแฝงอยู่ในนั้นเสมอ ดังนั้นการมีสุขภาพปากและฟันที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีชีวิตที่ยาวนานและการใช้ชีวิตที่มีความสุข ส่วนสาเหตุที่ทำให้สุขภาพในช่องปากมีปัญหานั้น นอกจากจะเกิดจากการบริโภคอาหาร เช่น เบเกอรี่ ขนม ลูกอม และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง แล้วการขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพในช่องปากที่ถูกต้องนั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพในช่องปาก” โดย ทพญ. วลัยลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการดูแลสุขภาพในช่องปากและฟันไว้ 3 ขั้นตอนดังนี้
-
ทำความสะอาดอย่างถูกวิธีชัยไปกว่าครึ่ง
การทำความสะอาดที่ถูกวิธีนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพปากและฟันที่ดี โดยเริ่มต้นแต่วิธีเลือกยาสีฟันที่ควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ เลือกแปรงสีฟันที่มีปลายมน ขนแปรงนุ่มพอเหมาะ ด้ามจับถนัดมือ โดยเวลาแปรงให้ วางขนแปรงแนบกับของเหงือก โดยเอียงขนแปรงเป็นมุม 45 องศา กับตัวฟันเพราะบริเวณรอยต่อนี้เองที่เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียในช่องปาก หลังจากนั้นให้ขยับแปรงไปมาเล็กน้อย แล้วหมุนข้อมือปัดแปรงไปบนตัวฟัน โดยแปรงทั้งด้านในและด้านนอกของฟัน ส่วนด้านบดเคี้ยวนั้นให้ถูไปมาตามแนวฟันทั้งซ้ายขวาจนสะอาด โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้งพร้อมกับทำความสะอาดลิ้น เพราะเชื้อแบคทีเรียหรือเศษอาหารฝังอยู่ที่ลิ้น ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีกลิ่นปากได้โดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญหลังแปรงฟันให้บ้วนน้ำออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อให้ฟลูออไรด์คงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่
-
ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อยู่บริเวณซอกฟันได้ จึงจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อลดการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของฟันผุ และเหงือกอักเสบโดยเฉพาะบริเวณซอกฟันและด้านข้างของฟันที่อยู่ชิดกัน โดยใช้ไหมขัดฟันโอบลงไประหว่างซี่ฟันจนถึงใต้ขอบเหงือก หรือลงไปในร่องเหงือกเล็กน้อย โอบไหมขัดฟันตามส่วนโค้งของซี่ฟัน ค่อยๆ ขยับไหมขัดฟัน ขึ้นลงไปทีละซี่ โดยไม่ใช้วิธีกดไหมขัดฟันให้ผ่านเข้าซอกฟันโดยตรง ไม่ใช้ไหมขัดฟันอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้เหงือกเลือดออกเป็นแผลได้
-
พบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากการทำความสะอาดและการดูแลสุขภาพปากและฟันด้วยตัวเองแล้ว การเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพปากและฟันอย่างละเอียดทุกๆ 6 เดือน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทันตแพทย์จะช่วยมองหาสัญญาณของโรคและปัญหาต่างๆ เพื่อป้องกันและรับมือและรักษาทันทีก่อนลุกลาม
สุดท้าย ทพญ. วลัยลักษณ์ ยังได้ทิ้งท้าย 5 หลักการสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาวะช่องปาก ได้แก่ “ป้องกัน สม่ำเสมอ ใส่ใจ สะอาดปลอดภัย และสมวัย” เป็นหลักสำคัญที่ควรตระหนักถึงเพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องมาพร้อมกับความสม่ำเสมอในการดูแลสุขภาพช่องปากและพบทันตแพทย์อย่างใส่ใจ โดยควรเลือกสถานที่ในการรักษาที่สะอาด ได้มาตราฐาน และควรเลือกพบหมอที่เหมาะสมกับช่วงวัย ยกตัวอย่างเช่น ทันตแพทย์เด็กที่จะสามารถปรับพฤติกรรมของเด็กในแต่ละช่วงอายุ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากที่ดีและทัศนคติที่ดีต่อการทำฟัน เมื่อสุขภาพฟันในช่วงเด็กดีและรู้วิธีการป้องกันก็จะส่งผลถึงสุขภาพฟันและช่องปากที่ดีและยืนยาวไปในที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จัก ‘Q’ เสียงปัญญาประดิษฐ์ไม่ระบุเพศเสียงแรกของโลก
FILE – Prompts on how to use Amazon’s Alexa are seen in an Amazon “experience center” in Vallejo, California, May 8, 2018. In an effort to counter possible sexist stereotypes, a team created a voice nicknamed Q that is designed to be perceived as neither male or female.
ปัจจุบัน ประเด็นเรื่องความเท่าเทียมและการเลือกปฏิบัติทางเพศถูกพูดถึงอย่างมากในแทบทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ
สถาบันและนักออกแบบผลิตภัณฑ์จำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเสียงพูดในอุปกรณ์ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในบ้านจึงมักเป็นเสียงผู้หญิง? มีความจำเป็นหรือไม่ที่เสียงในอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเป็นเสียงของสตรี? และทำไมต้องมีชื่อเรียกเหมือนชื่อผู้หญิงด้วย ซึ่งรวมถึง Alexa ของ Amazon, Cortana ของ Microsoft และ Siri ของ Apple ?
จนนำไปสู่คำถามที่ว่ากรณีนี้เข้าข่าย “เลือกปฏิบัติทางเพศ” หรือไม่?
ด้วยเหตุนี้ คณะนักออกแบบของบริษัท Vice Media ในเดนมาร์ก จึงได้คิดพัฒนาเสียงตอบรับแบบใหม่ขึ้น ซึ่งไม่แบ่งแยกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง โดยตั้งชื่อเรียกสั้นๆ ว่า Q
คุณจูลี คาร์เพนเตอร์ นักวิจัยที่ California State Polytechnic University ผู้ให้คำปรึกษาแก่โครงการ Q นี้ บอกว่า “ผู้คนทั่วไปมักเลือกเสียงของผู้หญิงสำหรับปัญญาประดิษฐ์ที่ต้องทำงานในลักษณะรับคำสั่งเพื่อให้ความช่วยเหลือบางอย่าง แต่จะเลือกเสียงของผู้ชายในลักษณะของความเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือการให้คำปรึกษามากกว่า”
ด้านคุณนิส นอร์การ์ด นักออกแบบเสียงแห่งสตูดิโอ Thirty Sounds Good ผู้สร้างเสียงของ Q อธิบายว่า เขาใช้ข้อมูลจากงานวิจัยที่ระบุว่า เสียงผู้ชายมักมีความถี่ระหว่าง 85 – 180 เฮิร์ตซ์ กับเสียงผู้หญิงที่มักมีระดับความถี่สูงกว่า คือระหว่าง 140 – 255 เฮิร์ตซ์ มาใช้ในการสร้างเสียงในระดับความถี่ตรงกลางระหว่างสองเพศ
นอกจากระดับความถี่แล้ว คุณนอร์การ์ด บอกว่า เสียงของผู้ชายยังมีลักษณะการพูดที่ราบเรียบกว่า รวมทั้งมีการออกเสียงพยัญชนะบางตัว เช่น ‘S หรือ ส’ และ ‘T หรือ ท’ สั้นและห้วนกว่าเสียงผู้หญิง
จากนั้นคณะนักวิจัยใช้วิธีอัดเสียงบุคคลข้ามเพศและผู้ไม่ระบุเพศ รวม 22 เสียง เพื่อใช้เป็นพื้นฐานของการสร้างเสียงของ Q เพื่อให้เสียงนี้สามารถสะท้อนความหลากหลายทางเพศได้มากขึ้น และไม่เอนเอียงไปทางเสียงของผู้ชายหรือผู้หญิงทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และนำไปปรับเสียงด้วยระบบดิจิทัลอีกครั้ง จนสุดท้ายได้เสียงของ Q ในที่สุด
Q เพิ่งเปิดตัวในวันจันทร์ที่ผ่านมา ในเทศกาลแห่งความคิดสร้างสรรค์ South by Southwest (SXSW) ที่รัฐเท็กซัส
นักวิจัยบอกว่า ได้ลองทดสอบเสียงของ Q กับผู้สมัครกว่า 4,000 คน ซึ่งราวครึ่งหนึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งก็ทายว่าเป็นเสียงผู้ชายราว 50% และเสียงผู้หญิงราว 50% เช่นกัน
เวลานี้ เสียงของ Q สามารถฟังได้จากทางเว็บไซต์ของ Vice Media เท่านั้น แต่ผู้บริหารของ Vice Media หวังว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เพิ่มทางเลือกแบบ ‘genderless voice’ หรือเสียงที่ไม่ระบุเพศ ในอุปกรณ์แบบสมาร์ทต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งในหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก voathai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,450.00 | 19,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,260.00 | 19,101.60 | 20,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,134.00 | 17,191.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,008.00 | 15,281.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 567.00 | 8,595.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 441.00 | 6,685.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,306.00 | 19,798.96 | n/a |
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 | 28.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 25.44 | 25.44 | 25.84 | 25.44 | 25.44 | – | 25.44 | 25.44 | 25.44 | 25.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 20.44 | 20.44 | – | – | – | – | – | 20.44 | – | – |
เบนซิน 95 | 35.86 | – | – | – | 36.31 | – | 36.36 | 36.16 | – | 36.16 |
ดีเซล | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 | 27.59 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.19 | 31.46 | 31.65 | 31.65 | 31.65 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 16.44 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | – | – |